กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 17-09-2014, 12:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าจับลมหายใจสามฐาน รู้สึกว่าไปบังคับ ไม่ได้สบาย แต่ตัวเองจับแค่ฐานเดียว รู้หายใจเข้าออกนี่สบาย จับภาพพระได้ ?
ตอบ : เอาที่เราสบาย ถ้าเราดูในวิสุทธิมรรคจะเห็น มี ผุสนา คือ จับฐาน กับ อผุสนา คือ ไม่จับฐาน ท่านใช้คำว่ารู้ตลอดกองลม ก็คือหายใจเข้าตามรู้เข้าไป หายใจออกตามรู้ออกมา สิ่งไหนที่สบายสำหรับเรา ทำแล้วได้ผลดี ให้ทำอย่างนั้น

ถาม : ถ้าสามฐานจะละเอียดกว่า ?
ตอบ : ถ้า ๗ ฐานแล้วละเอียดกว่า ๓ ฐานอีก แต่คราวนี้คนที่ไม่เคยชินก็จะทำให้เสียผลปฏิบัติ ดังนั้น..การปฏิบัติกรรมฐาน ให้เอาสิ่งที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่เอาตามคนอื่นเขา

ถาม : มีอะไรที่ควรทำเพื่อส่งผลหรือสนับสนุนการปฏิบัติ ?
ตอบ : ถ้าในเรื่องสนับสนุนการปฏิบัตินี่ให้แผ่เมตตาเลย อย่างอื่นเป็นอานิสงส์ในลักษณะของกามาวจร ก็คืออย่างไรเสียก็ไม่พ้นในเขตของสวรรค์ ๖ ชั้น แต่เรื่องของการภาวนานี่ตั้งแต่ระดับพรหมขึ้นไป จนกระทั่งสามารถหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน ส่วนสนับสนุนไม่ใช่บุญทางนี้ บุญทั้งหลายเหล่านี้เราทำได้ตามปกติ แต่ว่าในส่วนของสนับสนุนการปฏิบัติธรรมให้ใช้แผ่เมตตา

ถาม : อย่างอื่นไม่ช่วย ?
ตอบ : ช่วยเหมือนกัน อย่างน้อยเราทำแล้วเราปีติขึ้นมา แต่ว่าไม่เหมือนกับการแผ่เมตตาที่เป็นการเสริมกำลังใจโดยตรง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2014 เมื่อ 15:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 17-09-2014, 14:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เรื่องกสิณยังเอาตัวไม่ค่อยรอด จับภาพพระไม่ได้ตลอดเวลา ทำกสิณกองหนึ่งคือกสิณแสงสว่าง จะติดว่าต้องทำอย่างไรให้ได้ตลอดเวลา ?
ตอบ : เอาพระแก้วเป็นองค์กสิณแทน

ถาม : พระแก้ว ?
ตอบ : ใช่...แก้วก็คืออาโลกกสิณ เราก็จับภาพพระแก้วแทน ถ้าภาพพระชัดเจนเท่าไร ดวงกสิณก็ชัดเจนเท่านั้น เราก็ประคองภาพพระไว้เหมือนกับประคองดวงกสิณ

ถาม : พระแก้วไม่ต้องสว่างก็ได้นะคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ...ถึงเวลาถ้าสมาธิทรงตัวภาพพระจะสว่างขึ้นไปเรื่อย ๆ เอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 17-09-2014 เมื่อ 20:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 17-09-2014, 15:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลากราบพระพุทธรูปแบบนี้ ตั้งใจกราบพระพุทธรูปหรือน้อมใจกราบพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : สองอย่าง ร่างกายกราบข้างล่าง ใจกราบข้างบน ควบไปเลย ทำให้ชินไว้

ถาม : ต้องแบ่ง ?
ตอบ : แบ่งทีเดียวพร้อมกัน ๒ ที่ได้เลย ปกติเขาทำได้เป็นสิบ ๆ ที่พร้อมกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2014 เมื่อ 15:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 17-09-2014, 15:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อาราธนาศีลเราต้องสวดอะไรไหมคะ หรือแค่ตั้งใจก็พอ ?
ตอบ : แค่เราตั้งใจว่าจะรักษาศีลก็พอ การอาราธนาก็คือการขอร้องให้พระท่านบอกว่าศีลมีอะไรบ้าง พอพระท่านบอก เราก็สมาทาน คือ ศึกษาตามนั้นว่าศีลแต่ละข้อเราต้องปฏิบัติอย่างไร ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วเราก็ทำไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาอาราธนา ไม่ต้องเสียเวลาสมาทาน

ถาม : มีคนบอกว่า ถ้าไม่อาราธนาแล้วไม่นับ ถ้าอย่างนั้นที่ทำมาก็เป็นศูนย์ ?
ตอบ : บางคนเขาก็เข้าใจอย่างนั้นแหละ ศีลอยู่ที่การตั้งใจงดเว้น ไม่ได้อยู่ที่การอาราธนาหรือสมาทาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2014 เมื่อ 15:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 17-09-2014, 15:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จะเข้าป่าก็มีความกลัวบ้าง เพราะตัวเองก็ไม่ได้มีอะไรเลย ไม่ได้เก่งอะไรเลย ?
ตอบ : ตั้งใจสวดบทกรณียเมตตาสูตรให้ได้ แล้วจะไปอยู่ป่าไหนก็ตั้งใจสวดสาธยายแผ่เมตตาไปก่อน รับรองว่าอยู่ได้ทุกที่

ถาม : จริง ๆ กลัวคนมากกว่ากลัวอย่างอื่น ?
ตอบ : ใช่..คนน่ากลัวที่สุด อาตมายืนยันเหมือนกัน

ถาม : กรณียเมตตาสูตรช่วยได้ ?
ตอบ : ช่วยได้ ถ้าหากว่าเราทำจนเป็นปกติคนจะไม่คิดร้าย

ถาม : จะช่วยคนที่เราพาไปด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจดีก็ได้ทั้งคณะ กำลังใจมีว่า แบบแย่ ๆ คือ แม้แต่ตัวเองก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แบบปานกลาง ก็คือ ช่วยเหลือตัวเองได้ ช่วยคนอื่นไม่ได้ อย่างดีก็คือ ช่วยตัวเองได้ ช่วยคนอื่นได้ด้วย ดังนั้น..ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2014 เมื่อ 15:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 17-09-2014, 15:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงตาเจ้าขา ทำอย่างไรหนูถึงจะมีพลังพิเศษ (เด็กน้อยถาม) ?
ตอบ : ต้องหัดภาวนาพุทโธ ๆ บ่อย ๆ จ้ะ พุทโธ ๆ ไปเรื่อย ๆ ให้ได้เยอะขึ้น ๆ จนได้สักวันละชั่วโมง เดี๋ยวก็จะเริ่มมีพลังแล้ว ค่อย ๆ ทำนะจ๊ะ..รุ่นนี้เขารุ่นอภิญญา ต้องยกให้เขา

ถาม : หลวงตาเอากี่ชั่วโมง ?
ตอบ : ตอนนี้เอาสักสองสามนาทีก่อนจ้ะ พอได้แล้วค่อยเอาเป็นชั่วโมง

ให้ทำทุกวัน ทำบ่อย ๆ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ...นับหนึ่ง หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ...นับสอง ใหม่ ๆ เอาให้ได้ ๑๐๐ ครั้งก่อน พอนาน ๆ ไปแล้วค่อยเอาให้ได้เป็นชั่วโมง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2014 เมื่อ 15:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 17-09-2014, 15:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เมื่อก่อนหนูนั่งสมาธิแล้วจะมีแสงสว่างขึ้น ไม่ต้องหลับตาก็มีแสงวาบเข้ามา ทำให้หนูรู้สึกว่าข้างในที่ไม่สงบก็รู้สึกสงบมากขึ้น แล้วก็เหมือนกับเคลื่อนออก พอรู้ตัวก็วูบเข้า ตาไปจับจ้องมาก ๆ ก็ไม่ขยับค่ะ ?
ตอบ : เพราะว่าเราไปจ้อง เขาก็อายสิ ทำใจสบาย ๆ พอเห็นแสงสว่างให้ตั้งใจว่าที่สุดของแสงอยู่ที่ไหนเราขอไปที่นั่น พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนเราไปที่นั่น แล้วเราภาวนาของเราไป จะไปหรือไม่ไปก็ช่าง

ถาม : หนูหลับแต่จะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาค่ะ ?
ตอบ : ดีแล้วจ้ะ เพราะถ้าเราเผลอหลับ กิเลสก็กินเราตอนหลับ จึงจำเป็นที่จะต้องหลับกับตื่นให้มีความรู้ตัวเท่ากัน แต่ไม่ต้องไปกังวล เพราะร่างกายนอนอยู่ ก็ได้พักอยู่แล้ว ถึงเวลาก็ปล่อยไป ถ้ารู้ตัวก็ดี เราก็ภาวนาของเราไปเรื่อย นึกถึงภาพพระไปเรื่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2014 เมื่อ 16:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 17-09-2014, 15:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หลวงตาเจ้าขา ลูกแก้วไว้ทำอะไรคะ ? ...(เด็กน้อยถาม)... ?
ตอบ : หลวงตาก็เอาไว้มอง แล้วหลับตาลงนึกถึง เราจะนึกถึงลูกแก้วใส ๆ ได้พักหนึ่ง..ใช่ไหมจ๊ะ ? พอภาพหายไปเราก็ลืมตามองใหม่ แล้วก็หลับตานึกถึง จนกระทั่งหลับตาเราก็เห็นลูกแก้วใส ๆ ได้ หลังจากนั้นพอทำไปเยอะ ๆ แล้ว ก็จะเห็นได้อยู่ตลอดเวลา หลับตาก็เห็น ลืมตาก็เห็น หนูก็ตั้งใจขอให้ลูกแก้วใหญ่ ๆ ขึ้น แล้วคราวนี้อยากเห็นอะไรล่ะ ?

สมมติว่าเราเรียนหนังสือแล้วอยากเห็นข้อสอบ เราก็ขอให้
ข้อสอบโผล่มาในลูกแก้ว ข้อสอบก็จะโผล่มาในลูกแก้วให้เราเห็นเอง เพราะฉะนั้น..ตอนนี้ค่อย ๆ หลับตานึกถึง พอหายไปก็ลืมตาดูใหม่ หลับตานึกถึงลูกแก้วใหม่ พอนึกไม่ได้ก็ลืมตาดูใหม่ แล้วก็หลับตาลงนึกถึงใหม่ อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลับตาก็เห็นเหมือนกับลืมตา กลับบ้านไปแล้วทำบ่อย ๆ นะจ๊ะ พอมีฤทธิ์แล้วค่อยมาอวดพี่ ๆ ป้า ๆ อา ๆ เขา

ถาม : หลวงตา..หนูอยากได้ลูกแก้วใส ?
ตอบ : เอาอีกลูกหนึ่งก็ได้ สรุปแล้วเราต้มหลวงตานี่หว่า..! กลับบ้านไปทำบ่อย ๆ นะจ๊ะ คนอยากมีฤทธิ์ต้องขยัน กลัวอย่างเดียวว่ารู้ไม่ทัน โดนผู้ใหญ่หลอกให้ดูหวยเท่านั้นแหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2014 เมื่อ 16:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 17-09-2014, 15:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไปนึกเสียดายหลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณีให้หวยเขามา ๓๐ กว่าปี พอวันที่ท่านมรณภาพน่าจะปี ๒๕๓๐ ถ้าจำไม่ผิดนะ หลวงพ่อฤๅษีฯ บอกว่า “เฮ้อ...เขาขอหวยจนพระอรหันต์ตายไปทั้งองค์” ไม่เคยมีใครไปหาหลวงพ่อเนื่องแล้วอยากได้ธรรมะเลย มีแต่เอาหวยล้วน ๆ จนกระทั่งหลวงพ่อเนื่องท่านเบื่อ ท่านใช้วิธีเขียนใส่กระดานไว้เลย แล้วคนก็ไม่ค่อยรู้วิธีเล่นกัน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาเปิดเผยว่า ถ้าอยากได้งวดนั้นเลยให้ตัดท้ายเล่นตัวเดียว แต่ถ้าอยากถูกตรง ๆ ๓ ตัว ให้ตาม ๑๒ งวด งวดที่ ๑ ถ้าเล่น ๑๐ บาท งวดที่ ๒ ให้เล่น ๒๐ บาท งวดที่ ๓ ให้เล่น ๓๐ บาท เพิ่มแบบนี้ไปเรื่อย ท่านบอกว่าถ้าถูกแล้วจะคุ้ม ท่านบอกไม่เกิน ๑๒ งวดก็จะออก

เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าคนที่บุญไม่มีก็จะไม่ได้ ถึงเวลาตาม ๆ ไปก็เบื่อเลิกไปเอง ขอหวยจนพระอรหันต์ตายไปทั้งองค์ ไม่คิดจะเอาอะไรเลย หลวงพ่อเนื่องมรณภาพปรากฏว่าคณะกรรมการไปค้นกุฏิ มีเงินอยู่ ๒๐ กว่าล้านบาท ท่านรับจากโยมมาก็ทิ้ง ๆ ไว้อย่างนั้นแหละ ไม่ได้สนใจจะทำอะไรเลย อยู่บนเตียงบ้าง อยู่ใต้เตียงบ้าง บางคนเอาแบงค์ไปทั้งปึก เพื่อที่จะเอาให้ท่านให้หวย ท่านก็จะดึงคืนเขาไปใบหนึ่ง ก็คือใบที่จะออก แล้วอีก ๙๙ ใบ ท่านก็โยนโครมไว้ใต้เตียงเหมือนเดิม

จะว่าไปแล้วอาตมาก็เป็นลูกศิษย์สายหลวงพ่อเนื่องเหมือนกัน เพราะว่าหลวงปู่สายไปเรียนวิชากับหลวงพ่อเนื่อง หลวงปู่สายธุดงค์ขึ้นไปจนกระทั่งถึงสุโขทัย แล้วก็ย้อนกลับมาพิษณุโลก ได้ข่าวว่าหลวงพ่อเนื่องมีความสามารถขนาดนั้น จึงลงทุนนั่งรถไฟมาลงกรุงเทพฯ แล้วต่อออกไปแม่กลอง กราบเรียนวิชากับหลวงพ่อเนื่อง ด้วยความที่ถือสัจจะว่าธุดงค์ ท่านก็เลยต้องนั่งรถไฟกลับไปพิษณุโลก แล้วก็ไปเดินกลับ ที่ท่านรีบมาก็คือรีบมาศึกษาวิชาการ พอได้วิชาได้อะไรเสร็จ ซักซ้อมจนกระทั่งมีความมั่นใจ ก็นั่งรถไฟกลับไปที่เดิม แล้วก็เดินกลับ สมัยก่อนท่านถือสัจจะกันเคร่งครัดขนาดนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2014 เมื่อ 16:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 17-09-2014, 15:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จะทำมีดหมอนี่ ?
ตอบ : ปีหน้า ถึงเวลาจะเปิดฟรีสไตล์จ้ะ ใครมีมีดก็เอามาเข้าพิธี

ถาม : อย่างไรเราจึงจะรู้ว่าถึงเวลาใช้ ?
ตอบ : เหมือนกับพกปืน จะใช้หรือไม่ใช้อยู่ที่เรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2014 เมื่อ 16:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 18-09-2014, 08:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีโยมถามว่า พระกราบแม่ ล้างเท้าให้แม่ได้หรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่า ถ้าพระรูปใดทำอย่างนั้นแปลว่าส่งแม่ลงอเวจีไปเรียบร้อยแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย..!

อันดับแรก...พระถือศีล ๒๒๗ ข้อ จัดเป็นอุดมเพศ แม้แต่สามเณรที่ถือศีล ๑๐ พระยังไม่สามารถที่จะรับไหว้ได้ แล้วนี่เราไปกราบแม่ ก็สร้างโทษให้เกิดกับแม่หนักมาก

ลำดับต่อไป ก็คือ การล้างเท้าให้แม่ แม่เป็นผู้หญิง จัดเป็นวัตถุอนามาส ภิกษุจับต้องกายหญิงแล้วเกิดจิตกำหนัดขึ้นมา ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ขาดจากความเป็นพระ ต้องโดนลงโทษด้วยการอยู่ปริวาสจนกว่าจะครบตามกำหนด แล้วให้คณะสงฆ์อย่างน้อย ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นพระให้ ถึงกลับเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่มีจิตกำหนัด ร่างกายของผู้หญิง สิ่งของที่เนื่องด้วยกายหญิง อย่างเช่น เส้นผม หรือเสื้อผ้า ก็จัดเป็นวัตถุอนามาส จับแล้วโดนอาบัติทุกกฏ จะไปคิดว่าเป็นแม่ตัวเองไม่ได้ ก็แปลว่าแม้แต่ตัวพระเองก็เสี่ยงกับอาบัติหนักมาก

ลำดับต่อไปก็คือ เกิดโทษหนักกับตัวเองในลักษณะของอัญญสัตถุทเทส เพราะว่าไปกราบไหว้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา ถ้าวัดน้ำหนักกันแล้ว เขาให้น้ำหนักเท่าอนันตริยกรรมเลย ก็แปลว่าพระเองก็เกิดโทษหนักมาก โอกาสที่จะได้มรรคได้ผล ก็กลายเป็นไม่มีไปเลย

ลำดับต่อไป ก็คือ ไปปิดมรรคผลของบุคคลที่เป็นแม่ด้วย เนื่องจากว่าผู้เป็นแม่แทนที่จะเคารพพระรัตนตรัย กลายเป็นว่าจะรอให้ลูกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยมาทำความเคารพ ไม่เช่นนั้นก็จะมานั่งคิดว่า ปีที่แล้วลูกยังทำแบบนี้ แล้วปีนี้ทำไมลูกไม่มาทำ ทำให้แม่ขาดจากพระรัตนตรัย ปิดมรรคปิดผลไปเลย ชาตินี้ไม่ต้องคิดกัน

ดังนั้น...เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะได้ยินว่าบุคคลที่ทำมีชื่อเสียง ซึ่งจะทำให้บรรดาท่านที่สิ้นสติเลียนแบบกันเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอนในปีหน้า"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 13:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 18-09-2014, 08:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีพระไปกราบไหว้ฤๅษี ซึ่งฤๅษีนั้นก็สนิทสนมคุ้นเคยกับอาตมาดี นั่นก็เป็นเหตุคล้ายคลึงกัน ก็คือกราบไหว้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา นับถือผู้อื่นที่ไม่ใช่ศาสดา ท่านเรียกว่าอัญญสัตถุทเทส ก็คือถือผู้อื่นเป็นศาสดาแทน ก็เท่ากับปิดมรรคผลของตัวเองไปเลย

เนื่องจากอาตมาสนิทสนมใกล้ชิดกับฤๅษีท่านนั้นด้วย ก็รู้ว่าท่านเป็นพุทธภูมิ ก็คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีอยู่ ถ้าท่านยินดีในลักษณะที่ให้พระมากราบไหว้ ก็แปลว่านำตนเองห่างไกลความสำเร็จไปอีกมาก คงจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ลำบากลำบนอีกเยอะ กว่าที่จะกลับมาได้ในระยะที่ใกล้เท่าเดิม

เมื่อประมาณเดือนกว่าที่ผ่านมาก็มีข่าวทางเขมร พระภิกษุไปกราบไหว้ฆราวาสที่อ้างว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิดใหม่ เราจะว่าพระภิกษุเขมรได้รับการศึกษามาน้อยกว่าของเราก็ไม่ได้ เพราะว่าพระภิกษุจากเขมรมาศึกษาพระวินัยจากเมืองไทยไป แล้วก็นำเอารูปแบบการปฏิบัติจากเมืองไทยไปใช้ จนกระทั่งเขมรก็มีมหานิกายและธรรมยุติกนิกายเหมือนกัน เราจะบอกว่าเขารู้น้อยก็ไม่ได้ แต่ต้องเรียกว่าเป็นความเข้าใจผิดแล้วทำให้ตนเองต้องลำบาก ขณะเดียวกันผู้อื่นก็ลำบากไปด้วย เกิดกรรมหนักทั้งสองฝ่าย

เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ทำให้ชัดเจน ไม่ชี้แจงให้ชัดเจน ต่อไปพอญาติโยมเห็นว่าพระไปกราบเท้าแม่ ล้างเท้าแม่ แล้วไปชื่นชม ก็เท่ากับว่าโมทนาสิ่งที่ไม่ดี ก็จะเกิดโทษกับตัวเองด้วย ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราต้องระมัดระวังเอาไว้ เพราะว่าแค่กึ่งพุทธกาล นี่แค่ ๒๕๕๗ ปีเท่านั้น ถ้าเราจะนับตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็เพิ่งจะ ๒๖๐๒ ปีเท่านั้น การประพฤติปฏิบัติก็ยังนอกลู่นอกทางถึงขนาดนี้แล้ว ยิ่งนานไป ถ้าไม่มีใครทำให้ชัดเจน ก็จะยิ่งเละเทะหนักขึ้นไปอีก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 13:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 18-09-2014, 08:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยว่าไว้ก็คือ “เป็นพระ จะไม่รู้ไม่ได้” เพราะว่าพระนั้นศีลจะขาดก็ต่อเมื่อ

๑. ต้องโดยไม่รู้ (อ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ บวชเข้าไปแปลว่าต้องรู้ว่าพระมีศีลอะไรบ้าง เขาถึงให้ไปเป็นนาคก่อน)
๒. ต้องโดยไม่ละอาย (นี่ก็คือรู้แล้วแต่ฝ่าฝืนไปทำ เรียกว่าพวกหน้าด้าน)
๓.
ต้องโดยสงสัยแล้วขืนทำ (ไม่แน่ใจแล้วไปทำ ต่อให้ทำถูกก็โดนปรับอาบัติ ศีลขาด)
๔. ต้องโดยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร
๕. ต้องโดยสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
๖.
ต้องโดยลืมสติ

เรื่องของพระเราโอกาสที่จะแก้ตัวก็นั้นไม่มี จะอ้างว่าไม่รู้ก็ไม่ได้ อ้างว่าขาดสติก็ไม่ได้ อ้างว่าเข้าใจผิดก็ไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านปรับไว้ทุกรูปแบบ จำเป็นที่จะต้องศึกษาให้ชัดเจนก่อนแล้วถึงบวช ไม่อย่างนั้นบวชเข้าไปพระอุปัชฌาย์อาจารย์ต้องรีบชี้แจงให้ชัดเจนก่อน

อย่างของวัดท่าขนุน จะมีการชี้แจงในเรื่องของอาบัติที่โทษหนักและล่อแหลมคือ ปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส ๑๓ ไว้ชัดเจนมาก ถึงเวลาแล้วศีล ๑๗ ข้อนี้คุณต้องรู้ อ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ อาบัติอื่นสามารถแก้ไขแสดงคืนต่อหน้าคณะสงฆ์ได้ แต่อาบัติสองอย่างนี้ ปาราชิก ๔ ข้อ ถ้าโดนแล้วขาดจากความเป็นพระไปเลย แก้ไขไม่ได้ ส่วนสังฆาทิเสส โดนแล้วขาดความเป็นพระชั่วคราว จนกว่าจะได้รับโทษตามที่กำหนดไว้ แล้วให้คณะสงฆ์อย่างน้อย ๒๐ รูปสวดคืนความเป็นพระให้ ถึงจะกลับเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 14:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 18-09-2014, 08:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ปัจจุบันนี้วัดท่าขนุน มีพระโดนสังฆาทิเสสอยู่ ๒ รูป ต้องแยกวงไปฉันต่างหาก เพราะว่ากลายเป็นอนุปสัมบัน คือผู้ศีลไม่เท่าเขา รอให้ออกพรรษาแล้วจะส่งไปอยู่ปริวาส เพื่อรับโทษที่ตนเองติดอยู่ จนกว่าที่จะครบถ้วน แล้วคณะสงฆ์จะสวดอัพภาน คือคืนความเป็นสงฆ์ให้ ถึงจะกลับมาอยู่ร่วมกับพระอื่นได้

พระที่ท่านโดนอาบัติสังฆาทิเสสนั้น มีอยู่รูปหนึ่งน่าเสียดายมาก เพราะไปกล่าวโจทก์พระอีกรูปหนึ่งว่าขโมยของ การที่ไปกล่าวโจทก์ว่าเขาขโมยของ ก็คือกล่าวหาเขาว่าต้องอาบัติปาราชิก แต่คราวนี้โจทก์โดยไม่มีมูล อาตมาซักถามรายละเอียดแล้ว เห็นด้วยตัวเองหรือเปล่า ? ก็ไม่เห็น ได้ยินด้วยตนเองหรือเปล่า ? ก็ไม่ได้ยิน มีผู้ที่เชื่อถือได้มาบอกกล่าวเรื่องนี้หรือเปล่า ? ก็ไม่มี ในเมื่อโจทก์โดยอาบัติที่ไม่มีมูลก็คือ ไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ไม่ได้ยินด้วยตนเอง แล้วก็ไม่มีผู้ที่เชื่อถือได้มาบอกกล่าว ก็แปลว่ากล่าวโจทก์ผู้อื่นด้วยอาบัติที่ไม่มีมูล ตนเองต้องสังฆาทิเสสเอง พระพุทธเจ้าต้องกันเอาไว้ เพื่อป้องกันการใส่ร้ายกันในลักษณะอย่างนี้

อาตมาถามว่าไม่ชอบหน้ากันเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า ? ท่านก็ไม่พูด แต่ถึงจะพูดหรือไม่พูดก็ตาม ก็บอกท่านไปว่า "ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก็ไม่ต้องอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์เขา ถ้าเขาลงสังฆกรรมก็ไม่ต้องไปลงกับเขา เพราะว่าสังฆกรรมเขาจะเสีย คราวนี้ก็รอเวลาว่าออกพรรษาเมื่อไรก็ไปอยู่ปริวาส รับโทษที่ตัวเองทำไว้" รายอื่นโดนอาบัติเพราะตัวเองทำเอง แต่ท่านนี้กล่าวหาผู้อื่นด้วยอาบัติที่ไม่มีมูล

ดังนั้น..ญาติโยมถ้าคิดจะบวช ศีลพระต้องแม่น ถ้าไม่แม่น โอกาสเดี้ยงมีสูงมาก ถ้าโดนอาบัติปาราชิกไป ก็เสียชาติเกิดเลย"


ถาม : ต้องอาบัติเพราะโจทก์อาบัติผู้อื่นโดยไม่มีมูล อาบัติที่ตนเองต้องโดนต้องเป็นสังฆาทิเสสหรือครับ ?
ตอบ :ไม่ใช่...ตัวเองจะโดนอาบัติที่รองลงไป เช่น โจทก์อาบัติสังฆาทิเสส ตนเองต้องปาจิตตีย์ ต้องอาบัติที่ต่ำกว่าลงไปเป็นชุด ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 14:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 18-09-2014, 08:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ย้อนกลับไปเรื่องเดิมนิดหนึ่งว่า บุคคลทั่วไปสมควรที่จะกราบเท้าแม่ ล้างเท้าแม่ แต่เป็นพระไม่สมควรด้วยประการทั้งปวง เพราะก่อให้เกิดโทษหนักทั้งตนเองและแม่ของตน ที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ ถ้าแม่มีโอกาสจะได้มรรคได้ผล ก็เท่ากับไปปิดมรรคปิดผลของแม่ไปเลย

ถ้าแม่ไปปลื้มว่าลูกมากราบเท้า ดีเหลือเกิน แล้วตั้งหน้าตั้งตารออีกก็เฮง แม่พระสารีบุตรนั้น จนวินาทีสุดท้ายถึงยอมกราบลูก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2014 เมื่อ 09:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 18-09-2014, 09:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวกับพระถึงเรื่องการสร้างธงมหาพิชัยสงครามว่า "ธงมหาพิชัยสงครามอย่าไปสร้างเลย ไม่มีประโยชน์หรอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า พ้นจากท่านไปแล้ว คนอื่นสร้างก็ไม่มีผล วัตถุมงคลบางอย่างก็ไปตามสายครูบาอาจารย์ ขณะเดียวกันบางอย่างก็ไปตามสายเลือด ธงมหาพิชัยสงครามไปตามสายเลือดตระกูล ถ้าจะทำก็ทำอย่างผม คือดัดแปลงเสีย ในเมื่อเราดัดแปลงก็ไม่ใช่ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ผิดกฎกติกา พระหรือพรหม หรือเทวดา ท่านก็สามารถสงเคราะห์ได้

เพราะว่าวิชาจากตำราพระร่วง ถ้าไม่ได้ครอบครูต่อกันมา ทำไปไม่มีผล ตอนที่ครอบครูก็มีแค่ ๙ รูป ที่สึกออกไปก็เยอะแล้ว หลวงพี่บัญชาสึก ท่านน้อยสึก ท่านชาติชายสึก ที่อยู่ข้างนอกก็มีผม หลวงตาวัชรชัย หลวงพี่วิรัช ออกจากวัดมารวมแล้วเกินครึ่ง

ถ้าจะทำ ทำเป็นอย่างอื่นดีกว่า ผมเห็นหลวงตาวัชรชัยทำ หลวงพี่ชลอทำ หลวงพี่องอาจทำ จะทำไปทำไม ? ทำไปแล้วไม่มีผล ทำแล้วญาติโยมเขาเอาไปใช้แล้วไม่ได้ผลก็เฮงอีก แม้กระทั่งการทำวัตถุมงคลแบบเดียวกับครูบาอาจารย์ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังไม่ทำเลย มีคนขอให้หลวงพ่อวัดท่าซุงทำพระทรงสัตว์แบบต่าง ๆ เหมือนของหลวงปู่ปาน หลวงพ่อท่านก็ไม่ทำ ท่านบอกว่าไม่ควรที่จะวัดรอยครูบาอาจารย์

ผมก็เห็น..อย่างของวัดคู้สลอด หรือหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ทำแล้วดูสับสน ถอดแบบออกมาเลย คนรุ่นหลังตาไม่ถึงก็เหมาว่าเป็นของวัดบางนมโค ทำให้เซียนหากินกันเพลิน หลวงปู่ปานท่านสร้างพระคำข้าวองค์ใหญ่ ๕ นิ้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำองค์เล็ก เรื่องการบรรจุผงวิเศษ หลวงพ่อท่านบรรจุหลังพระ ท่านไม่ได้บรรจุด้านบนแบบพระหลวงปู่ปาน ต้องเลี่ยง ๆ อย่าให้เหมือนกัน เหมือนกันแล้วนานไปจะจำกันไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่างสมเด็จองค์ปฐมมีสารพัดแบบ ถ้าจะทำต้องลงให้ชัด ๆ ไปเลยว่าของวัดไหน อย่างหลวงพี่ชลอถอดแบบทางวัดท่าซุงไปแทบทุกพิมพ์

นาน ๆ ไป ๓๐-๔๐ ปีญาติโยมสับสนตายชักเลย ทำก็ลงให้ชัด ๆ ที่องค์พระเลยว่า "สมเด็จองค์ปฐม วัดศาลพันท้ายนรสิงห์" คนรุ่นหลังจะได้ไม่ต้องเล็งกันตาเหล่ สมัยนี้คอมพิวเตอร์สแกน เลเซอร์สแกน เล่นถอดแบบไปได้ทุกจุด คนรุ่นหลังก็แย่ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ขนาดพวกเราทัน ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ยังสับสนจะตาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 14:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 18-09-2014, 09:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ขนาดของผมเขายังปลอมกันอุตลุด แต่ละรุ่นปลอมกันมาแล้วพยายามที่จะสร้างข่าว อย่างสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๓ ผมยืนยันว่าไม่ได้พุทธาภิเษก สมเด็จองค์ปฐมถ้าจะนับรุ่น ๓ จริง ๆ ต้องนับเหรียญรูปหลวงพ่อหลังสมเด็จองค์ปฐม หรือไม่ก็เหรียญหลวงพ่อหลังรูปพระศรีอริยเมตไตรย จะเสกพร้อมกับรุ่นที่แขวนหน้ารถ แต่รุ่นนั้นก็ซื้อจากท้องตลาด แล้วมีแค่ ๕๐๐ ชุด ตอนนี้ไม่ต้องห่วง..ซื้อจากท้องตลาดมีได้เป็นล้านชุด ถ้าไม่ใช่ที่เชื่อถือได้จริง ๆ ก็อย่าไปแตะ เขาพยายามออกข่าวว่า หลวงพ่อเสกไว้ให้ก่อนแล้ว

แม้กระทั่งเรื่องของเหรียญทำน้ำมนต์ เขาถอดเนื้อหาเหรียญทำน้ำมนต์ของผมไปทั้งแท่งเลย แล้วบอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านพูด คิดดูแล้วกัน..ขนาดผมลงชื่อ เขาตัดชื่อผมออก แล้วไปลงว่าเป็นของหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่นถอดไปทุกคำเลย ของผมพิมพ์เป็นเวิร์ด เขาคัดลอกไปหมด ต่อไปต้องเป็นแสกนเป็น pdf ห้ามแก้ไฟล์ ไม่อย่างนั้นแล้วไม่ลงทุนกันเลย คัดลอกไปอ้างเฉย ๆ "
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 14:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 18-09-2014, 11:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จิตกับใจ ?
ตอบ : จิตกับใจจริง ๆ แล้วเป็นตัวเดียวกัน แต่บางคนก็ไปแยกว่าใจคือใจ จิตคือจิต แต่ตามที่อาตมาว่า สภาพจิตหรือการทำงานของจิต คือชวนะ ก็คือใจ บางคนเรียกว่าจิต บางคนเรียกว่าใจ บางคนไม่เข้าใจเรียกว่าวิญญาณ นึกว่าเป็นผีไปเสียอีก

ถาม : หลักการคิด ?
ตอบ : การคิดต้องดูว่าเราคิดเรื่องทางโลกหรือคิดเรื่องทางธรรม แต่ว่าการคิดทั้งหมดที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องมีสัมปชัญญะ คือความรู้ตัว และหยุดความคิดนั้นไว้ที่จุดที่พอดี ถ้าเกินพอดีไปเมื่อไรก็ฟุ้งซ่าน หรือไม่ก็ทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 14:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 18-09-2014, 11:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ธรรมะของพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับจักรวาลหรือไม่ ?
ตอบ : หลักธรรมะของพระพุทธเจ้าคือความเป็นธรรมชาติ ก็เท่ากับเป็นหลักเดียวของจักรวาล คือสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรทรงตัวอยู่ได้ วิทยาศาสตร์เพิ่งจะตามไปถึงแค่อนิจจังอย่างเดียว สรรพวัตถุล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยงเพราะเป็นแรงดึงดูดระหว่างอนุภาคคือพลังงานนั่นเอง พอเลิกดึงดูดกันก็สลาย ไม่มีอะไรเหลือ

ถาม : .... (ไม่ชัด).....มายุคสมัยเรามีการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานตลอดเวลา ?
ตอบ : จะมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลาจะใช้ถึงระดับพลังงานนั้น ต้องได้รับการฝึกถึงระดับอภิญญา สังเกตว่าคนที่ได้อภิญญา สามารถมุดน้ำดำดิน เหาะเหินเดินอากาศได้ จริง ๆ ก็แค่ดึงเอาพลังงานในตัวมาใช้เท่านั้น

ถาม : เคยดูวีดีโอ....(ไม่ชัด)... เขาดึงเอาพลังงานมาใช้หรือครับ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือพลังจิต พลังจิตที่สำคัญที่สุด เพราะสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบกายหยาบที่เป็นวัตถุธาตุได้

ถาม : จริง ๆ เราจำเป็นต้อง.... ?
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องรู้ ทำให้ได้ก็พอ ส่วนใหญ่มัวแต่ไปฟุ้งซ่านคิดอยู่ ก็เลยทำไม่ได้สักที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2014 เมื่อ 14:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 18-09-2014, 11:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,400 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ลักษณะของการคิด เมื่อไปถึงระดับหนึ่งจะเกิดความคิดแตกฉานขึ้นมา แต่จะแตกกระจายกว้างออกไปเรื่อย ๆ คิดอะไรก็สมเหตุสมผลไปหมด แต่ให้สังเกตว่าไม่ได้สอนเราคิดเรื่องตัดกิเลส เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไปคิดอยู่ หลงเสียเวลาคิดตาม ๒๐ ปี ๓๐ ปี คิดว่าเราเก่ง คิดอะไรก็ถูก คิดอะไรก็ดี แต่วิธีการละกิเลสไม่มีเลย หลายคนก็เผลอว่าตัวเองต้องได้มรรคได้ผลอะไรบางอย่าง เพราะคิดอะไรก็สามารถหาเหตุเชื่อมโยงได้ทุกอย่าง แต่ขอให้สังเกตชัด ๆ ว่า ไม่มีวิธีการละกิเลสแม้แต่นิดเดียว มารหลอกให้เราเสียเวลาคิด รู้ตัวก็รีบเลี้ยวกลับ

มาถึงระดับนี้ถ้าต้องการเป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของโลกนี่สบาย เขียนทฤษฎีอะไรขึ้นมาก็ได้ จะสมเหตุสมผลไปหมด แข่งกับสตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง ได้สบาย แต่ไม่มีวิธีละกิเลส ฉะนั้น...ให้ระมัดระวัง มาถึงระดับนี้แล้วควบคุมตัวเองให้เป็น หยุดคิดให้ได้ หยุดไม่ได้ก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย พลังงานที่จะใช้ในการละกิเลส จะโดนดึงเอาไปใช้งานในการฟุ้งซ่าน กลายเป็นว่าผลการปฏิบัติหาความก้าวหน้าไม่ได้ พอถึงเวลา เอ๊ะ..ทำไมกิเลสกำเริบอีกแล้ว ? เพราะเราไม่ได้ละกิเลส เราดันไปคิดฟุ้งซ่านอย่างเดียว ถ้าจะเอาประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมก็แทบจะไม่มี

ถ้าจะเอาทางโลก ๆ เอาอะไรก็คิดได้หมด อย่าง ดร.อาจอง ใช่ไหม ? คิดระบบยานลงจอดดวงจันทร์ได้สำเร็จ ขณะที่ฝรั่งคิดไม่ได้ นั่นฟุ้งได้ขนาดนั้น แต่ก็ดี เพราะเขาทำให้วัตถุธาตุต่าง ๆ ก้าวหน้าขึ้น แต่ถ้าเราตั้งใจละกิเลส เสียเวลาอย่าบอกใครเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2014 เมื่อ 04:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว