กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม

Notices

กระทู้ธรรม รวมข้อธรรมะจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติ

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 15-06-2010, 07:34
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

การอพยพถิ่นฐาน

เมื่อเสาหลักของครอบครัวล้มลง ครอบครัวขาดที่พึ่ง ขาดกำลังใจ มีแต่ความเศร้าโศก ทรัพย์ที่เคยมีอยู่ก็หมด ยังคงมีเหลืออยู่บ้าง ก็ต้องแบ่งกันครอบครอง พี่น้องแยกกันไป แม่ย้ายไปอยู่ที่บ้านส้อง ตำบลเวียงสระ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ไปสร้างบ้านเล็ก ๆ อยู่ในสวนที่เป็นมรดก ห่างตลาดประมาณ ๕ กิโลเมตร

พ่อกับแม่เป็นคนอดทน ขยันขันแข็งหาเลี้ยงลูก ลูกที่โตพอช่วยทำมาหากินได้ ก็ไปเป็นลูกจ้างหาเงินช่วยครอบครัว ณ บ้านหลังนี้ข้าพเจ้าได้ลืมตามองโลกอาศัยอยู่จนอายุ ๓ ขวบ พ่อแม่ก็ย้ายเข้ามาเช่าบ้านอยู่ในตลาดเพื่อสะดวกในการทำมาหากิน พ่อแม่ช่วยกันทำของขายข้างสถานีรถไฟ ขายขนม ข้าวหมูแดง (ใส่กระทงขาย) ไก่ย่าง ขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงชีพมาตลอดเวลา อายุ ๔ ขวบ วิบากตามมาทันซ้ำเติมครอบครัวอีกครั้ง ไฟไหม้ตลาด บ้านที่เช่าอยู่ถูกไหม้ไปด้วย สิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีอะไรเหลือเป็นครั้งที่สอง

พ่อกับแม่ต้องไปขออาศัยโรงสีข้าวอยู่เป็นห้องเล็ก พอมีที่นอน ๔ คน คือ พ่อ แม่ พี่สาวและข้าพเจ้า ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างเหลือล้น เพราะห้องพักเต็มไปด้วยฝุ่นจากรำข้าวในโรงสี ทำให้เกิดอาการคันตามเนื้อตามตัว ได้รับความทุกข์ยากเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ส่วนพี่ ๆ แยกกันไปเป็นลูกจ้างในร้านต่าง ๆ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 17-06-2010 เมื่อ 12:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 95 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 15-06-2010, 09:36
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ผลกรรมตามสนอง

หากจะไม่เขียนเรื่องนี้ อาจมีผู้สงสัยกฎแห่งกรรมอีก คนที่ก๋งเลี้ยงไว้อุปถัมภ์เหมือนลูกคนหนึ่ง ตอนหลังได้นำพวกมาปล้นทรัพย์ที่ได้จากการขายเหมืองแร่ จนก๋งเสียใจจนถึงกับเสียชีวิตในที่สุด

*ในเดือนต่อมา ได้ประสบเคราะห์กรรมที่ได้กระทำไว้ ได้ขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บลูกมะพร้าว พลาดตกจากต้นมะพร้าวเสียชีวิต ชดใช้กรรมที่ได้กระทำมาเช่นกัน* จะด้วยเหตุผลอันใดขอท่านผู้มีปัญญาได้พิจารณามองหาเหตุผลตามกฎแห่งกรรมดู น่าจะเข้าใจ ผู้ประทุษร้ายต่อผู้มีพระคุณประดุจดังพ่อแม่ ย่อมเป็นบาปหนักหนา

พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า “บุคคลใดประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ บุคคลนั้นย่อมได้รับโทษทัณฑ์ในปัจจุบัน ๑๐ ประการ” เขาผู้นั้นได้กระทำกรรมชั่วต่อผู้มีพระคุณ จึงได้รับโทษตามกฎที่ได้แสดงผลให้ปรากฏ เพื่อรักษากฎอย่างมั่นคงต่อการกระทำนั้น จึงน่าจะเป็นคติเตือนใจแก่คนรุ่นหลัง

ท่านผู้ได้พบอ่านจะเห็นว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เอ่ยชื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งในข้อเขียนนี้ เพื่อไม่ให้เกิดวิบากกรรมต่อกัน จนเป็นเจ้ากรรมนายเวรสืบต่อ ๆ กันไป จนติดภพชาติไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอโหสิกรรมต่อกัน ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ให้อภัยเป็นอโหสิกรรมแล้ว ทุกคนไม่ผูกติด คิดอาฆาตพยาบาทต่อกันอีกต่อไป

เพียงแต่จะบอกกล่าวว่า บาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง ภพต่าง ๆ มีจริง กระแสกรรมมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกมีจริง ทุกคนเกิดด้วยแรงแห่งกรรม เรามีกรรมเป็นถิ่นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นปัจจัย เป็นพื้นฐานของชีวิต มีกรรมเป็นเครื่องบอกกล่าวถึงผลการกระทำในอดีตของเราที่ได้กระทำอยู่อย่างนั้น จมอยู่อย่างนั้น หมกมุ่นอยู่อย่างนั้น จึงมีสุข มีทุกข์ มีความสำเร็จ สมหวัง ความผิดหวัง มีฐานะร่ำรวยหรือยากจน มีหน้าที่การงานดี มีผู้เคารพนบน้อม มีหน้ามีตาในสังคม มีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ มีพวกพ้องบริวาร ทุกข์ยากอับจน ล้วนแต่กรรมเป็นเครื่องกำหนด มาบอกความจริงทั้งสิ้น

*หากใครมีจิตตื่นสว่าง มีปัญญามองเห็นวัฏฏะสงสาร แก้ไขด้วยการสร้างแต่คุณงามความดี เพิ่มพูนบุญวาสนาบุญญาธิการของตัวเอง ด้วยตนเอง ด้วยความสำนึกละอายเกรงกลัวต่อการกระทำกรรมชั่ว ประพฤติกระทำแต่กรรมดีตลอดที่มีโอกาส ที่มีร่างกายเป็นเครื่องรองรับการกระทำดีนั้น* เมื่อรู้ว่าการกระทำกรรมดีมีคุณ กระทำกรรมชั่วมีโทษ แล้วเราจะกระทำกรรมใด ขอจงพิจารณาให้ถ่องแท้เถิด จงหมั่นขอขมากรรมที่ได้สร้างเอาไว้ ให้อกุศลกรรมนั้น ๆ เป็นอโหสิกรรมอยู่ทุกเมื่อ เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 17-06-2010 เมื่อ 12:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 102 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 16-06-2010, 08:47
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ชีวิตในปฐมวัย

ชีวิตคนเราเป็นสิ่งซ่อนเร้นน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเกิดมาเป็นสัตว์โลกอันประเสริฐ นับว่าเป็นผู้มีบุญวาสนา ถึงแม้ว่าจะมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ล้วนแต่เป็นครู เป็นอุปกรณ์ในชีวิตของเรา หรือเรียกตามหลักจิตวิทยาว่าประสบการณ์ของชีวิต

เรามีจิตเป็นเครื่องกำหนดทั้งสุขและทุกข์ จิตที่เข้มแข็งย่อมไม่หวั่นไหวต่อสถานะที่ปรากฏ จิตที่อ่อนแอย่อมหวั่นไหวเป็นทุกข์เป็นสุขตลอด ข้าพเจ้าก็ไม่แตกต่างจากสามัญชนทั้งหลาย ที่ต้องการความสุขสบาย สะดวก มีฐานะ มีหน้ามีตา มีพวกพ้อง ต้องการคำยกย่อง แต่มันย่อมเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดแน่นอน แค่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ถือว่ามีบุญวาสนาดีอยู่แล้ว เพราะสามารถสร้างภูมิ ภพชาติที่ดีได้

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “ บุคคลทำกรรมใดย่อมได้รับผลของกรรมนั้น จะแบ่งกรรมนั้นให้ผู้อื่นมิได้ บุคคลทำกรรมดีย่อมได้รับผลของกรรมดี บุคคลใดทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว และบุคคลใดมีความละอายเกรงกลัวต่อการกระทำกรรมชั่ว ก็เหมือนบุคคลผู้นั้นเดินเข้าป่า รู้ว่าในป่ามีอสรพิษ จะไม่ย่างเท้ากล้ำกรายไปให้อสรพิษนั้นมากัด ตรงกันข้ามบุคคลที่ไม่เกรงกลัวก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ทั้งที่เห็นพวกบินไปตายในกองไฟ แต่ก็ยังบินเข้าไปตายในกองไฟนั้น"

และพระองค์ยังตรัสไว้ว่า “สิ่งที่บังเกิดได้ยากในโลกนี้มี ๕ ประการ” คือ

๑. การบังเกิดของพระพุทธเจ้าประการหนึ่ง
๒. การได้มาเกิดเป็นมนุษย์ประการหนึ่ง
๓. การได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้พบพระพุทธศาสนาประการหนึ่ง
๔. การได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว ได้นับถือพระพุทธศาสนาประการหนึ่ง
๕. การได้นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ได้บวชและปฏิบัติธรรมประการหนึ่ง

ขอให้พึงคิดและพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จึงเห็นว่า เราทุกคนมีบุญหนักหนาแล้ว ที่กรรมให้โอกาสมาเกิดเพื่อมาสร้างความดี มาแก้ไขในสิ่งผิดพลาดในอดีต มาแก้ตัว มาใช้หนี้วิบากกรรม แม้เพียงเศษกรรมเพียงเล็กน้อยให้หมดสิ้นไป

เสมือนร่างกายมีบาดแผลเพียงเล็กน้อยอยู่ หากบาดแผลนั้นยังไม่หาย ก็ย่อมมีความเจ็บปวดระคายเคืองเช่นนั้นร่ำไป ฉันใดก็ฉันนั้น เหล็กที่จะแข็งกล้า จะคม ก็ต่อเมื่อนำมาเผาไฟให้ร้อนแดงจนได้ที่ แล้วนำมาทุบตี นำไปเผาใหม่ ทุบใหม่จนได้รูปที่ต้องการ จึงนำไปเผาแล้วชุบให้เหล็กกล้าแข็ง จนนำไปใช้งานตามต้องการ ทุกข์วิบากจะช่วยให้คนเกิด มีจิตใจที่มีความเข้มแข็ง เกิดความแข็งแกร่งเช่นกัน



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 17-06-2010 เมื่อ 12:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 16-06-2010, 14:33
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ขอให้ศึกษาประวัติศาสตร์ขององค์พระโพธิสัตว์ ทุก ๆ พระองค์ล้วนแต่พบชีวิตที่ตกยากลำบาก ใช้หนี้วิบากกรรมเสวยทุกข์ ตกระกำลำบาก มาบำเพ็ญจิตให้เข้มแข็ง อดทนสร้างบารมี แม้พระอริยเจ้าเกือบทุก ๆ พระองค์ จะเกิดในที่ลำบากเป็นส่วนใหญ่ ทุกข์ยากจึงจะแสวงหาหนทางแห่งความสงบ พ้นทุกข์ บำเพ็ญบารมี จนบรรลุธรรมอันวิเศษ

แล้วเราจะไปท้อถอยต่อปัญหาชีวิตทำไม แม้บางพระองค์จะเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ ก็ต้องละทิ้งฐานะไปบำเพ็ญเรียนรู้ทุกข์ ไม่มีเว้น

แม่เป็นคนที่น่าสงสาร แม่เป็นคนอดทน ไม่พูด ไม่บ่น ไม่ว่า ไม่กล่าวให้ลูก ๆ ต้องเสียใจ แม่กล้ำกลืนอดทน แม่แอบร้องไห้เพราะไม่มีแม้กระทั่งข้าวให้ลูกกิน ต้องขอยืมข้าวชาวบ้าน ชาวบ้านที่สงสารนำข้าวสารมาให้ครั้งละหนึ่งกระป๋องนม หุงข้าวต้ม ต้องแบ่งกิน ๓ มื้อ ๔ คน กับข้าวก็ไม่มี อยู่กันด้วยความรันทด

แม่ต้องออกไปขายข้าวโพดคั่วตามงานวัดต่าง ๆ ในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง ทิ้งให้ข้าพเจ้าอยู่กับพ่อเพื่อเรียนหนังสือ พี่ ๆ ต้องแตกฉานซ่านเซ็นไปทำงานตามถนัดเหมือนเด็กทั่วไป บางครั้งข้าพเจ้าก็ตามแม่ไปช่วยขายด้วย ตั้งแต่หัวยังไม่พ้นโต๊ะที่วางขายของ ร้องเรียกคนมาซื้อ แต่น่าประหลาด ทุกครั้งจะขายดี คั่วข้าวโพดใส่ถุงไม่ทัน แต่แม่ไม่ค่อยยอมให้ไปด้วยเพราะต้องขาดเรียน ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เมื่ออายุ ๕ ปี ข้าพเจ้าเป็นเด็กซุกซนตามประสาเด็ก แม่ไม่อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ไปโรงเรียนเช่นกัน เกโรงเรียนว่าอย่างนั้นเถอะ ทั้งพ่อและแม่ก็ไม่รู้
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 16-06-2010, 17:09
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ขายของที่สถานีรถไฟ

ด้วยความรู้สึกรักและสงสารแม่ ไปรับซาละเปาไปขายข้างรถไฟที่จอดรับส่งผู้โดยสารใบละ ๕๐ สตางค์ ร้านให้ค่าขายใบละ ๕ สตางค์ ขายดิบขายดี สนุก เพราะเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ผู้คนเห็นแล้วอาจเกิดความเมตตาสงสาร ช่วยกันซื้อ ได้เอาเงินมาให้พ่อ พ่อก็ดุ เอาให้แม่เมื่อแม่กลับมาก็ถูกดุ แม่กอดรัดด้วยความสงสาร ปลอบประโลมไม่ให้ทำ

แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ฟังแอบหนีไปทำ หนีโรงเรียนตลอดเวลา เช้ามืดก็จะนำเอาน้ำใส่ถังเล็ก ๆ เพื่อนำไปขายข้างขบวนรถไฟที่มาจอดที่สถานี ขบวนรถไฟจะถึงสถานีสว่างพอดี น้ำแช่ดอกมะลิหอมเย็นชื่นใจขายถังละ ๒๕ สตางค์ วันหนึ่งขายได้หลายถัง ได้เงินมาช่วยทางบ้าน

แม้จะอายุยังน้อย แต่ความรักที่มีต่อแม่ ความสงสารแม่ ทำให้ข้าพเจ้านั้นเกิดความรันทดตามประสาเด็ก แต่ก็มีแม่ในโลกทิพย์คอยเสด็จมาปลอบ อบรม ให้กำลังใจทุก ๆ คืนที่นอน (ท่านไม่ห้ามที่ข้าพเจ้าทำงาน) ท่านจะมาให้นอนหนุนตัก แล้วบอกให้อดทนต่อสู้ อย่าท้อถอย แม่ยังอยู่เคียงข้างลูก คอยคุ้มครองรักษา ดูแลตลอดเวลา ไม่ต้องกลัว เป็นเช่นนี้ทุกคืน ให้ต่อสู้ ให้ทำงานไปทุกครั้ง จิตเป็นสุข อบอุ่นชุ่มชื่นด้วยความเมตตา และกลิ่นหอมจากผิวกายของแม่ท่าน รวมทั้งทั้งประกายตาที่มีความปรานี ตลอดจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสวยและรอยยิ้มของความเป็นแม่

นอกจากนั้น ยังขายทุกอย่าง เช่น เงาะ ทุเรียน ไข่ต้ม อาจเหลือเชื่อ ตัวเล็กนิดเดียวแต่ทำงานเกินอายุ ต้องรับผิดชอบดูแลตนเอง ถูกฝึกตั้งแต่เล็กจนโตมีการเตรียมการ สร้างความอดทน จะโดยกรรมหรืออะไรก็ตาม ก็ทำให้ข้าพเจ้ามีความแข็งแกร่งในจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 17-06-2010 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 17-06-2010, 08:29
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

จากอ้อมอกแม่ ไปอยู่วัด ๑๙ ปี

พี่สาวซึ่งไปมีครอบครัวอยู่จังหวัดปัตตานี ได้กลับมาเยี่ยมพ่อและแม่ ได้มาพบเห็นข้าพเจ้าทำแต่งาน ไม่ยอมไปโรงเรียน เห็นว่าไม่เป็นเรื่องแน่ ตอนนั้นอายุประมาณ ๗ ขวบ จึงขอพ่อกับแม่ว่าจะรับตัวไปอยู่และเรียนหนังสือที่ปัตตานี ได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดตานีนรสโมสร ด้วยความซุกซนจนพี่สาวก็ดูแลไม่ไหว เกเรจนพี่ต้องให้ไปอยู่วัดตานีนรสโมสร

จากนั้นมาชีวิตเริ่มผันผวน พี่สาวได้นำข้าพเจ้าไปฝากให้อยู่วัดกับพระสุรพงษ์ ท่านได้รับข้าพเจ้าให้อยู่กับท่าน ท่านเฝ้าอบรมบ่มนิสัย ทั้งดุและบางครั้งก็ต้องลงโทษหนักด้วยการเฆี่ยนตี ท่านให้ช่วยกันทำงานทุกอย่างภายในวัด เช้าตามท่านไปบิณฑบาต กลับมาจัดที่ให้พระฉัน กินข้าวแล้วไปโรงเรียน (โรงเรียนอยู่ในวัด)

ตอนเย็นหากินกันเองกับเพื่อนเด็กวัด มีอยู่หลายคน อาจารย์ท่านเป็นคนดุแต่ใจดี เวลาโกรธมือคว้าอะไรได้จะขว้างใส่ทันที ท่านมีหวายสำหรับทำโทษเด็กวัดที่ทำผิดกฏระเบียบของวัด ท่านทำโทษแต่ละครั้งเลือดออกซิบ ๆ แล้วใช้น้ำเกลือราด ปวดแสบมากแทบขาดใจ แต่มารู้ภายหลังเพื่อไม่ให้แผลเน่าเปื่อยเป็นหนองนั่นเอง ทุกคนกลัวท่านมาก

ให้ทำงานทุกเย็นก่อนกินข้าว ทำสวนครัวไว้ทำอาหารเย็นกินกัน ปลูกผักทุกอย่างในที่ว่าง ขนทรายไปถมที่ลุ่มทุกวัน กลางคืนเข้ากรรมฐานเป็นกฏของวัด สวดมนต์ ดูหนังสือ ๑ ชั่วโมงแล้วเข้านอน เป็นเช่นนี้ทุกวัน มีเวรถูพื้น ขัดส้วม กวาดลานวัด เป็นกิจอยู่เช่นนี้ เราอยู่กันอย่างมีระเบียบ แบบชีวิตต้องสู้ทั้งเจ็บปวด น้อยใจ รัดทดหดหู่ ในจิตใจต้องต่อสู้กับอำนาจกระแสจิตในทางที่ดี และทางที่ร้ายอย่างสับสน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-06-2010 เมื่อ 11:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 17-06-2010, 14:57
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ในช่วงปิดภาคเรียน พวกเราทุกคนจะต้องทำงาน เพื่อหาเงินมาซื้อเสื้อผ้า อาหารเย็น เช่น การรับไสไม้กระดานฝาบ้าน ไม้พื้น ไม้ระแนง ได้ตารางเมตรละ ๒๐ สตางค์ ขี่สามล้อรับจ้าง เป็นคนงานก่อสร้างตึกได้ค่าแรงวันละ ๒๐ บาท พายเรือข้ามฟาก ขายลอตเตอรี่ ส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านตอนเช้า เป็นเด็กเก็บเงินรถประจำทาง เมื่อมีงานประจำปีก็จะต่อยมวยหาเงิน รับซักเสื้อผ้า รับทำความสะอาดบ้าน แบกของในตลาดสด ที่เขียนมาเสียยืดยาว เพื่อให้มองเห็นความลำบาก เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นในประสบการณ์ชีวิต

ช่วงที่โตมากขึ้น อาจารย์จะให้กลับเยี่ยมบ้าน ดีใจมาก คิดถึงพ่อแม่ใจจดใจจ่อ ช่วงนี้ฐานะครอบครัวแม่พอจะดีขึ้น แม่ขายข้าวแกง ขายดี ข้าพเจ้ากลับบ้านไปทำขนม ใส่หาบขายที่สถานีรถไฟเช่นเดิม ทำลอดช่องสิงคโปร์ ทับทิม รวมมิตร ใส่กระป๋องนมขาย ได้กำไรพอสมควร กลางคืนจะทำขนมตั้งโต๊ะขาย ทำไข่หวาน ขนมบัวลอย น้ำแข็งไส ตอนเช้าก่อนทำขนมหาบไปขาย จะทอดปาท่องโก๋ขายหน้าร้านกาแฟ ได้กำไรมากในช่วงปิดเทอม ทำงานหาเงินช่วยเหลือแม่ ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ อายุประมาณ ๑๑ ปี

แม่ภูมิใจและรักข้าพเจ้ามากควบคู่กับความสงสาร แม้จะห้ามไม่ให้ทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อฟัง *ตกกลางคืนแม่จะเอาข้าพเจ้ามาสวมกอดด้วยความรัก มองดูจากประกายตาของท่าน ทำให้มีความสุข ในจิตเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น อย่างยากจะหาคำใดมาบรรยายได้*

ท่านที่ได้อ่านอย่าได้สงสัยเลย เป็นเรื่องจริงในปฐมวัยทั้งสิ้น มันเกิดกับชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่ถูกสร้างให้จิตใจเต็มไปด้วยความอดทนต่อสู้ชีวิต สร้างความแข็งแกร่งในจิตใจ จนประสบความสำเร็จในการพัฒนาจิตให้เข้มแข็ง อดทน อดกลั้น ต่อสู้ กระทำความดีมาตลอด



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-06-2010 เมื่อ 14:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 18-06-2010, 08:39
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

กลัวผี

ผีเป็นทัศนะความเชื่อในจิตสำนึกของเด็กเกือบทุกคน เป็นความกลัวอย่างขึ้นสมอง อาจารย์ท่านจะกำจัดความกลัว โดยการให้เอาผ้าขาวที่ห่อศพเต็มไปด้วยน้ำเหลือง เหม็นอย่างร้ายกาจมาต้มแล้วซัก ให้เอาไปห่มนอน

เบื้องต้นทำให้บังเกิดความกลัวจนนอนไม่หลับ สะทกสะท้านอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ยังกลัวไม้หวาย (ไม้ที่ใช้ทำโทษเด็กที่ทำผิด) มากกว่า จึงต้องทนทรมานจนจิตค่อยสงบ เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไร เพราะกลัวถึงที่สุดแล้ว มันก็จะไม่กลัว

นอกจากแก้ความกลัวด้วยการให้ห่มผ้าห่มศพ ท่านก็ให้ไปนั่งบนเชิงตะกอนหลังจากเผาศพใหม่ ๆ ความกลัวบังเกิดขึ้นอีกเพราะความเงียบในยามดึก มันวังเวง เยือกเย็นจับจิต กลัวจนเหงื่อแตกทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวเย็น จนกระทั่งหายกลัวไปเอง

อุบายเช่นนี้ช่างโหดเหลือเกิน แต่เมื่อผ่านไปได้ เกิดประโยชน์ต่อชีวิตเรา คุ้มค่าต่อการเสี่ยงจากภาวะจิตจะแตก ทำให้เกิดวิกลจริตไป ดีที่จิตใจเข้มแข็ง ทำให้ไม่กลัว ในที่สุดความกลัวผีจางหายไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิง


:

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2010 เมื่อ 10:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 18-06-2010, 10:52
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

กลับมากลัวผีอีกครั้ง

จิตนี้เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ เพื่อให้เป็นเรื่องเดียวกันจึงยกมากล่าวเสียในช่วงนี้ จะได้ไม่ข้ามไปข้ามมา เมื่อครั้งได้พบอาจารย์ทางกรรมฐาน ได้ติดตามไปศึกษาธรรมกับท่านคือ หลวงพ่อริม รัตนมุณี ท่านเป็นพระอริยสงฆ์องค์หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าจะกล่าวถึงในบทต่อ ๆ ไป

คืนหนึ่งท่านพาข้าพเจ้าไปในป่าช้า วัดป่าสามัคคีระบือธรรม อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๗ ท่านถามว่า "กลัวผีไหม ?" ข้าพเจ้าตอบทันทีด้วยความมั่นใจว่า "ไม่กลัว" ท่านบอก "ดีแล้ว" คืนนั้นท่านพาเดินไปในป่าช้าหลังวัด ที่อยู่ห่างตัวเมืองเป็นที่เงียบสงัด ในเวลาเที่ยงคืนพอดี ท่านบอกให้นั่งบนเนินดินที่เป็นที่ฝังศพผีตายทั้งกลม บอกให้นั่งสงบจิตเจริญกรรมฐานอยู่ที่นี่ อย่าไปไหน หลวงพ่อจะทำธุระด้านโน้น..ประเดี๋ยวจะมา แล้วท่านก็เดินจากไป ความเงียบ อากาศที่หนาวเย็นจับใจ เสียงสัตว์ต่าง ๆ ออกหากิน เดินกระทบใบไม้แห้ง ทำให้ตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา

ความเงียบมันเพิ่มความวังเวงทีละน้อย ๆ ความกลัวค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ นึกถึงหลวงพ่อไปไหน ? นี่คือ มโนสำนึกในจิตที่บังเกิดขึ้น แต่ที่สำคัญกองดินที่นั่งอยู่ มันฟูขึ้นทีละน้อย ๆ ทำให้ยิ่งกลัวมากขึ้น ข่มและบังคับจิตเกือบไม่อยู่ เมื่อคิดว่านี่คือ หลุมฝังศพผีตายทั้งกลม มันยิ่งเพิ่มความน่าหวาดกลัวมากขึ้น แต่ก็พยายามข่มจิตไม่ให้กลัว ช่วงต้นมันดื้อ เอาไม่ลง จึงต้องกำหนดตาย ตัวเรานี้ก็อาศัยซากศพอยู่ไม่เห็นมีอะไร (ร่างกายของเรา) เอาเหตุผลเข้าหักล้างความกลัว จึงค่อย ๆ สงบลงได้บ้าง แล้วค่อย ๆ สงบเกือบสนิท หลวงพ่อริมเดินกลับมาถามว่า "กลัวไหม ?" ตอบว่า "กลัว..แต่หายกลัวแล้ว" ท่านบอก "ดีแล้ว..ไม่มีอะไร รู้จักตัวเองแล้วหรือยัง ? เห็นตัวเองแล้วหรือยัง ?"

"หมายถึง จิตที่มันแสดงออกต่าง ๆ นั่นแหละตัวเรา นอกจากนั้น จิตที่มีความโลภ โกรธ หลง นั่นแหละตัวเรา จำไว้..หากทำลายมันได้ จิตก็จะสงบ สว่าง พบความสุขโดยปราศจากสิ่งผูกพัน ได้เห็นแล้วถึงวิธีบังคับจิต ให้จำเอาไว้ ทำให้ชำนาญ" ธรรมของหลวงพ่อที่สอนนั้นง่าย สั้น เห็นจริง รู้จริง ได้จริง เข้าใจจริง ไม่ต้องอธิบายหากได้ปฏิบัติ และหลวงพ่อบอกว่า “อย่าทำตัวเป็นข้าวสาร ให้ทำตัวเป็นข้าวเปลือก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2010 เมื่อ 14:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 18-06-2010, 16:07
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พบพระอริยสงฆ์ในวัยเด็ก

พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ (เรียกตามภาษาใต้) เทพเจ้าของชาวปักษ์ใต้แห่งวัดสวนขันธ์ แม่ได้พาไปกราบไหว้ขอพรพ่อท่านปีละหลายครั้ง

พ่อท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีลบริสุทธิ์ ทรงด้วยอภิญญาธรรม สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้า ทั้งมีวาจาสิทธิ์ ท่านมีเมตตากับทุกคน ไม่เลือกชั้นวรรณะ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ชรา ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับทุกคน มีทุกข์ท่านจะช่วยอย่างเสมอภาคกันทุกคน ทั้งช่วยเหลือชุมชนให้พัฒนา ช่วยพัฒนาวัดต่าง ๆ ให้เจริญรุ่งเรือง ทั้งได้แสดงกฤษดาอภินิหารต่าง ๆ นานา ให้เป็นประจักษ์กับสายตาของทุกคน แสดงความกรุณาอันสมควรแก่กิจของสงฆ์ จิตเต็มเปี่ยมไปด้วยองค์ธรรม

ท่านพูดน้อย กล่าวเฉพาะหลักธรรมที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช้คำพูดที่ไม่ดี ให้อภัยกับทุกคน ให้โอกาสกลับตัวเมื่อทำผิด ทุกคนที่ท่านให้คำอบรมจะกลับใจเป็นคนดี สิ่งที่ท่านมอบให้กับทุกคนที่ไปหาคือ น้ำมนต์และชานหมาก ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของทุกคน

ที่สำคัญพรอันทรงศักดิ์สิทธิ์จากปากของท่าน สิ่งที่ร้ายจะกลายเป็นดีกับทุกคน ที่ป่วยก็จะหาย ที่ติดขัดก็จะปลอดโปร่ง ที่มีอุปสรรคก็จะผ่านไป ค้าขายไม่ดีก็จะดี คนเกลียดกันก็จะรักกัน คนตกทุกข์ก็จะพ้นทุกข์ คนไม่มีโชคก็จะโชคดีกันทุกคนที่ไปหา บุคคลใดได้พบถือว่าเป็นคนมีวาสนา พ่อท่านมรณภาพเมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๒ ร่างกายของท่านยังอยู่จนปัจจุบันแข็งเป็นหิน (สังขารท่านไม่เน่าเปื่อย)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 22-06-2010 เมื่อ 17:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 21-06-2010, 08:44
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ข้าพเจ้าได้รับความรักและเอ็นดูจากพ่อท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านมักนำข้าพเจ้าไปนั่งบนตักของท่าน ใช้มือลูบหัว เป่าหัว ลงอักขระให้ เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่แม่พาไปกราบท่าน พร้อมกล่าวให้พรวิเศษอันทรงศักดิ์สิทธิ์

จากวาจาสิทธิ์ที่เลื่องลือไปทั่วประเทศ ใคร ๆ ก็อยากไปกราบขอพรอันวิเศษ ขอชานหมากอันเป็นของวิเศษยิ่งจากมือท่าน จึงเป็นที่เคารพของคนทั้งประเทศ แม้ขัดข้องอันใด บนบานกับท่านก็มักจะได้ผล หากเราตั้งมั่นและเป็นคนดี

ข้าพเจ้าได้ไปกราบท่านตั้งแต่เล็กจนโต ได้ใกล้ชิด นวดแก้เมื่อยให้ท่านเมื่อได้พบ ได้ปรนนิบัติดูแล และกระทำเช่นนี้เสมอ เคารพนับถือท่านเสมือนครูบาอาจารย์องค์แรกของข้าพเจ้า พรที่ท่านให้ไว้ เป็นไปตามที่พ่อท่านได้เปล่งวาจาให้พรทุกประการจนถึงทุกวันนี้ พ่อท่านสถิตอยู่ในใจของข้าพเจ้าตลอดมา



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2010 เมื่อ 15:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 21-06-2010, 13:54
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ก๋งห่วงใยแม่

หลังจากก๋งเสียชีวิตลง ด้วยจิตที่เป็นห่วงแม่อันเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว ทั้งเป็นที่รักดั่งดวงตาดวงใจ วิญญาณของก๋งคงวนเวียนมาหาแม่ มาบอก มาช่วยเหลือแม่ตลอดเวลา ไม่ได้ห่างไกลตัวแม่เลย

แสดงให้เห็นว่า ด้วยผลบุญที่ก๋งได้บำเพ็ญบารมีทานศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ถวายข้าวพระทุกอาทิตย์ที่กงสีในเหมืองแร่ ทั้ง*เลี้ยงดูผู้คน ทุก ๆ คนในตำบล* มีจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต เมื่อก๋งเสียชีวิตแล้ว ดวงวิญญาณของก๋งไม่ได้ไปอบายภูมิ ไม่เป็นสัมภเวสี แต่ไปสู่เทวภูมิ เป็นโอปปาติกะเทพ จึงได้มาหาแม่ คอยช่วยเหลือด้วยความเป็นห่วง ไม่ถูกกักขังอยู่ในอบายภูมิเป็นแน่
ด้วยความเป็นห่วงมาบอกในนิมิต ให้ไปซื้อที่ดิน ที่มีสินแร่ มาให้ตัวเลขเพื่อซื้อหวยใต้ดิน และบอกแม่ว่าจะมาอาศัยอยู่กับเต่า พรุ่งนี้เห็นแล้วให้เลี้ยงเอาไว้ด้วย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2010 เมื่อ 15:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 21-06-2010, 14:14
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ในวันรุ่งขึ้นก็มีลูกเต่าเดินเข้ามาในบ้าน แม่เห็นก็จับเลี้ยงไว้ในกะละมังจนกระทั่งโต จากนั้นมาแม่ก็มีโชคลาภ ค้าขายก็ดี มีชีวิตที่ดีขึ้น สุขสบายขึ้นตามลำดับ ขณะนั้นข้าพเจ้าอายุมากพอสมควร อายุย่างเข้า ๑๕ -๑๖ ปีแล้ว

*แต่ด้วยผลกรรมซ้ำเติมอีกระลอก น้องชายของพี่เขยมาเห็นก็คิดจะขโมยเต่าที่สถิตวิญญาณของก๋งไปฆ่ากิน ก๋งได้มาบอกแม่ว่า ถูกเอาไปขังไว้ ให้แม่รีบไปช่วย แต่แม่ไปช่วยไม่ทัน เต่าถูกเผานำเนื้อไปกินเสียแล้ว


ก๋งบอกว่าต่อไปจะมาไม่ได้แล้ว ให้ดูแลตัวเองให้ดี จะต้องกลับไปภพที่จะจุติแล้ว* ผู้ที่นำเต่าไปกินก็เกิดเจ็บป่วยปางตาย แม่ต้องขอให้ยกโทษจึงจะหายจากการป่วย นับเป็นเรื่องแปลก

แต่เป็นเรื่องจริงในครอบครัว ซึ่งมีเกร็ดสาระอีกมากมาย แต่จะขอละเว้นเอาไว้บ้าง บางเรื่องไม่สมควรเปิดเผย บางเรื่องไม่เป็นประโยชน์ให้เจริญปัญญา จึงไม่ขอเขียนเล่าไว้ในที่นี้ เพียงแต่จะให้รู้ บอกเหตุ การเวียนว่ายของวิญญาณและการปฏิสนธิในภพภูมิ ตามแรงของกระแสกรรมเท่านั้นว่ามีจริง ปรากฏได้ เห็นได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 23-06-2010 เมื่อ 15:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 21-06-2010, 17:54
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default


ท่านที่หลงผิดคิดว่า สิ่งที่ยังไม่บังเกิดให้พบเห็นนั้นไม่มี ไม่เป็นอย่างที่ท่านคิด ท่านคิดผิดแล้ว *และจะเป็นตัวบดบังความอยากรู้ โอกาสที่จะได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ไม่มี จะทำให้จิตใจคับแคบ

อย่างในอดีต วิวัฒนาการความเจริญทางด้านวัตถุยังมีเพียงเล็กน้อย ดั่งตัวอย่างเช่น โทรเลขต้องต่อสาย ใช้มือเคาะตามรหัสสื่อสาร โทรศัพท์สมัยก่อนใช้มือหมุน ทีวีสมัยก่อนมีแต่ภาพสีขาวดำ ต่อมาก็มีเป็นภาพสี

ในปัจจุบันมีวัฒนาการก้าวหน้ากว่าเดิม ได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ เป็นระบบต่าง ๆ จนกลายเป็นอาชีพ สร้างความร่ำรวยให้แก่ผู้ที่ไม่เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ มีอยู่แค่นั้น จึงทำการค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง ค้นพบรายละเอียดลึกลงไป ความลับในธรรมชาติถูกเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไกลไปเรื่อย ๆ เพราะความไม่คับแคบ เปิดใจกว้าง ไม่ปิดประตูตัวเอง ความรู้จึงยังไม่จบเท่านี้ ยังมีวิวัฒนาการต่อไปไม่สิ้นสุด ฉันใดก็ฉันนั้น ความอยากรู้จริง อยากเข้าใจจริง อยากค้นพบจริงด้วยตนเอง ก็จะเป็นแรงผลักดัน ให้นำตัวเข้าไปทดลองค้นหาอย่างจริงจัง อย่างเอาเป็นเอาตาย

แล้วท่านก็จะพบ “เหตุ” พบ “ผล” จากการทดลอง โลกของจิตวิญญาณเป็นวิทยาศาสตร์ที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งกว่าโลกวิทยาศาสตร์ทางวัตถุมากนัก รู้จริง รู้สิ้นสุด รู้หมดจด แต่โลกของวิทยาศาสตร์ทางวัตถุรู้ไม่จริง เพราะรู้ไม่สิ้นสุด รู้เฉพาะขณะนั้น ที่จริงยังต้องค้นต่อ ๆ ไป ก็จะพบไปสิ่งใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ บางครั้งค้นจนตายแล้วก็ยังไม่จบ ไม่พบความจริงขั้นสุดท้ายได้ อันเป็นความแตกต่างอย่างมีเหตุผล มีความถ่องแท้ ขอจงทำใจให้กว้างไว้เถิด
*

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2010 เมื่อ 02:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 22-06-2010, 08:37
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อุปนิสัยพื้นฐาน

ข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กมีจิตฝักใฝ่ชอบผจญภัย ชอบป่าเขาลำเนาไพร เถื่อนถ้ำที่เร้นลับ ชอบไปค้นหาความจริง ชอบปีนป่ายที่เสี่ยง ๆ อยู่เสมอ ชอบสอดรู้สอดเห็นในสิ่งแปลก ๆ แต่มีจิตใจที่เยือกเย็น มีจิตสำนึกในความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีคุณ เคารพนับถือครูบาอาจารย์ มีจิตใจรักประเทศชาติบ้านเมือง มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง รักความเป็นธรรม เที่ยงตรง ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรม ศีลธรรมตลอดมา

แม้จะซุกซนเกเรตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไปอยู่บ้างก็ตาม ไม่เคยทำบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือประพฤติชั่ว ยกเว้นไม่เจตนา แม้แต่รับราชการก็มีความซื่อสัตย์สุจริตตลอดมา รักความสงบ ชอบปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่ชอบพูดมาก ไม่โกรธเคืองผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่นเสมอมา เป็นคนอดกลั้น อดทน ไม่ชอบเรื่องจุกจิกในชีวิต เป็นคนยืดหยุ่นกับชีวิต



แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2010 เมื่อ 13:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 22-06-2010, 10:43
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ระลึกชาติตอนเด็ก

เรื่องการระลึกชาติ เป็นเรื่องที่กล่าวขานกันมานาน เป็นที่กังขาในความเชื่อและความเป็นไปได้ ความเป็นไปไม่ได้ ยังหาจุดลงตัวไม่ได้ เพราะไม่ได้เกิดกับทุกคนและไม่ได้เกิดบ่อย

บางคนเกิดเพราะมีสัญญาจำได้ หมายรู้จากสัญญาเดิมที่ติดตัวมา บางคนเกิดจากการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิจนจิตสงบเกิดรูปฌาน ปรากฏตามนิมิตรู้เห็นย้อนอดีต ในการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏะ จนถึงชาติปัจจุบันต่อเชื่อมกับชาติในอดีต ไม่ลืมสัญญาเดิมจึงรู้เห็น

โดยปกติการเวียนว่ายกลับภพกลับชาติ จะลืมสัญญาเดิมหมดสิ้น มาได้สัญญาใหม่ในชาติปัจจุบันที่มีการผัสสะ เกิดสังขารเข้าปรุงสร้างใหม่ ความรู้จึงเกิดจากการได้พบได้เห็น ได้ศึกษาร่ำเรียน การได้พบปะสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ สร้างอุปทานยึดมั่นในสัญญาใหม่ ทิ้งสัญญาเดิมในทุกชาติทุกภพโดยสิ้นเชิง และบังเกิดอวิชชา (ความลุ่มหลง) ในภพชาติใหม่

ด้วยความลุ่มหลงในอวิชชา ก็จะพาให้เกิดสังขารปรุงแต่งตามความเห็นของตน ทำให้เกิดวิญญาณ ความรู้สึกต่าง ๆ ในอารมณ์ นามรูปก็จะบังเกิด พร้อมอายตนะเครื่องสัมผัส ก็จะปรากฏเวทนาความสุข ความทุกข์กาย เกิดโสมนัสพึงใจ เกิดโทมนัสไม่พึงใจ เกิดตัณหาความทะยานอยาก เกิดตามอุปาทาน การยึดมั่นถือมั่นในสัญญาใหม่ ติดในสมมุติบัญญัติปรากฏชัดในจิตอย่างแจ่มชัด จึงบังเกิดความเศร้าโศก เสียใจ โศกาอาดูรเข้าครอบงำ

จะเห็นว่าทุกอย่างจะปรากฏขึ้นมาได้ จะต้องมีเหตุปัจจัย จึงจะมีผลให้เห็นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จะเกิด ณ จุดใด กระแสจะวิ่งขึ้นลงจนถึงอวิชชา คือ ความไม่รู้ในกฏเกณฑ์ธรรมชาติ คือ อริยสัจ ๔ ไม่รู้ตามความเป็นจริง

จิตจึงปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ ใช้ตัวรู้จากความรู้สึกของตนเองคือ อารมณ์ ได้แก่ ความรู้ในจินตมยปัญญา สุตมยปัญญา เป็นเครื่องมือในการตัดสิน จึงหมดโอกาสที่จะรู้จะเข้าใจ เพราะจิตปฏิเสธแต่เบื้องต้น จึงเกิดความคับแค้น ทำให้เศร้าหมองตลอดการดำรงชีวิต เพราะขาดจิตอันประณีตคือ ภาวนมยปัญญา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2010 เมื่อ 13:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 22-06-2010, 16:43
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

การระลึกชาติมีจริงหรือไม่นั้น สำหรับตัวข้าพเจ้าแลเห็นว่า มีจริงตามเหตุปัจจัยของการเกิดจึงมีชาติ

เรื่องการระลึกชาตินั้น ข้าพเจ้าได้เกิดเหตุการณ์กับตัวเอง ในขณะที่เป็นเด็กวัดอยู่ ได้อธิบายไว้แล้วในตอนต้นว่า การมาอาศัยอยู่ที่วัด ทุกคนต้องสวดมนต์ ทำกรรมฐาน ฟังการอบรมธรรมเพื่อการดำรงชีวิตจากพระอาจารย์ผู้ให้การอบรม

ขณะที่ได้นั่งสมาธิอยู่นั้น จิตสงบเป็นเอกัคตารมณ์อยู่ในอุเบกขานั้น ได้ปรากฏภาพนิมิตบอกกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดมาหลาย ๆ ชาติ ทั้งดำรงอยู่ในโลกมนุษย์ นับชาติไม่ได้ จำไม่หมด และไปใช้กรรมในภพอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภพมนุษย์ แต่เป็นในโลกทิพย์ มีกายละเอียด ทั้งได้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มากชาติ

แต่วุฒิภาวะในตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรมาก ช่วงนั้นเอาแต่ซนไปตามประสาเด็ก* คิดว่าฝันไป แต่สัญญาความจำนั้นติดตราตรึงใจ ติดอยู่ในห้วงจิตสำนึก* ได้เก็บภาพโบราณสถาน ภูมิทัศน์รอบ ๆ บ้านนั้น เห็นปราสาทราชวัง เห็นบุคคลในอดีต มีบิดามารดาในอดีต มีชื่อสกุลบุคคลที่เป็นบิดามารดาอันยาวนาน หลายยุคหลายสมัย จนจำไม่หมด

แต่สิ่งที่ปรากฏนั้นเมื่อเจริญวัย มีวุฒิภาวะแล้ว ข้าพเจ้าจึงอยากพิสูจน์ความเป็นจริง ในนิมิตที่ยังจดจำได้ว่า จะจริงแท้ เป็นจริงหรือไม่ อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพิสูจน์ความจริงให้บังเกิดขึ้น

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2010 เมื่อ 17:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 23-06-2010, 09:23
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default


พุทธศักราช ๒๕๑๘ ในขณะที่รับราชการเป็นครูโทอยู่วิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดมหาสารคาม อยู่ใกล้จังหวัดนครพนม นึกได้ว่าเคยเกิดที่นั่น ในอดีตเมื่อพุทธศักราช ๘ ได้เคยร่วมสร้างพระธาตุพนม ที่นั่นเรียกว่าภูขี้เถ้า เป็นที่ตั้งพระธาตุพนมในปัจจุบัน ข้าพเจ้าเกิดที่นั่นและได้สร้างพระธาตุนาคู

เมื่อมีโอกาสได้ไปสักการะพระธาตุพนม ได้สอบถามชาวบ้านว่า "พระธาตุนาคูมีไหมในจังหวัดนี้" เขาตอบว่า "มี อยู่ที่ตำบลนาราชควาย อำเภอเมือง" จึงขอร้องให้พาไปดูหน่อย ต้องขอบคุณคุณลุงคนนั้น ที่ท่านใจดีและพาไป

เป็นทางเข้าไปจากถนนใหญ่เข้าหมู่บ้าน เลยออกไปเป็นทางเกวียน ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ ๕ กิโลเมตร ก็พบสถานที่ตั้ง สภาพแวดล้อมที่พบเห็น สระน้ำก็ดี คูเมืองก็ดี พระธาตุก็ดี อยู่ในสภาพเดิมทุกประการ จากนิมิตที่เห็นยังไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะผ่านไปยี่สิบกว่าปีที่เห็นในนิมิต

ต้องขอบอกกล่าวอีกนิด นิมิตที่เห็นนั้น ได้เห็นหญิงชาวบ้านคนหนึ่งอายุประมาณ ๕๐ ปีเศษ ๆ ในตอนนั้นมายืนรอข้าพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว และพูดว่า "ทำไมท่านไม่มาเอาสมบัติ ได้มาเฝ้าอยู่นานแล้ว"

เมื่อลงจากรถเข้าไปบริเวณพระธาตุ ผู้หญิงชาวบ้านคนนั้นได้ออกมาต้อนรับ อายุนั้นประมาณ ๗๐ ปีเศษ ๆ มากราบที่เท้า ร้องไห้รำพึงรำพันเป็นภาษาอีสาน พอจับใจความได้ว่า "ทำไมท่านเพิ่งจะมา คิดว่าจะไม่ได้พบกันแล้ว ได้มาเกิดเฝ้าทรัพย์ของท่านอยู่ เอาไปสิ" ข้าพเจ้าถามว่า "ยายเป็นใคร รู้ได้อย่างไรว่าจะมาวันนี้" ยายตอบว่า "เป็นข้าเก่า ถูกส่งให้มาเฝ้าทรัพย์ของท่านอยู่ ที่รู้ได้เพราะเมื่อคืนได้ฝันเห็นว่าท่านจะมาในวันนี้ เห็นรถวิ่งเข้ามา จึงรีบมาหา เพราะบ้านของยายอยู่ใกล้ ๆ พระธาตุ ห่างไปประมาณ ๕๐ เมตรเท่านั้น"

ยายขอให้มาเอาสมบัติไปเสีย ตัวยายจะขอกลับแล้ว ข้าพเจ้าได้สนทนาหลายเรื่อง ฟังรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ยายนั่งพับเพียบ พูดจาด้วยความเคารพ ได้บอกกับยายว่า "ไม่เอาสมบัติ ขอไว้ให้เป็นสมบัติแผ่นดิน" ยายร่ำไห้ อ้อนวอนขอให้เอาไป แต่ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธอย่างแข็งขัน

ยายจึงเดินเข้าไปในองค์พระธาตุ นำเอาแหวนรูปพญานาค ประดับด้วยทับทิมทั้งวง ข้าพเจ้ารับไว้และได้สนทนาอยู่อีกพักหนึ่ง ข้าพเจ้าเข้าไปในองค์พระธาตุ เป็นพระธาตุลักษณะปราสาท เข้าไปไม่เห็นมีอะไร มีแต่อิฐโบราณชำรุดมากแล้ว ยายไปเอาแหวนจากตรงไหนไม่ทราบ เพราะตอนนั้นไม่คิดว่าจะไปเอาแหวนมาให้ จึงไม่ตามเข้าไปด้วย จากนั้นจึงลากลับ ยายก็ร้องไห้และก้มกราบที่เท้า ๓ ครั้ง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-06-2010 เมื่อ 15:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 23-06-2010, 15:00
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default


สิ่งที่ปรากฏกับตัวข้าพเจ้าตอนเข้าสู่เขตองค์พระธาตุ บังเกิดอาการขนลุกขนพอง หนาวเหน็บทั้ง ๆ ที่อากาศร้อนจัด เกิดความปีติเหมือนได้กลับบ้าน ทำให้รำพึงอยู่ในใจว่า "จริงหนอ! สิ่งที่ระลึกรู้ในนิมิต ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้ว มันเป็นจริงตามที่ได้เห็น ได้พิสูจน์แล้ว"

และตั้งใจว่าจะขอพิสูจน์ต่อไป จากนิมิตเท่าที่จำได้ จะต้องไปดูให้เห็นกับตาด้วยตนเองเท่าที่มีโอกาส เช่น ที่จังหวัดสุโขทัย จังหวัดนครศรีธรรมราช พระนครศรีอยุธยา เชียงราย ลพบุรี เป็นต้น

ทุกสถานที่ที่ได้ไปพิสูจน์ ทุกสถานที่ไม่มีผิดเพี้ยนจากที่ได้เห็นในนิมิต เป็นการระลึกชาติในการเวียนว่ายตายเกิดของข้าพเจ้า แต่ขอสงวนที่จะบอกรายละเอียด ขอเล่าที่จังหวัดนครพนมนี้เท่านั้น

นี่เป็นเหตุปัจจัย ให้ข้าพเจ้าสนใจมุ่งมั่น ค้นคว้า เร่งปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติเจริญภาวนา ให้จิตมีพลานุภาพ

ส่วนแหวนอันล้ำค่าวงนั้นได้ใช้อยู่พักหนึ่ง ผู้ที่เคารพรักท่านหนึ่งอยากได้จึงให้ผู้นั้นไป “จะหวงแหนในสิ่งที่เราไม่ได้เอามาและเราไม่ได้เอาไปทำไม” คิดได้เช่นนี้จึงยกให้เขาไป เพราะแหวนวงนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงกับเรา อดีตเป็นของเรา เราเคยใช้ เกิดมาก็ไม่ได้เอามาด้วย ตอนตายก็ไม่ได้เอาติดตัวไป ยังเป็นสมบัติอยู่โลกนี้จนทุกวันนี้ เป็นเครื่องยืนยันความจริง ในสัจธรรมข้อนี้อย่างเด่นชัด

มันเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคนที่ไม่ได้ประสบกับตนเอง เพราะจะพิสูจน์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ได้อย่างไร เหมือนบอกกล่าวอธิบายสีต่าง ๆ ให้คนตาบอดฟัง สีแดงก็ไม่รู้ สีเหลืองก็ไม่รู้ สีอะไรก็จะไม่เข้าใจ เพราะไม่เห็น ไม่อาจบอกอธิบายให้คนที่อยากพิสูจน์ให้เข้าใจได้ เพราะคนที่อยากนั้นเหมือนคนตาบอด
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 24-06-2010, 09:28
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,548 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พบสิ่งเร้นลับ ทรัพย์แผ่นดิน

ในตอนเด็กข้าพเจ้าชอบซุกซน ด้วยอำนาจใดไม่อาจตอบได้ ได้พาให้ไปพบสมบัติแผ่นดิน ช่วงนั้นชอบขี่จักรยานไปวัดช้างไห้ ไปช่วยทำรูปหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ไปตำว่านผสมสัดส่วน สมัยนั้นพุทธศักราช ๒๔๙๗ เส้นทางลำบาก บางครั้งต้องเดินจากบ้านนาประดู่ เดินไปทางรถไฟที่ผ่านหน้าวัด

ช่วงระหว่างทางตรงนั้น ได้พบบึงน้ำใส บึงนั้นกว้างและ ลึก ห่างจากทางรถไฟไกลพอสมควร เดินผ่านกลางแดดทำให้เกิดความเหนื่อยล้า จึงอยากอาบน้ำในบึง ก็ลงไปอาบและดำน้ำเล่น

ได้พบโอ่ง ๓ ใบ ถูกรัดและห่อหุ้มไว้ด้วยรากไทร (เหมือนเอาแหจับปลามาหุ้มเอาไว้ มิให้หาย แต่ต่างตรงที่เป็นรากไทรเท่านั้น) ในโอ่งทั้ง ๓ ใบมีสมบัติอยู่เต็ม เป็นทองรูปพรรณทั้งหมดทั้ง ๓ โอ่ง ประดับเพชรพลอย มีทั้งสร้อยคอ เข็มขัด กำไลมือ กำไลเท้า แหวน และอื่น ๆ อีกมากมาย ข้าพเจ้าได้ไปเกาะขอบโอ่งทั้ง ๓ ใบ ล้วงลงไปพบสิ่งดังกล่าวมหาศาล

แต่น่าเสียดายเอาออกไม่ได้เลย ประหลาดที่พอจะเอาออก มันลื่นเหมือนปลาไหล เอาพ้นขอบปากโอ่งไม่ได้ พยายามอย่างไรก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ตอนนั้นคิดแต่สนุกอย่างเดียวตามประสาเด็ก
ได้ไปเล่นอยู่ประมาณ ๔ ครั้งเท่านั้น และไม่สนใจอีก เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วได้ไปวัดช้างไห้ ได้แวะไปดูที่เดิม ปรากฏว่าบึงน้ำแห่งนั้นแห้งสนิท โอ่งทั้ง ๓ ใบก็ไม่มีให้เห็นอีก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2010 เมื่อ 09:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:00



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว