กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 06-10-2009, 13:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์วันเข้าพรรษา ปี ๒๕๕๒

สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ ติ

ณ บัดนี้อาตมภาพรับหน้าวิสัชนาในสุตกถา เพื่อเป็นเครื่องสดับสติปัญญาเพิ่มพูนบารมี เสริมสร้างกุศลบุญราศีให้แก่ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันเข้าพรรษา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย โดยธรรมเนียมแล้ววันเข้าพรรษาของเรานั้น เป็นวันที่ท่านทั้งหลายจะได้ฟังเทศน์ ฟังธรรม ได้ทำบุญใส่บาตร ถวายเทียนพรรษา ตลอดจนผ้าอาบน้ำฝนและเครื่องใช้ไม้สอยจำเป็นอื่น ๆ ต่อพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

คำว่าวันเข้าพรรษานั้นก็คือ วันที่พระภิกษุสงฆ์จะต้องอยู่ประจำที่ใดที่หนึ่ง ตลอดในฤดูฝนเป็นระยะเวลา ๓ เดือน ซึ่งความจริงแล้วในระยะแรกเริ่มที่ประกาศพระศาสนานั้น พระพุทธศาสนาของเรายังไม่มีการให้พระภิกษุจำพรรษา ณ ที่ใดที่หนึ่ง

แต่เนื่องจากว่าในช่วงนั้นมีการแข่งขันกันทางพระศาสนาสูงมาก ศาสนาอื่น อย่างเช่น ศาสนาเชนของศาสดามหาวีระก็ดี มีการปฏิบัติที่เคร่งครัดมาก จะไม่เดินทางในฤดูฝน เนื่องจากฤดูฝนเต็มไปด้วยสัตว์เล็กสัตว์น้อยมากมาย อย่างเช่นแมลงเม่า เป็นต้น สาวกทั้งหลายที่เดินทางในฤดูฝนนั้น ย่อมต้องไปเหยียบเอาสัตว์เล็ก ๆ ทั้งหลายถึงแก่ความตาย เป็นการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่น ท่านจึงได้ห้ามการเดินทางในฤดูฝน

เมื่อศาสดาของศาสนาเชนกำหนดข้อห้ามไว้ดังนี้ คนอินเดียที่นับถือศาสนาเชนเป็นจำนวนมาก ก็จำเป็นที่ขึ้นใจว่า ถึงเวลาฤดูฝนแล้ว เหล่านักบวชจะไม่เดินทาง เมื่อศาสนาพุทธของเราปรากฏขึ้น มาทีหลังศาสนาเชนเป็นระยะเวลาไม่น้อยเลย ชาวบ้านทั้งหลายก็จดจำเอาไว้ว่า ถึงเวลาพอเข้าฤดูฝนแล้ว เหล่านักบวชจะต้องอยู่ประจำที่ ไม่เดินทางไปไหน แต่ว่านักบวชของศาสนาพุทธยังคงเดินทางอยู่ จึงได้รับคำตำหนิติเตียนจากชาวบ้านเป็นอันมาก

จนกระทั่งระยะหลัง ๆ แม้บรรดาเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ที่กล่าวถึงเหตุของการจำพรรษานั้น ก็มักจะกล่าวไปว่า พระภิกษุสงฆ์ไปเดินเหยียบย่ำข้าวกล้าในนาของชาวบ้านให้เสียหาย อาตมาได้อ่านได้ฟังทีไร รู้สึกขัดใจทุกที มีความรู้สึกว่าพระภิกษุสามเณรของเราไม่ใช่ควาย..! ขนาดควายยังรู้ว่าตรงไหนเป็นหญ้า ตรงไหนเป็นข้าว แล้วพระของเรามีหรือที่จะเดินลุยเข้าไปในข้าวกล้าของเขา แต่ว่าตำราเขียนจนกลายเป็นอย่างนั้นไปเสียแล้ว ก็ไม่อยากให้ญาติโยมทั้งหลายจำไปผิด ๆ

ความจริงแล้วการแข่งขันในศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะทำให้ศาสนิกชนปรนนิบัติดูแลนักบวชของตนอย่างเต็มสติกำลัง ในฤดูฝนเขาทั้งหลายเหล่านั้นจำเป็นต้องทำมาหากิน โดยเฉพาะการทำนาปลูกข้าวเป็นหลัก เมื่อพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปถึง เขาจำเป็นต้องวางมือจากงานประจำ เพื่อมาต้อนรับขับสู้ปฏิสันถารกราบไหว้ ตลอดจนกระทั่งจัดเครื่องบริโภคใช้สอยและน้ำใช้น้ำฉันถวายแก่พระภิกษุ ทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปทำไร่ทำนา การทำไร่ทำนาของเขาก็ต้องระงับลง ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2011 เมื่อ 02:55
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 11-10-2009, 22:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกประการหนึ่งคือ การเดินทางในฤดูฝนนั้น ฝนฟ้าย่อมตกเป็นปรกติ สมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์ใช้ผ้าบังสุกุล ซึ่งเก็บเอาผ้าเก่าของเขา หนาบ้าง บางบ้าง มาเย็บมาย้อมด้วยน้ำฝาด เพื่อทำเป็นผ้าไตรจีวร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผ้าที่ทั้งหนาและหนัก เมื่อเดินทางในฤดูฝนไปโดนฝนเข้า นอกจากจะต้องแบกผ้าหนัก ๆ ไปแล้ว ยังตากแห้งได้ยากมาก และท้ายสุดเมื่อผ้าไม่แห้งบ่อย ๆ เข้าก็เกิดการผุขึ้นมา ทำให้ต้องเสียผ้าจีวรไปโดยปริยาย กว่าจะเสาะแสวงหาผ้าบังสุกุลมาเพื่อเย็บเป็นจีวรใหม่ ก็เสียเวลาไปนานมาก อีกประการหนึ่งการเดินทางในฤดูฝนนั้นทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย

เมื่อเป็นดังนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา จึงได้อนุวัติตามความต้องการของชาวบ้าน โดยอนุญาตให้พระภิกษุทั้งหลายสามารถจำพรรษา ณ ที่ใดที่หนึ่ง อย่างเช่นว่าโคนต้นไม้ ซึ่งคงจะลำบากอยู่สักหน่อย ในโพรงไม้ ถ้าหากว่าต้นไม้ใหญ่ ๆ มีโพรงคงพออาศัยได้ ในถ้ำบ้าง ในเงื้อมเขาบ้าง ในบ้านร้างบ้าง

แม้กระทั่งในกองเกวียนก็สามารถจำพรรษาได้ เนื่องจากสมัยก่อนการขนสินค้าไปขายที่ต่างบ้านต่างเมือง บางทีไปกันเป็นปี ๆ พระภิกษุที่ติดตามกองเกวียนไป เพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์บรรดาพ่อค้าให้ได้มีโอกาสสดับฟังพระธรรมเทศนา ก็พลอยต้องจำพรรษาในกองเกวียนไปด้วย เป็นต้น

เมื่อระยะต่อมาญาติโยมทั้งหลาย นิยมสร้างอารามถวายแก่พระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทำให้พระมีที่อยู่อาศัยเป็นที่เป็นทาง จึงเกิดเป็นค่านิยมว่า พอเข้าพรรษามาก็จะไปซ่อมแซมอารามกุฏิต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยใช้งานได้ แล้วนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ที่ผ่านมาในบริเวณนั้น จำพรรษาในบริเวณบ้านของตน เพื่อที่จะให้ตนเองตลอดจนเพื่อนบ้าน ได้มีโอกาสทำบุญใส่บาตร และฟังเทศน์ฟังธรรมในระหว่างเข้าพรรษา

ในระยะต่อมาความนิยมอยู่ประจำที่มีมากขึ้น มีการถวายที่ให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนามากขึ้น พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ประจำที่มีมากขึ้นด้วย จึงกลายเป็นเทศกาลเข้าพรรษาอย่างในทุกวันนี้

ฤดูกาลเข้าพรรษานั้นมีความดีหลายอย่าง อย่างเช่นว่าพระภิกษุสงฆ์ไม่ต้องลำบากตรากตรำเดินทางในฤดูฝน สามารถหยุดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ได้รับฟังธรรมคำสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ หรือได้ศึกษาเล่าเรียนทั้งปริยัติและปฏิบัติ ตลอดจนญาติโยมทั้งหลายได้มีโอกาสทำบุญใส่บาตรแด่พระภิกษุสงฆ์อย่างเต็มที่ ความดีของเทศกาลเข้าพรรษามีดังที่กล่าวมานี้

โดยเฉพาะแบบธรรมเนียมปฏิบัติของบ้านเรา สมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าจะใช้ ญาติโยมทั้งหลายก็พร้อมใจกันหล่อเทียนต้นใหญ่ เพื่อที่จะให้พระภิกษุสามเณรจะได้ใช้ตลอดพรรษา ไม่ว่าจะเป็นการจุดถวายเพื่อเป็นพุทธบูชาก็ดี หรือใช้ในการศึกษาเล่าเรียนในเวลาค่ำคืนก็ดี เทียนทั้งหลายเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะต้นโตมาก สามารถที่จะให้แสงสว่างตลอดทั้งสามเดือน จึงเรียกกันง่าย ๆ ว่าเทียนพรรษา

ในขณะเดียวกันเวลานั้นเป็นฤดูฝน ญาติโยมทั้งหลายก็ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝน ซึ่งถ้าหากเปรียบไปแล้วก็คือผ้าขาวม้าของฆราวาสนั่นเอง ให้พระภิกษุได้ใช้ในการสับเปลี่ยนเวลาสรงน้ำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2011 เมื่อ 02:59
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 11-10-2009, 22:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่าระยะหลังมา ความนิยมใช้ผ้าอาบน้ำฝนลดน้อยถอยลง เนื่องจากว่าบุคคลที่ขายเครื่องสังฆภัณฑ์ต่าง ๆ เห็นแก่รายได้ของตน จึงได้ลดคุณภาพของผ้าอาบน้ำฝนลง นอกจากเนื้อหยาบจนไม่น่าใช้แล้ว ยังมีขนาดเล็กกว่าเดิมครึ่งต่อครึ่ง พระภิกษุสามเณรถ้าจะใช้สรงน้ำก็คงต้องโป๊แน่นอน

ดังนั้นการถวายผ้าอาบน้ำฝนในปัจจุบัน จึงกลายเป็นเพียงธรรมเนียมเฉย ๆ ถวายไปพระก็ไม่ได้ใช้ นอกจากเอาผ้าไปทำผ้าขี้ริ้วบ้าง ทำผ้าเช็ดบาตรบ้าง ทำผ้าเช็ดตัวบ้าง ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการนุ่งเพื่อสรงน้ำอย่างที่ต้องการมาแต่ต้น ส่วนใหญ่ปัจจุบันก็จะใช้ผ้าสบงไปเลย

แต่ว่าของวัดท่าขนุนนี้ เมื่อเช้าที่ผ่านมา มีญาติโยมหลายรายที่คงจะเล็งเห็นในข้อนี้ ดังนั้น..แทนที่ท่านทั้งหลายจะถวายผ้าอาบน้ำฝน ก็ถวายเป็นผ้าไตรครบชุดมาเลย อันนี้ท่านทั้งหลายก็จะได้อานิสงส์ต่างหากออกไปเพิ่มขึ้นอีกมาก

องค์สมเด็จจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงอานิสงส์ของการถวายผ้าไตรจีวรในพระพุทธศาสนาว่า ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปเกิดชาติใหม่เป็นผู้ชาย ได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วทูลขอบวช เมื่อพระพุทธเจ้าประทานการบวชโดยเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ จะมีจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ลอยมาสวมตัวให้ กลับเพศเป็นพระในทันที

แต่ถ้าหากท่านที่ถวายจีวรไว้ในพระพุทธศาสนานี้ไปเกิดเป็นผู้หญิง จะมีเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ซึ่งเป็นเครื่องประดับศีรษะรูปนกยูงรำแพน แล้วมีชายต่อลงไปเป็นเสื้อคลุม เครื่องประดับนี้ร้อยขึ้นมาจากแก้วมณี แก้วไพฑูรย์ แก้วประพาฬ อย่างละหลายทะนานด้วยกัน ถ้าหากว่าไม่แข็งแรงจริง ๆ ไม่สามารถที่จะสวมได้ แม้ในพระไตรปิฎกก็กล่าวเอาไว้ว่า บุคคลที่มีเครื่องประดับมหาลดาปสาธาน์นั้นมีอยู่แค่ ๓ รายเท่านั้น รายแรกก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา รายที่สองคือมัลลิกาเทวี ภรรยาของพันธุลเสนา รายที่สามแปลกมาก เป็นภรรยาของนายโจรที่ชื่อว่า เทวนานิยะ เป็นต้น

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ไม่ได้ถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา อย่าเพิ่งน้อยใจว่าเราไม่ได้ถวายผ้าไตรอย่างคนอื่นเขา ผ้าไตรจีวรในพระพุทธศาสนาจะเป็นผ้าอะไรก็ได้ กว้างคืบหนึ่ง ยาวคืบหนึ่งขึ้นไป ถือว่าได้อานิสงส์ของผ้าไตรจีวรทั้งหมด ดังนั้น..ท่านที่ไม่ได้ถวายผ้าครบไตร เพียงแต่ถวายผ้าอาบน้ำฝนก็ไม่ต้องน้อยใจ ท่านได้อานิสงส์ของการถวายผ้าไตรจีวรอย่างแน่นอน

ส่วนการถวายเทียนพรรษานั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ได้ตรัสเอาไว้เป็นบาลี อาตมายกมาเพียงสั้น ๆ ว่า ยานโท สุขโท โหติ จกฺขุโท โหติ ทีปโท เป็นต้น แปลเป็นใจความว่า ผู้ให้ยานพาหนะชื่อว่าให้ความสุข ย่อมได้รับแต่ความสุข ผู้ที่ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่าให้ดวงตา เกิดใหม่เมื่อไรจะเป็นผู้มีปัญญามาก

ตัวอย่างเช่นพระอนุรุทธเถระ ในอดีตท่านเคยถวายโคมไฟเพื่อบูชาพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ผลบุญของการถวายโคมไฟไว้ในพระพุทธศาสนา เกิดมาชาตินี้แม้ท่านเป็นพระวิชชาสาม แต่ว่ามีทิพจักขุญาณเป็นเลิศ นอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครมีทิพจักขุญาณเหนือไปกว่าพระอนุรุทธอีก แม้กระทั่งพระมหาโมคคัลลานะที่เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายที่เลิศไปด้วยฤทธิ์ ก็มีทิพจักขุญาณไม่เหนือไปกว่าพระอนุรุทธ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำเนินอยู่ในฌานก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น มีแต่พระอนุรุทธเท่านั้นที่สามารถใช้ทิพจักขุญาณตามดูได้ และบอกกล่าวให้ผู้อื่นทราบเป็นระยะ ๆ ว่าขณะนี้องค์พระบรมศาสดากำลังเข้าฌานไหน เป็นต้น

ดังนั้น..ญาติโยมที่นำเอาเทียนพรรษาก็ดี หลอดไฟฟ้าซึ่งใช้การได้ง่ายและได้ประโยชน์ก็ดี มาถวายไว้ที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ ก็ชื่อว่าท่านทั้งหลายได้ถวายประทีปโคมไฟไว้ในพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าเกิดชาติใหม่จะเป็นผู้มีปัญญามาก เข้าถึงธรรมได้ง่าย และถ้าหากฝึกในเรื่องของอภิญญาแล้ว ก็จะเป็นผู้มีทิพจักขุญาณแจ่มใสมาก ส่วนท่านทั้งหลายที่ถวายผ้าอาบน้ำฝนไว้ องค์สมเด็จพระบรมจอมไตรศาสดาได้ตรัสเพิ่มว่า บุคคลที่ถวายผ้าผ่อนไว้ชื่อว่าให้วรรณะ เกิดเมื่อไรก็จะอยู่ในตระกูลสูง ไม่มีวันตกต่ำ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2011 เมื่อ 03:05
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-10-2009, 19:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,456
ได้ให้อนุโมทนา: 151,087
ได้รับอนุโมทนา 4,400,152 ครั้ง ใน 34,045 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า องค์สมเด็จพระทศพลได้แสดงซึ่งอานิสงส์ต่าง ๆ ที่จะพึงมีพึงได้จากการถวายทานในพระพุทธศาสนา โดยครบถ้วนสมบูรณ์ โดยเฉพาะพระองค์ท่านสรุปลงตรงที่ว่า ใจที่หลุดพ้นจากความทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้นั้น ย่อมต้องประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ ที่ย่อลงมาแล้วเหลือแค่ ศีล สมาธิ ปัญญา

ญาติโยมทั้งหลายที่ได้มาทำบุญในพระพุทธศาสนา ณ วัดท่าขนุนในวันนี้ ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ และปัญญาอยู่แล้ว เนื่องจากว่าพอเริ่มพิธีทางพระพุทธศาสนา มัคคนายกได้ขอศีล พระภิกษุให้ศีลแล้ว ญาติโยมทั้งหลายก็ตั้งใจระวังรักษา โดยเฉพาะมีหลายต่อหลายท่านที่ตั้งใจรักษาศีลอย่างเคร่งครัดในช่วงเข้าพรรษา อย่างเช่นว่าบางท่านเคยดื่มสุราเมรัยก็งดเว้นในช่วงเข้าพรรษา เป็นต้น แปลว่าท่านทั้งหลายถึงพร้อมด้วยศีลแล้ว

เมื่อพระภิกษุทำการเทศน์ ท่านทั้งหลายก็ตั้งจิตตั้งใจฟัง ส่งใจน้อมนำไปในคำเทศนานั้น โดยเฉพาะจุดไหนที่ทำได้ ท่านทั้งหลายก็ตัดสินใจว่า เราปฏิบัติตามนั้น อันนี้ชื่อว่าท่านมีสมาธิ เพราะว่าจดจ่ออยู่กับพระธรรมเทศนา

ส่วนในเรื่องของปัญญานั้น ท่านทั้งหลายได้เห็นแล้วว่า ทานดีอย่างไรก็มาทำบุญใส่บาตร มาถวายผ้าอาบน้ำฝน มาถวายเทียนพรรษา ท่านเห็นว่าศีลดีอย่างไรก็พยายามปฏิบัติรักษา ก็แปลว่าท่านทั้งหลายประกอบไปด้วยปัญญา เห็นในสิ่งที่ถูกที่ควร ว่าควรที่จะละชั่ว ควรที่จะทำความดี ดังนั้น ท่านทั้งหลายจึงได้ชื่อว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์

โดยเฉพาะท่านที่ตั้งใจว่า พรรษานี้จะรักษาศีลแปดโดยเคร่งครัด ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมีกำลังใจที่สูงขึ้นมาในอีกระดับหนึ่ง เนื่องจากศีลแปดเป็นศีลแห่งพรหมจรรย์ จะงดเว้นจากกิจกรรมต่าง ๆ อันเป็นเหตุให้พรหมจรรย์เสื่อมลง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรม อานุภาพของศีลแปดจะส่งผลให้ท่านทั้งหลายสามารถก้าวเข้าสู่หลักธรรมได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

ญาติโยมทั้งหลายที่มาทำบุญในวันเข้าพรรษานี้ ท่านจึงเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา หรือถึงพร้อมด้วยหลักศีล สมาธิ ปัญญา ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้แล้ว ก็ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามรักษาความดีนี้ให้ทรงตัวเอาไว้ เมื่อถึงเวลาออกพรรษาแล้ว ถ้าสามารถปฏิบัติต่อได้ ก็จะเป็นคุณแก่ตัวเองอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่ตั้งใจจะฟังธรรมในช่วงเข้าพรรษา ทางวัดท่าขนุนจะจัดให้มีการแสดงพระธรรมเทศนาในทุกวันพระ ทั้งเวลากลางวันและเวลากลางคืน เวลากลางวันก็จะเริ่มในเวลา ๙ โมงเช้า เวลากลางคืนก็เริ่มเวลาทุ่มครึ่งหลังทำวัตรค่ำ

ดังนั้น..ท่านใดที่จะฟังเทศน์ฟังธรรมตลอดพรรษา ทางวัดท่าขนุนมีการแสดงพระธรรมเทศนาทุกวันพระ ไม่ว่าจะเป็นวันพระใหญ่หรือวันพระเล็กก็ตาม ท่านทั้งหลายสามารถที่จะมาเลือกฟังได้ตามอัธยาศัย หรือถ้าหากท่านทราบว่าบุตรหลานของตนได้แสดงพระธรรมเทศนาในวันใด ตั้งใจที่จะมาฟังบุตรหลานของตนเทศนา ก็ยิ่งจะได้อานิสงส์ใหญ่ให้แก่ตนเอง

อาตมภาพได้แสดงพระธรรมเทศนาก็พอสมควรแก่เวลา ท่านทั้งหลายที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ถ้าสามารถนำไปปฏิบัติได้ ก็ชื่อว่าท่านทั้งหลายได้ทำดี สามารถสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นได้ สมดังพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นเป็นนิกเขปบทในเบื้องต้นว่า สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ การฟังด้วยดีก็สามารถที่จะสร้างปัญญาให้เกิดได้

ดังได้วิสัชนามาก็พอสมควรแก่เวลา ท้ายสุดแห่งพระธรรมเทศนา อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพุทธรัตนะ ธัมมะรัตนะ แลสังฆรัตนะเป็นประธาน มีคุณความดีของหลวงปู่สาย อคฺควํโส เป็นที่สุด ได้โปรดดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลาย เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยโภคสมบัติ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติใด ๆ ก็ตาม สมบูรณ์บริบูรณ์สมดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการ รับประทานวิสัชนามาก็พอสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติพระธรรมเทศนาลง คงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์วันเข้าพรรษา บนศาลาวัดท่าขนุน
๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2011 เมื่อ 03:11
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:02



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว