กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 08-10-2013, 19:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default โอวาทงานบวชเนกขัมมะ ๑๐-๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๖ (๑)

ในเรื่องของการฝึกทุกอย่าง ถ้าเราทำจนเป็นธรรมชาติ ก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวเรา ในเรื่องของการฝึกปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าทุกลมหายใจเข้าออก เราอยู่กับการภาวนา จะเกิดบุคลิกภาพบางอย่างที่ไม่เหมือนใคร กลายเป็นพวกแปลกแยกจากสังคม คนอื่นเขาไม่ยอมรับ โดดเดี่ยว เป็นพวกมนุษย์พันธุ์ก้มหน้า ก้มหน้าภาวนานะ ไม่ใช่ก้มหน้าเล่นไลน์หรือเฟซบุ๊ก พวกพันธุ์ก้มหน้าปัจจุบันนี้ก้มหน้าเขี่ยจอ สิ่งที่เราทำพอถึงเวลาก็จะกลายเป็นตัวตนของเรา

โดยเฉพาะว่าในโลกปัจจุบันนี้ เป็นโลกของคนกินคน คำว่าโลกของคนกินคนก็คือ ทุกอย่างเป็นผลประโยชน์ไปหมด กว่าเราจะรู้ก็อาจจะเป็นกลายบันไดให้เขาเหยียบข้ามไปแล้ว หรือไม่ก็กว่าเราจะรู้ตัวว่าเขามาคบเรา เขาก็อาศัยเราทำเพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้เราอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมั่นคง ก็คือกำลังใจที่ทรงตัวเข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นแล้วจะอยู่ยาก

ถ้าหากว่ากำลังใจทรงตัวเข้มแข็ง โดนอะไรก็สะเทือนน้อย ปล่อยวางได้ง่าย ยุคของเราต้องเรียกว่ายังดีอยู่ ยุคหน้าถัดจากนี้ไป อาชีพไอทีเทคโนโลยี ใครมีลูกหลานให้เรียนไว้เลย อาชีพจิตแพทย์ จะเป็นอาชีพที่เจริญรุ่งเรืองมาก เพราะเทคโนโลยีทุกอย่างจะก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ช้าไปอาทิตย์เดียวอาจจะตามอะไรไม่ทันเลย

อาตมาถูกล็อตโต้ไป ๒ งวดแล้ว งวดแรกสองล้านดอลลาร์ งวดนี้อีกหนึ่งล้านดอลลาร์ ทำไมดวงดีแบบนี้ก็ไม่รู้ โทรไปเมื่อไรก็คาดว่า ท่านต้องจ่ายภาษีเท่านั้นเท่านี้ แล้วท่านก็โอนมาก่อนเสียดี ๆ เคยมีโดนมาแล้ว ขายบ้านขายช่องโอนไปแปดแสนบาท หายจ้อยไปเลย เพราะคิดว่าแปดแสนบาทไทยแลกกับสองล้านดอลลาร์สุดที่จะคุ้ม หกสิบล้านโดยประมาณ อาตมาถูกมา ๒ งวดแล้ว ยังอยู่ในเครื่องอยู่เลย เก็บไว้ดูเป็นที่ระลึก..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-10-2013 เมื่อ 09:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-10-2013, 19:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง การกระทบกระทั่งกับสิ่งรอบข้างจะทำให้เราอดทนได้ ไม่ต้องไปหาจิตแพทย์ ฝรั่งเขาไปหาจิตแพทย์กันเป็นปกติ แต่บ้านเราถ้าได้ยินคำว่าจิตแพทย์ก็คิดว่า “ไอ้นี่บ้านี่หว่า” เพราะเรามองจิตแพทย์ในแง่ร้าย

ความจริงพระก็เป็นจิตแพทย์ประเภทหนึ่ง เพราะว่าทำให้เรามีที่พึ่ง คือโดยปกติแล้วบุคคลทั่ว ๆ ไป ถ้ายังไม่ใช่พระอริยเจ้าที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ก็มักจะต้องอาศัยเกาะสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นที่พึ่ง ถ้ารู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ก็จะเกิดความรู้สึกว้าเหว่ แล้วก็อาจจะต้องไปพึ่งพายาเสพติดบ้าง เที่ยวหัวหกก้นขวิดบ้าง ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เวลาเราไปกินเหล้าเมายา เที่ยวกลางคืนอะไรพวกนี้ เราจะรู้สึกว่ามีความสุข..ใช่ มีความสุขขึ้นมานิดหนึ่ง เพราะว่าเกิดจากปัจจัยกระตุ้นภายนอก แสง สี เสียง ข้าวปลาอาหาร สุรา เข้ามากระตุ้น กำลังใจเกิดปีตินิดหนึ่งก็รู้สึกว่ามีความสุข พอพ้นจากที่นั่นไปก็หายเงียบ แล้วอยากมีความสุขอีก ก็ต้องไปอีก ก็เลยกลายเป็นคนที่ติดเที่ยวกลางคืนโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

แต่ถ้าเรามาปฏิบัติธรรมอย่างนี้ เป็นการสร้างปีติขึ้นภายในของเราเอง แค่เราก้าวขึ้นถึงระดับปีติที่ยังไม่ได้ฌานเลย ก็รู้สึกไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ไม่หน่ายในการปฏิบัติ แล้วเป็นปีติที่ยั่งยืน เพราะเราสร้างเองได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นก็จะทำให้กำลังใจของเราเริ่มมั่นคง มีที่ยึดที่เกาะที่เหมาะสม ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปหาจิตแพทย์เพราะขาดที่พึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-10-2013 เมื่อ 19:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 109 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 09-10-2013, 11:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น...เรื่องพวกนี้มีแต่จะหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามสภาพของสังคมที่ทรัพยากรโลกเหลือน้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่พลโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ การแย่งชิงไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นปัจจัยเอื้ออำนวยให้เราอยู่รอดได้ ก็จะหนักขึ้นเรื่อย ๆ เคยมีการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่เรื่องหนึ่ง อยู่ ๆ เด็กนักเรียนทั้งโรงเรียน รวมทั้งครูบาอาจารย์ พ่อครัวโรงเรียนที่ทำอาหารให้เด็ก หลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่ง แล้วรอบข้างมีแต่สัตว์ประหลาด ใครโผล่หัวหลุดออกจากรั้วโรงเรียนเมื่อไรโดนงาบเมื่อนั้น คุณครูต้องทำร้ายนักเรียนอย่างรุนแรงเพื่อให้คนตกใจกลัวและยอมรับฟังคำสั่งของตนเอง

นี่คือลักษณะของบุคคลที่สภาพจิตใจไม่มั่นคง เมื่อถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมาก็จะมีการแสดงออกที่เป็นไปตามกำลังใจที่แท้จริงของตนเอง พ่อครัวของโรงเรียนถึงขนาดเอาบังตอสับหัวนักเรียนได้ เพื่อที่จะรักษาอาหารไว้เป็นของตัวเอง ที่ต้องติดอยู่ในมิตินั้นไม่รู้อีกนานเท่าไร เพราะฉะนั้น..ถึงเป็นเด็กเล็ก ๆ ก็ฆ่าทิ้งได้ เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด การ์ตูนญี่ปุ่นมี ๒ อย่าง ถ้าไม่ลามกก็โหด ฉะนั้น..อย่าไปดูเลย นั่นก็คือกำลังใจที่ไม่มีหลักยึด ถึงเวลาก็แสดงออกไปตามสภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ตอนนั้น เดี๋ยวนั้น

เราเอง..ถ้าทุกอย่างบีบรัดเข้ามา ก็จะแสดงออกซึ่งกำลังใจที่แท้จริงของเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..จึงจำเป็นที่เราจะต้องสร้างกำลังของเราให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ ตื่นเช้าขึ้นมา ถามตัวเองว่าเราพร้อมจะตายหรือยัง ? อย่าไปตอบว่า “พร้อม” เพราะรู้ว่าคำตอบนี้ถูก ถ้าตอบอย่างนั้นใช้ไม่ได้ ต้องเป็นคำตอบที่ออกมาจากใจของตัวเองจริง ๆ พร้อมหรือไม่พร้อม ?

ถามตัวเองต่อไปว่าคนที่เรารักมีไหม ? ของที่เรารักมีไหม ? ทรัพย์สมบัติของเรามีไหม ? ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มี เราพร้อมที่จะทิ้งไปได้หรือยัง ? นี่เป็นแค่โจทย์สมมติเท่านั้น ถ้าเกิดขึ้นจริง เราเตรียมตัวเตรียมใจแต่เนิ่น ๆ จะได้ไม่ตกใจมากนัก วันก่อนอาตมาไปเยี่ยมเด็กที่ป่วย ตกบันไดสถานีรถไฟฟ้า ถามเขาว่า ถ้าตอนนี้พ่อแม่ปุบปับตายไปทั้งคู่คิดว่าเราจะอยู่ได้ไหม ? นั่นก็คือเป็นการกระตุ้นให้เขามีความพร้อมมากขึ้น ต้องรู้จักวางแผนเพื่อตัวเอง หางานทำที่มั่นคง เพื่อที่ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องพึ่งพ่อพึ่งแม่ เมื่อยืนหยัดได้ด้วยตนเองเต็มที่แล้ว ต่อไปเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวเขาก็จะได้ไม่เดือดร้อน อาตมาเองมักจะไปส่งเรื่องเครียด ๆ ให้เด็กเขาอยู่เรื่อยแหละ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2013 เมื่อ 14:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 10-10-2013, 12:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สิ่งที่ครูบาอาจารย์แต่ละท่านบอกมาเป็นแค่แนวทางเท่านั้น ว่าท่านปฏิบัติอย่างไร แล้วเราดำเนินรอยตามไป แต่ไม่ใช่ว่าเราจะเจอแบบท่านทุกอย่าง อาตมาเองคลุกคลีกับพระสายหลวงปู่มั่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ วิ่งรับใช้มาแทบทุกองค์ โดยเฉพาะจะสนิทกับหลวงปู่ฝั้น วัดถ้ำขามมากที่สุด ยกให้ท่านเป็นครูบาอาจารย์คนหนึ่ง สมัยก่อนที่จะได้ปฏิบัติตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็มีท่านเป็นครูบาอาจารย์ในดวงใจ กะว่าถ้าบวช..ก็จะบวชกับครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถแบบนี้แหละ

ปรากฏว่าหลวงปู่หลวงพ่อสายนั้นท่านบอกว่า “ให้ไปทำเอา ให้ไปภาวนาเอา ติดขัดตรงไหนแล้วมาถาม” รายละเอียดไม่มีเลย บอกแค่นั้น พอมาเจอตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านให้รายละเอียดแล้วติดใจ ปฏิบัติไปปฏิบัติมาก็เลยมาอยู่ทางด้านนี้แทน ดังนั้นว่า..ในส่วนที่ท่านบอก ครูบาอาจารย์สายนั้นพอเรามีปัญหา ท่านบอกว่า “สู้แค่ตายเลยลูก” อาตมาลองสู้แล้ว ตายจริง ๆ ตายฟรีด้วย..! เพราะว่าความเข้มแข็งของกำลังใจเราไม่ได้อย่างของท่าน แล้วไปใช้วิธีการเดียวกับท่านก็เจ๊งเลย

พระสายอีสาน การดำรงชีวิตลำบากสาหัสสากรรจ์ ท่านต้องดิ้นรนมาตั้งแต่เด็ก พวกเราเด็ก ๆ ยังวิ่งเล็กกันอยู่เลย เด็กทางภาคอีสาน ขุดหาแมงกุดจี่ หาเขียด หากบ ตัวเล็ก ๆ เขาต้องหากินเป็นแล้ว ไม่อย่างนั้นอดตาย ในเมื่อชีวิตต้องดิ้นรนขนาดนั้น ความเข้มแข็งของกำลังใจจึงมาก พระสายนั้นถึงต้องทรมานตัวเองค่อนข้างหนัก กว่าสภาพจิตจะยอมลงให้ เมื่อเช้าเราสวดพระสหัสสนัย จะมีตอนหนึ่งที่ว่า

ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยาก
ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบาก แต่บรรลุง่าย
สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติสบาย แต่บรรลุยาก
สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสบาย และบรรลุง่าย

เราต้องเลือกว่าวิธีการไหนถึงจะเหมาะสมกับเรา แต่ส่วนที่จำเป็นที่สุดเลยก็คือต้องทำให้ต่อเนื่อง อย่าทิ้งช่วงให้ขาดลง การปฏิบัติเป็นการว่ายทวนน้ำ เราปล่อยเมื่อไรจะไหลตามน้ำไป พอเราว่ายใหม่อย่างเก่งก็ได้เท่าเดิม ถ้าวันไหนล้าก็ได้ไม่เท่าเดิม ก็แปลว่าเรามีแต่จะห่างฝั่งไปเรื่อย แล้วตอนที่ว่ายทวนน้ำนี่เป็นตอนที่ลำบากมาก ยิ่งระยะทางห่างมากทุกที ก็ยิ่งต้องตะเกียกตะกายมาก

หลายท่านจะมีประสบการณ์ว่าเคยปฏิบัติได้ดี พอทิ้งไปแล้วจะเอาให้ดีเหมือนเดิมนี่แทบเลือดตากระเด็น ฉะนั้น..อย่าเปิดโอกาสให้กิเลสกินใจเราได้ ต้องพยายามรักษาความดีให้ต่อเนื่องเข้าไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-10-2013 เมื่อ 17:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 99 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 11-10-2013, 19:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(ไม่ชัด)..อย่างที่อาตมาเป็นอยู่นี่แหละ ประเภทมรดกอะไรก็ไม่ให้ แต่ให้มาลาเรียมา หลวงพ่อบอกว่าท่านไม่คิดว่าเลิกธุดงค์มาตั้งสามสี่สิบปีแล้วจะเป็น พอ ๔ โมงเย็นท่านจะอาเจียนเป็นกระโถน ๆ ทุกวัน ท่านคิดว่า ท่านต้องรับสังฆทานญาติโยมตั้งแต่บ่ายโมงถึง ๔ โมงเย็นทุกวัน ก็คิดว่าพระช่วยให้มีกำลังในจุดนั้น แล้วไปอาเจียนหลังจากที่รับสังฆทานเสร็จแล้ว ท่านลืมไปว่ามาลาเรียมาตรงเวลาทุกวัน

พอวาระใกล้ ๆ จะสิ้น กรรมท่านเริ่มเบาลง หลังจากที่เป็นมาจนงอมพระราม ถ้าเป็นพวกเราก็ตายไปหลายรอบแล้ว กรรมท่านเริ่มเบาลง พระท่านก็ทำภาพให้ดูว่า ต้องใช้ยาอย่างนี้ ๆ ปรากฏว่าเป็นยาควินินน้ำแบบเข้มข้น ท่านถึงได้รู้ว่าท่านเป็นมาลาเรีย ก่อนหน้านั้นพระท่านบอกไม่ได้ เพราะวาระกรรมยังไม่เบาลง บอกไปก็เป็นการฝืนกฎของกรรม พอฉีดเข้าไป หลวงพ่อท่านหายจากมาลาเรียได้ไม่กี่วันก็เริ่มตัวบวม

ถ้าใครเห็นรูปที่ท่านนั่งโซฟาแล้วเต็มโซฟาเลย อาตมาขอยืนยันว่าท่านบวมนะ แล้วทุกคนชื่นชมเหลือเกินว่าภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายของหลวงพ่อ ไม่รู้ว่าท่านกำลังบวม ทรมานขนาดไหน ต้องฉันยาขับน้ำอยู่ทุกวัน ก็จะบวม ๆ ยุบ ๆ อยู่ ๗ - ๘ ครั้ง แล้วก็มรณภาพ เพราะร่างกายไม่ไหว ทั้ง ๆ ที่อายุจริง ๆ ของหลวงพ่อไม่ใช่แค่นั้น อายุท่านยังเหลืออีกมากเลย ยังเหลืออีก ๓๐ ปีได้ จากตอนนี้นะ แต่มรณภาพก่อนเพราะเข็นร่างกายไม่ไหว เนื่องจากทำกรรมไว้เยอะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-10-2013 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 96 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 15-10-2013, 15:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านดีมาตั้งแต่ต้น ท่านมรณภาพก็ดีใจว่าท่านพ้นจากการทรมานเสียที แต่มีอยู่ท่านหนึ่งก็คือ หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม อาตมาดีใจที่ท่านมรณภาพพร้อมกับความดีสูงสุด หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านเป็นพระดีแท้แน่นอนแล้ว อย่างไรเสียก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามไม่ใช่อย่างนั้น หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดชนะสงครามเป็นมะเร็งตับ ใครไม่เคยเป็นมะเร็งไม่รู้หรอกว่าเจ็บปวดสาหัสขนาดไหน พอปวดมากเข้า ๆ ท่านบอกว่า อันนี้ท่านบอกหลังจากตายแล้วนะ อย่าเพิ่งเชื่อ..เพราะหลักฐานไม่มี

ท่านบอกว่า “ไอ้ความที่เราก็เป็นศิษย์มีครู...” คือท่านสืบสายวิชาความรู้มาจากหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติที่อยุธยา เป็นลูกศิษย์สายนั้น เป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปเดียวที่มีรอยสักลาย ๆ ที่แขน ท่านบอกว่า “พอเจ็บมากเข้า ๆ ไอ้ความที่เป็นศิษย์มีครู ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องยกคำครูขึ้นมาพิจารณา” ครูบาอาจารย์เคยสอนวิชากรรมฐานไว้ตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ ขนมาใช้งานหมดเลย ท้ายสุดได้ก่อนมรณภาพแค่ไม่ถึงวัน

อาตมาไปเพื่อที่จะสรงน้ำ ไปถึงก็ “ตายละวา ตูจะมีที่จอดรถไหม ?” ปรากฏว่าท่านยืนสว่างโร่เต็มถนนเลยบอกว่า “มี..กันไว้ให้แล้ว” อาตมาถามว่าหลวงพ่อไปไหนครับ ? ท่านบอกว่า "หลวงพ่อแกไปไหน ข้าก็ไปที่นั่นแหละ" ท่านยืนยัน ปรากฏว่าไปถึง ตำรวจเขากั้นที่จอดรถไว้ให้อยู่ช่องหนึ่ง เลยได้จอดรถตรงข้างรั้ววัด ไปถึงสรงน้ำเสร็จ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อัญเชิญน้ำพระราชทานมาถึงพอดี ถ้าน้ำพระราชทานลงเมื่อไร คนอื่นก็หมดสิทธิ์แล้ว ต้องบรรจุเลย โชคดีที่ยังไปถวายน้ำสรงท่านทันเวลาพอดี

นั่นก็เป็นตอนหนึ่งที่ว่าพระที่ท่านปฏิบัติแล้ว พอเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา นึกถึงความดีเดิมที่เคยทำได้ แล้ววางกำลังใจตัวเองตัดร่างกาย เพราะเห็นว่าไม่ดีจริง ๆ จากคนที่ล่ำสันสูงใหญ่ กลายเป็นเหลือแค่หนังหุ้มกระดูกดำปี๋เลย ท่านเจ็บสาหัสอยู่ปีกว่าจึงมรณภาพ แล้วมะเร็งเวลากินนี่ต่อให้คนปากหนักแค่ไหนก็เชื่อว่าต้องโอย นี่เป็นตัวอย่างท่านที่ไปได้ถึงที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2013 เมื่อ 16:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 17-10-2013, 20:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกท่านหนึ่งที่รู้จักแล้วท่านไปได้ไม่ถึงที่สุด ก็คือ ท่านพระเทพวิสุทธิเวที วัดอนงคาราม (หลวงพ่อท่านเจ้าคุณไสว) สมัยสงครามโลกท่านเป็นเพื่อนร่วมวงน้ำปลาพริกป่นกับหลวงพ่อวัดท่าซุงมาด้วยกัน รุ่นนั้นจะมีหลวงพ่อเจ้าคุณสรภาณกวี เจ้าคุณกวีวงศ์ เจ้าคุณเทพวิสุทธิเวทีนั่นแหละ

ท่านมรณภาพแล้วไปเป็นพรหมชั้นที่ ๖ ท่านไม่เคยเจริญกรรมฐานเลยแล้วไปได้อย่างไร ? ท่านบอกว่า "หลวงพ่อแกสอนอยู่ทุกวัน เจอหน้าเมื่อไร ฤๅษีลิงดำท่านก็พ่นใส่หูเรา.." คือท่านเป็นเพื่อนกัน ท่านก็ล้อกันเล่น พูดกันแบบเพื่อน ท่านบอกว่าต้องทำกำลังใจอย่างนั้น ต้องทำกำลังใจอย่างนี้ เราไม่มีเวลาปฏิบัติสักที พอมะเร็งกินเข้า เจ็บจนหาทางไปไม่ได้ก็นึกถึง “เจ้าคุณวีระพูดถูกเว้ย ถ้าไม่เอาตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปเอาตอนไหน” ก็เลยพยายามภาวนาเพื่อระงับกายสังขาร คือไม่ให้อาการเจ็บปวดกำเริบมาก แต่ท่านเองเป็นแบบฉุกเฉิน ประเภทขี้จะแตกแล้วค่อยขุดส้วม ก็ยังดีว่าสามารถทรงสมาธิได้

ถ้าพรหมชั้นที่ ๖ หรืออาภัสราพรหมต้องทรงฌาน ๒ ละเอียดได้ ระงับอาการเจ็บปวดได้แล้วท่านก็มรณภาพ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2013 เมื่อ 20:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 20-10-2013, 20:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ต้องบอกว่าในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเรารู้จักพิจารณา จะได้อะไรดี ๆ เยอะมากเลย เพราะจะเห็นความไม่ดีของร่างกายนี้จริง ๆ ถ้าใครที่เจ็บป่วย ขอให้รู้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐอย่างยิ่งแล้ว โอกาสแบบนี้หาซื้อไม่ได้ จ่ายแพงเท่าไรเขาก็ไม่ขายให้

เราลองนึกดูว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระองค์ กว่าจะตรัสรู้ เอาแค่ระดับที่เรียนเก่งที่สุด จบสั้นที่สุด ก็คือพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะ บาลีท่านบอกว่า จิตติตัง สัตตะสังเขยยัง แต่คิดในใจใช้เวลา ๗ อสงไขย นวสังเขยยะ วาจะกัง พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย ไป ๑๖ อสงไขยแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นการปฏิบัติเพื่อให้เป็นพระพุทธเจ้าอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ระยะเวลาเนิ่นนานขนาดนั้น คิดเป็นทรัพยากรที่ใช้สิ้นเปลืองไปแต่ละชาติเท่าไร ประมาณเป็นตัวเลขได้ไหม ? จะเป็นตัวเลขมหึมาชนิดที่สามารถซื้อจักรวาลได้เลย

ท่านใช้ทรัพยากรไปสิ้นเปลืองขนาดนั้นเพื่อศึกษาให้เห็นทุกข์ แล้วตอนนี้ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ความทุกข์มาอยู่ตรงหน้า เปรียบราคาขนาดนั้นแล้ว ทุกข์จึงมีคุณค่ามหาศาล ถึงได้บอกว่า ต้องใช้ทรัพยากรขนาดไหนก็ซื้อทุกข์แบบนั้นให้เราเห็นชัด ๆ ไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องซื้อ มาอยู่ตรงหน้าของเราเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2013 เมื่อ 20:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 20-10-2013, 20:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าใครสามารถใช้ประโยชน์จากการเจ็บไข้ได้ป่วยได้ อันดับแรกจะเห็นต้นทุนของตัวเองว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ของเรามีเท่าไร ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาของเราไม่พอ ก็จะไปโอดโอยอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ “เจ็บแท้หนอ ปวดแท้หนอ” แต่ถ้าพอเมื่อไรจะพิจารณาว่า “เออ..สภาพร่างกายของเรา ที่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติธรรมดาเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้วอย่างแน่นอนที่สุด ตายเมื่อไรขอไปพระนิพพานแห่งเดียว”

ลองไปนึกถึงพระนางสุปปวาสาโกลิยวงศ์ธิดา เป็นแม่ของพระสีวลี นางสุปปวาสาตั้งครรภ์ ๗ ปี แล้วปวดท้องอีก ๗ วัน ไม่มี ๗ เดือนนะ ถามพระมหาเบิร์ธได้ แปลธรรมบทมา ตั้งครรภ์ ๗ ปีแล้วปวดท้องจะคลอดลูกอีก ๗ วัน ปวดแทบขาดใจ แต่ไม่ได้ดิ้นรน ไม่ได้ร้อง พิจารณาธรรมอย่างเดียวว่า “โอหนอ..องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด สอนให้เราเห็นความทุกข์ปานฉะนี้หนอ โอหนอ..ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติเพื่อให้ล่วงความทุกข์เห็นปานฉะนี้หนอ โอหนอ..พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ชี้ทางให้เราล่วงพ้นจากความทุกข์เห็นปานฉะนี้หนอ”

ใจเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แทน ปวดท้องแทบขาดใจอยู่ ๗ วัน ไม่ได้ดิ้นรน ไม่ได้ร้องคร่ำครวญ คนเห็นว่าปวดแต่ทำไมไม่ร้อง เพราะว่าใจท่านเกาะพระรัตนตรัยแทน ถ้าเราสามารถภาวนาให้กำลังทรงตัวได้ ไม่ต้องมาก เอาแค่ปฐมฌานเท่านั้น อาการป่วยก็แทบจะไม่รับรู้แล้ว เพราะจิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน

ดังนั้น..ใครกลัวเจ็บ กลัวป่วย ต้องเร่งการภาวนาให้มากไว้ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวเมื่อไร การเจ็บปวดนี่ไม่มีประโยชน์ที่จะมาเป็นเลย อาตมาเองโดนหมอจัดการจนเดี้ยง โยมเขาต่อว่าว่าทำไมรุนแรงขนาดนั้น เขาบอกว่า “ก็หลวงพ่อไม่ร้อง..!” เข้าท่านะ..ไม่ร้องหมอเลยใส่ไม่ยั้ง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2013 เมื่อ 20:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 23-10-2013, 05:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาเคยผ่าตัดฝีก้อนเท่ากำปั้นที่ก้น ตอนนั้นไปตกเขามา ก้นกระแทกหินแล้วช้ำก็เลยขึ้นเป็นฝี หมอฉีดยาชาแล้วก็ผ่า พอหมอผ่าอาตมาก็บอกว่า “เอ..หมอ ปกติยาชาต้องไม่เจ็บไม่ใช่หรือ ?” หมอบอกว่าไม่เจ็บหรอกครับ เลยบอกว่า “แล้วทำไมอาตมาเจ็บฉิบหายเลย ?” หมอเขาก็ตกใจ “ขอโทษครับ คาดว่าผมฉีดแล้วยาชาเข้าไปอยู่ในหัวฝีหมด ไม่ได้อยู่ที่ผิวหนังเลย” แล้วก็กุลีกุจอฉีดให้ใหม่อีกรอบหนึ่ง ยังมีหน้ามาบ่นอีกว่า ไม่เคยเจอใครแบบพระอาจารย์เลย โดนแบบนี้แล้วยังชวนหมอคุยหน้าตาเฉย เป็นความผิดของอาตมาอีก..!

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ยืนยันได้ว่า ถ้ากำลังใจเราทรงตัว อาการเจ็บป่วยแทบจะไม่มี เพราะจิตกับประสาทแยกเป็นคนละส่วนกัน สภาพใจของเราจะเกาะมั่นอยู่กับสิ่งที่เรายึดถือ หรือว่าอารมณ์ปฏิบัติของเรา สภาพร่างกายภายนอกเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วค่อยมาร้องโอ๊ยกันทีหลัง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2013 เมื่อ 10:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 23-10-2013, 05:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สังขารของหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสระเกศ เขาได้ใส่โกศไหมครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วจะใส่โกศ แต่มาระยะหลังจะใส่โลงเย็นแทน ส่วนโกศก็ตั้งไว้ประดับพระเกียรติเท่านั้น เขาถือว่าผู้ใหญ่ระดับนั้นตายแล้วควรจะนั่งตาย ถ้าจะเอานั่งตายมีหลายท่าน อย่างที่เห็น ๆ เลยก็หลวงปู่คำแสนหรือพระครูสุคันธศีล วัดสวนดอกที่เชียงใหม่ นั่งกรรมฐานมรณภาพ หลวงพ่อแดง วัดทองดีประชาราม ที่สุไหงโกลก นั่งกรรมฐานมรณภาพ ทุกวันนี้ก็ยังเก็บเอาไว้ เพราะว่าไม่เน่า หลวงพ่อเอียด วัดโก-ลกเทพวิมล อยู่ใกล้ ๆ กัน ท่านนอนพนมมือมรณภาพ แต่ปรากฏว่าลูกศิษย์มือไวไปหน่อย เผาไปแล้ว มาตอนหลังก็เลยสร้างรูปท่านในลักษณะนอนพนมมือ ให้ญาติโยมได้สักการะเหมือนกัน

หลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน ถือว่าเป็นครูบาอาจารย์รุ่นหลวงปู่ปาน เป็นรุ่นพี่ด้วย นั่นเป็นพระอรหันต์แน่นอน แต่ก่อนมรณภาพให้ลูกศิษย์เอาพระพุทธรูปมาตั้งไว้ตรงหน้า ท่านนอนตะแคงสีหไสยาสน์อยู่ พนมมือลืมตาดูพระพุทธรูปยังไม่พอ ขอให้ลูกศิษย์สวด อิติปิ โสฯ ให้ด้วย ท่านไม่ประมาทถึงขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่หมดกิเลสแล้วแน่นอน แต่เกรงว่าอาจจะมีอะไรบางอย่าง มาทำให้พลาดไปจากเป้าหมายคือพระนิพพาน ท่านก็ใช้วิธีกันไว้เลย ให้ลูกศิษย์ยกพระพุทธรูปมา นอนตะแคงพนมมือไหว้พระ สั่งลูกศิษย์สวด อิติปิ โสฯ ก็แปลว่าตาดู หูฟัง ใจเกาะพระ เอาแบบประกันความเสี่ยงแบบนี้เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2013 เมื่อ 10:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 23-10-2013, 05:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,397,011 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้นใครมีญาติของตนเองที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ ถ้าเป็นไปได้ให้เปิดเสียงของหลวงพ่อวัดท่าซุงให้ฟัง เปิดเสียงพระสวดก็ได้ ถ้าเสียงพระสวดทั่วไปเรารู้สึกว่าเปิดแล้วอายหมออายพยาบาล ก็ไปเปิดเสียงสวดแบบทิเบต มีดนตรีด้วย ใช้ได้เหมือนกัน บอกท่านว่าเป็นเสียงพระสวด ให้ตั้งใจฟัง

ถาม : มีผลเหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าใจเกาะก็ใช้ได้เลย ผลไม่เหมือนกันหรอก อยู่ที่ว่ากำลังใจเราได้แค่ไหน ขอให้ใจยึดคำว่าพระให้ได้ก็พอ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
บวชเนกขัมมะ ๑๐-๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๖ วัดท่าขนุน
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-10-2013 เมื่อ 09:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว