กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 13-06-2017, 21:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติหรือความรู้สึกของเราไว้กับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ วันนี้จะกล่าวถึงเรื่องของการปฏิบัติภาวนาของเรา ว่าการที่เราตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรานั้น เท่าที่สังเกตดู พวกเราแบ่งออกเป็น ๒ พวก พวกที่ ๑ ก็คือ ไม่สามารถที่จะรักษากำลังใจให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ บางท่านถึงเวลาภาวนา สามารถอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ตามเวลา แต่พอเลิกภาวนาก็ทิ้งไปเลย

ส่วนอีกพวกหนึ่งสามารถอยู่กับลมหายใจเข้าออกของตัวเองได้ แต่ก็ไปติดอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกนั้น เพราะว่าเป็นสภาพจิตที่ว่างจากกิเลสชั่วคราว มีความสุขเยือกเย็น รู้สึกสบาย ก็ไม่คิดที่จะทำอะไรให้มากไปกว่านั้น

ซึ่งทั้ง ๒ แบบนั้นล้วนแล้วแต่ใช้ไม่ได้ แต่สำหรับท่านที่เข้าถึงได้ก็ยังดี เพราะว่ามีสภาพจิตที่สงบระงับจากกิเลสได้ชั่วคราวด้วยอำนาจของสมาธิ แต่เป็นเพราะว่าท่านทั้งหลายไม่เห็นคุณค่าของสมาธิที่จะใช้ระงับยับยั้ง รัก โลภ โกรธ หลง และใช้ในการตัดรากเหง้าของกิเลสทั้งหมด กลายเป็นว่าท่านที่ทำได้ไม่เห็นคุณค่าก็ปล่อยทิ้ง ทำให้ตัวเองต้องฟุ้งซ่านอยู่เหมือนเดิม แล้วก็มาเครียด มากลุ้มใจกับสารพัดอารมณ์ ที่ประเดประดังเข้ามาทำลายทำร้ายชีวิตของเรา

อีกพวกหนึ่งก็มัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับความสุขสงบชั่วคราวจากกำลังสมาธิที่ระงับกิเลสได้ ก็เลยลืมในการที่จะขุดรากถอนโคนกิเลสให้หมดไปจากใจของตนเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2017 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 14-06-2017, 20:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในการที่เราปฏิบัติภาวนาตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรานั้น ถ้าหากว่ากำลังใจของเราเริ่มทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ก็ควรที่จะใช้กำลังของฌานนั้นให้เป็นประโยชน์แก่เราให้มากที่สุด

อันดับแรกก็คือ ระงับยับยั้งไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นได้ อันดับที่ ๒ ก็คือ พยายามใช้กำลังที่เราทำได้ ในการตัด ในการละกิเลสต่าง ๆ ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ บางท่านถึงเห็นประโยชน์ก็ยังทำไม่ถูก อย่างเช่นว่า นั่งภาวนาครึ่งชั่วโมง รักษากำลังใจเอาไว้ได้ แต่พอเริ่มไปพักก็ทิ้งอารมณ์การภาวนาไปเลย สภาพจิตซึ่งมีการไหลลงที่ต่ำเป็นปกติ ก็จะวิ่งไปหา รัก โลภ โกรธ หลง ตามความพอใจของตน

สิ่งที่ควรทำก็คือ เมื่อภาวนาจนกำลังใจทรงตัวดีแล้ว ก็ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจนั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด แรก ๆ ก็ได้แค่ ๑ ถึง ๒ นาทีก็พังไปแล้ว แต่ถ้าเราพยายามหมั่นทำหมั่นรักษาบ่อย ๆ ระยะเวลาก็จะได้นานขึ้นเป็น ๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง เป็นต้น

เมื่อรู้จักระมัดระวังประคับประคองรักษา ก็ยิ่งได้นานขึ้นเรื่อย ๆ เป็นครึ่งวัน เป็น ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน ๑๕ วัน เป็นเดือน ระยะเวลาที่สภาพจิตเราทรงสมาธิต่อเนื่องกัน กิเลสกินใจไม่ได้ ความผ่องใสของใจมีมาก เมื่อมาใช้ปัญญาพิจารณาก็จะเห็นว่า ในส่วนของสภาพร่างกายเรานั้น มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นปกติ หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ระหว่างดำรงชีวิตอยู่ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนหลับตาลงไป มีแต่ความทุกข์อยู่เสมอ

ท้ายที่สุดร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี ต่างก็เสื่อมสลายตายพัง กลับคืนเป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราให้ยึดถือมั่นหมายได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 27-07-2020 เมื่อ 23:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-06-2017, 17:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,960 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อสภาพจิตสงบ ก็ให้พยายามยกวิปัสสนาญาณขึ้นมาพิจารณา ทำอย่างนี้บ่อย ๆ ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเบื่อไม่ได้ จะหน่ายไม่ได้ จนกว่าสภาพจิตของเราจะยอมรับจริง ๆ ว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา

เมื่อยอมรับสภาพจิตก็จะปล่อยวาง ไม่ไปยึดถือในร่างกายนี้ ก็จะไม่ไปยึดถือร่างกายของคนอื่น ไม่ไปยึดถือร่างกายของสัตว์อื่น ไม่ไปยึดถือวัตถุธาตุต่าง ๆ สิ่งที่จะร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสารก็หมดสิ้นไป เราก็สามารถที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายเมื่อปฏิบัติภาวนาไปแล้ว จงพยายามที่จะรักษาประคับประคองอารมณ์ใจของตนเอาไว้ แล้วก็ใช้กำลังสมาธินั้นในการพิจารณาวิปัสสนาญาณของเรา จนกระทั่งสภาพจิตสามารถปล่อยวาง หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงอย่างที่เราต้องการ

ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2017 เมื่อ 17:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:45



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว