#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ยังคงเป็นเทศกาลหยุดยาว โดยเฉพาะวันนี้หมอกลงหนักมาก หนักถึงขนาดบิณฑบาตในตลาดทองผาภูมิแล้ว มองไม่เห็นยอดเขาพระพุทธเจติยคีรีและยอดเขารอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนเลย กลายเป็นสีขาวโล่งไปหมด..!
อากาศในลักษณะอย่างนี้ ถ้าหมอกหนักก็จะเป็นเพราะอากาศร้อนกระทบอากาศหนาวอย่างหนึ่ง แล้วก็อากาศหนาวกระทบอากาศร้อนอย่างหนึ่ง ช่วงนี้ในพื้นที่ของเรายังเป็นอากาศร้อนอยู่ ถ้าเกิดหมอกแปลว่ามีอากาศหนาวเข้ามา ช่วง ๒ - ๓ วันนี้ น่าจะอากาศเย็นหนักขึ้นนิดหนึ่ง กระผม/อาตมภาพเพิ่งกลับจากงานพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อทองใบ นนฺทิโย (พระครูกาญจนโกวิท) อดีตเจ้าอาวาสวัดเบ็ญพาด อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลพังตรุ ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ช่วงระยะเวลาประมาณ ๑ เดือนที่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพไปงานพระราชทานเพลิงศพเยอะมาก ตั้งแต่งานพระราชทานเพลิงศพพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชรัตนวิมล (พยุง ฐิตสีโล ป.ธ.๔) อดีตเจ้าอาวาสวัดกาญจนบุรีเก่า อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ต่อด้วยท่านอาจารย์สายชล พระครูปฐมจินดากร (สายชล จิตฺตกโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่แตงทอง อดีตเจ้าคณะตำบลทุ่งลูกนก แล้วก็มาต่อด้วยหลวงปู่ชุบ พระครูอดุลพิริยานุวัตร (ชุบ ปญฺญาวุโธ ป.ธ.๕) อดีตเจ้าอาวาสวัดวังกระแจะ อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอไทรโยค วันนี้เป็นหลวงพ่อทองใบ มะรืนนี้จะเป็นหลวงพ่อเกรียงศักดิ์ พระครูประกาศกาญจนกิจ (เกรียงศักดิ์ สีลเตโช) อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำผาพิรุณ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2022 เมื่อ 02:27 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
คราวนี้ในจำนวนผู้ที่ได้รับพระราชทานเพลิงศพ ถ้าไล่ไปตามลำดับเลย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชรัตนวิมลก็อายุ ๘๖ ปี แต่ท่านอาจารย์สายชลน้อยกว่า ๓๐ ปี คือ ๕๖ ปีเท่านั้น แล้วก็มาเป็นหลวงปู่ชุบ ๙๖ ปี กระโดดพรวดเขึ้นไปอีก ๔๐ ปี มาวันนี้หลวงพ่อทองใบ ๙๐ ปี มะรืนนี้ หลวงพ่อเกรียงศักดิ์ ๖๗ ปี
เราจะเห็นว่าในเรื่องของความตายนั้นหาความแน่นอนไม่ได้เลย ความตายเกิดขึ้นกับมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม มนุษย์และสัตว์เกิดขึ้นมาเท่าไร ก็ตายหมดเท่านั้น แต่คราวนี้ที่เราเห็นล้นโลกกันอยู่ก็เพราะว่า เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็อยู่กันหลายสิบปีกว่าที่จะตาย แต่การเกิดใช้เวลาแค่ ๙ เดือน ๑๐ เดือน ก็เลยทำให้คนเราที่เมาวัย เมาชีวิต ก็มักจะเห็นว่าความตายไม่น่าจะมาถึงตนเองง่าย ๆ โดยที่ขาดการพิจารณา มีแต่ความประมาท ถึงเวลาความตายมาถึง เราก็ตั้งรับไม่ทัน เพราะว่าอย่างบทสวดมนต์ที่เราสวดกันอยู่ ก็คือ โก ชญฺญา มรณํ สุเว ใครเลยจะรู้ได้ว่าพรุ่งนี้ความตายจะมาถึงหรือไม่ ? หรือไม่ก็ อทฺธุวํ ชีวิตํ ชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ธุวํ มรณํ ความตายเป็นของเที่ยง คำว่า เที่ยง ในที่นี้ก็คือตายแน่ เพียงแต่ว่าความตายจะมาถึงเราได้ ก็ต้องเป็นไปตามวิบากที่เราสร้างเอาไว้ ถ้าหากว่าหมดอาหาร หมดอายุ ก็มีสิทธิ์ที่จะถึงแก่ความตาย โดยเฉพาะหมดบุญและหมดกรรม สมัยที่กระผมเด็ก ๆ อยู่ ถ้าหากว่าคนอายุน้อยตาย เขาก็บอกว่าบุญมาก ถึงเวลาจะได้รีบตายไปเสวยผลบุญของตัวเอง พอคนแก่ตายก็ เอ้า...บุญมาก อายุยืน อยู่เป็นมิ่งขวัญลูกหลานได้นาน สรุปว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับผู้ตาย เขาจะพูดแต่ในเรื่องดีทั้งหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2022 เมื่อ 02:29 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
คราวนี้ท่านทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรม เราต้องระลึกอยู่เสมอว่า ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้า ไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออก ไม่หายใจเข้าก็ตายเช่นกัน
กระผม/อาตมภาพจึงได้มีแนวปฏิบัติเฉพาะตัวว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุด หน้าที่การงานในความรับผิดชอบทุกอย่างทุ่มเทให้เต็มที่ เมื่อทำดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาก็จากไปอย่างสง่างามที่สุด แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน อยู่คนเขาก็รัก คนเขาก็เกรงใจ จากไปคนเขาก็คิดถึง แต่คราวนี้ พวกเรามักจะประมาทกัน อย่างที่บอก พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสเอาไว้ว่า เมาวัย เมาชีวิต เมาความไม่มีโรค บางคนอายุ ๗๐ - ๘๐ แล้ว ก็ยังไม่ได้สำนึกว่าตนเองจะถึงแก่ความตายเมื่อไร อย่างที่มีคนไปต่อว่าพระยายมราชว่า "ท่านทำงานไม่เป็น" ประมาณว่าบริหารงานบริหารคนไม่เป็น ท่านถามว่าทำไม ? "ก็ในเมื่อผมจะต้องตายตอนนั้นตอนนี้ ท่านก็รู้อยู่ แล้วทำไมไม่ส่งจดหมายมาเตือนก่อน ?" พระยายมราชบอกว่า "ข้าส่งให้ตลอดเวลาแต่แกไม่รับรู้รับทราบเอง" ไอ้หัวหมอก็ยังเถียงอีก บอกไม่ได้รับเลยสักฉบับหนึ่ง..! พระยายมราชท่านยืนยันว่ารับทุกฉบับ EMS จากตำหนักพระยายมราชส่งตรงถึงทุกคน "ตอนเอ็งผมหงอก ตอนเอ็งฟันร่วง ตอนเอ็งตามัว ตอนเอ็งหนังเหี่ยว ตอนเอ็งเจ็บไข้ได้ป่วย ข้าส่งไปทุกครั้ง แต่เอ็งเสือกทะลึ่งอ่านไม่ออกเอง" ก็แปลว่า สภาพความเสื่อมเกิดขึ้นกับร่างกายของเราอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2022 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นอัจฉริยภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ตรัสไว้ สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด วิทยาศาสตร์เขาศึกษาได้ว่า ร่างกายของเรามีเซลล์ที่ตายอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าถ้าอายุน้อย การสร้างเซลล์ทดแทนก็เร็ว จึงไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ถ้าอายุมาก การสร้างทดแทนช้า ก็จะเริ่มเหี่ยว เริ่มหงอก เริ่มหูฝ้าตาฟาง
ตรงนี้ก็เลยทำให้พวกเรา ซึ่งส่วนใหญ่ขาดสติ ขาดปัญญา คำว่าขาดสติในที่นี้ก็คือ ไม่เคยนึกว่าตัวเองจะตาย ขาดปัญญาในที่นี้ก็คือ ไม่เห็นว่าความตายอยู่กับเราอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างไรที่เราจะเห็นให้ได้ เอาไม่ต้องมาก เอาแค่หลวงปู่พระอานนท์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ เธอระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง ?" พระอานนท์ทูลตอบว่า "ประมาณ ๗ ครั้งพระพุทธเจ้าข้า" นั่นพระโสดาบันนะ นึกถึงความตายวันละประมาณ ๗ ครั้ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า"อานันทะ..ดูก่อนอานนท์ ยังห่างมากไป ตถาคตระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก" ตอนแรกกระผม/อาตมภาพเองจะเถียงแล้ว เป็นไปได้อย่างไรนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก ? จะเก่งเกินไปไหม ? แต่พอปฏิบัติไป ปฏิบัติไป สภาพจิตละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น สามารถรู้ลมหายใจและคำภาวนาได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็เป็นเอง เราแค่เอาสติไปประคับประคองรักษาไว้เท่านั้น คราวนี้สติที่สมบูรณ์ขนาดนั้น การนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกก็เลยเป็นเรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องยาก แล้วสติ สมาธิ ปัญญาระดับพระพุทธเจ้าเหนือกว่าเราจนประมาณไม่ได้ แค่ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก เป็นเรื่องเล็กของท่านเลย พูดง่าย ๆ ว่า ไม่ต้องใช้ความพยายามเลย พระองค์ท่านจึงเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่เสมอ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2022 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
คราวนี้ในงานพระราชทานเพลิงศพ หลายต่อหลายศพที่ผ่านไปและที่กำลังจะมา เป็นเครื่องเตือนใจให้พวกเราเห็นอย่างชัดเจนว่า "วันนี้เราเผาคนอื่น พรุ่งนี้คนอื่นอาจจะเผาเราก็ได้..!"
เป็นที่น่าเสียดายว่างานศพหลวงพ่อเกรียงศักดิ์ ซึ่งรู้จักเป็นการส่วนตัวตั้งแต่สมัยที่กระผม/อาตมภาพออกธุดงค์ใหม่ ๆ ซึ่งได้แวะไปพักพิง ไปอาศัย แล้วก็ไปดูการฝึกท่องพระปาฏิโมกข์กัน หลวงพ่อเกรียงศักดิ์ท่านสนับสนุนบุคคลผู้ท่องพระปาฏิโมกข์ ใครไปอาศัยวัดท่านท่องพระปาฏิโมกข์ ท่านส่งขึ้นเขาไปเลย จะมีกุฏิเล็ก ๆ ที่พักแบบพระธุดงค์อยู่ข้างบน มีห้องน้ำ มีอะไรพร้อมมูล คุณขึ้นไปพักซ้อมท่องข้างบน แต่ละวันจะมีคนเอาข้าวเอาน้ำไปส่งให้เอง สำเร็จลงมาแล้วท่านยังทบทวนให้ด้วยว่าแม่นจริงหรือเปล่า ? ถ้ามั่นใจว่าผ่าน ก็มีรางวัลให้อีกต่างหาก..! กระผม/อาตมภาพเองยังเห็นว่า เออ..พระเราก็เด่นไปคนละด้าน จะให้เก่งไปทุกเรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ ใครถนัดใครชำนาญด้านไหน ก็ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด แต่ว่างานทั้งหมดก็เป็นการทำเพื่อพระพุทธศาสนา ถ้าเอามารวม ๆ กันก็จะยังพระพุทธศาสนาของเราให้เจริญมั่นคงได้ แต่พอดีว่าหมอนัดกระผม/อาตมภาพในวันที่ ๑๔ เช่นกัน ก็เลยไม่ได้ไปงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน ถ้าเป็นพระเถระบางรูป ก็จะบอกว่า "ขาดรายได้ไปโดยใช่เหตุ" แต่ก็เอาเถอะ..ถ้าท่านเห็นเป็นรายได้ ส่วนใหญ่กระผม/อาตมภาพไปที่ไหนก็ไปช่วยเขามากกว่าที่จะไปเอาจากเขา สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2022 เมื่อ 02:37 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|