กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-12-2019, 22:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ต้องบอกว่าเนื่องจากพ้นผ่านวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งพวกเราชินกับคำว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มากกว่า ในช่วงวันคล้ายวันพระราชสมภพก็มีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งราชการ เอกชน ตลอดจนวัดวาอาราม จัดงานบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน

สำหรับในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั้น อาตมาเคยกล่าวไปแล้วว่า พระองค์ท่านนำเอาหลักธรรมมาใช้ มาสั่งสอนต่อพวกเราโดยที่ไม่มีวี่แววของภาษาบาลีอยู่เลย ดังที่พระองค์ท่านได้ตรัสว่า ในเรื่องของการทำความดีนั้น แม้ว่าจะทำได้ยาก...แต่ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นแล้วความชั่วที่ทำได้ง่ายกว่าก็จะเข้ามาท่วมทับเรา ซึ่งตรงจุดนี้อยากให้ทุกท่านเปรียบเทียบกับตนเองว่า เราเองนั้นได้มีความเพียรพยายามในการต่อสู้เพื่อกระทำความดีเท่าไร ? สมควรแก่คำว่านักปฏิบัติแล้วหรือไม่ ?

อย่างเช่นญาติโยมบางท่านบอกว่า สู้กับกิเลสแล้วไม่เห็นทางชนะ จนกระทั่งจะหมดกำลังใจอยู่แล้ว พอถึงเวลาต้นเดือนได้เห็นหน้าหลวงพ่อทีหนึ่งก็มีกำลังใจขึ้นมาทีหนึ่ง ซึ่งถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้วก็คือ เราตกเป็นทาสของกิเลส และเป็นกิเลสหยาบมาก ก็คือถีนมิทธะนิวรณ์ ซึ่งชวนให้ง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจปฏิบัติ ซึ่งนั่นเป็นกิเลสที่หยาบที่สุด เห็นหน้าตาได้ง่ายที่สุด

และถ้าหากว่าเราคล้อยตามไป โดยการที่ถึงเวลาขี้เกียจขึ้นมาก็นอน แต่มีความขยันในการไปทำสิ่งอื่นที่ไม่เป็นโล้เป็นพายสำหรับนักปฏิบัติ อย่างเช่นว่าไปส่อง Facebook ไปคุย LINE

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าหากว่าเราไปทำ พอครั้งต่อไปกิเลสจะชวนให้เราทำอีก โดยมีข้ออ้างว่าคราวที่แล้วยังทำเลย แล้วเราก็จะคล้อยตามไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดความชั่วก็จะท่วมทับความดีจนความดีโงหัวไม่ขึ้น กลายเป็นทาสของกิเลสไปโดยปริยาย

ซึ่งลักษณะอย่างนี้จัดเป็นอบายมุข คือปากทางแห่งความเสื่อมอย่างหนึ่ง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นความเกียจคร้านไม่ทำการงาน ที่ไม่ใช่การงานในหน้าที่ เป็นการงานที่สำคัญกว่านั้น คืองานชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลส
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-12-2019 เมื่อ 08:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-12-2019, 21:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราเกียจคร้าน พระองค์ท่านบอกว่า วิธีดูง่าย ๆ ว่าเราขี้เกียจหรือไม่ ก็คือเป็นคนมักอ้างหรือไม่ อ้างว่าร้อนนัก อ้างว่าหนาวนัก ช่วงนี้ก็ช่วงหน้าหนาว อากาศหนาวเข้ามาพอดี แล้วมีทีท่าว่าอุณหภูมิจะลดลงไปอีก ช่วงนี้ร้อน..ไม่ไหว..นั่งกรรมฐานไม่ไหว หนาวเกินไปไม่ไหวอีก มักอ้างว่าหิวนัก มักอ้างว่ากระหายนัก หิวไม่มีอารมณ์จะทำ ไม่มีแรงจะปฏิบัติธรรม กระหายไม่มีอารมณ์จะปฏิบัติธรรม ต้องได้ชาไข่มุกสักแก้วใหญ่ถึงจะดีขึ้น แต่เพลินจนเลยเวลาปฏิบัติ

มักอ้างว่าสายเสียแล้ว มักอ้างว่ายังเช้าอยู่ เลยเวลาปฏิบัติธรรมแล้ว ต้องไปทำอย่างอื่นแทน ตอนนี้สายเกินไป หรือไม่ก็เพิ่งจะตี ๓ ตี ๔ เอง ขอนอนอีกสักชั่วโมงหนึ่ง ยังเช้าอยู่เลย แล้วเราก็จะไม่ได้ทำอะไรเลย

เพราะฉะนั้น..คนที่ขี้เกียจ ไม่ทำงานทางโลกยังพอทน ถ้าทางธรรมนี่เราตกเป็นทาสกิเลสแน่นอน ถ้าเป็นทาสให้พวกกิเลสจูงจมูก ก็แปลว่าเราต้องยังเวียนว่ายตายเกิดมาทนทุกข์อีกนับชาติไม่ถ้วน

ดังนั้น...ถ้าพิจารณาแล้วหลักธรรมของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่สอนพวกเราก็คือ ให้พวกเรามีความเพียร ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ทั้งทางโลกและทางธรรมจนเกิดผล ผลที่เกิดตัวเราเองเสพเสวยเป็นคนแรก ดีก็อยู่ที่ตัวเรา ชั่วก็อยู่ที่ตัวเรา ดังนั้น..เรื่องของการอยู่กับขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสติสัมปชัญญะและปัญญามาก ๆ เพราะว่าเราสามารถใช้ร่างกายนี้สร้างได้ทั้งความดีความชั่ว ถ้าไม่เร่งทำความดีให้มากไว้ ถึงเวลาความชั่วเข้ามา เราก็จะไม่มีแรงต่อต้าน ก็จะพ่ายแพ้ตกเป็นทาสกิเลส

แต่ถ้าเราเพียรพยายามต่อสู้ ถึงทุกข์ยากลำบากเพียงไหน ท้ายสุดเราก็จะเป็นผู้ชนะ โดยเฉพาะถ้าหากว่าถึงที่สุดแห่งชัยชนะคือ สามารถก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านบ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2019 เมื่อ 05:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:09



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว