กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์

Notices

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 18-09-2010, 12:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าจะถวายผ้าไตรจีวรในระหว่างพรรษา พระท่านจะรับได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าคนถวายสะดวกเวลาไหนก็ได้ ความจริงพระพุทธเจ้าระบุเวลาถวายจีวรเอาไว้ เรียกว่า กาลจีวร เพื่อป้องกันไม่ให้พระไปรบกวนขอชาวบ้านเรื่อยไป แต่นี่ถ้าโยมมีศรัทธาจะถวายเองก็รับเอาไว้ได้

ถาม : ถามพระท่าน เห็นท่านบอกว่าต้องไปถวายองค์อื่นต่อ
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านให้มีผ้าไตรจีวรชุดเดียว ถ้ามีมากกว่านั้นท่านให้ทำวิกัป คือ อย่างน้อยต้องมีบุคคลอื่นร่วมเป็นเจ้าของด้วย เพื่อป้องกันพระเณรจะโลภแล้วไปสะสมของเอาไว้เยอะ ๆ

จริง ๆ ถ้าอยากถวายก็ถวายไปเถอะ ท่านที่รู้ท่านก็ส่งเข้าคลังเป็นของกลาง ไม่เอาเป็นของตัวเอง ถึงเวลาใครจะใช้ก็ไปเบิกเอา ได้อานิสงส์สองต่อด้วย


ถาม : โยมไปเจอพระที่อยู่ในถ้ำ อากาศก็เย็น โยมเห็นแม่ชีนั่งชุนจีวรให้พระ โยมคิดว่าจะไปถวายท่านเพราะอากาศที่นั่นเย็น
ตอบ : หาผ้าแบบที่เป็นสังฆาฏิสองชั้น จะเป็นผ้าสำหรับพระธุดงค์โดยเฉพาะ ผ้าของพระธุดงค์บางสายหนาเป็นผ้าใบเลยก็มี ถ้าได้จีวรแบบนั้นไปกันหนาวได้แน่นอน แต่อาตมาเคยห่มจีวรสองชั้นเข้าไปไม่กี่ทีก็เข็ด เพราะหนัก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2010 เมื่อ 03:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 18-09-2010, 12:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระจะเป็นเจ้าอาวาสได้อย่างไร ?
ตอบ : จะเป็นเจ้าอาวาสได้ อย่างน้อยต้องมีพรรษาพ้น ๕ ก็คือ พอออกพรรษาที่ ๕ แล้วก็เป็นได้

ข้อที่สองต้องจบนักธรรมเอกเป็นอย่างน้อย เพื่อที่จะได้มีความรู้พอที่จะปกครองคนได้

ข้อที่สาม ต้องเป็นบุคคลที่ทั้งพระและฆราวาสในบริเวณนั้นเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจะเป็น โดยเฉพาะพระผู้บังคับบัญชาอย่างน้อย ๓ รูป กฎหมายระบุเอาไว้เลยว่า คือ เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าอาวาสในบริเวณใกล้เคียงวัดนั้นนั้น ลงความเห็นร่วมกันว่าท่านนี้ควรจะเป็น

พูดง่าย ๆ ว่า ต้องให้ชาวบ้านและพระมีความเห็นร่วมกันว่าท่านสมควรเป็น ชาวบ้านฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ พระฝ่ายเดียวก็ไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2010 เมื่อ 03:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 18-09-2010, 12:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราอยากได้ลูกน้องที่ดี ๆ เก่ง ๆ เราต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ตั้งเครื่องบวงสรวง ขอกับเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ

ถาม : ตั้งกลางแจ้งได้เลยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..เมื่อสำเร็จแล้วก็แก้บนแบบนั้นอีก ๑ ชุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2010 เมื่อ 03:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 18-09-2010, 12:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าผมต้องการเจิมรถ โดยไม่รบกวนท่าน ต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : เจิมเอง

ถาม : ใช้อะไรบ้างครับ ?
ตอบ : แป้งหอม น้ำมันหอม คาถา บวกกับสมาธิเยอะ ๆ

ถาม : แล้วน้ำมันชาตรี ?
ตอบ : น้ำมันชาตรีเจิมได้ ดีที่สุดเลย เอาอย่างนี้สิ หาวัตถุมงคลที่เรามั่นใจ อาราธนาติดรถไว้ด้วย

จริง ๆ แล้วเราสามารถเจิมเองได้ เวลาเจิมให้ตั้งใจนึกถึงภาพพระครอบตัวไว้ ว่าเป็นพระหรือครูบาอาจารย์ท่านเจิม ถ้ารู้สึกแน่น ๆ หรือของขึ้นก็ไม่ต้องแปลกใจ แสดงว่าใช่เลย ออกรถเอาสีอะไรก็ได้นะ แต่อย่าไปใช้สีดำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2010 เมื่อ 03:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 18-09-2010, 12:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เป็นพระถอนขนรักแร้ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ในพระวินัยห้ามไว้ชัดเลย

ถาม : โกนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้

ถาม : หรือต้องให้ร่วงโดยธรรมชาติ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว เกิดจากพระไปอาบน้ำที่ท่าน้ำแล้วช่วยกันถอน มีคนเขาตำหนิว่า ในเมื่อเป็นพระแล้วทำไมยังทำอาการเหมือนฆราวาสที่ยังเสพกามอยู่ พอพระพุทธเจ้าท่านทราบ ท่านก็เลยห้าม ป้องกันชาวบ้านติเตียนพระแล้วเกิดโทษแก่เขา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2010 เมื่อ 03:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 20-09-2010, 00:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ภิกษุฉันน้ำเต้าหู้ได้หรือไม่ ?
ตอบ : ภิกษุสามเณรห้ามฉัน ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลือง ไวตามิลค์ น้ำเต้าหู้ ถือว่าเป็นตระกูลเดียวกัน เพราะว่าสิ่งที่เป็นถั่วพระพุทธเจ้าท่านจัดว่าเป็นอาหาร

ท่านบอกว่าถึงทำเป็นปานะก็ไม่ควร แต่ถ้าฆราวาสถือศีลแปดกินเข้าไปเถอะ ท่านไม่ได้ห้ามหรอก เพราะท่านห้ามศีลพระไม่ใช่ศีลฆราวาส


ถาม : นมสัตว์ห้ามไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากเป็นนมข้น พระธรรมยุติจะไม่ฉัน เนื่องจากมีส่วนผสมของแป้งที่เป็นอาหารเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องพูดถึงไมโล โอวัลติน นั่นเป็นข้าวบ้าง ไข่บ้าง ยิ่งเป็นอาหารหนักเข้าไปใหญ่

นึกถึงหลวงตาบัว ท่านบอกว่าสมัยที่ท่านยังเดินธุดงค์อยู่ ไมโล โอวัลติน หน้าตาเป็นอย่างไร แค่จะฝันก็ยังฝันไม่ถึงเลย เพราะไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องพูดว่าจะได้ฉัน

ที่จะได้ฉันก็คือใบไม้ รากไม้ แก่นไม้ ที่เอามาต้มเป็นสมุนไพร โดยเฉพาะน้ำต้มบอระเพ็ด น้ำต้มใบชุมเห็ด หรือถ้าเป็นพวกผลเภสัช อย่างสมอหรือมะขามป้อมก็พอได้อยู่ แต่อย่างอื่นในป่าไม่มี

พอพูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงหลวงพี่โอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) แต่ละเดือนเมื่ออาตมาลาหลวงพ่อได้ก็จะไปธุดงค์ พอกลับมาก็มาไหว้พระผู้ใหญ่ที่อยู่ในวัด ก็คือ ไปลามาไหว้ พี่โอท่านก็ปรารภว่า "ไปธุดงค์อย่างท่านผมก็อยากไป แต่ในป่าไม่มีเนสว่ะ..!"

ท่านบอกว่า ท่านขาดกาแฟไม่ได้ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิท่านจะอธิษฐานตรัสรู้ใต้ต้นกาแฟ..! แสดงว่าเป็นเอามาก อาตมาก็เพิ่งรู้จากหลวงพี่โอนั่นแหละว่าเนสกาแฟมีทั้งฝาแดง ฝาดำ ฝาทอง ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน เพราะไม่ได้ฉัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2010 เมื่อ 02:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 20-09-2010, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่ท่านให้พร สิทธิกิจจัง แปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : สิทธิกิจจัง ขอให้การงานสำเร็จ สิทธิกัมมัง ขอให้การกระทำทุกอย่างจงสำเร็จ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง ขอให้มีลาภตลอดกาลนาน สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง ขอให้มีเดชมีอำนาจที่ยั่งยืน สัพพะสิทธิ ภะวันตุ เต ขอความสำเร็จทั้งหลายเหล่านี้จงมีแก่เธอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2010 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 20-09-2010, 00:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องศีลว่า "ในเรื่องของศีลพระ ถ้าว่ากันตามจริงแล้ว หลวงปู่บุดดาท่านบอกว่าศีล ๑๐ ก็พอแล้ว ที่เหลือนั้นเป็นศีลเอาใจชาวบ้าน เพราะชาวบ้านคิดว่าพระควรจะต้องเป็นอย่างนั้น

ถ้าเราไม่ทำตาม เขาจะตำหนิเอา หรือขาดความเลื่อมใสขึ้นมา ศาสนาก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ต้องบัญญัติศีลส่วนหนึ่งเพื่อตามใจชาวบ้าน เป็นศีลเพื่อชาวโลก ป้องกันเขากล่าวร้าย ว่าติเตียนพระสงฆ์"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2010 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 20-09-2010, 00:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าเรื่องให้ฟังว่า "พระภัททิยะศากยราชา เป็นพระราชาของแคว้นศากยะ เป็นพระญาติพระวงศ์ของพระพุทธเจ้า พอท่านมาบวชในพระพุทธศาสนา นอนกลางดินกินกลางทราย ท่านก็รำพึงว่า "อโห..สุขขัง สุขจริงหนอ"

พอพระปุถุชนได้ยินเข้าก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้า บอกว่าพระภัททิยะศากยราชาไปรำพึงถึงราชสมบัติ คงจะสึกในเวลาอันไม่นาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระภัททิยะไม่ได้รำพึงถึงราชสมบัติ แต่รำพึงถึงความสุขที่ไม่มีราชสมบัตินั้น

ตอนที่ครองราชสมบัติอยู่ จะต้องทำมาหากินทุกอย่าง จะต้องสู้รบ จะต้องดูแลประชาชน จะต้องคอยระแวดระวังว่าคนจะชิงราชสมบัติ แต่ละวันนอนไม่เต็มตาสักวัน มัวแต่หวาดผวา พอทิ้งหมดทุกอย่าง มานอนกลางดินกินกลางทราย กลับหลับสบาย ไม่มีอะไรให้ห่วง

ทำอย่างนั้นให้ได้นะ ถึงเวลาเราก็ไปตัวเปล่า อโห..สุขขัง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2010 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 20-09-2010, 11:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวถึงโลกันตนรกให้ฟังว่า "โลกันต์เขาลงโทษด้วยความเย็น เป็นนรกขุมเดียวที่อาตมาสนใจไปดู ขุมอื่น ๆ ไม่ไปหรอก เพราะว่าเคยลงมาหมดแล้ว ขาดโลกันต์ขุมเดียวยังไม่ได้ลง จึงต้องไปดู

อยากจะรู้ว่าการลงโทษด้วยความเย็นนั้นเย็นขนาดไหน ? ก็เย็นขนาดที่สัตว์นรกตกกระทบผิวน้ำแล้วป่นเป็นผงไปเลย กรอบขนาดนั้นเลย แต่ป่นเป็นผงเฉพาะส่วนของเลือดเนื้อ แต่กระดูกยังอยู่ ลองนึกถึงว่า ลำพังตัวคนก็หนาวจะแย่อยู่แล้ว ถ้าเหลือแต่กระดูกจะหนาวขนาดไหน ? เป็นรสชาติที่อธิบายไม่ได้หรอก นอกจากไปลงเสียเอง

สักพักหนึ่งเลือดเนื้อก็กลับมาใหม่ รีบว่ายตะเกียกตะกายเพื่อจะหนีขึ้นฝั่ง บางคนก็ตกอยู่ชิดฝั่งนี้ แต่มองอะไรไม่เห็น ก็ตะกายว่ายไปอีกฝั่ง กว่าจะไปถึงก็อีกไกล ร่างก็แตกกรอบไปอีกรอบหนึ่ง"

ถาม : ทำผิดอะไรนักหนาถึงโดนขนาดนี้ ?
ตอบ : ทำผิดประมาณสี่เท่าของอเวจี อย่าคิดว่าไม่มีใครทำได้นะ ตัวอย่างมี ในคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของมหายาน เขากล่าวถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่สองว่า ไม่ใช่เกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาแบบของเถรวาท

ของเถรวาทกล่าวว่า การสังคายนาเกิดจากความวิบัติของสีลสามัญตาเพราะว่าภิกษุพาวัชชีไปผ่อนผันศีลอยู่ ๑๐ ข้อ อย่างเช่นว่า สุรารสอ่อนที่มีสีแดงเหมือนเท้านกพิราบนั้นดื่มได้ ก็คือกินไวน์ได้ หรือจับต้องเงินทองได้ ฯลฯ พระยสกากัณฑบุตรจึงต้องทำการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2010 เมื่อ 15:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 20-09-2010, 11:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ทางด้านคัมภีร์เภทธรรมติจักรศาสตร์ของทางด้านสันสกฤตที่เป็นมหายาน เขาบอกว่าการสังคายนาครั้งที่ ๒ เกิดจากมติของพระมหาเทวะ ๕ ข้อ

มหาเทวะ เป็นลูกพ่อค้าเกวียน มีแม่ที่สวยมาก พ่อไปค้าขายต่างเมืองบ่อย ๆ เมื่อพระมหาเทวะโตเป็นหนุ่ม ก็เลยเป็นชู้กับแม่ตัวเอง แล้วกลัวว่าพ่อของตนเองจะรู้ พอพ่อกลับมาก็เลยฆ่าพ่อเสีย แล้วพาแม่หนีไปอยู่เมืองอื่น

พอไปอยู่ที่เมืองอื่น เจอพระอรหันต์องค์หนึ่งที่รู้จักว่าท่านเป็นลูกเต้าเหล่าใคร มาจากไหน พระมหาเทวะกลัวว่าพระอรหันต์จะบอกเบื้องหลังของตน ก็เลยฆ่าพระอรหันต์ พอฆ่าพระอรหันต์เสร็จโดนแม่ดุด่า ว่าทำไมไปสร้างอนันตริยกรรมขนาดนั้น ก็เลยฆ่าแม่ด้วย..!

ด้วยความเครียดที่ตัวเองทำสิ่งที่เป็นกรรมหนักขนาดนั้น ก็เลยคิดจะล้างกรรมโดยการหนีไปบวชในพระพุทธศาสนา พอหนีไปบวชด้วยความที่ท่านเป็นคนฉลาดมีปัญญามาก สามารถท่องจำพระไตรปิฎกได้ ลูกศิษย์ก็เลยเยอะ พออยู่ไปก็เกิดวิปลาสขึ้นมา เที่ยวไปพยากรณ์ว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระอรหันต์

ลูกศิษย์ก็บอกว่า "พระอรหันต์ท่านน่าจะรู้ทุกอย่าง แต่ทำไมผมไม่รู้ตัวว่าเป็นพระอรหันต์ แล้วทำไมอาจารย์บอกว่าผมเป็น ?" ท่านบอกว่าพระอรหันต์อาจจะมีอันญาณ คือ ความไม่รู้ได้ การจะได้มรรคผลหรือไม่ได้มรรคผลต้องมีผู้รู้พยากรณ์ให้

พอพระลูกศิษย์ท่านสงสัย พระมหาเทวะท่านก็เครียด เพราะกลัวคนจะรู้ความลับด้วย ขณะเดียวกันลูกศิษย์ก็ฉลาด มาเรียนก็ไม่ได้เรียนเปล่า ปฏิบัติไปด้วย สงสัยตรงไหนก็ไปไล่ถามและอาจารย์ก็ไม่เก่งจริง พอพระมหาเทวะเครียดขึ้นมา ก็ไปยืนรำพึงว่า "อโห..ทุกขัง ทุกข์จริงหนอ"

ลูกศิษย์พอได้ยินก็ถาม "อาจารย์เป็นพระอรหันต์แล้วยังทุกข์อยู่อีกหรือ ?" พระมหาเทวะก็เก่ง บอกว่าคนจะเป็นพระอรหันต์ได้จะต้องภาวนาว่า อโห..ทุกขัง พระมหาเทวะก็แก้อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2010 เมื่อ 15:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 20-09-2010, 11:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จนกระทั่งวันหนึ่งพระมหาเทวะ "ฝันเปียก" ลูกศิษย์เอาสบงไปซัก เห็นเข้าจึงถามว่า "ไหนอาจารย์ว่าเป็นพระอรหันต์หมดความกำหนัดแล้ว ทำไมยังฝันเปียกอยู่ ?" พระมหาเทวะก็บอกว่าพระอรหันต์อาจจะโดนมารยั่วยวนในความฝันได้

มติเหล่านี้ลูกศิษย์เขาบันทึกลงในคัมภีร์ กลายเป็นอาจาริยวาท ก็คือ คำสอนเฉพาะตัวของแต่ละอาจารย์ที่ลูกศิษย์เขานับถือ ซึ่งทำให้ธรรมะจริง ๆ เสียหายหมด จึงต้องมีการสังคายนาพระธรรมวินัยใหม่

เราอาจจะคิดว่า ไม่มีคนที่สามารถจะทำผิดถึงสี่เท่าของอเวจีได้ แต่มหาเทวะทำได้สำเร็จ ทั้งทำลายพระธรรมวินัย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ โทษอเวจีล้วน ๆ เลย เขาเป็นยอดคนจริง ๆ เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีโลกันต์เป็นที่ไป ได้ตู้เย็นส่วนตัว..! จะว่าไปแล้ว กำลังใจขนาดนี้ถ้าพลิกมุมนิดเดียวอาจจะบรรลุมรรคผลไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2010 เมื่อ 15:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 20-09-2010, 16:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จากสาเหตุที่มุสลิมทำลายมหาวิทยาลัยนาลันทา ใช้เวลาเผาคัมภีร์ทิ้งอยู่สองเดือน นึกเอาแล้วกันว่ามีคัมภีร์พุทธศาสนาจำนวนมหาศาลแค่ไหน ? จึงทำให้คัมภีร์พุทธเถรวาทส่วนใหญ่สูญหายไป ที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นฝ่ายของสันสกฤต

ในเมื่อไม่มีของเถรวาทมาเปรียบเทียบ จึงไม่รู้ว่ามหายานต่างจากของเราเท่าไร คัมภีร์ของมหายานบันทึกด้วยภาษาสันสกฤต คัมภีร์ของเถรวาทบันทึกด้วยบาลี นี่ก็มีข้อดีข้อด้อยต่างกัน

ข้อดีของบาลีก็คือ เป็นภาษาที่คนเขาเลิกใช้แล้ว ในเมื่อเลิกใช้แล้วความหมายจึงไม่เปลี่ยน เขียนอย่างไรก็แปลอย่างนั้น ภาษาสันสกฤตก็มีข้อดีของเขา ก็คือ บันทึกแล้วคนทั่วไปอ่านได้ เพราะว่าอินเดียใช้ภาษาสันสกฤตบันทึกพวกหนังสือหรือคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นปกติ

เหตุนี้จึงทำให้คัมภีร์มหายานแพร่หลายมากกว่า เพราะคนอ่านออก ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนแทบเป็นแทบตายกว่าจะแปลได้อย่างของบาลี แต่ของบาลีเนื้อความไม่เพี้ยน ยกเว้นว่าคนแปลจะแปลผิดเสียเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2010 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 20-09-2010, 16:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า พระไตรปิฎกฉบับที่เชื่อถือได้มากที่สุด ก็คือฉบับที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานให้ออกญาโกษาปาน นำไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ฉบับนั้นยังไม่เพี้ยน

มารุ่นหลังความหมายเริ่มเพี้ยนเยอะ เอาแค่พระสูตรแรกในทีฆนิกาย สุตตันตปิฎก เปิดพระไตรปิฎกขึ้นมา ถ้าถึงสุตตันตปิฎกก็จะเจอเลย พระสูตรแรกคือ พรหมชาลสูตร

พรัหมะ แปลว่า ผู้ประเสริฐ , ผู้เป็นใหญ่ ชาละ คือตาข่าย เขาตีความหมายว่า พระสูตรแห่งข่ายคือพระญาณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า อยู่ในลักษณะยกย่องว่าพระพุทธเจ้ามีข่ายคือพระญาณอันประเสริฐ จึงสามารถรู้ลัทธิต่าง ๆ ของศาสดาอื่น ๆ ได้ถึง ๖๒ ลัทธิด้วยกัน

แต่ความจริงความหมายนี้ผิด คำว่าพรหมชาละตัวนี้แปลว่า ตาข่ายดักพรหม ก็คือ บรรดาทิฐิทั้ง ๖๒ ลัทธิไม่มีใครหลุดพ้นไปจากพรหมหรอก ติดอยู่แค่นั้นแหละ ไม่เกินนั้นเด็ดขาด

ถ้าตีความผิดไปเรื่อย ๆ ต่อไปความหมายก็จะเพี้ยนไปด้วย เพราะฉะนั้น..ภาษาบาลีถึงแม้ว่าจะดี เพราะเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว ความหมายไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้อีกแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนแปลว่าเข้าถึงแค่ไหน

โดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์ธรรมะจริง ๆ แล้ว ไม่สามารถบันทึกเป็นตัวหนังสือได้ เพราะว่าอารมณ์ธรรมจริง ๆ เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ละเอียดเกินกว่าคำพูดหรือหนังสือจะบันทึกไว้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2010 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 20-09-2010, 17:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ตอนนี้บ้านเราเป็นศาสนาปฏิรูป เป็นศาสนาพุทธที่มีตรีมูรติ มีพระพรหม มีพระพิฆเนศ มีเจ้าแม่กวนอิม แม้กระทั่งพระสงฆ์ก็โดนทำให้กลายเป็นลักษณะของเทพ ก็คือ ได้รับการยกย่องบูชาเฉพาะตนไปเลย

ลักษณะบูชาเฉพาะตนอย่างนี้เป็นลักษณะการบูชาแบบฮินดู ที่เขาบูชาเทพ กลายเป็นว่าสิ่งที่ศาสนิกอื่นปฏิบัติในศาสนาของเขา คนไทยรับมาโดยไม่รู้ตัว ในเมื่อรับเอามาโดยไม่รู้ตัว ถึงเวลาปฏิบัติต่อพระสงฆ์ที่ตนเองเคารพ อย่างเช่นท่านมรณภาพไป ก็สร้างเจดีย์ใหญ่โตมโหฬาร หรือสร้างมณฑปบรรจุสังขารเอาไว้ให้ลูกหลานบูชาต่อ

กลายเป็นว่าติดอยู่เฉพาะในส่วนของเปลือกเท่านั้น เข้าไม่ถึงหลักธรรมที่แท้จริง แต่ถามว่าดีไหม ? อย่างน้อยก็มีความดีอยู่ส่วนหนึ่ง ก็คือ คนยังเกาะความดีอยู่ในขอบเขตของศาสนาอยู่ ยังอยู่ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญอยู่ว่าควรกระทำ แต่คราวนี้ถ้ายึดเกาะมากจนเกินไป ก็จะเอาตัวไม่รอด คำว่าเอาตัวไม่รอดในที่นี้ คือหลุดพ้นไม่ได้ เพราะยังไปยึดสังขาร ไปยึดตัวบุคคลอยู่"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2010 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 21-09-2010, 18:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีคนถามถึงรูปหล่อของหลวงปู่มหาอำพัน ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะของพระอาจารย์ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "รูปหล่อที่เห็นก็คือ หลวงปู่มหาอำพัน อาตมาเรียกหลวงปู่มหาอำพันจนติดปาก พอบอกว่า ท่านเจ้าคุณภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ กลับไม่มีใครรู้จัก ถึงมีคนรู้จักแต่ก็รู้จักน้อย

ขำตัวเองสมัยวัยรุ่น มีความรู้สึกว่าพระที่เป็นเจ้าคุณนั้นหาดีได้ยาก คราวนี้ได้เหรียญมา เห็นเขียนว่าเจ้าคุณนรรัตน์ ธมฺมวิตกฺโก ก็เลยไม่สนใจ จึงโดนพี่ชายหลอกเอาเหรียญไปฟรี ๆ ตอนหลังเลยมารู้ว่า พระจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ยศตำแหน่ง

จริง ๆ แล้ว หลวงปู่มหาอำพันท่านมีน้ำหนักกว่า ๘๐ กิโลกรัม แต่พอป่วยเข้าโรงพยาบาลสองครั้ง น้ำหนักท่านลดเหลือแค่ ๔๐ กว่ากิโลกรัม

หลวงปู่เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ล่ำสันมาก ๆ แต่ทีนี้ท่านเป็นโรคด่างขาว ขาวทั้งองค์ก็เลยกลายเป็นผิวขาวชมพู เพราะฉะนั้น..คนเห็นหลวงปู่รูปร่างสูงใหญ่ แล้วผิวขาวเป็นแบบนั้น ก็นึกว่าท่านเป็นฝรั่ง พอไปคุยภาษาอังกฤษกับท่านด้วย ท่านตอบน้ำไหลไฟดับอีก ก็ยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่ เพราะท่านเป็นนักเรียนทุน King's Scholarship รุ่นแรก

ท่านไปไหว้พระแก้วมรกต บนขอให้สอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ ปรากฏว่ามีเสียงเข้าหูชัด ๆ ว่า "air vision" เกี่ยวกับเรื่องการบิน ท่านก็เลยไปเขียนเรียงความเกี่ยวกับเรื่องการบินแล้วไปให้อาจารย์ตรวจ อาจารย์ไม่พอใจตรงไหนก็ไปแก้ใหม่ หลายเที่ยวด้วยกัน จนกระทั่งมั่นใจว่าเรื่องนี้ท่านหลับตาก็เขียนได้ พอไปสอบปรากฏว่า หัวข้อออกมาให้เขียนเรื่องนี้จริง ๆ ท่านก็เลยสอบได้ที่ ๑"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-09-2010 เมื่อ 09:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 21-09-2010, 18:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่สอบได้ที่ ๑ แต่เรียนไม่จบ เพราะไม่ชินกับอากาศทางอังกฤษ จึงป่วยหนัก กลับมารักษาตัวอยู่ที่เมืองไทยปีกว่า เพื่อน ๆ เรียนจบกันกลับมา กลายเป็นคุณหลวง คุณพระไปหมด ท่านเองป่วยหนักจะกลับไปเรียนก็ไม่ทันเพื่อนแล้ว

พอดีคุณแม่ขอให้บวช ก็เลยบวช ด้วยความที่ท่านเป็นบุคคลที่ว่านอนสอนง่าย มีอปจายนมัยสูงมาก พ่อแม่บอกอย่างไรคืออย่างนั้น ท่านก็บวชให้

หลวงปู่ท่านติดยาเส้น สูบตอนอยู่เมืองนอก สูบด้วยกล้อง ท่านน่าจะสูบมาทุกยี่ห้อ เพราะบางทีท่านก็มานั่งบรรยายให้อาตมาฟังว่า แต่ละอย่างรสชาติเป็นอย่างไร ฮาวานนาหอมฉุน อียิปเชียนออกหวานอย่างไร ท่านบอกได้หมด

ถามหลวงปู่ว่าเลิกตอนไหน ? ท่านบอกว่ามีอยู่วันหนึ่ง หลังเพลนั่งดูดยาเส้นอยู่ ดูดไปดูดมา "ยาก็แพง กล้องก็แพง เราเองตั้งแต่เกิดมาไม่เคยหาเงินให้พ่อแม่เลย ไปเรียนก็ไม่จบ กลับมายังไม่ได้ทำงานก็มาบวชซะแล้ว ตกลงไม่ได้ตอบแทนคุณอะไรพ่อแม่เลย แล้วยังมาล้างผลาญพ่อแม่อีก" เพราะยาเส้นพวกนั้นต้องสั่งจากเมืองนอกทั้งหมด

ท่านก็เลยโยนกล้องลงถังขยะ ตั้งแต่นั้นมาก็จบกัน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-09-2010 เมื่อ 03:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 21-09-2010, 18:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เราจะเห็นสองอย่างที่ชัดที่สุด อย่างแรกคือ อปจายนมัย ความอ่อนน้อมถ่อมตน หลวงปู่ท่านอ่อนน้อมถึงขนาดที่ว่า อาตมาเพิ่งบวชท่านยกมือไหว้ เล่นเอาอาตมานี่เหงื่อแตกพลั่ก

อย่างที่สอง คือความเด็ดขาดของกำลังใจ เลิกเป็นเลิก ไม่ใช่บุหรี่ธรรมดา ท่านสูบกล้องเลย แรงกว่าบุหรี่เยอะ แต่ท่านเลิกแล้วเลิกเลย

จุดต่อไปก็คือ ท่านเจ้าคุณนรฯ บวชเข้ามา กิตติศัพท์ความที่เป็นคนซื่อตรง จงรักภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ ๖ และความเป็นคนเอาจริงเอาจัง ศึกษาทุกอย่าง เรียนจนรู้จริงทุกอย่าง ก็เลยทำให้หลวงปู่ท่านไม่ได้ถือตัวว่าตัวเองบวชก่อน ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่บวชก่อนท่านเจ้าคุณนรฯ แปดเดือน

หลวงปู่ท่านไปคบหาสมาคมสอบถามขอความรู้ด้วย ทีนี้ต่างคนต่างเก่งภาษาอังกฤษ อ่านตำรามามากพอ ๆ กัน บางทีเวลาคุยกันก็พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก ถ้าพวกเราอ่านตำราที่เจ้าคุณนรฯ เขียน ท่านเขียนตำราใช้ภาษาอังกฤษประกอบเยอะมาก แต่ท่านไม่เคยไปเมืองนอกเลยนะ ท่านฝึกจนแตกฉานเอง

พอท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านทำสมาธิบ่อย ๆ จนเกิดผล ท่านก็บอกว่าให้หลวงปู่ลองทำดูบ้าง หลวงปู่ท่านเป็นคนว่าง่าย พอชอบใจท่านก็ลองทำดูบ้าง ทำไปทำมา ท่านอยากได้ตาทิพย์ แล้วท่านไม่เข้าใจ

หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านได้ตาทิพย์ แต่ท่านก็อธิบายให้หลวงปู่มหาอำพันเข้าใจไม่ได้ ว่าตาทิพย์คืออะไร ? จนกระทั่งท่านเจ้าคุณนรฯ มรณภาพ พอถึงปี ๒๕๑๖ หลวงปู่ก็ได้พบกับหลวงพ่อวัดท่าซุง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-09-2010 เมื่อ 03:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 21-09-2010, 18:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"หลวงพ่อวัดท่าซุงจึงได้แยกแยะให้ว่า ตาทิพย์กับทิพจักขุนั้นคนละเรื่องกัน ตาทิพย์เป็นเรื่องของพรหมเทวดาหรือผี เขาจะมีเป็นปกติ แต่ทิพจักขุญาณ ก็คือความรู้เหมือนกับมีตาทิพย์ อยากรู้เรื่องอะไรก็จะรู้ได้

นั่นแหละ..สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของหลวงปู่จึงได้หลุดมา หลวงปู่จึงได้กราบหลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่อายุของหลวงปู่ก็มากกว่าเป็นรอบ พรรษาก็มากกว่าเป็นสิบพรรษา

ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างที่เห็นชัด ๆ ในเรื่องการเอาจริงเอาจังและใฝ่รู้ ใครมีโอกาสเข้าไปดูในกุฏิหลวงปู่ จะเห็นว่าตำราแน่นไปทั้งห้องเลย ถึงเวลาท่านก็คว้าหนังสือขึ้นมานั่งอ่านสบายใจ ไม่จบไม่เลิก บางทีอาตมาก็นั่งสับปะหงกรอ

สี่ทุ่มก็แล้ว..ห้าทุ่มก็แล้ว คนสมาธิดีเหมือนกับดิ่งลึกเข้าไปอยู่กับเนื้อหา จึงไม่รู้ถึงเวลาที่เปลี่ยนไป พอท่านเงยหน้าขึ้นมาเห็นเราสับปะหงกครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ "อ้าว..นอนดีกว่า แต่..ต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนนะ" แล้วก็ไปสวดมนต์ไหว้พระอีกเป็นชั่วโมง แล้วถึงจะเข้านอน"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-09-2010 เมื่อ 03:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 21-09-2010, 19:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,034 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"อาตมามีจดหมายจากหลวงปู่อยู่หลายฉบับ สมัยนั้นอยู่วัดท่าซุง ไม่สะดวกที่จะใช้โทรศัพท์ เพราะโทรศัพท์เป็นของกลาง ถ้าใช้ก็เท่ากับว่าหลวงพ่อท่านจ่าย

มือถือก็ไม่ได้มีเกลื่อนกลาดเหมือนสมัยนี้ จำได้ว่ามือถือเครื่องแรกที่หลวงพ่อสั่งติดตั้ง ราคาแปดหมื่นบาท เครื่องใหญ่เท่ากระเป๋าเอกสาร หนักอึ้งเลย ไปไหนก็ต้องหิ้วไปด้วย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-09-2010 เมื่อ 03:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:15



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว