กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-06-2019, 20:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,209 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒

ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราทั้งหมดไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนมิถุนายนในวันแรก แต่เนื่องจากว่ามีงานที่ติดพันกันอยู่ ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมจึงคร่อมกันอยู่ระหว่าง ๒ เดือน โดยเฉพาะเดือนนี้ต้องมาบ้านเติมบุญทั้งหัวเดือนปลายเดือน เพราะว่าช่วงก่อนและหลังจากนั้นติดงานอยู่

สำหรับเมื่อครู่นี้ที่ได้กล่าวไปแล้ว ก็คือในเรื่องของสถานการณ์บ้านเมืองที่พัฒนาไปในทางที่ไม่ดี เพราะว่ามีการแย่งชิงประโยชน์กัน ตรงจุดนี้ขอให้ญาติโยมทั้งหลายเข้าใจว่า ปกติธรรมดาของโลกเป็นเช่นนั้น เพราะว่าโลกของเรานั้นประกอบไปด้วยโลกธรรม คือ สิ่งที่เป็นธรรมดาในโลก ๘ อย่างด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๔ คู่ ก็คือ ได้ลาภ-เสื่อมลาภ, ได้ยศ-เสื่อมยศ, ได้รับคำสรรเสริญ-โดนนินทาด่าว่า, มีความสุข-เกิดความทุกข์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2019 เมื่อ 03:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 22-06-2019, 20:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,209 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทั้ง ๘ อย่างนี้เป็นสิ่งประจำโลก เป็นสมบัติประจำโลก ใครเกิดมาก็ต้องพบทั้งนั้น คราวนี้โลกธรรมทั้ง ๘ อย่างนี้ เป็นตัวร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับโลก ที่หนาแน่นแข็งแรง ยากแก่การที่จะตัดละ เพราะว่าในด้านดี ก็คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เกิดขึ้น เราก็หวั่นเกรงว่าจะเสื่อมสลายไป พอเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์เกิดขึ้น เราก็หวั่นไหว พูดง่าย ๆ ก็คือทั้งหวั่นทั้งไหว

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงจำเป็นจะต้องสร้างกำลังใจของเราให้มั่นคง เพื่อที่จะได้ก้าวพ้นจากโลกธรรมทั้งหลายที่ร้อยรัดเราให้ติดอยู่ ซึ่งทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ ส่วนที่จะสร้างกำลังใจของเราได้ดีที่สุด คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือหลักไตรสิกขา ซึ่งถ้ากระจายออกอีกเล็กน้อย ก็จะกลายเป็นมรรคมีองค์ ๘ เมื่อสรุปลงมาค่อยเหลือเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีลนั้นเป็นเครื่องป้องกันเราไม่ให้ตกไปสู่อบายภูมิ ก็คือขีดเส้นให้ กาย วาจา ของเราอยู่ในกรอบ ไม่ไหลลงไปในทางที่ต่ำ คือเว้นจากการฆ่าสัตว์และทรมานสัตว์ เว้นจากการลักขโมยหรือหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เว้นจากการแย่งชิงคนรักหรือของรักของผู้อื่น เว้นจากการโกหกมดเท็จ เว้นจากการดื่มสุราหรือเสพยาเสพติด ถ้าเราตั้งสติระมัดระวังรักษาสิกขาบทเหล่านี้ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงละเมิดเป็นปกติ สภาพจิตของเราจะเริ่มทรงตัวเป็นสมาธิเอง

ดังนั้น...ศีลจึงเป็นเครื่องเกื้อหนุนสมาธิได้ดีที่สุด โดยเฉพาะศีล ๘ ทำให้เราละเว้นสิ่งไม่จำเป็นต่าง ๆ ลงไปได้มากต่อมากด้วยกัน เป็นการขัดเกลากำลังใจของเราให้กองกิเลสต่าง ๆ เบาบางลงไปโดยอัตโนมัติ เมื่อสภาพจิตเริ่มเป็นสมาธิ ความหวั่นไหวต่าง ๆ ที่เกิดจากการกระทบของโลกธรรมก็จะน้อยลง ถ้าสามารถทรงสมาธิสูงสุดก็คือฌาน ๔ ได้ ความหวั่นไหวจากโลกธรรมจะไม่ปรากฏ จนกว่าท่านจะหลุดจากสมาธิออกมาใหม่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2019 เมื่อ 03:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-06-2019, 22:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,209 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...นักปฏิบัติที่ดีเมื่อทรงสมาธิได้แล้ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประคับประคองรักษากำลังใจของเราเอาไว้ อย่าให้หลุด อย่าให้หล่นหายไป ไม่เช่นนั้นอาการจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก จะเกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย ซึ่งนักปฏิบัติที่มีประสบการณ์จะรู้เลยว่าทุกข์ทรมานใจขนาดไหน ที่สภาพจิตของเราเปลี่ยนจากฟ้ากลายเป็นเหว จากที่ทรงคุณงามความดีเต็มจิตเต็มใจ ก็กลับกลายเป็นมีแต่ความชั่วมายึดครองจิตใจ บุคคลที่รู้เข็ดรู้จำ จะไม่อยากให้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นอีก

เมื่อพยายามประคับประคองรักษากำลังใจของตนเองกลับมาทรงตัวได้ใหม่ ก็ต้องตั้งสติระมัดระวังสุดขีด เหมือนคนที่เดินอยู่บนผิวน้ำแข็งบาง ๆ กลัวเกรงสุดชีวิตว่าแผ่นน้ำแข็งจะแตก ทำให้เราจมหายลงไปใต้ความเย็นที่สามารถคร่าชีวิตของเราได้

เมื่อท่านทั้งหลายใช้สมาธิจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัว สภาพจิตผ่องใส ปัญญาก็จะเกิด พิจารณาแล้วเราจะเห็นว่า โลกธรรมทั้งฝ่ายดี คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่ว่าดีเพราะว่าเราชอบ ทั้งฝ่ายไม่ดี คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ที่ว่าไม่ดีเพราะว่าเราไม่ชอบ จริง ๆ แล้วมีโทษสาหัสพอกันทั้งคู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2019 เมื่อ 03:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 23-06-2019, 22:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,209 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนที่เราชอบก็สร้างให้ราคะกับโลภะให้เกิดขึ้นในใจของเรา ก็คือยินดีแล้วอยากมีอยากได้ ส่วนที่ไม่ชอบก็ก่อให้เกิดโทสะขึ้นในใจของเรา ก็คือหงุดหงิด กลัดกลุ้ม ไม่อยากมี ไม่อยากได้ เครียด

ทั้ง ๒ อย่างไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เรายินดีหรือไม่ยินดีก็ตาม เป็นเครื่องร้อยรัดเราให้จมอยู่ในวัฏสงสารทั้งคู่ จึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของโลกธรรมทั้งหลายเหล่านี้ แล้วอยู่ในลักษณะสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่ยินดียินร้าย ฝ่ายดีเข้ามาก็เสพรับอย่างมีสติ ฝ่ายไม่ดีเข้ามาก็ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลน เพราะเข้าใจดีว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรทรงตัวอยู่ได้ตลอดกาล

ถ้าท่านสามารถทำอย่างนี้ได้ โลกธรรมก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายต่อท่านทั้งหลายได้ ถ้าสภาพจิตปลดละปล่อยวางได้อย่างแท้จริง ท่านทั้งหลายก็สามารถล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2019 เมื่อ 03:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว