กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-05-2019, 23:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,039 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปกิณกธรรมก่อนแจกวุฒิบัตร ช่วงงานบวชเนกขัมมะสงกรานต์ปี ๒๕๖๒

ก่อนอื่นก็ขออนุโมทนากับญาติโยมทุกท่าน แทนที่จะไปเที่ยวกันก็มานั่งลำบากลำบน โดนบังคับอยู่ทุกวันให้ต้องปฏิบัติธรรม ใครจะเข็ดหรือไม่เข็ดก็แล้วแต่ คราวหน้าปฏิบัติธรรมเดือนพฤษภาคมใช่ไหม ? เตรียมตัวมาโดนขังในศาลาต่อไป

คราวนี้สิ่งหนึ่งที่พวกเราได้ไปหรือไม่ได้ไปก็ตาม คือการปฏิบัติธรรมช่วงเช้า อาตมาเริ่มปฏิบัติธรรมแบบทุ่มเทจริงจังชนิดมอบกายถวายชีวิตตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ปีนี้ ๖๐ ปีถ้วน ๔๔ ปีผ่านไปคือสิ่งที่สอนพวกเราเมื่อเช้านี้ ไม่ว่าจะกรรมฐาน ๔๐ สติปัฏฐาน ๔ อยู่ในนั้นหมด มีทั้งรูปฌาน อรูปฌาน มีทั้งกสิณ มีทั้งทิพจักขุญาณ ปนอยู่ในที่เดียวกันหมด

แม้กระทั่งสิ่งที่ยากสุด ๆ อย่างเช่นในเรื่องของพรหมวิหาร ๔ ก็อยู่ในนั้น อาตมายืนยันว่าที่ปฏิบัติมาในกรรมฐาน ๔๐ ส่วนที่ยากที่สุดคือพรหมวิหาร ๔ กับอรูปฌาน ๔ เมื่อเช้าได้สอนพวกเราไปแล้ว หาให้เจอก็แล้วกันว่าอยู่ตรงไหน ถามว่าสอนแค่ครั้งเดียวกรรมฐาน ๔๐ กองเลยหรือ ? ถ้ามีมากกว่านั้นก็...คงจะใส่ไปมากกว่านั้น


ถ้าอยากเก่ง อยากดี อยากมีฤทธิ์ อยากมีเดช อยากมีทิพจักขุญาณ อยากเห็นผีเห็นเทวดา อยากเห็นหวย ก็ไปทำตามที่บอก ทุกอย่างอยู่ในนั้นหมดแล้ว ๔๔ ปีผ่านไปสรุปลงมาเหลืออยู่เท่านั้น อาตมามั่นใจว่าทั่วประเทศปัจจุบันนี้ไม่มีใครสอนได้ เพราะว่าส่วนใหญ่ทำกรรมฐานกองเดียวก็เกือบตายแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2019 เมื่อ 03:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-05-2019, 00:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,039 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ใครก็ตามที่ตื่นสาย..ขาดทุนยับเยิน ใครที่ตื่นแล้วไม่มา ยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ เมื่อเช้าเดินไปดู เห็นนอนผึ่งพุงอยู่ในศาลา อยู่ในห้องสมุด นอนอยู่หน้าตู้หนังสือ...ปล่อยเขาไป คนเราไม่อยากได้ดี เราก็ไม่ควรที่จะไปบังคับ

สิ่งที่ท่านทั้งหลายควรจะได้จากวัดท่าขนุน อาตมามีเท่าไรก็ให้แค่หมด ไม่เคยปิดบัง แต่ระยะเวลาในการปฏิบัติจะต้องยาวนานพอ เพราะว่าอย่างน้อยต้องวางพื้นฐานใน ๒ วันแรกให้เรามีความเคยชิน วันท้าย ๆ ถึงจะได้เทที่เหลือลงไปได้

คราวนี้ส่วนหนึ่งที่พึงจดจำก็คือว่า การกำหนดภาพพระอย่าเพิ่งเอาความชัดเจน ให้มั่นใจว่ามีพระอยู่กับเราก่อน เห็นหรือไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ภาพพระจะชัดเจนแจ่มใส ก็ต่อเมื่อสมาธิของเราทรงตัวมากขึ้น ความสว่างไม่ต้องไปสนใจว่าสว่างมาก สว่างน้อย ขอให้เรารู้สึกว่าพระสว่างขึ้นก็ใช้ได้

ที่แน่ ๆ คือ อย่าเผลอใช้สายตามอง เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไรทิพจักขุญาณจะใช้ไม่ได้ ถามว่าทำไมถึงใช้ไม่ได้ ทิพจักขุญาณเป็นการส่งใจออกจากกาย ไปถึงที่ไหนก็เห็นที่นั้น พอเราใช้สายตามอง การนึกถึงตาก็คือนึกถึงตัว ก็คือดึงจิตกลับ ในเมื่อเราไม่อยู่ตรงนั้นแล้วจะไปเห็นอะไร ?

ท่านใดที่เคยฝึกมโนมยิทธิมา จะเจอกับปัญหานี้ทั้งนั้น ก็คือทำไมภาพมา ๆ หาย ๆ ? แต่ตัวเองไม่เคยรู้เลยว่าหายเพราะอะไร เพราะว่าเราเผลอไปใช้สายตา นึกถึงตาคือนึกถึงตัว นึกถึงตัวคือดึงจิตกลับ แล้วถ้าใช้สายตาเพ่งมาก ๆ
หลังจากเลิกปฏิบัติไปแล้วก็จะปวดหัวมากอีกด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2019 เมื่อ 03:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-05-2019, 20:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,039 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนที่ท่านทั้งหลายได้ไป สิ่งสำคัญที่สุดก็คือรักษาอารมณ์ใจไว้ให้ได้...ไม่เหลือแล้ว แม้กระทั่งพระ เหลือท่านสรวิชย์อยู่คนเดียวที่ยังประคองอารมณ์อยู่ได้ นอกนั้นก็หลุดเกลี้ยงแล้ว คิดว่าหลวงพ่อไม่รู้..ปล่อยมันไป

ทำอย่างไรที่เราจะรักษาใจของเราให้นิ่ง ให้สงบจาก รัก โลภ โกรธ หลง ได้เท่ากับตอนที่เรานั่งอยู่ ? ก็คือต้องใช้สติประคับประคองด้วยความระมัดระวัง จะขยับ จะลุก จะนั่ง กำหนดใจให้แน่วแน่อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายก่อน

ถามว่าส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้หรือ ? ขอยืนยันว่าได้ ไว้ที่หัวแม่ตีนก็ได้..! แต่ให้อยู่ที่เดียว แล้วเราค่อยขยับ จิตจะไม่เคลื่อน สมาธิจะไม่ตก แต่ด้วยความไม่เคยชิน พอเผลอก็ทำหล่นหายอีก ก็ต้องซักซ้อมกันบ่อย ๆ ใหม่ ๆ ทำได้ ๓ นาที ๕ นาที อาตมาก็ดีใจตายชักแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2019 เมื่อ 20:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-05-2019, 20:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,039 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ครั้งแรกในชีวิต สมัยนั้นอยู่ประมาณพรรษาที่สอง ที่บวชอยู่วัดท่าซุง เดินบิณฑบาตสายใต้ประมาณ ๒.๕ กิโลเมตร เดินไปกลับราว ๆ ๕ กิโลเมตร วันแรกที่ประคองใจตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากวัดจนกระทั่งเดินกลับได้ โดยไม่หลุดไปที่อื่นเลย มีความสุขมาก เริ่มมั่นใจว่าเราพอจะมีกำลังสู้กิเลสได้ ไหวไหม ๕ กิโลเมตร ?

บรรดาสาว ๆ ที่มาใส่บาตรแต่ละคนก็เมตตาเหลือเกิน พระไม่ค่อยได้เห็นอะไรก็เปิดนั่นเปิดนี่ให้ดูไปเรื่อย
เชื่อเถอะ..สมาธิหลุดหมด..! ก็แปลว่าเราต้องประคับประคองกำลังใจของเรา ให้อยู่กับเราในลักษณะเดียวกับตอนที่นั่ง ให้นานที่สุด แต่อย่าเผลอนะ

ใหม่ ๆ อาตมาประคองอยู่ได้ ๒ เดือนกว่า คิดว่าลอยลำแล้วกู จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง อารมณ์ใจนิ่งสนิทเท่ากับตอนที่ทำกรรมฐาน คิดว่าเราน่าจะเห็นหน้าเห็นหลังอะไรแล้ว
เผลอหน่อยเดียวร่วงไม่เป็นท่าเลย ประมาทหน่อยเดียวโดนเตะร่วงตอนไหนก็ไม่รู้

หลังจากนั้นมีสาหัสกว่านั้นอีก บางที ๓ ปีผ่านไป สภาพจิตนิ่งสนิท กิเลสสักตัวก็ไม่เกิด กูน่าจะบรรลุแล้ว..!? มารู้ตัวอีกทีอยู่ก้นเหว..! ทั้ง ๆ ที่ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เหมือนกับทางเดินค่อย ๆ ลดลงทีละมิลลิเมตร ไม่รู้ตัวเลย มองกลับไปอีกทีอยู่ก้นเหวแล้ว ๓ ปีเต็ม ๆ หลอกเราลงก้นเหวจนได้

พวกเราไม่ได้ทำขนาดนั้น ไม่ได้ทุ่มเทชนิดมอบกายถวายชีวิตแบบนั้น โอกาสจะชนะจึงมีน้อย เพียงแค่ว่าเราประคองอารมณ์ใจของเราให้อยู่กับตัวให้นานที่สุด อย่าให้หล่นหายไปง่ายนัก แล้วการปฏิบัติเราจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นบางคนทำมาหลายสิบปี ถามว่าทำไมไม่ก้าวหน้าสักที ? ก็ไม่เคยรักษาอารมณ์ใจได้เลย แล้วจะไปก้าวหน้าได้อย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2019 เมื่อ 20:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-05-2019, 20:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,039 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แรก ๆ ก็คือกดกิเลส เมื่อกดกิเลสได้ก็ค่อย ๆ ขัด ค่อย ๆ เกลา ค่อย ๆ ละ ค่อย ๆ เลิก แค่กดกิเลสยังกดไม่อยู่ แล้วจะไปชนะได้อย่างไร ?

ฝากพวกเราเอาไว้ว่า สิ่งที่ได้รับไปจากที่นี่ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับความขยันหมั่นเพียรและปัญญาของพวกเราเอง เมื่อรับไปแล้วพยายามเอาไปใช้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รักษาอารมณ์ใจของเราให้ผ่องใสจากกิเลสให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

อย่าไปใส่ใจคำพูดของคนรอบข้าง ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม ถ้าเราทำดี ทำถูก ก็ไม่มีทางที่จะชั่วไปได้ แต่ถ้าเราทำไม่ดี ทำไม่ถูก เขาสรรเสริญให้ตาย เราก็ยังชั่วอยู่ดี อย่าเอาคำพูดของคนอื่นเป็นประมาณ ตั้งหน้าตั้งตารักษาความดีของเราเอาไว้

ที่สำคัญ เรารักษาศีล ๘ เป็นเครื่องเอื้อต่อการปฏิบัติธรรมมากที่สุด ถ้าเป็นไปได้ให้รักษาต่อไปจะได้ไม่อ้วน..! เกี่ยวกันหรือเปล่า ? ถ้าเป็นไปได้ให้รักษาต่อไป เพื่อจะได้สนับสนุนการปฏิบัติของเราให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น แต่ถ้าไม่ไหว..อยากกินจริง ๆ ก็ลดลงมาเหลือศีล ๕ ต่ำกว่า ๕ ไม่ได้ ต่ำกว่า ๕ เมื่อไรความเป็นคนมีไม่พอ โอกาสเกิดในอบายภูมิจะมีสูงมาก


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมก่อนแจกวุฒิบัตร
ช่วงบวชเนกขัมมะวันสงกรานต์ปี ๒๕๖๒ ณ วัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2019 เมื่อ 21:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:34



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว