กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 05-10-2010, 00:26
โอรส's Avatar
โอรส โอรส is offline
นายทะเบียน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 897
ได้ให้อนุโมทนา: 37,411
ได้รับอนุโมทนา 206,452 ครั้ง ใน 3,180 โพสต์
โอรส is on a distinguished road
Default ต้องพิจารณาร่างกายจนเห็นตามความเป็นจริง

ถาม : จะพิจารณาร่างกายอย่างไร เพื่อให้เห็นสภาพตามความเป็นจริง ?
ตอบ : ต้องพิจารณาร่างกายให้เห็นสภาพตามความเป็นจริง ๔ อย่างคือ ประกอบด้วยดิน ด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ เป็นปกติอย่างนั้น

ส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ ต้องได้ คือธาตุดิน มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ ปอด อวัยวะภายในภายนอกใหญ่น้อยทั้งหลายทั้งปวง

ส่วนที่เหลวไปไหลมาได้ เรียกว่า ธาตุน้ำ คือ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เหล่านี้เป็นต้น

ส่วนที่พัดเคลื่อนไปมาในร่างกาย เรียกว่าธาตุลม ก็คือ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมที่อยู่ในท้องในไส้ ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย ที่เรียกว่าความดันโลหิต

ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกาย เรียกว่า ธาตุไฟ ได้แก่ ไฟธาตุที่ช่วยสันดาปย่อยอาหาร ไฟธาตุที่กระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ไฟธาตุที่เผาผลาญร่างกายของเราให้ทรุดโทรมลง เป็นต้น

พอลักษณะ ๔ อย่างนี้ แยกออกมา ต่างคนต่างอยู่ กองนี้เป็นดิน กองนี้เป็นน้ำ กองนี้เป็นลม กองนี้เป็นไฟ เราจะเห็นชัดเลยว่าไม่มีส่วนไหนเป็นเรา เป็นของเราเลย

แต่ถ้าเอา ๔ ส่วนนี้รวมกันเข้าไปใหม่ ขยำ ๆ ปั้นขึ้นมา ใส่หัว หู หน้าตาลงไป ทันทีที่จิตคือตัวเราเข้าไปจับ เราก็ไปยึดว่า ร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา เพราะฉะนั้น สภาพแท้จริง ๔ อย่างคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม นี้ มีให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไป วัตถุทั้งหลายเหล่านี้ เรายืมโลกมาใช้แค่ชั่วคราว

มารยาทของการยืม ก็ต้องดูแลรักษาให้ดี เขาหิวก็หาให้กิน เขากระหายก็หาให้ดื่ม เขาร้อนก็หาเครื่องบรรเทาให้ เขาหนาวก็หาเสื้อผ้าให้นุ่งห่ม เขาเจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาพยาบาลไป เพื่อถึงเวลาจะได้คืนเขาไปในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะพึงมีพึงเป็น แต่ถ้าหากว่าเขาพังลงไปเมื่อใด เราก็พร้อมที่จะไปพระนิพพานของเรา อยู่กับเขาอย่างมีสติ รู้อยู่เสมอ ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

เขาเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ที่เราเป็นคนขับไปเรื่อย พอถึงเวลาเราก็ทิ้งรถคันนั้นไปเพื่อเปลี่ยนรถคันใหม่ ถ้าทำความดีไว้ ก็ได้รถยี่ห้อดี ๆ ใหม่ ๆ อย่างเช่นเทวดา เป็นพรหม หรือดีที่สุดก็เข้าพระนิพพานไปเลย ถ้าทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มาก ก็ได้รถโปเก พัง ๆ ผุ ๆ ก็อย่างเช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2015 เมื่อ 19:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 132 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ โอรส ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 05-10-2010, 00:36
โอรส's Avatar
โอรส โอรส is offline
นายทะเบียน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 897
ได้ให้อนุโมทนา: 37,411
ได้รับอนุโมทนา 206,452 ครั้ง ใน 3,180 โพสต์
โอรส is on a distinguished road
Default

ต้องมีสติรู้อยู่ตลอดเวลาว่า สภาพแท้จริงของร่างกายเป็นอย่างนี้ เสร็จแล้วก็ถามตัวเองว่า ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนอย่างนี้ มีแต่สภาพเป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอันอย่างนี้ เรายังอยากได้อีกไหม ? เรายังรัก ยังปรารถนาอีกไหม ?

ถ้าตัวเรา เรายังไม่รัก ไม่ปรารถนาอีกแล้ว เราจะไปต้องการคนอื่นไว้ทำอะไร ในเมื่อต่างคนก็ต่างเกิด ต่างคนก็ต่างเจ็บ ต่างคนก็ต่างตาย ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป ดังนั้น..เราก็ควรที่จะยึดเกาะในสิ่งที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะพึงมีพึงได้ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ก็คือพระนิพพานไว้แทน

ร่างกายนี้เราอาศัยอยู่เพื่อประกอบความดีเท่านั้น ถึงเวลาถ้าตายลงไป เราขอไปพระนิพพาน ให้ตั้งใจไว้อย่างนี้ แล้วพยายามพิจารณาดูบ่อย ๆ

แรก ๆ เราบอกร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรานั้น จิตใจไม่ค่อยจะยอมรับ แต่ถ้าเราแยกออกเป็นส่วน ๆ อย่างนี้ แยกเข้า แยกออก แยกออก แยกเข้าอยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งเห็นชัดเจน ก็จะยอมรับเองว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไปทีละน้อย


แรก ๆ เราต้องใส่รายละเอียดให้มากที่สุด ค่อย ๆ ดูไปทีละส่วน ๆ หลังจากที่ดูจนจิตเรายอมรับแล้ว เมื่อเราบอกว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตยอมรับเลยโดยไม่เถียงอีก โดยไม่ดื้ออีก ก็เป็นอันว่าใช้ได้

พยายามทบทวนรักษาอารมณ์นั้นไว้เรื่อย ๆ ยากไปไหม ? ไม่ยากนะ..กรรมฐาน ๔๐..แค่ปล้ำกันแทบตายเท่านั้น..!

สมัยก่อนพออาตมาทำได้ครั้งหนึ่ง ก็วิ่งไปอวดหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านครั้งหนึ่ง หลังจากที่ซ้อมอนุสติ ๑๐ จน คล่องแล้ว ไปถึงก็กราบเรียนท่านว่า "หลวงพ่อครับ ตอนนี้อนุสติ ๑๐ ของผมสามารถไล่อารมณ์เต็มได้ภายในครึ่งชั่วโมง" หลวงพ่อบอกว่า "ยังใช้ไม่ได้ลูก..สมัยที่พ่อทำอยู่ กรรมฐาน ๔๐ กอง ถ้าต้องใช้เวลาถึง ๒ นาทีนี่แย่มากแล้ว..!"

โอ้โฮ...เรา ๑๐ กอง ใช้เวลา ๓๐ นาที ถ้า ๔๐ กอง ท่านบอก ๒ นาทีนี่แย่มากแล้ว มาตอนหลังพอไล่ไปไล่มา อ๋อ..จริงของท่าน ถ้าเราต้องการจะทำในลักษณะที่หลวงพ่อว่าจริง ๆ ก็ตั้งอารมณ์ขึ้นมาให้ทรงฌานสูงสุดเท่าที่เราทำได้ เสร็จแล้วก็แค่เปลี่ยนกอง เปลี่ยนวิธีคิดนิดเดียวเอง อารมณ์ใจนั้นเต็มอยู่แล้ว ฉะนั้น ๒ นาทีคิด ๔๐ อย่างนี่ จัดว่าช้ามากเลย


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2015 เมื่อ 19:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ โอรส ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:36



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว