กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-08-2019, 21:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๒

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอสติไปคิดถึงเรื่องอื่น เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา ให้รีบกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเราทันที ส่วนคำภาวนานั้น เราจะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ วันนี้เพื่อนสนิทคนหนึ่ง ก็คือ พระอาจารย์ภาสกร ภูริวฑฺฒโน จากธรรมสถานวัดฝายหิน จังหวัดเชียงใหม่ ท่านแวะมาเยี่ยม

ท่านอาจารย์ภาสกรนั้นมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ก็คือความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันของสรรพสิ่ง ทั้งทางโลกและทางธรรม ที่ว่าถ้ามีสิ่งนี้ก็ต้องมีสิ่งนี้ ถ้าสิ่งนี้ดับสิ่งนี้ก็ต้องดับ แล้วท่านก็ยังมีการพัฒนาไปจนกระทั่งเรียกความรู้นั้นว่า วิปัสสนาชกมวย

ซึ่งอาตมาอยากจะบอกว่า การพิจารณาวิปัสสนาญาณตามธรรมชาติ ตามหน้าที่การงาน ตามการดำเนินชีวิตปกติของพวกเรา คือการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าเราต้องรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยปฏิบัติธรรม ค่อยภาวนา ค่อยพิจารณา ถ้าลักษณะอย่างนั้นอาตมาใช้คำว่า ไม่ทันกิน เพราะว่ากิเลสกินเราอยู่ตลอดเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ไม่เปิดโอกาสให้เรามานั่งสมาธิก่อนแล้วค่อยกิน

เราจึงต้องพิจารณาวิปัสสนาญาณในลักษณะของธรรมชาติ คือสิ่งใดที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เราต้องพิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณ ก็คือเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดาของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น

สายตาเห็นรูป เราก็กำหนดด้วยสัญญาเดิมว่านี่เป็นเด็ก นี่เป็นหนุ่มสาว นี่เป็นวัยกลางคน นี่เป็นคนแก่ มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ไม่ช้าก็ต้องตายลงไป ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นก็เป็นเช่นนี้ หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2019 เมื่อ 02:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-08-2019, 22:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราไปปรารถนาความทรงตัว ก็แปลว่าเรากำลังหาทุกข์ใส่ตัว เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีสภาพที่บังคับบัญชาไม่ได้ ก็แปลว่าเราต้องเห็นอนิจจัง คือความไม่เที่ยงของคน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของให้เป็นปกติ เห็นทุกขัง ความเป็นทุกข์ในการดำรงอยู่ของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นปกติ

บางท่านอาจจะว่าคนเราทุกข์นี้ทราบ สัตว์ทุกข์ก็ทราบ แต่วัตถุธาตุทุกข์อย่างไร ? วัตถุธาตุที่เป็นทุกข์ด้วยการก้าวเข้าไปสู่ความเสื่อมสลายอยู่ตลอดเวลา เขาเรียกว่าสภาวทุกข์ ทุกข์ที่เกิดขึ้นโดยสภาพ

แล้วการบังคับบัญชาไม่ได้ก็คืออนัตตา ไม่มีอะไรเป็นตัวตนให้เรายึดถือมั่นหมายได้ ในเมื่อยึดถือมั่นหมายไม่ได้ย่อมสั่งการไม่ได้ เราจะไปบอกว่าร่างกายนี้จงอย่าแก่...เป็นไปไม่ได้ ร่างกายนี้จงอย่าป่วย...เป็นไปไม่ได้ ร่างกายนี้จงอย่าตาย...ก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น...อนัตตาในความหมายหนึ่งก็คือ ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ใด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราต้องเห็นให้เป็นปกติ

แม้กระทั่งการทำงานของเราก็เหมือนกัน สมมติว่าญาติโยมตอนนี้เป็นคนยุคใหม่ เราทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ คลิก...ผ่านไป คลิก...ผ่านไป ก็แปลว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปแล้ว ถ้าเราทำไปนาน ๆ ก็ทุกข์ เมื่อยปวด ออฟฟิศซินโดรมรับประทาน และท้ายที่สุดสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็ตกล่วงไป ผ่านพ้นไป เรียกคืนมาไม่ได้ หมดงาน หมดวัน ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เป็นต้น

ถ้าเราสามารถเห็นอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ก็แปลว่าปัญญาของเราเห็นความเป็นจริงตามสภาพ ไม่โดนปิดบังโดยกิเลสต่าง ๆ ที่หลอกลวงเรา ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายก็มีโอกาสที่จะพ้นทุกข์ได้

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๒

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2019 เมื่อ 02:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:09



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว