กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-04-2015, 10:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๘

พระอาจารย์กล่าวว่า “งานทำบุญฉลองบ้านวิริยบารมีครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๕ แล้ว พักเดียวเท่านั้นก็ ๕ ปีผ่านไป ถ้านับวันทำบุญยกเสาเอกก็ครั้งที่ ๖ เข้าไปแล้ว

บ้านนี้สร้างเมื่อปี ๒๕๕๓ ค่าที่ดิน ๒๔๐ ตารางวา ๑๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท ค่าก่อสร้าง ๑๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท รวมแล้ว ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ถ้วน ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 12:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-04-2015, 10:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมาเคยสร้างรูปหล่อสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ไปรุ่นหนึ่ง ๕,๕๐๐ องค์ ไม่น่าเชื่อว่าถึงปัจจุบันนี้ไม่มีหลุดออกตลาดมาเลย แสดงว่าคนได้ไปนี่อมได้สนิทมาก ก็เลยตั้งใจจะสร้างอีกรุ่นหนึ่ง กะว่ามีเนื้อทองไม่กี่องค์ เนื้อเงินสักสองพันองค์ แล้วก็ชุบทองพ่นทรายสักสามพันองค์ เตรียมเงินไว้บูชากันได้

ตอนนี้มอบหมายให้ พระมหานันทวัฒน์ หรือหลวงพี่มหาเอของเรา ไปดูแลแล้วก็จัดการให้ ถ้าใครต้องการเนื้อทองคำเตรียมทองคำแท่งไว้ ๓ บาท เพราะว่าเนื้อทองคำจากต้นแบบที่ออกมานั้น ๒๗ กรัมเศษ ๆ เกือบ ๒ บาทเต็ม คาดว่าจะสร้างสัก ๑๐๐ องค์เท่านั้นแหละ ส่วนเนื้อเงินองค์ละน่าจะไม่เกินสามพันบาท”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 12:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 232 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 01-04-2015, 10:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “ท่านที่ถวายเงินหรือทองคำมาร่วมหล่อพระวันนี้ แล้วมาไม่ทันพิธี ปีหน้าอาตมาจะหล่อรูปหล่อหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เนื่องจากในวาระที่ท่านครบ ๑๐๐ ปีเกิด แล้วที่แน่ ๆ ก็จะต้องมีสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธานด้วย ฉะนั้น..ยังสามารถใช้เงินหรือทองคำนี้ไปหล่อพระได้อีกยกหนึ่ง”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 12:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 01-04-2015, 10:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “ยังไม่มีโอกาสลงรูปพระประธานในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ที่หล่อไปเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ออกมาสวยสมบูรณ์แบบ พระประธานยิ้มสวยมาก งานนี้เกิดจากการดำเนินงานของพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม หรือหลวงพี่มหาเอของพวกเรา ท่านไปติดต่อท่านอาจารย์สุชาติที่ถือว่าเป็นนักปั้นพระพุทธรูปมือหนึ่งให้ช่วยปั้นแบบให้ แล้วไปหาช่างตุ้มที่ท่านอาจารย์สุชาติไว้วางใจ ให้มาช่วยหล่อให้ด้วย”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 12:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 01-04-2015, 10:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับท่านที่จะจองสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ ใครที่ยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกเว็บวัดท่าขนุนให้รีบสมัคร ใครที่สมัครแล้วไม่ยืนยันตัวตน ทำให้ไม่สามารถลงกระทู้ได้ ให้รีบทำการยืนยันตัวตนด้วย ไม่อย่างนั้นถึงเวลาสมเด็จองค์ปฐมออกมา พวกเราจะไม่สามารถบูชาได้เหมือนคนอื่นเขา

ระยะหลังที่อาตมาต้องจำกัดยอดไว้ว่าไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ เพราะมีหลายคนตั้งใจหากินกับวัตถุมงคลวัดท่าขนุนโดยเฉพาะ อย่างเช่นว่าบูชาตะกรุดไป ๕,๐๐๐ บาท ก็ไปปล่อยในเว็บ ๑๐,๐๐๐ บาท อาตมาไม่ได้ว่าอะไร เพราะถือว่ารู้จักทำมาหากิน แต่สงสารคนที่รับช่วงไปว่าได้ของแพงโดยใช่เหตุ ไปสมัครเข้าเว็บไว้ ได้ของราคาจากวัดจะดีกว่า

แบบเดียวกับมีดหมอเพชราวุธทางวัดออกราคา ๕๐,๐๐๐ บาท ไปขายใบจองราคา ๗๕,๐๐๐ บาทบ้าง ๘๐,๐๐๐ บาทบ้าง ท้ายสุดเอามีดหมอไปออกสองแสนบาทก็ดันมีคนบูชาไปอีก ต้องบอกว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีฐานะร่ำรวยจริง ๆ ก็แสดงว่าไม่รู้จริง ๆ ว่าในเว็บวัดท่าขนุนราคาแค่ ๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 12:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 01-04-2015, 11:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของพระ โดยเฉพาะหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งอาตมาก็ตาม มีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ บรรดาลูกศิษย์จำนวนหนึ่งมักจะต้องการเสนอหน้าให้คนอื่นเห็นว่าใกล้ชิด มีสิทธิพิเศษมากกว่าใคร ขอยืนยันว่าวัดท่าขนุนไม่มี ถ้าใครอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด มีสิทธิพิเศษ ก็ช่วยจามมะเหงกพิเศษ ๆ ให้เขาด้วย..! เพราะว่าพอถึงเวลาแล้วกลายเป็นสร้างความแตกแยกไป ว่าคนโน้นเป็นคนใกล้ชิด คนนี้เป็นคนห่าง

ในสายตาของพระ ท่านให้การสงเคราะห์ทุกคนเสมอหน้ากัน แต่ว่าบางท่านอาจจะมีความคล่องตัวเฉพาะในบางอย่าง ซึ่งต้องเรียกใช้ในด้านนั้นอยู่ ขอบอกว่าโปรดอย่าอิจฉาเขา เพราะถ้าต้องทำเองแล้วจะเหนื่อยรากเลือด..! เห็นเขาได้ทำเราก็ยกมือโมทนาสาธุ....กูไม่ช่วยมึงหรอก หมดเรื่องหมดราวไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วพอถึงเวลาก็จะมีการนินทาว่าร้าย จิกกัดกันเป็นปกติ ซึ่งไม่น่าจะเป็นวิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม

อาตมาเองฟังจนเบื่อ และสงสัยว่าเมื่อไรจะเลิกจิกกัดกันเสียที การสร้างวจีกรรมนั้น จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก การนินทาว่าร้ายคนอื่นเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ บาลีท่านว่า นินทา ปสังสา การนินทาเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเราทำเมื่อไรก็เท่ากับสร้างกรรมให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันก็สร้างกรรมให้แก่คนรอบข้างไปด้วย เพราะว่าไปสร้างความมัวหมองให้เกิดขึ้นในใจของเขา มองเห็นคนนั้นเป็นศัตรู เห็นคนนี้เป็นคนที่เพื่อนเราไม่ชอบหน้า เราก็พลอยไม่ชอบไปด้วย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 13:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 01-04-2015, 11:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ยิ่งยุคนี้สมัยนี้มีเฟซบุ๊ก มีไลน์ ถึงเวลาเราก็ส่งต่อกันไปในพริบตาเดียว หรือไม่ก็ขึ้นสเตตัส กลายเป็นประจานตัวเองเสียเปล่า ๆ ว่ากำลังใจของเราแย่มาก ถึงยังว่าร้ายคนอื่นเขาอยู่ ถ้าใครรู้ตัวแล้วก็ให้เลิกความประพฤตินี้เสีย เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่โทษสถานเดียว พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นวาจาที่ไม่ควรกล่าว

หลายคนก็มาพูดเข้าหูอาตมาว่า คนโน้นนินทาว่าอย่างนี้ โดนคนนั้นกัดมาอย่างนั้น ซึ่งความจริงถ้าเราดูย้อนหลังไปก่อนหน้านั้น เราก็เคยนินทาเขาเอาไว้แบบนั้น เคยกัดเขาเอาไว้แบบนั้น แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าทำเอามันปากไปเรื่อย พอตัวเองมาโดนเข้าถึงได้รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่ได้มองว่าเป็นเพราะเคยทำมาอย่างนั้น กลับไปมองว่าคนโน้นทำไม่ดีกับเรา คนนี้ทำไม่ดีกับเรา

ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราปรับปรุงกาย วาจา ใจของเรา ตั้งหน้าตั้งตาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น ถ้าสามารถทรงความดีเอาไว้ได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะค่อย ๆ ห่างไกลออกไป แล้วท้ายที่สุดถ้าเรามีกาย วาจา ใจที่บริสุทธิ์จริง ๆ ทำทุกอย่างด้วยความหวังดีปรารถนาดีต่อคนอื่น ก็จะไม่มีใครมานินทาว่าร้ายเราอีก แต่ก็ไม่แน่หรอก อย่างที่โบราณท่านว่าไว้ว่า “แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 13:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 01-04-2015, 11:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลวงพ่อพระพุทธชินราชท่านนั่งอยู่ของท่านสบาย ๆ อยู่โบสถ์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลกโน่น ใคร ๆ ก็ว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยที่สุดในประเทศไทย ลูกคุณช่างติก็ไปยืนมองซ้ายมองขวาดูรอบหนึ่ง แล้วท้ายสุดก็บอกว่า “ก็สวยอยู่หรอก เสียอย่างเดียว..พูดไม่ได้” คิดดูก็แล้วกันว่านินทาท่านจนได้

ฉะนั้น เมื่อเราเข้าใจตรงจุดนี้แล้วก็ให้รู้ว่า จริง ๆ แล้วการปฏิบัติธรรมเป็นการขัดเกลาทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเราให้ดี ถ้าเรายังไม่สามารถละการนินทาว่าร้ายคนอื่นเขาได้ ยังมีการจิกการกัด การนินทากันเป็นปกติอยู่ ขอให้รู้ว่าเรายังมีความเลวอยู่มาก รู้แล้วพยายามละยังถือว่าพอเป็นคนดีได้ แต่ถ้ารู้แล้วไม่ละแต่ทำไปเรื่อยถือว่าเลวมาก..!

แม้กระทั่งโทษทัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการที่เราละเมิดในศีลในธรรม ท่านก็ถือว่าการ “รู้แล้วขืนทำ” เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด โดยเฉพาะในหมู่คณะของพวกเรา ถ้าหากว่ามีการนินทาว่าร้ายกัน ก็จะก่อให้เกิดการแตกสามัคคีขึ้นมา อย่าลืมพระบาลีที่ว่า สุขา สังฆัสสะ สามัคคี ความสามัคคีของหมู่คณะช่วยก่อให้เกิดสุข แต่ถ้าหมู่คณะแตกแยกก็ย่อมเกิดทุกข์ โดยเฉพาะบุคคลที่ต้องคอยประสานหมู่คณะเข้าด้วยกัน ท่านจะทุกข์ใจมาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-04-2015 เมื่อ 14:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 01-04-2015, 11:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในบรรดาคณะศิษย์ของหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ต่าง ๆ นั้น เราจะเห็นว่าจับกันเป็นหมู่คณะ กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ แต่ถึงจะเป็นกลุ่มก็ขอให้กลุ่มที่เหนียวแน่นและรู้จักเชื่อมโยงกับกลุ่มอื่นด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะเป็นแค่ห่วงเฉย ๆ ไม่ว่าจะเป็นห่วงเหล็ก ห่วงทองเหลือง ห่วงทองแดงอะไรก็ตาม ใช้งานได้จำกัด แต่ถ้าเรารู้จักเชื่อมโยงกับกลุ่มอื่นด้วยความรักความสามัคคี จากห่วงก็จะกลายเป็นโซ่ ยิ่งยาวเท่าไรก็ยิ่งใช้ประโยชน์ได้มากเท่านั้น

ดังนั้น สิ่งที่ทำให้แตกความสามัคคีได้ง่ายที่สุด ก็คือเรื่องของวาจา โดยเฉพาะบางคนที่พูดไม่เคยคิด พอคนอื่นว่าคืน ถึงรู้สึกตัวแต่ก็ยังละไม่ได้ ก็ต้องทนลำบากสร้างวจีกรรม มโนกรรมกันต่อไป ซึ่งมีแต่จะผูกเวรผูกกรรมกันไปนับชาติไม่ถ้วน

เมื่อเป็นเช่นนั้น เรารู้แล้วว่าสาเหตุของความแตกความสามัคคีในหมู่คณะคืออะไร สาเหตุที่คนอื่นเขานินทาว่าร้ายเราคืออะไร โดยเฉพาะบุคคลที่ทำงานสนองงานต่าง ๆ โอกาสที่จะรอดการนินทานั้นไม่มี อย่างไรเสียก็ต้องเป็นขี้ปากของบรรดาบุคคลที่กำลังใจต่ำ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าคนเรากำลังใจแค่ไหนก็คิดอย่างนั้น พูดอย่างนั้น ในเมื่อกำลังใจของเขาต่ำ ถ้าหากว่าเขานินทาว่าร้าย พูดไม่ดีถึงเรามา แทนที่จะโกรธจะเคืองก็สงสารเขาเถอะ ประเภทนั้นยังเกิดอีกนาน ถ้าเกิดอีกนานก็แปลว่าทุกข์อีกนาน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2015 เมื่อ 13:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 01-04-2015, 11:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรารู้ตัวแล้วเราก็ละก็วางเสีย พยายามแผ่เมตตา ให้อภัยเป็นปกติ นอกจากจะช่วยเชื่อมความสามัคคีในหมู่คณะ เพราะมีกาย มีวาจา มีใจที่เยือกเย็น ไม่ถือโทษโกรธเคืองคนอื่นแล้ว ยังทำให้ตัวเราได้รับการปฏิบัติขัดเกลากาย วาจา ใจ ให้เข้าสู่ความบริสุทธิ์มากขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วท้ายที่สุดเมื่อกาย วาจา ใจของเราบริสุทธิ์บริบูรณ์โดยพร้อมมูล เราก็จะกลายเป็น คนเหนือโลก ก็คือ บุคคลที่ไม่ต้องข้องแวะกับกิเลสต่าง ๆ อีกแล้ว ซึ่งเป็นเป้าหมายในการปฏิบัติของพวกเราทุกคน

เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็โปรดระมัดระวังไว้ด้วย สมัยก่อนอาตมาพยายามแก้ไขเรื่องปาก แก้เท่าไรก็แก้ไม่ทันเพราะปากไวกว่าสติ ท้ายสุดก็เลยต้องเอาเหรียญหลวงปู่ปานมาอมไว้ในปาก พอขยับปากก็รู้ตัวว่านี่เราต้องรักษาศีล ๕ หรือรักษากรรมบถ ๑๐ ก็จะมีสติระลึกได้ แล้วก็ระงับยับยั้งไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดีทางวาจานั้น ๆ เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้อาตมาเคยทำมาแล้ว ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใครจะลองอมเหรียญของอาตมาก็ได้ โดยเฉพาะเหรียญพุทธบารมี ๙ เซนติเมตร รับประกันว่าได้ผลแน่นอน...!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-04-2015 เมื่อ 15:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 02-04-2015, 07:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “ท่านใดที่เอาพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมมาถวายอาตมา ถ้าตั้งใจนึกถึงท่านเป็นอนุสติก็ได้ แต่ถ้าถามว่าแท้ไหม ? ขอยืนยันว่า “ปลอมแท้ ๆ จ้ะ” ถ้าอยากได้ ที่ท่าพระจันทร์นี่เอารถสิบล้อไปขนได้เลย อะไรที่ตลาดเริ่มต้องการ เขาก็จะแห่ทำกันออกมา บางคนเอามาถวายอาตมาทีเป็นถังเลย

ลองมานึกง่าย ๆ ว่าบารมีขนาดพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ทั้งชีวิตของท่านเพิ่งได้มา ๒ องค์ แล้วพวกเราเป็นใคร..ได้มาทีละถัง ? แค่เอาหัวแม่เท้าตรองดูก็น่าจะรู้ว่าจริงหรือปลอม..?!

ถ้าถามว่าพระบรมสารีริกธาตุปลอมบูชาแล้วมีอานิสงส์ไหม ? ขอยืนยันว่ามีอานิสงส์เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าอนุสติคือการตามระลึกถึงนั้น สำคัญที่ว่าเรานึกถึงพระท่านหรือเปล่า ? ถ้าเรานึกถึงก็ได้อานิสงส์เต็มร้อยอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องมาถามอาตมาอีกว่าจริงหรือปลอม เพราะว่าถึงเป็นของจริง ถ้าพวกเราไม่นึกถึงเลยก็สู้ของปลอมที่คนเขาบูชาและนึกถึงเป็นปกติไม่ได้”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 08:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 02-04-2015, 07:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “ญาติโยมส่วนหนึ่งเคยปฏิบัติธรรมมา แล้วก็ปล่อยให้กิเลสร่าเริง ปัจจุบันนี้มักจะเครียด เพราะว่าทำเท่าไรก็ไม่ดีเท่าเดิม ขอบอกว่าการที่ทำเท่าไรก็ไม่ดีเท่าเดิมนั้น เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก ก็คือ ทำแล้วอยากดี ก็คืออยากให้ดีเหมือนเดิม ตัวอยากเป็นความฟุ้งซ่าน ถือเป็นนิวรณ์คือเครื่องกั้นความดี ในข้อที่เรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจะ

สาเหตุที่ ๒ ก็คือ การที่เราทิ้งไปนาน ๆ ทำให้กิเลสมีกำลังกล้าแข็งกว่า ต้องดิ้นรนภาวนากันอย่างหนัก ต้องสู้กันจริง ๆ จัง ๆ ถึงจะตีคืนมาได้ ดังนั้น..ต้องใช้ความเพียรพยายามให้มากกว่านี้ ต้องคิดว่าเรามี ๑๐ นิ้วเหมือนคนอื่น ในเมื่อคนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้เช่นกัน

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องของใครทำใครได้ ไม่มีใครทำแทนคนอื่นได้
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตเองก็เป็นได้แต่เพียงผู้บอกเท่านั้น ถ้าบอกไปแล้วไม่ปฏิบัติตาม สิ่งที่บอกไปก็เท่ากับไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ตนเลย

เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้นต้องเกิดจากศรัทธาก่อน ซึ่งในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ได้กล่าวเอาไว้ถึงศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เพราะถ้าไม่เกิดศรัทธา คือความเชื่อมั่นความเลื่อมใสแล้ว ก็จะไม่พากเพียรปฏิบัติ เมื่อไม่พากเพียรปฏิบัติ สติและสมาธิก็เกิดขึ้นได้ยาก ในเมื่อขาดสติและสมาธิ ปัญญาย่อมไม่สามารถที่จะเกิดได้”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-04-2015 เมื่อ 10:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 02-04-2015, 07:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่เราเรียกว่า ปลัดขิก จริง ๆ แล้วก็คือศิวลึงค์ เป็นเครื่องหมายเพศของพระศิวะ แล้วก็มีอุมาโยนี เป็นเครื่องหมายเพศของพระอุมา ซึ่งโบราณพวกบรรดาพราหมณาจารย์และโยคีต่าง ๆ ได้ศึกษาและเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงพลังในการให้กำเนิด เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นพลังเพื่อสร้างโลกโดยเฉพาะ ในเมื่อเข้าใจถึงตรงจุดนี้ก็เลยทำสัญลักษณ์ขึ้นมา เป็นศิวลึงค์และอุมาโยนี ซึ่งอยู่ในลักษณะว่า ถ้า ๒ อย่างประสานกันขึ้นไป มีพลังอำนาจถึงขนาดก่อเกิดชีวิตได้ ท่านถึงได้ทำการสร้างรูปเคารพขึ้นมาอย่างที่พวกเราเรียกกันว่าศิวลึงค์ หรือว่าพอมาบ้านเราแล้วครูบาอาจารย์ท่านปรับสร้างให้ขนาดเล็กพกติดตัวได้ แล้วก็ไปเรียกปลัดขิกตามที่บ้านเราเรียกกัน

ปลัดขิกบ้านเราตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้ ที่สร้างแล้วมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับกันก็มีของ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ของหลวงพ่อซ่วน วัดท่าลาดใต้ ของ หลวงปู่เมฆ วัดลำกระดาน แล้วก็หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก บางท่านถึงขนาดเสกปลัดขิกว่ายน้ำได้เหมือนปลาเลย บางท่านเสกแล้วปลัดขิกบินแข่งกับเครื่องบินได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 08:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 02-04-2015, 07:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"การที่จะใช้วัตถุมงคลให้ได้ผลจริง ๆ นอกจากจะต้องมีศรัทธาเลื่อมใสแล้ว ถ้ามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงอุปเท่ห์ หรือว่าสาเหตุที่ท่านได้สร้างวัตถุมงคลนั้น ๆ ขึ้นมา ก็จะทำให้สามารถเข้าถึงและใช้วัตถุมงคลได้เต็มที่ เต็มกำลัง เหมือนที่อาตมาเคยบอกว่า พระคาถาแต่ละบท ถ้าเราสามารถเข้าถึงตัวพระคาถาได้จริง ๆ ก็จะใช้ให้เกิดผลได้มากกว่าคนอื่น

อย่างเช่นพระคาถาเมตตาที่ว่า “พระอรหัง สุคโต ภควา นะ เมตตาจิต” เป็นต้น ก็คือ พระอรหันต์มีความเมตตาขนาดไหน ไปถึงที่ใดก็ล้วนแล้วแต่ไปดี ถ้าเราสามารถเข้าใจถึงลึกซึ้งถึงวาจาประโยคนี้ได้ก็จะเข้าใจ คนอื่นเห็นพระอรหันต์แล้วเกิดความเมตตาอยากจะสงเคราะห์ เพราะท่านประกอบไปด้วยความดี ความบริสุทธิ์อย่างยิ่งแบบไหน ถ้าเราเข้าใจตรงจุดนี้แล้วใช้พระคาถานี้ภาวนา นึกถึงกำลังใจแบบนั้น คนที่ได้พบได้เห็นเราก็จะเกิดความเมตตาให้การสงเคราะห์อนุเคราะห์ลักษณะนั้นเช่นกัน

ฉะนั้น..ในเรื่องของวัตถุมงคลหรือตัวบทพระคาถาใด ๆ ถ้าเราเข้าใจถึงอุปเท่ห์และวิธีการ ตลอดจนกระทั่งเข้าใจลึกซึ้งถึงพื้นฐานของพระคาถาหรือการสร้างวัตถุมงคลนั้น ๆ ขึ้นมา เราก็จะสามารถใช้วัตถุมงคลนั้นได้มากกว่าคนที่ไม่เข้าใจ”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 16:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 02-04-2015, 07:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ใครที่ยังไม่ได้จองตะกรุดมหาสะท้อนในเว็บวัดท่าขนุน ให้โอกาสถึงวันที่ ๓๑ มีนาคมนี้ตอน ๖ โมงเย็นเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วอาตมาจะเริ่มปฏิบัติการ "อม" เหลือเท่าไรต้องเก็บไว้บ้างเพราะว่าพระท่านไม่อนุญาตให้สร้างมาตั้งหลายปี เหตุเพราะว่าบรรดาลูกศิษย์ไปเล่นเขาถึงตายไป ๒ ศพ..!

อยากจะให้วัตถุมงคลทุกชนิดได้รับพรแบบมีดหมอเพชราวุธ ก็คือห้ามคิดร้ายต่อคนอื่น แต่ว่าตะกรุดมหาสะท้อนไม่ได้ห้าม ในเมื่อไม่ได้ห้าม บรรดาลูกศิษย์พอโดนคนอื่นรังแกมาก ๆ ก็โมโห ปลุกตะกรุด เล่นเอาตายไป ๒ ศพ พระท่านเลยสั่งห้ามทำมาหลายปี เพิ่งจะมีปีนี้ที่ได้รับอนุญาตให้สร้าง

ตอนแรกบอกว่าไม่เกิน ๒,๐๐๐ ดอก อาตมากลัวว่าจะต้องตีกันตาย ต่อรองจนถึง ๓,๐๐๐ ดอก แต่ว่าจะไม่ปล่อยให้เริงร่าหน้าบานไปมากนัก เพราะว่ามีหลายท่านเตรียมตุนไว้เก็งกำไร จะปิดการจองสิ้นเดือนนี้ เหลือเท่าไรไม่ต้องมาง้อ ขึ้นราคาแน่นอน..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 08:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 02-04-2015, 07:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานวันนี้เกิดจากดำริของอาตมาที่ว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษาแล้ว ควรจะทำอะไรเป็นการถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน ก็พอดีว่าได้ทำสมเด็จองค์ปฐมขนาด ๙.๙ นิ้วอยู่ จึงขอให้ช่างช่วยทำแบบเผื่อหล่อองค์ด้วยเนื้อเงินแท้ทั้งองค์ ปรากฏว่าช่างสามารถจัดการได้และโยกย้ายเอาเตาหลอมมาในสถานที่นี้เลย ต้องขออภัยญาติโยมที่สถานที่คับแคบไปหน่อย เดี๋ยวพอบวงสรวงแล้วก็จะทำการหล่อพระเลย

วันนี้หลวงพ่อพระครูวิจารณ์วิหารกิจ วัดสุขุมาราม หรือที่เราเรียกว่า หลวงพ่อพระครูสุรินทร์ เมตตามา ถ้าถามว่าหลวงพ่อพระครูสุรินทร์เป็นใคร ? ก็ต้องบอกว่า ท่านพระครูสมุห์พิชิต ท่านเจ้าคุณภาวนากิจวิมลและพระใบฎีกาประทีป
ที่เราเรียกง่าย ๆ หลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีปนั่นแหละ ก็คือลูกศิษย์ที่ท่านบวชให้

ท่านเองอายุกาลพรรษามากแล้ว วันนี้มีกิจนิมนต์มาสถานที่ใกล้เคียงก็เมตตามา เดี๋ยวสักครู่หนึ่งเมื่อทำการหล่อพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาตมาก็จะขึ้นไปรับสังฆทานต่อด้านบน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 08:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 02-04-2015, 07:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"วันนี้หลวงพ่อพระราชวรเวที ประธานการเจริญพระพุทธมนต์ท่านมีภารกิจต้องบวชสามเณร เพื่อถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีด้วย ท่านจึงขอว่า ขอเจริญพุทธมนต์ตอน ๙ โมงเช้าได้ไหม ? คือไม่อยากจะทิ้งพวกเรา แต่ขณะเดียวกันงานของท่านก็มีอยู่ อาตมาก็เลยเลื่อนการเจริญพุทธมนต์มา ๙ โมงเช้า หลังจากเจริญพุทธมนต์เสร็จสรรพเรียบร้อย ก็จะนั่งรับสังฆทานต่อจนกว่าจะเพล แล้วถวายภัตตาหารเพลพระ

เมื่อเสร็จจากพระฉันเพลเป็นอันว่างานหมด เพราะช่วงบ่ายอาตมาจะไปวิ่งเอกสารเพื่อจบปริญญาเอก เมื่อวานสอบจบไปแล้ว ตอนนี้เป็น "หมา" ไปครึ่งตัวแล้ว ถ้าเดินเอกสารเสร็จก็แปลว่าเป็น
"หมา" เต็มตัว ตอนนี้ยังยืน ๒ ขาอยู่ อีกไม่กี่วันจะต้องยืน ๔ ขาเป็นด็อก (เตอร์) แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 08:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 02-04-2015, 11:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ความจริงทางมหาวิทยาลัยเขาแนะนำว่า “อาจารย์พระครูทำงานไว้เยอะ ส่งประวัติไปขอกิตติมศักดิ์ก็ได้” แต่อาตมารู้สึกว่าดูถูกตัวเองเกินไป ในเมื่อเราเรียนเก่งออกอย่างนี้ เรียนเองก็ได้ เรื่องอะไรต้องไปง้อเขา

เรียนหนังสือตอนอายุมาก ๆ ได้เปรียบ เพราะว่ามีความรับผิดชอบสูง ถ้าตอนวัยรุ่นนี่ไม่ค่อยใส่ใจหรอก ถือว่าเรียนเก่ง อ่านหนังสือบ้างไม่อ่านบ้างก็ทำได้อยู่แล้ว แต่ตอนแก่ ๕๐ กว่านี่ไม่ไหว เพราะสมองไม่ค่อยแล่นแล้ว ของที่เคยอ่านครั้งเดียวจำได้หมด ตอนนี้ต้องอ่านตั้ง ๗-๘ รอบ แต่ที่เมื่อวานสอบจบแล้วผลออกมาดีมาก เพราะว่าคลำวิทยานิพนธ์เล่มนี้มาเป็นปีแล้ว จำได้เกือบทุกบรรทัด เวลาอาจารย์ท่านถามก็บอกได้ว่าอยู่หน้าไหน อาจารย์เปิดหาแล้วประทับใจมาก

ตอนสมัยปริญญาโท คนที่สอบก่อนอาตมาโดนไปเป็นชั่วโมง อาตมาสอบ ๑๕ นาที แล้วอาจารย์ท่านชมว่า “มีการเตรียมพร้อมดีมาก ควรจะเป็นตัวอย่างแก่นิสิตทุกรูป” พอถึงเวลาคนอื่นยับเยินออกมา ท่านก็บอกให้มาดูตัวอย่างที่อาตมา อาตมาก็ยืนยันว่าไม่ได้เรียนเก่ง แต่ว่าไม่กลัวอาจารย์ ก่อนที่จะสอบอาตมาวิ่งหาอาจารย์ ทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาและที่สนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว ให้ช่วยดูและแก้วิทยานิพนธ์มา ๑๘ รอบ เฉพาะต้นฉบับที่ต้องชั่งกิโลขายนี่สูงเกือบท่วมหัว

ปริญญาเอกก็เหมือนกัน ถึงเวลาก็วิ่งหาอาจารย์ วิ่งหาจนกระทั่งสมุดคู่มือนิสิตที่มีช่องให้ท่านอาจารย์เซ็นอยู่ทั้งหมด ๑๐ ช่องด้วยกัน ว่าไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาเมื่อไร แก้ไขเรื่องอะไร ต้องทิ้งเอาไว้ท้ายสุด ๑ ช่องเพื่อตอนสอบจบ เนื่องจากว่าใช้หมดช่องไปตั้งแต่แรก ๆ แล้ว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2015 เมื่อ 14:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 02-04-2015, 13:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ถึงได้ยืนยันว่า ถ้าอยากเก่งต้องอย่ากลัวอาจารย์ อย่างที่โบราณท่านบอกว่า อายครูบ่รู้วิชา ฉะนั้น..ไม่ต้องอาย ไปกี่ครั้งเราก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเท่านั้นครั้ง คนเราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง ผู้ที่เก่งครบถ้วนทุกเรื่องมีท่านเดียว คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่พระอรหันต์ท่านก็ยังเก่งเป็นด้าน ๆ อย่างเช่น พระสารีบุตรเป็นเลิศทางปัญญา พระโมคคัลลาน์เป็นเลิศทางมีฤทธิ์ พระอนุรุทธเป็นเลิศทางทิพจักขุญาณ เป็นต้น ดังนั้น..ในเมื่อเราไม่ได้เก่งทุกด้าน ก็อย่าไปกลัวอาจารย์ ต้องวิ่งหาตลอด และมั่นใจว่าลูกศิษย์คนไหนที่วิ่งหา อาจารย์ท่านจะรักมาก โดยเฉพาะถ้าสั่งแล้วได้อย่างใจ

ของอาตมาเองการตรวจรอบสุดท้ายโดยผู้อำนวยการหลักสูตร คือ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ทั่งโต ท่านตรวจแล้วท่านพูดอยู่ประโยคหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้สึก ท่านบอกว่า “ผมชอบใจท่านอาจารย์พระครูตรงที่ว่า บอกอย่างไรก็เขียนได้อย่างนั้น แก้ได้อย่างนั้น” ตอนนั้นที่ไม่เข้าใจเพราะว่ารู้สึกเป็นปกติของตัวเอง แต่พอไปเจอท่านอื่นที่บอกไป ๕-๖ ครั้งแล้วแก้ไม่ได้ แก้ไม่สำเร็จ ถึงได้เข้าใจว่าที่ท่านอาจารย์พูดว่าแปลว่าอะไร แปลว่าบอกไปแล้วเขาไม่เข้าใจว่าท่านอาจารย์ต้องการแบบไหน ก็ทำไม่ได้อย่างที่ท่านอาจารย์ต้องการ

เราอย่าไปอวดว่าเรามีความรู้ อย่าไปอวดดีกับอาจารย์ เพราะว่าท่านมีความชำนาญมากกว่า ฉะนั้น..ขอให้ฟังแล้วแก้ไขตามท่าน ถ้าไม่เข้าใจก็สารภาพไปตรง ๆ ว่าไม่เข้าใจ ท่านจะให้คำแนะนำเอง อาจารย์บางท่านอย่าง รศ.ดร.อภินันท์ จันตะนี บางคนถ้าท่านบอกแล้วลำบากนัก ท่านก็ช่วยเขียนให้เลย ท่านอาจารย์อภินันท์มาจากนิด้า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-04-2015 เมื่อ 14:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 03-04-2015, 05:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า “คำว่า พระเดชพระคุณ ที่ใช้กับพระ ท่านให้ใช้กับพระที่มีสมณศักดิ์ตั้งแต่ชั้นราชขึ้นไป แต่ถ้าเป็นสมเด็จพระราชาคณะสุพรรณบัฏ ท่านใช้คำว่า พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณ ถ้าเป็นสมเด็จพระสังฆราชหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ใช้คำว่า พระเดชพระคุณท่านเจ้าพระคุณ ต่างกันแค่นี้เอง ใช้ให้ถูกด้วย ถ้าใช้ผิดแล้วจะขายหน้าเขา"

ถาม : แล้วเราต้องแทนตัวด้วยคำว่าเกล้าฯ ไหมคะ ?
ตอบ : คำว่า เกล้าฯ คือ เกล้ากระผม นั่นของพระท่านใช้ จะแทนด้วยคำว่าเกล้าฯ ก็ได้ กระผมก็ได้ แต่ถ้าเป็นสมเด็จพระราชาคณะสุพรรณบัฏใช้คำเรียกแทนองค์ท่านว่า “ใต้เท้า” ถ้าสมเด็จพระสังฆราชใช้คำว่า “ฝ่าพระบาท”
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2015 เมื่อ 07:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว