กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 08-03-2009, 02:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,020 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒

เมื่อครู่นี้เรากล่าวถึงเรื่องการพิจารณาทุกข์ วันนี้เราจะมาดูให้รู้ว่าเรามีความทุกข์อย่างไรบ้าง ให้น้อมจิตน้อมใจกราบลงตรงภาพพระนั้น ว่านั่นคือองค์สมเด็จภควันต์ที่เสด็จมาโปรดเรา ขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดอนุเคราะห์ สงเคราะห์ให้การพิจารณาดูทุกข์ครั้งนี้ได้เห็นอย่างชัดเจน ได้รู้แจ้งเห็นจริงและยอมรับว่าร่างกายนี้โลกนี้มีแต่ความทุกข์เป็นปกติ

จากนั้นกำหนดใจมองย้อนอดีตกลับไป จากก่อนหน้านี้หนึ่งปี...สองปี...สามปี...สี่ปี...ห้าปี...สิบปี ย้อนหลังไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นเด็กเล็ก จนกระทั่งอยู่ในท้องแม่ เอาแค่นั้นก่อน เพราะถ้าจะย้อนหลังมากไปกว่านั้นจะเป็นชาติที่แล้ว ๆ มา

เมื่อเราเกิดครั้งแรกก็ปฏิสนธิอยู่ในท้องแม่ พอโดนไฟธาตุของแม่เคี่ยวเข้าไปก็แยกปัญจสาขา มี ๑ ศีรษะ ๒ แขน ๒ ขา มีอวัยวะภายในภายนอกค่อยปรากฏชัดโดยสมบูรณ์ การอยู่ในท้องแม่ เราอยู่ในท่าที่นอนขด งอก่องอขิงอยู่ ปกติเรานั่งอยู่นิ่ง ๆ ก็ลำบากแย่แล้ว นี่ยังต้องอยู่ในที่คับแคบ ร้อนอึดอัด ขยับกายไม่ได้อย่างใจ ปวดเมื่อยไปหมด มันมีความสุขหรือมันมีความทุกข์ ?

จากที่นั่งนิ่ง ๆ ครู่เดียวก็เมื่อยจะแย่ นี่เราต้องทนอยู่ตั้ง ๙ เดือน ๑๐ เดือน หลังจากนั้นก็คลอดเคลื่อนจากท้องแม่ออกมา กระทบความหนัก ความหนาว ความร้อนของอากาศ ปวดแสบปวดร้อนไปทั้งกายแล้วก็ร้องไห้จ้า สิ่งนี้เป็นความสุขหรือความทุกข์ ?

ถึงเวลาหิวต้องกิน กระหายต้องดื่ม ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะต้องเข้าห้องน้ำห้องส้วม เจ็บไข้ได้ป่วยต้องรักษาพยาบาล สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขหรือความทุกข์ ? เราจะเห็นว่าเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-12-2009 เมื่อ 12:09
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-03-2009, 02:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,020 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตะเกียกตะกายผ่านความทุกข์ยากลำบากของความหิวความกระหาย ความร้อนความหนาว ความเจ็บไข้ได้ป่วย ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมา โตขึ้นมาบนกองทุกข์ แล้วยังต้องมีทุกข์เพิ่มขึ้น คือ ต้องศึกษาเล่าเรียน หาวิชาความรู้ เพื่อที่จะได้ทำมาหากินเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว

การเดินทางไปโรงเรียนก็มีแต่ความทุกข์ เรียนไม่ทันก็ทุกข์ งานเกี่ยวกับการเรียนมีมากก็ทุกข์ ต้องสอบแข่งขันกับคนอื่นก็ทุกข์ สมมติว่าเรามีความทุกข์น้อยกว่าคนอื่น คือ สามารถที่จะสอบได้ เรียนจบ มันก็ยังมีทุกข์อื่น ๆ อีก อย่างเช่นปรารถนาที่จะมีคู่ครอง เริ่มรักก็เริ่มทุกข์ กลัวเขาจะไม่สนใจเรา เมื่อเขาให้ความสนใจ มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับออกมาก็ทุกข์ กลัวคนอื่นจะมาแย่งชิงไป

สมมติอีกทีว่าเราโชคดี ได้ตกล่องปล่องชิ้นแต่งงานกัน ก็กลายเป็นความทุกข์เพิ่มขึ้น จากขันธ์ ๕ ก็เป็นขันธ์ ๑๐ อยู่ตัวคนเดียวจะไม่กินสักมื้อสองมื้อก็ได้ ไม่อาบน้ำสักวันสองวันก็ได้ เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอก็ได้ ไม่ไปก็ได้ แต่พอมีอีกหนึ่งคนเข้ามา เขาหิวเราก็ต้องหิวด้วย เขาป่วยก็เหมือนกับเราป่วยด้วย ต้องคอยดูแล ต้องคอยรักษาพยาบาล ต้องคอยเอาใจอีกคนหนึ่ง เราตัวคนเดียวไม่อาบน้ำก็ได้ แต่ถ้าหากอยู่กับคนอื่นอย่างไรก็ต้องตะกายไปอาบ การบริหารร่างกายมีแต่ความทุกข์อย่างนี้ ในระหว่างนั้นมันก็ยังหนาวร้อน หิวกระหาย เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นปกติของมัน

มีหน้าที่การงานประจำที่ต้องรับผิดชอบ คนข้างล่างกระแทกขึ้นมา คนข้างบนกระแทกลงไปเราอยู่ตรงกลางก็ต้องแบกทุกข์เอาไว้

ถ้าหากว่ามีลูกก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้น พวกเจ้าตัวเล็กไม่ฟังใคร ถึงเวลาต้องได้ดั่งใจไม่อย่างนั้นก็อาละวาด คราวนี้ก็กลายเป็นขันธ์ ๑๕ ขันธ์ ๒๐ หนักเข้าไปอีก เราไม่มีกินไม่เป็นไร แต่ลูกต้องมี เราเจ็บไข้ได้ป่วยไม่เป็นไร แต่ลูกต้องไม่เจ็บไม่ป่วย เราเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ไม่เป็นไร แต่ลูกต้องได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ลูกต้องการ ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่กับเราตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-12-2009 เมื่อ 12:10
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 08-03-2009, 02:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,451
ได้ให้อนุโมทนา: 151,086
ได้รับอนุโมทนา 4,400,020 ครั้ง ใน 34,040 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ร่างกายก็ค่อย ๆ ทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ จากหนุ่มสาวแข็งแรงก็เริ่มย่างเข้าสู่วัยกลางคน เริ่มเป็นคนแก่ หูก็ฝ้า ตาก็ฟาง ความแข็งแรงก็ลดน้อยถอยลง ร่างกายเริ่มคดเริ่มค้อม เริ่มงอลง เคยทำอะไรได้อย่างใจทุกอย่าง ก็งก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ได้ดั่งใจ

ผมก็ขาว หนังก็เหี่ยว ฟันก็หัก แต่มันยังคงเจ็บเท่าเดิม ป่วยเท่าเดิม หิวเท่าเดิม กระหายเท่าเดิม ร้อนเท่าเดิม หนาวเท่าเดิม มันมีแต่ความทุกข์ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลง หาความสุขไม่ได้เลย เมื่อร่างกายเข้าสู่วัยชรา โรคภัยไข้เจ็บก็เบียดเบียนหนักขึ้น เดี๋ยวป่วยเป็นโรคนั้น เดี๋ยวเจ็บเป็นโรคนี้ มีแต่ความทุกข์เบียดเบียนอยู่ตลอดเวลา ท้ายสุดมันเบียดเบียนหนักเข้า ๆ ก็พาลตายไปเลย

เป็นอันว่าตั้งแต่เกิดยันตายมีแต่ความทุกข์อยู่กับเราตลอด พยายามพิจารณาดูให้เห็นให้ชัดเจน แล้วน้อมจิตน้อมใจยอมรับสภาพร่างกายมันมีปกติแบบนี้เอง สิ่งใดที่พอแก้ไขผ่อนคลายบรรเทาให้กับมันได้เราก็ทำ สิ่งใดที่พยายามจนสุดความสามารถแล้วไม่สามารถจะแก้ไขได้ เราก็ปล่อยวาง ให้เห็นว่าปกติธรรมดาของร่างกายเป็นเช่นนี้ ให้วางกำลังใจว่า ขึ้นชื่อว่าทุกข์เช่นนี้จะไม่มีแก่เราอีก เราจะทุกข์อยู่กับมันอย่างนี้ชาติเดียว การเกิดมาทุกข์ใหม่แบบนี้เราไม่ต้องการ ร่างกายที่เต็มไปด้วยทุกข์แบบนี้เราไม่ต้องการ เทวดาพรหมที่พ้นทุกข์เพียงชั่วคราวเราก็ไม่ต้องการ เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน

จากนั้นเอาใจจดจ่อกับภาพพระไว้ อย่างที่เคยย้ำทุกครั้งว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่อื่นเลยนอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน เอาใจจดจ่อแน่วแน่อยู่กับความสะอาด สว่าง สงบ เฉพาะหน้าของเราอย่างนี้ ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่กำหนดรู้คำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออก ไม่มีคำภาวนาก็กำหนดรู้ว่ามันไม่มี เอาสติจดจ่อรู้อยู่เฉพาะหน้าอย่างนี้จนกว่าจะบอกให้เลิกได้


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-12-2009 เมื่อ 12:11
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:54



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว