กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-06-2010, 14:47
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default ปัญญาทางโลก กับปัญญาทางธรรม

ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรม
ในพุทธศาสนาต่างกันอย่างไร

ปัญญาทางโลก ไม่มีศีลเป็นตัวคุม จึงเป็นปัญญาแบบมือใครยาว สาวได้สาวเอา หรือปัญญาแบบตัวใครตัวมัน ไม่ต้องคำนึงหรือนึกถึงศีลธรรม แบบคนฉลาดที่ขาดศีลธรรม เอาเปรียบคนที่โง่กว่าตน จึงเป็นการกระทำที่เบียดเบียนผู้อื่นอยู่เสมอ ทำให้โลกวุ่นวาย มีปัญหาอยู่เสมอ

ส่วนปัญญาทางธรรม ในพระพุทธศาสนามีข้อบังคับ หรือข้อบ่งชี้ชัดเจนว่า จะต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากสมาธิ อันมีศีลเป็นเครื่องควบคุม จึงจะเป็นสัมมาปัญญา หรือปัญญาที่ถูกต้องทางพุทธ หรือจะพูดว่าปัญญาทางโลก เป็นเพียงแค่สัญญาหรือความจำก็ได้


คำสอนของพระองค์ที่รวบรวมไว้มีอยู่ ๘๔,๐๐๐ บท (วิธี) แยกเป็นหมวดใหญ่ ๆ ๓ หมวด คือ


๑. กล่าวถึงพระวินัย หรือกฏข้อบังคับต่าง ๆ ๒๑,๐๐๐ บท ซึ่งพระองค์ก็เริ่มต้นด้วยศีล


๒. กล่าวถึงพระสูตรต่าง ๆ ๒๑,๐๐๐ บท ซึ่งพระองค์ก็เริ่มต้นด้วยศีล


๓. กล่าวถึงพระอภิธรรมต่าง ๆ ๔๒,๐๐๐ บท ซึ่งพระองค์ก็เริ่มต้นด้วยศีล

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 30-06-2010 เมื่อ 08:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 30-06-2010, 08:20
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น ทางพุทธศาสนาจึงยกเอาศีลเป็นแม่ของพระธรรม หรือเป็นมารดาของพุทธศาสนา

ดังนั้น หากใครจะเอาดี รู้ดี เข้าใจดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทางพุทธศาสนาแล้วก็ต้องเริ่มต้นจากการรักษาศีล มีศีลคุมใจไว้ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อกันไม่ให้มันคิดชั่ว พูดชั่ว และทำชั่ว เปรียบเหมือนจับเสือ ซึ่งเป็นสัตว์ดุร้ายไว้ใจอะไรไม่ได้ หากจะฝึกมัน อบรมมันให้เชื่อง ก็จำเป็นต้องจับมันใส่กรงให้ได้ก่อน กันมันออกไปอาละวาดทำร้ายผู้อื่นเขา เมื่อจับเสือใส่กรงได้ แต่เสือไม่ตาย ยังดุร้ายอยู่ก็ตาม แต่ก็หมดสิทธิ์ที่จะออกไปทำร้ายผู้อื่นเขา

ใจคนที่ยังไม่ได้อบรมก็เหมือนกัน ต้องคุมไว้ด้วยศีล แม้จะคิดชั่วโดยเจตนาหรือไม่เจตนา (เผลอ) ก็ตาม มันก็ชั่วอยู่แค่ความคิด แต่ไม่ยอมให้ความชั่วล้นออกไปนอกใจ ไหลไปสู่วาจาชั่ว และทำชั่วทางกายได้ การปฏิบัติเขาทำกันเป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้

เมื่อสามารถควบคุมกายและวาจาได้ดีแล้ว อาการเผลอใจที่คิดชั่ว ก็จะน้อยลง ๆ ตามลำดับ จนที่สุดอาการเผลอก็ไม่มี หรือมีก็ดับอารมณ์นั้น ๆ ได้ไม่ยาก ดับได้โดยฉับพลัน ที่เขาใช้ศัพท์ว่า เกิด-ดับ ๆ ๆ เกิดอะไร ก็เกิดอารมณ์ชั่วที่ใจนั่นเอง ดับอะไร ก็ดับอารมณ์ชั่วของตนนั่นเอง เกิดที่ไหน ก็เกิดที่ใจเรา ไม่ใช่เกิดที่ใจผู้อื่น

เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนให้เราดับที่ใจของเราเช่นกัน ห้ามไม่ให้ไปดับที่ใจผู้อื่นเขา หรือเกิดที่ไหนให้ดับที่นั่น เกิดที่ใจเราก็ดับที่ใจเรา พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้

แต่พวกที่ยังไม่เข้าใจ แต่พยายามสอนชาวบ้านหรือผู้อื่นเขา ให้ดับไฟที่อยู่ภายนอกตน หรือแก้ไขปัญหาที่ผู้อื่น ซึ่งเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับพระพุทธเจ้าสอน เขาเหล่านั้นจึงทำไม่สำเร็จ เหตุผลก็เพราะเขาค้านพระพุทธเจ้า เดินสวนทางกับพระองค์ ยิ่งทำจึงยิ่งยุ่ง ยิ่งมีปัญหา เมื่อไม่มีผล เขาก็โทษชาวบ้าน โทษผู้อื่นว่าเลว ไม่ดี โง่ พูดไม่รู้เรื่อง

แต่โดยธรรมแล้ว ท่านลองคิดดูดี ๆ ท่านก็จะพบความจริงเองว่า ใครเป็นคนโง่กันแน่ (ตัวอย่างปัจจุบันก็คือพวกที่กำลังประท้วงฝ่ายตรงข้ามที่มีความคิดเห็น (ทิฏฐิ) ไม่เหมือนกับตนด้วยวิธีการต่าง ๆ เป็นการทำตนเองให้เดือดร้อนก่อน แล้วจึงทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หากเกิดตายในขณะนั้น ก็ไปสู่อบายภูมิ ๔ ทุกคน)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-07-2010, 08:50
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น การดูทีวี การฟังวิทยุ การอ่านหนังสือธรรมะ จึงมีผล ๒ อย่าง คือ

๑. ได้ประโยชน์ ได้ความสุข ได้พระธรรม หรือได้ขนมหวานไปบริโภค ถ้าผู้แสดง ผู้พูด ผู้เขียน รู้จักพระธรรม ตามความเป็นจริง หรือเป็นสัมมาทิฏฐิ หรือมีความคิดเห็นตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้สอนไว้

๒. ไม่ได้ประโยชน์ ได้แต่ความทุกข์ ได้แต่ธรรมที่เป็นอกุศล หรือของปลอม หรือได้ยาพิษไปบริโภค เพิ่มทุกข์ เพิ่มโทษให้กับตนทุกครั้งที่ดู ที่ฟัง ที่อ่าน เพราะเขาแสดงแต่สิ่งที่ไร้สาระ ให้ยาพิษแก่ผู้ดู ผู้ฟัง ผู้อ่านตลอดเวลา เนื่องจากเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ

มีความเห็นตรงข้ามกับที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ และยังค้านคำสอนของพระองค์ด้วย โดยใช้คำพูดที่เต็มไปด้วยโวหาร ใช้สำนวน ใช้คารมฝีปากกล้า ขาดความละอาย น้อมใจให้ผู้ดู ผู้ฟัง ผู้อ่านเชื่อตามเขา เพราะเขารู้ดีว่าในโลกนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด

ต้นเหตุก็เพราะเขาคิดผิด หลงผิด หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ จึงยังผลให้ความชั่ว ความหลงผิดอีก ๗ อย่างเกิดขึ้นกับใจของเขา คือ มีความดำริไปในทางที่ผิด มีวาจาที่ผิด มีการงานหรือแนะนำให้ผู้อื่นกระทำในทางที่ผิด หาเลี้ยงชีพในทางที่ผิด ทำความเพียรไปในทางที่ผิด มีสติระลึกแต่สิ่งที่ผิด และจิตเขาก็ตั้งมั่น ยึดมั่นอยู่กับสิ่งที่ผิด เพราะหลงผิดตั้งแต่ต้นว่าเขาทำถูก
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 02-07-2010, 12:22
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หมายเหตุ ที่ว่าผิดนั้น หมายความว่า ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ เพราะโดยปกตินั้น พวกเราทุกคนที่เกิดมานี้เป็นคนโง่ ยังไม่หมดโง่ จึงต้องมาเกิดอยู่ ตราบใดที่พวกเรายังไม่หมดโง่ เราก็ยังต้องเวียนมาเกิดอยู่อย่างนี้ เพื่อพิสูจน์ความโง่ของตนเองจนกว่าจะหมดโง่

สันดานของคนโง่นั้น ๑๐๐% ย่อมต้องอวดดี อวดฉลาดอยู่เป็นธรรมดา เพราะใจเรายังตกอยู่ในอำนาจของกิเลส จึงถูกกิเลสมันบังคับให้คิด ให้พูด ให้ทำตามคำสั่งของมัน

พระพุทธเจ้าท่านได้บำเพ็ญบารมีมานานแสนนาน จนถึงชาติสุดท้ายเมื่อบารมีเต็มแล้ว จึงได้ลงมาเกิดเป็นชาติสุดท้ายเพื่อพิสูจน์ความโง่เป็นครั้งสุดท้าย พระองค์ได้พิสูจน์โดยการปฏิบัติด้วยพระองค์เองอยู่ ๖ ปี จึงได้พบทางที่จะแก้ไขใจตนเองให้หมดโง่ หายโง่ก่อนผู้อื่นทุก ๆ คนในโลก เมื่อพบวิธีแก้โง่ได้ด้วยพระองค์เองแล้ว จึงได้รวบรวมวิธีแก้โง่ หรือพระธรรม หรือโมกขธรรม หรือธรรมปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ (พ้นโง่) แล้วได้พิสูจน์พระธรรมคำสอนของพระองค์ ซึ่งแสดงไว้ในปฐมเทศนา โดยสอนท่านปัญจวัคคีย์ (ฤๅษีทั้ง ๕) ให้บรรลุเป็นพระอริยเจ้าได้ (ให้หายโง่ได้) เมื่อพิสูจน์ได้แล้ว จึงได้ประกาศพระศาสนาของพระองค์ ในวันมาฆบูชาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ (ธรรมที่เป็นทางนำไปสู่ความหลุดพ้น หรือหายโง่)



ซึ่งจัดเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา มีความย่อ ๆ จำง่าย ๆ แค่ ๓ ข้อ คือ

๑. จงละความชั่วทั้งหมด
(แม้ความชั่วในอดีตก็จงอย่านำมาคิด เพราะจะทำให้จิตเศร้าหมอง)

๒. จงกระทำแต่ความดี
(อะไรที่เป็นความดีสิ่งนั้นเป็นบุญคือ ต้องไม่ขัดต่อศีลธรรม ความดีหรือชั่ว บุญหรือบาปอยู่ที่ความคิดของตนเองทั้งสิ้น)

๓. จงทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ
(เพื่อให้พ้นจากอำนาจของกิเลส)



หรือจำสั้น ๆ ว่า ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอแค่นี้ก็พอ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-07-2010, 09:22
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default


ขอชี้แจงเพิ่มเติมในการปฏิบัติ



พระองค์ทรงเน้นหัวใจของการปฏิบัติในคำสอนของพระองค์ก็คือ อริยมรรค ๘ เพราะใน ๓ เดือนสุดท้ายที่พระองค์จะปรินิพพาน (อายุครบ ๘๐ ปี) พระองค์ก็ปลงสังขารของพระองค์ในวันมาฆบูชา มีความว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอีก ๓ เดือนข้างหน้า (วันเพ็ญเดือนหก หรือวันวิสาขบูชา) พระองค์จะเข้าสู่ปรินิพพาน (ตายหรือดับสังขาร)

ใน ๓ เดือนสุดท้ายนี้ พระองค์หยุดสอน หยุดแนะนำ เรื่องพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม คงสอนแต่เพียงศีล สมาธิ ปัญญา ๓ ข้อนี้เท่านั้น (ซึ่งย่อมาจากอริยมรรค ๘ นั่นเอง) ซึ่งหากพิจารณาแล้ว ก็เหมือนกับปฏิบัติบูชา ซึ่งพระองค์ทรงต้องการให้พวกชาวบ้าน (ฆราวาส) ปฏิบัติกันมี ๓ ข้อเช่นกัน คือ ทาน ศีล ภาวนา

ตัวภาวนาแยกออกเป็น ๒ ส่วน คือ สมถะภาวนา ซึ่งก็คือสมาธินั่นเอง และวิปัสสนาภาวนาก็คือตัวปัญญานั่นเอง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 05-07-2010 เมื่อ 12:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 06-07-2010, 08:10
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ข้อพิจารณา


เมื่อเราเอาหัวใจพระพุทธศาสนา ๓ ข้อ คือ จงละชั่ว จงทำดี จงทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ กับหัวใจในการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา ๓ ข้อ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา (อริยมรรค ๘) หรือปฏิบัติบูชา ๓ ข้อคือ ทาน ศีล ภาวนา มาพิจารณาโดยธรรม เราก็จะเห็นได้ด้วยปัญญาชัดว่า ธรรมทั้งหมดนี้เข้ากันได้อย่างเหมาะสม

๑. จงละความชั่วทั้งหมด ในการปฏิบัติฝ่ายสมมุติสงฆ์ก็คือต้องมีศีล ฝ่ายฆราวาสก็ต้องมีทานกับศีล ถ้าเราไปหาพระที่ดีทุกองค์ ท่านจะให้เรารับศีล มีศีลก่อนทุกครั้ง ก่อนจะเริ่มปฏิบัติ จะเริ่มพิธีอะไรก็ตามทางพุทธศาสนาแล้ว พระที่ดีท่านจะต้องเริ่มด้วย การให้เราทำจิตใจเราให้นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงให้เรารับศีล ให้เราตั้งใจ ตั้งเจตนาของเราในปัจจุบันนั้นว่า ข้าพเจ้าขอตั้งเจตนาที่จะงดเว้นที่จะไม่กระทำความชั่ว ๕ ประการ

หากผู้ใดไม่เข้าใจพิธีทางพุทธศาสนาก็จะคุยกัน ไม่สนใจที่จะน้อมจิตให้เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ และตั้งเจตนาที่จะงดเว้นไม่กระทำชั่ว ๕ ประการ (รับศีล ๕) หากใครเข้าใจ เขาจะได้บุญ ๑๐๐% เต็ม เพราะจริยาหรือการตั้งใจให้เข้าถึงพระรัตนตรัย และศีล ๕ ข้อนั้น หากใจไม่ตั้งเจตนางดเว้นแล้ว มันก็ไม่นับเป็นศีล บุญก็ไม่เกิดกับใจ เพราะบุญ บาป อยู่ที่ใจ เกิดที่ใจ มิได้อยู่หรือเกิดนอกใจ ผู้ใดทำตามที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ได้ ผู้นั้นมีโอกาสพ้นนรกได้ตลอดกาล เพราะทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือ ปฏิปทาหรือจริยาวัตรประจำจิตของผู้เป็นพระโสดาบันโดยตรง

ผู้ไม่เข้าใจก็จะทิ้งประโยชน์ที่ตนควรได้ไปเปล่า ๆ เพราะความไม่เข้าใจ (ความโง่) จัดว่าเป็นผู้ประมาทในความตาย เพราะเวลาย่อมไม่คอยใคร แต่ผมเองขอดัดแปลงว่า “ความตายและเวลาไม่คอยใคร”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 07-07-2010, 08:22
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ในพุทธศาสนา พระองค์สอนอุบายในการปฏิบัติไว้ ๘๔,๐๐๐ วิธี เพื่อให้เหมาะกับจริตและนิสัยและกรรมของคนแต่ละคนที่มีอยู่ แต่ละคนได้สร้างกรรมหรือการกระทำไว้ในอดีตไม่เหมือนกัน ไม่เสมอกัน พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จริต รู้นิสัย รู้กรรมในอดีตของแต่ละคนแต่ละหมู่เหล่าได้อย่างดี และรู้วิธีว่าจะสอน จะแนะนำเขาอย่างไร จึงจะได้ผล และรู้ผลล่วงหน้าด้วยว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร และก็ได้ผลตามนั้นทุกครั้ง ทุกราย คุณธรรมพิเศษนี้จึงมีแต่เฉพาะพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น แต่ในปัจจุบันมีผู้ที่ไม่เข้าใจพระองค์ จึงไปคัดค้านคำสอนของพระองค์โดยตรงก็มี โดยอ้อมก็มี เช่น

ก. สอน-แนะ-พูด-เขียน ความว่า เทวดาไม่มี พรหมไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี และคนตายแล้วสูญ เป็นต้น

ข. พระพุทธเจ้า ไม่มีฤทธิ์อะไรหรอก ที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎกนั้น เป็นธรรมาธิษฐาน คือตีความหมายเป็นธรรมว่า อย่างนั้น อย่างนี้ ด้วยธรรมะของตน อันเป็นธรรมที่เกิดจากจิตของคนที่ยังมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม (อวิชชา หรือความโง่) ซึ่งล้วนเป็นธรรมที่เป็นอกุศลทั้งสิ้น เพราะจิตเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้น ความคิด วาจา (คำพูด) และการกระทำของเขาจึงผิดหมด ตรงข้ามกับพระพุทธเจ้าทั้งหมด หากใครเชื่อเขาก็ต้องรับกรรมหรือโง่ตามเขาไปด้วย ความจริงคิดง่าย ๆ เพียงตั้งคำถามตนเองว่า ระหว่างพระพุทธเจ้ากับผู้พูดนั้น ๆ ซึ่งยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า เราควรจะเชื่อใคร หรือผู้ที่คัดค้านพระพุทธเจ้านั้น เขาก็เท่ากับคัดค้านพระธรรม ซึ่งเท่ากับเขาไม่เคารพในพระพุทธเจ้า เท่ากับเขาเป็นคนนอกศาสนาพุทธโดยแท้ เพราะสิ่งที่เรากำลังพูด กำลังปฏิบัติกัน เราพูดกันถึงพุทธศาสนา (คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงต้องยึดเอาคำสอน คำพูดของพระองค์เป็นหลักประพฤติและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้น ผลหรือมรรคผลย่อมไม่เกิด)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 07-07-2010 เมื่อ 08:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 07-07-2010, 08:24
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ขอสรุปว่า ทานเป็นสิ่งที่เราทำได้ง่ายที่สุด เพราะใช้กำลังใจหรือบารมีเล็กน้อยก็ทำทานได้ ทานมีผลให้เราตัดความโลภจากใจของเรา (ละความชั่ว) ได้โดยตรง ศีลใช้กำลังใจสูงขึ้นกว่าทาน แต่หากเข้าใจหรือมีปัญญาก็สามารถทำได้ไม่ยาก โดยตั้งใจที่จะงดเว้นไม่กระทำความชั่วในขณะนั้น ในขณะที่พระท่านให้ศีล เราจะชั่วหรือไม่มีศีลมาก่อนในอดีต ก็เป็นเรื่องของอดีต แต่พระองค์ให้ตั้งใจไว้ในปัจจุบันกรรม ตั้งใจจะมีศีลครบ ๕ ข้อในปัจจุบัน ในขณะนั้นผลของบุญเกิดทันทีที่เราตั้งเจตนาที่ใจเรา เราเอาบุญกันเต็ม ๑๐๐% ในขณะนั้น ส่วนในอนาคตจงอย่าไปตามนึกถึง เพราะเหตุการณ์นั้นยังมาไม่ถึง เพียงแค่มีศีลบริสุทธิ์ชั่วขณะหนึ่งเพียง ๕ นาที ๑๐ นาที หรือ ๓๐ นาที ก็ต้องนับว่าเป็นบุญใหญ่แล้ว และอย่าลืมว่าบุญจากใจเราน้อมถึง พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อีกในขณะนั้น ก็เท่ากับบุญของพระโสดาบันหรือใกล้เคียง (ในชั่วขณะนั้น)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 08-07-2010, 09:14
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default


ประการสุดท้าย เรารู้ได้อย่างไรว่าเมื่อเราทำบุญเสร็จแล้ว เราจะไม่ตาย เพราะความตายไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมายบอกเราให้รู้ล่วงหน้า เราอาจถูกงูกัดตายเมื่อเดินไปยังไม่พ้นวัด อาจหัวใจวายตาย อาจมีอุบัติเหตุตายคือ ตายได้ทุกเวลา แต่หากตายในขณะที่จิตเราบริสุทธิ์ ใกล้เคียงกับพระโสดาบัน หรือเท่ากับพระโสดาบัน เราก็ไม่มีทางตกนรก ผลใหญ่อยู่ที่จุดนี้ แต่หากมันไม่ตายก็ดี เราจะได้บำเพ็ญบารมีต่อไปจนกว่ามันจะหายโง่

พอออกจากวัด ศีลมันจะพร่องไปก็ไม่เป็นไร เวลาเราไปไหว้พระสวดมนต์ ก่อนนอนก็ดี ตอนตื่นเช้าก็ดี ก็ใช้อุบายอย่างนี้แหละ คือ อย่าลืมพุธธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ และเอาจิตตั้งเจตนาที่จะงดเว้นไม่กระทำความชั่ว ๕ อย่าง โดยไม่จำเป็นต้องอาราธนาศีล แค่จิตตั้งเจตนาต่อหน้าพระ หรือต่อพระในจิต หรือนิมิตพระในจิต ก็เป็นศีลทันที (การรับศีลหรือสมาทานศีลสักร้อยครั้ง พันครั้ง หากจิตไม่มีเจตนาที่จะงดเว้นตามแล้ว รับศีลกี่ครั้งก็ไม่เป็นศีล แต่การตั้งเจตนาที่ใจเรา ที่พระในใจเรา ตั้งใจที่ไหน เมื่อใด ก็เป็นศีลทันที)

ผู้ฉลาดมีปัญญา เวลาไหว้พระที่บ้านทุกครั้ง เขาก็น้อมเอาพระรัตนตรัยเข้าไปไว้ในใจเขา น้อมเอาพระภายนอกให้เข้าไปเป็นพระภายใน ทำศีลให้บริสุทธิ์ในช่วงนั้น การกระทำของเขา หากทำบ่อย ๆ ทุกวัน จิตเขาก็จะชินต่อความดี ชินต่อจริยาของพระโสดาบัน หรือจิตเป็นฌาน (ฌานก็คือชินนั่นเอง) ในที่สุดจิตดวงนั้นเลยกลายเป็นพระโสดาบันไปเองโดยอัตโนมัติ ผลใหญ่รางวัลใหญ่อยู่ที่ตรงนี้ (ถ้าเข้าใจ) ศีลเป็นตัวระงับความโกรธได้ในเบื้องต้น และสุดท้ายก็จะตัดความโกรธได้ในบั้นปลาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 09-07-2010, 08:26
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default


๒. จงกระทำแต่ความดี ข้อเท็จจริงในการปฏิบัติพระองค์ตรัสไว้ชัดเจนความว่า “ธรรมหรือกรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด (มีใจเป็นใหญ่) ทุกสิ่งสำเร็จได้ที่ใจ” ทุกอย่างอยู่ที่เจตนาของใจทั้งสิ้น หรือบุญ บาป ดี ชั่ว อยู่ที่ความคิดของเราเองทั้งสิ้น พระธรรมหรือธรรมะเป็นของเย็น เป็นของสงบ หากจิตไม่สงบ พระธรรมก็ไม่เกิดหรือไม่มีทางเห็นธรรม พระองค์จึงอบรมพวกเราให้มีสติ เพราะหากขาดสติ จิตใจก็ไม่สงบ สมาธิไม่เกิด ปัญญาก็ไม่มี

ดังนั้น สติ-สมาธิ-ปัญญา จึงแยกจากกันไม่ได้ ขาดตัวต้น ๒ ตัวท้ายก็ไม่มี คำสอนของพระองค์ทั้งหมด จึงเป็นอุบายให้เรามีสติก่อนทั้งสิ้น และเมื่อรวมคำสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ บทแล้ว พระองค์ก็ทรงย่อเหลือประโยคเดียว คือ “จงอย่าประมาท” หรือ “จงมีสติตลอดเวลา” นั่นเอง รายละเอียดจึงของดไว้ สรุปว่าข้อนี้ในทางปฏิบัติก็คือ

ก) ให้เรามีสติตลอดเวลา หรือมีสมาธินั่นเอง เพราะถ้าจิตดี จิตเป็นสมาธิอยู่ ความชั่วมันก็เกิดไม่ได้

ข) เมื่อเราละความชั่วของเราได้ ๑ ครั้ง เท่ากับเราทำความดี ๑ ครั้งเช่นกัน ถ้าละชั่วได้ ๑๐๐ ครั้ง ก็เท่ากับทำดี ๑๐๐ หนเช่นกัน
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 12-07-2010, 08:51
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๓. จงทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่าสมาธิหรือฌาน หรือเจริญแต่สตินั้น ยังไม่สามารถจะฆ่ากิเลสให้ตายสนิทได้ จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุผล คือ ต้องรู้ต้นเหตุของมันเสียก่อน แล้วแก้ที่เหตุ หรือดับที่เหตุนั้นให้ได้ จิตจึงจะผ่องใสอยู่เสมอ

ตัวสติ สมาธิเป็นแค่การยับยั้งกิเลสไว้ชั่วคราว ต้องใช้ปัญญาหรือวิปัสสนา หรือวิปัสสนาภาวนาเป็นตัวตัด จึงจะทำให้กิเลสตายได้ และพระองค์เป็นองค์แรกที่พบอริยสัจ ๔ ซึ่งพระองค์ประกาศว่า เป็นปัญญาสูงสุดในพุทธศาสนา และมีแต่ในเฉพาะศาสนาของพระองค์เท่านั้น

เราจะเห็นได้ชัดว่า ศาสนาทุกศาสนาในโลก มีแนวการสอนคล้ายกันหมด คือ ให้ละความชั่ว ให้กระทำแต่ความดี แต่อุบายต่างกัน และมีทิฏฐิหรือความเห็นไม่เหมือนกัน แต่ในพุทธศาสนามีข้อที่ ๓ คือ ให้ทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ เพื่อให้พ้นจากอำนาจของกิเลส หมายความว่าใช้หลักแค่ ๒ ข้อ ยังฆ่ากิเลสไม่ได้ ได้แค่ระงับไว้เท่านั้นเอง ระงับชั่วคราว จึงยังไม่พ้นโง่ (อวิชชา)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 13-07-2010, 08:05
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

รายละเอียดแห่งการเจริญปัญญามีอยู่มาก ของดไว้ จึงขอสรุปว่า

๑. จงละความชั่วทั้งหมด ด้วยการให้ทาน รักษาศีล

๒. จงกระทำแต่ความดี ด้วยการเจริญสติ สมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญา

๓. จงทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ ด้วยการเจริญภาวนา ทั้งสมถะและวิปัสสนาภาวนา ซึ่งต้องอาศัยกันและกัน เพื่อให้เกิดปัญญา ให้เห็นอริยสัจตามความเป็นจริง



และในการปฏิบัติกันจริง ๆ แล้ว เราปฏิบัติข้อ ๑ ข้อเดียว คือ ละความชั่ว ก็เท่ากับการกระทำความดีนั่นเอง เมื่อเราทำความดีอยู่เสมอเพราะไม่ยอมทำชั่ว หรือโดยการละความชั่วตลอดเวลา ทำไปนาน ๆ จิตก็ชินแต่ความดี จิตก็เลยผ่องใส หรือจะพูดว่า การละความชั่วเป็นมรรค ส่วนความดีและจิตผ่องใสนั้นเป็นผล

ใครไม่ละความชั่วที่ตน ผล ๒ ข้อหลังก็ไม่เกิด เหมือนกับคำสอนของพระองค์ทั้งหมดนั้น คือ มรรค ส่วนการกระทำ การปฏิบัติของเรานั้น เป็นตัวนำมาให้เกิดผล ถ้าเกิดผลเต็มที่เราก็พ้นทุกข์ พ้นโง่ พ้นอวิชชา พ้นวัฏฏะ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก คือ นิพพานนั่นเอง ไม่ได้สูญไปไหน หรือจะว่าสูญก็ได้ คือ สูญจากความชั่ว ความเลวทั้งหมด แต่ความดียังอยู่ครบบริบูรณ์ทุกประการ

เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่มีมรรคอยู่ในใจของตนแล้ว ได้ปฏิบัติมรรคอย่างจริงจัง ผู้นั้นย่อมเกิดผล และมีนิพพานเป็นที่สุด หรือมรรคผลนิพพานนั้นเป็นของคู่กัน แยกกันไม่ออก เหมือนกับศีล-สมาธิ-ปัญญา, สติ-สมาธิ-ปัญญา ของจริงทางพุทธศาสนาก็มีโดยย่อแค่นี้

หมายเหตุ...ส่งท้าย ท่านผู้ใดที่อ่านบทความนี้แล้ว นำไปปฏิบัติตามให้เกิดผล ท่านผู้นั้นก็มีสิทธิ์จะได้ขึ้นรถไฟเที่ยวสุดท้าย ๑๐๐% เต็ม

ในที่สุดนี้ ผมขออธิฐานจิตต่อพระพุทธองค์ว่า ในปัจจุบันนี้ข้าพระพุทธเจ้าได้มอบกายถวายชีวิตให้แก่พระพุทธองค์ และพระพุทธศาสนาของพระองค์แล้ว ๑๐๐% โดยสัจจะวาจาของข้าพระพุทธเจ้านี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านผู้อ่านบทความนี้ (แล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง) ด้วยกันทุกท่าน เทอญ
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 13-07-2010, 08:06
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๕
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว