กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-08-2020, 09:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓

ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ เมื่อวานนี้ได้กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมของพวกเรา ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็ต้องอาศัยสถานการณ์ที่โลกของเรามีทุกข์มีภัยต่าง ๆ นำมาเป็นเครื่องสอนใจ ให้ตัวเราพินิจพิจารณาให้เห็นความเป็นจริง แล้วก็ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่

เพราะว่าอันดับแรก ชีวิตของเรานี้เป็นของน้อย จะตายลงไปเมื่อไรก็ไม่รู้ อันดับที่สอง ร่างกายของเรานี้ ไม่แน่เหมือนกันว่าจะอยู่ได้นานสักเท่าไร เพราะว่าถ้าหากเรายังมีร่างกายที่แข็งแรง สามารถเข้าวัดเข้าวาปฏิบัติธรรมได้ ก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าต้องล้มหมอนนอนเสื่อติดเตียง ถ้าทำใจไม่ได้ก็อาจจะกลายเป็นการขัดขวางการปฏิบัติธรรมเสียด้วยซ้ำไป

สำหรับวันนี้ อยากจะกล่าวถึงบุคคลที่ต้องบอกว่าไม่ได้แตกต่างจากพวกเราเท่าไร เนื่องจากว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ก็มีครอบครัว มีการทำมาหากินเป็นปกติ แต่ถึงเวลาแล้วท่านสามารถประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งกลายเป็นพระอริยเจ้า หลายท่านก็หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว

ถ้าในสมัยพุทธกาล ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด อย่างเช่นนางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุเพิ่งจะ ๗ ขวบ อนาถบิณฑิกเศรษฐี นี่ก็เป็นพ่อค้าใหญ่เป็นมหาเศรษฐี เป็นผู้ที่สร้างวัดในพระพุทธศาสนา ต้องบอกว่าเป็นวัดที่สำคัญที่สุด เป็นวัดที่พระพุทธเจ้าอยู่จำพรรษามากที่สุด

หรือไม่ก็ท่านอื่น ๆ ที่เราอาจไม่คุ้นเคยชื่อเสียงเรียงนาม อย่างเช่นว่า นางมาติกมาตา ที่โจรไปปล้นบ้าน ตนเองก็อยากจะฟังธรรม ปล่อยให้โจรปล้นไป ไม่ได้ใส่ใจที่จะปกป้องทรัพย์สิน เพราะถือว่าธรรมะเป็นของที่มีคุณค่ามากกว่านั้น

หรือว่าถ้าเอาอย่างสมัยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง หรือถ้าเอาอย่างสมัยของหลวงปู่ปาน ก็จะมีฆราวาสอย่างขรัวอีโต้ อย่างก๋งจาบ หรือแม้กระทั่งรุ่นปลาย ๆ แถว นายแจ่ม เปาเล้ง นายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร เป็นต้น เราจะเห็นว่ามีทั้งนายห้างขายยา มีทั้งหมอแผนโบราณ มีทั้งชาวไร่ชาวนาอย่างนายแจ่ม

มาอย่างสมัยของหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็มีตัวอย่างจ่านายสิบตำรวจพัว ชระเอม ซึ่งรายนี้ก็เข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว หรือไม่ก็ คุณสุวรรณ คุณจันทนา วีระผล ซึ่งปฏิบัติธรรมจนถึงที่สุดของทุกข์เช่นกัน หรือไม่ก็ คุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ มีทั้งตำรวจ มีทั้งเจ้าของสวน เจ้าของกิจการใหญ่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2020 เมื่อ 16:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-08-2020, 09:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความหลากหลายของท่านทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้น สำคัญที่ว่าเราทำจริงแค่ไหน ถ้าหากว่าเราทำจริง ย่อมได้ผลจริงอย่างท่านทั้งหลายเหล่านั้น ท่านเป็นฆราวาส ทำไมถึงทรงฤทธิ์ทรงอภิญญาสมาบัติ แล้วท้ายสุดก็กลายเป็นพระอริยเจ้า พระโสดาบันบ้าง พระสกิทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง และพระอรหันต์บ้าง

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าขาดอิทธิบาท ก็คือหลักธรรมที่เป็นพื้นฐานของความสำเร็จ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อย่างท่านที่ได้ยกตัวอย่างมา

ทุกวันนี้พวกเราปฏิบัติธรรม อาตมาเคยใช้คำว่า ทำเหมือนกับแก้บน ก็คือไม่ได้จริง ไม่ได้จังอะไร บุคคลที่ปฏิบัติธรรมจริงจัง ฉันทะ...ต้องพอเพียง วิริยะ...ความพากเพียรต้องเต็มเกินร้อย จิตตะ...กำลังใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลง วิมังสา...รู้จักไตร่ตรองทบทวนว่าเราทำอะไรเพื่ออะไร ? บัดนี้ทำไปถึงไหน ? ยังจะต้องทำจุดไหนเพื่อก้าวไปสู่จุดหมายของเรา ? เป็นต้น

คราวนี้ในส่วนนี้ของเรา เมื่อขาดอิทธิบาท ๔ เราก็จะไม่จริงไม่จังในการปฏิบัติ มีโอกาสที่จะเกิดโทษในการปรามาสพระรัตนตรัยอีกด้วย

ฉะนั้น...ขอให้ท่านทั้งหลายเพียรสังวรระวังไว้ โดยเฉพาะท่านที่ตั้งความปรารถนาในพระนิพพาน เท่ากับท่านกำหนดเป้าหมายสูงสุดเอาไว้แล้ว ถ้าหากว่าท่านไปไม่ถึงเป้าหมายนั้น ก็ต้องบอกว่าท่านอาจจะโดนบังคับ

ถามว่าบังคับอย่างไร ? ก็คือว่าบุคคลที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ต้องเห็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง ทำความเข้าใจว่าทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ธรรมดา แล้วก็วางทุกข์นั้นลง โดยเห็นว่าเป็นภาระ หรือเป็นธรรมะที่มีมาพร้อมร่างกายนี้ ความทุกข์เป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของจิตใจ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2020 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 20-08-2020, 09:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อทำความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง สามารถแยกแยะออกได้อย่างชัดเจนว่า ทุกข์นั้นเป็นอย่างไร ทุกข์นั้นเกิดอย่างไร ทุกข์นั้นจะดับลงได้ด้วยวิธีไหน และเข้าถึงความดับทุกข์แล้วจะเป็นอย่างไร เป็นต้น

ถ้าเราไม่สามารถเข้าถึงตรงนี้ หรือไม่พยายามทำเข้ามาตรงจุดนี้ โอกาสที่จะเข้าพระนิพพานของเราก็ไม่มี ในเมื่อไม่สามารถจะเข้าถึงพระนิพพานได้ แต่ว่าเราไปตั้งเป้าว่าจะเอาให้ได้ บางทีเราก็จะโดนบังคับให้ทุกข์ อย่างเช่นว่า บ้านแตกสาแหรกขาด หน้าที่การงานล้มเหลว หรือว่าเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เพื่อบังคับให้เราเห็นว่าความทุกข์เป็นเรื่องปกติ

แต่ถ้าหากว่าท่านความคิดน้อย ด้อยปัญญา บางทีขนาดโดนทำให้ทุกข์ ท่านก็ยังไม่เข้าใจเสียอีก ดีไม่ดีก็โทษส่งเดชไปเลยว่า เป็นเพราะการปฏิบัติธรรม ถึงทำให้ตัวเองลำบากอย่างนี้ โดยไม่ได้ดูว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะความประสงค์ของเรากับการกระทำนั้นขัดกัน ตั้งใจจะไปพระนิพพาน แต่ไม่พิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของร่างกาย ไม่เห็นความเป็นจริงของโลก ก็ต้องโดนบังคับให้เห็น เป็นต้น

เมื่อท่านรู้แล้วก็โปรดใช้วิปัสสนาญาณ อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้เมื่อวานนี้ ก็คือต้องพินิจพิจารณาบ่อย ๆ ทำทุกวัน ทำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สภาพจิตเมื่อเห็นแจ้งแล้ว จะได้ปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้ ปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่นในโลกนี้ ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องโดนบังคับให้ทุกข์ เพราะว่าเราเป็นผู้ที่เห็นทุกข์ชัดแจ้งแล้ว ไม่พึงปรารถนาการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้อีก เกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้ลงไปได้ เราก็จะก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2020 เมื่อ 16:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:15



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว