กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-06-2018, 16:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุุกร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา ร่างกายจะต้องการการหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ เราแค่เอาสติคือความรู้สึก ตามดูตามรู้ไปเท่านั้น ส่วนคำภาวนาจะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ ระยะนี้มีข่าวคราวของพระพุทธศาสนาในด้านไม่ดีไม่งามออกมามากมาย ซึ่งอาตมาได้สรุปไปแล้วว่าเกิดจาก ๓ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก คือ เป็นการทำลายล้างทางการเมือง สาเหตุที่สอง คือ การทำลายล้างระหว่างศาสนา สาเหตุที่สาม คือ การทำลายล้างระหว่างนิกาย

ซึ่งไม่ว่าจะสาเหตุใดก็ตาม ถ้าหากว่าบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ปฏิบัติธรรมจนมีความสามารถอย่างแท้จริง ก็ย่อมสามารถเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้ แต่ว่าเราท่านทั้งหลายยังไม่มีความสามารถที่แท้จริง ไม่สามารถที่จะแก้ต่างได้ ก็จำเป็นต้องเร่งรัดการฝึกปฏิบัติของเรา ให้เข้มข้นเข้มงวดยิ่งขึ้น ทุ่มเทเวลาให้กับการปฏิบัติมากขึ้น

ถ้าหากว่าเราดูในการแสดงยมกปาฏิหาริย์ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายได้ยินว่า พระพุทธเจ้าสั่งห้ามไม่ให้พระปิณโฑลภารทวาชะแสดงฤทธิ์ และห้ามพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดแสดงฤทธิ์ ก็เห็นว่าเป็นโอกาสแล้วที่เราจะโค่นพระพุทธศาสนา จึงประกาศว่าจะแสดงฤทธิ์แข่งกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปรากฏว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอบรับว่าจะแสดงฤทธิ์แข่งด้วย ณ คัณฑามพพฤกษ์ คือต้นมะม่วง เหล่าเดียรถีย์ทั้งหลายก็ให้ศิษย์ของตนโค่นต้นมะม่วงทิ้งทั้งเมือง เพื่อไม่ให้เหลือไว้ให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์ได้ แต่ว่าด้วยความรู้จริงรู้รอบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อถึงเวลานายคัณฑา หรือเรียกตามสำเนียงบาลีว่านายคัณฑะ ซึ่งเป็นพนักงานเฝ้าอุทยานหลวง เห็นมะม่วงในอุทยานออกผลสุกน่ากินมาก จึงนำไปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยแล้ว ก็ให้พระอานนท์นำเอาเม็ดมะม่วงฝังลงดิน ทรงรดด้วยน้ำล้างพระหัตถ์ ต้นมะม่วงนั้นก็โตขึ้นทันตา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2018 เมื่อ 17:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-06-2018, 16:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นี่เป็นสิ่งที่เล่าให้ฟังว่าสาเหตุเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่อยากจะยกเป็นตัวอย่างนั่นก็คือ บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายมีพระสารีบุตรเถรเจ้า มีพระโมคคัลลานเถรเจ้า เป็นต้น อาสาแสดงฤทธิ์แข่งกับเหล่าเดียรถีย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ เหล่ามหาสาวก มหาสาวิกา คือ ทั้งภิกษุและภิกษุณีที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเป็นที่ปรากฏ ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตั้งให้เป็นเอตทัคคะ คือ ผู้เป็นเลิศในด้านต่าง ๆ อาสาแสดงฤทธิ์แข่งกับเดียรถีย์

พระองค์ท่านก็ทรงปฏิเสธ เหล่าสามเณร สามเณรีต่าง ๆ ทูลอาสาขอแสดงฤทธิ์ข่มเหล่าเดียรถีย์ พระองค์ท่านก็ทรงปฏิเสธ เหล่าฆราวาสชายหญิงที่ทรงอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ อาสาแสดงฤทธิ์แข่งกับเหล่าเดียรถีย์ พระองค์ท่านก็ทรงปฏิเสธ ทรงตรัสว่าการแสดงยมกปาฏิหาริย์นั้นเป็นพุทธประเพณี ก็คือเป็นธรรมเนียมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงเอง

แม้เหล่าเดียรถีย์จะทักท้วงว่าพระองค์ท่านตรัสห้ามแล้วไม่ให้ภิกษุสงฆ์แสดงฤทธิ์ พระองค์ท่านก็กล่าวว่าแม้พระราชาทรงห้ามผู้อื่นกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็หาได้ทรงห้ามพระองค์เองไม่ ซึ่งในจุดนี้ภายหลังพระองค์ท่านก็แสดงยมกปาฏิหาริย์ข่มเหล่าเดียรถีย์จนพ่ายแพ้ไป

แต่เราจะเห็นว่า ภิกษุภิกษุณี ทั้งที่เป็นอัครสาวก มหาสาวก ปกติสาวก สามเณร สามเณรีน้อย ๆ ที่ยังอายุไม่ครบบวช หรือฆราวาสชายหญิงที่เป็นพุทธบริษัท ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง อาสาแสดงฤทธิ์ปราบเหล่าเดียรถีย์ แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้ามาเปรียบกับพวกเราในสมัยนี้ มีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถอาสาทำหน้าที่ในการกดข่มหรือปราบปรามคนที่กำลังบ่อนทำลายศาสนาได้บ้าง ? ในเมื่อยังไม่มี ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เราทั้งหลายต้องเร่งรัดใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-06-2018 เมื่อ 19:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 04-06-2018, 16:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,963 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อันดับแรก ก็คือ ถ้ายังไม่สามารถเข้าถึงอภิญญาสมาบัติต่าง ๆ อย่างน้อยกำลังสมาธิที่สูงขึ้น ก็ทำให้เราสามารถข่มกลั้นกิเลสบางส่วนลงได้ ก็แปลว่าการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น จะมากจะน้อย อันดับแรกก็มีผลดีที่เกิดแก่ตัวเราเอง

อันดับต่อไป ถ้าสามารถได้อภิญญาสมาบัติต่าง ๆ ก็จะเป็นที่พึ่งให้แก่คนอื่นได้ กลายเป็นบุคคลที่ยืนยันความรู้ในพระพุทธศาสนาได้ และถ้าจำเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระบรมพุทธานุญาต ก็สามารถใช้อำนาจของอภิญญาสมาบัติในการกดข่ม หรือปราบปรามผู้ที่รุกรานพระพุทธศาสนาได้

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายจึงทิ้งการปฏิบัติไม่ได้ และยังต้องปฏิบัติให้เข้มข้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะว่าการรุกรานพระพุทธศาสนาจะยิ่งหนักข้อขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะว่ามีการวางแผนกันอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่ไม่ได้ในประเทศนี้

อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงฝากฝังภารธุระในพระพุทธศาสนา แก่บริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ท่านทั้งหลายที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา ปฏิญาณตนนับถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องศึกษาเล่าเรียนจนสามารถจะยังพระพุทธศาสนานี้ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไปจนครบ ๕,๐๐๐ ปี

ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-06-2018 เมื่อ 17:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 06-07-2018, 01:31
สุธรรม's Avatar
สุธรรม สุธรรม is offline
ผู้ตรวจการณ์เว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jun 2009
ข้อความ: 4,751
ได้ให้อนุโมทนา: 268,230
ได้รับอนุโมทนา 837,224 ครั้ง ใน 12,756 โพสต์
สุธรรม is on a distinguished road
Default

ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:26



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว