กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-12-2019, 22:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,209 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ ต้องบอกว่าเนื่องจากพ้นผ่านวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งพวกเราชินกับคำว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ มากกว่า ในช่วงวันคล้ายวันพระราชสมภพก็มีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งราชการ เอกชน ตลอดจนวัดวาอาราม จัดงานบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน

สำหรับในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั้น อาตมาเคยกล่าวไปแล้วว่า พระองค์ท่านนำเอาหลักธรรมมาใช้ มาสั่งสอนต่อพวกเราโดยที่ไม่มีวี่แววของภาษาบาลีอยู่เลย ดังที่พระองค์ท่านได้ตรัสว่า ในเรื่องของการทำความดีนั้น แม้ว่าจะทำได้ยาก...แต่ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นแล้วความชั่วที่ทำได้ง่ายกว่าก็จะเข้ามาท่วมทับเรา ซึ่งตรงจุดนี้อยากให้ทุกท่านเปรียบเทียบกับตนเองว่า เราเองนั้นได้มีความเพียรพยายามในการต่อสู้เพื่อกระทำความดีเท่าไร ? สมควรแก่คำว่านักปฏิบัติแล้วหรือไม่ ?

อย่างเช่นญาติโยมบางท่านบอกว่า สู้กับกิเลสแล้วไม่เห็นทางชนะ จนกระทั่งจะหมดกำลังใจอยู่แล้ว พอถึงเวลาต้นเดือนได้เห็นหน้าหลวงพ่อทีหนึ่งก็มีกำลังใจขึ้นมาทีหนึ่ง ซึ่งถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้วก็คือ เราตกเป็นทาสของกิเลส และเป็นกิเลสหยาบมาก ก็คือถีนมิทธะนิวรณ์ ซึ่งชวนให้ง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจปฏิบัติ ซึ่งนั่นเป็นกิเลสที่หยาบที่สุด เห็นหน้าตาได้ง่ายที่สุด

และถ้าหากว่าเราคล้อยตามไป โดยการที่ถึงเวลาขี้เกียจขึ้นมาก็นอน แต่มีความขยันในการไปทำสิ่งอื่นที่ไม่เป็นโล้เป็นพายสำหรับนักปฏิบัติ อย่างเช่นว่าไปส่อง Facebook ไปคุย LINE

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าหากว่าเราไปทำ พอครั้งต่อไปกิเลสจะชวนให้เราทำอีก โดยมีข้ออ้างว่าคราวที่แล้วยังทำเลย แล้วเราก็จะคล้อยตามไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดความชั่วก็จะท่วมทับความดีจนความดีโงหัวไม่ขึ้น กลายเป็นทาสของกิเลสไปโดยปริยาย

ซึ่งลักษณะอย่างนี้จัดเป็นอบายมุข คือปากทางแห่งความเสื่อมอย่างหนึ่ง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นความเกียจคร้านไม่ทำการงาน ที่ไม่ใช่การงานในหน้าที่ เป็นการงานที่สำคัญกว่านั้น คืองานชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลส
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-12-2019 เมื่อ 08:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-12-2019, 21:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,209 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราเกียจคร้าน พระองค์ท่านบอกว่า วิธีดูง่าย ๆ ว่าเราขี้เกียจหรือไม่ ก็คือเป็นคนมักอ้างหรือไม่ อ้างว่าร้อนนัก อ้างว่าหนาวนัก ช่วงนี้ก็ช่วงหน้าหนาว อากาศหนาวเข้ามาพอดี แล้วมีทีท่าว่าอุณหภูมิจะลดลงไปอีก ช่วงนี้ร้อน..ไม่ไหว..นั่งกรรมฐานไม่ไหว หนาวเกินไปไม่ไหวอีก มักอ้างว่าหิวนัก มักอ้างว่ากระหายนัก หิวไม่มีอารมณ์จะทำ ไม่มีแรงจะปฏิบัติธรรม กระหายไม่มีอารมณ์จะปฏิบัติธรรม ต้องได้ชาไข่มุกสักแก้วใหญ่ถึงจะดีขึ้น แต่เพลินจนเลยเวลาปฏิบัติ

มักอ้างว่าสายเสียแล้ว มักอ้างว่ายังเช้าอยู่ เลยเวลาปฏิบัติธรรมแล้ว ต้องไปทำอย่างอื่นแทน ตอนนี้สายเกินไป หรือไม่ก็เพิ่งจะตี ๓ ตี ๔ เอง ขอนอนอีกสักชั่วโมงหนึ่ง ยังเช้าอยู่เลย แล้วเราก็จะไม่ได้ทำอะไรเลย

เพราะฉะนั้น..คนที่ขี้เกียจ ไม่ทำงานทางโลกยังพอทน ถ้าทางธรรมนี่เราตกเป็นทาสกิเลสแน่นอน ถ้าเป็นทาสให้พวกกิเลสจูงจมูก ก็แปลว่าเราต้องยังเวียนว่ายตายเกิดมาทนทุกข์อีกนับชาติไม่ถ้วน

ดังนั้น...ถ้าพิจารณาแล้วหลักธรรมของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่สอนพวกเราก็คือ ให้พวกเรามีความเพียร ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ทั้งทางโลกและทางธรรมจนเกิดผล ผลที่เกิดตัวเราเองเสพเสวยเป็นคนแรก ดีก็อยู่ที่ตัวเรา ชั่วก็อยู่ที่ตัวเรา ดังนั้น..เรื่องของการอยู่กับขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสติสัมปชัญญะและปัญญามาก ๆ เพราะว่าเราสามารถใช้ร่างกายนี้สร้างได้ทั้งความดีความชั่ว ถ้าไม่เร่งทำความดีให้มากไว้ ถึงเวลาความชั่วเข้ามา เราก็จะไม่มีแรงต่อต้าน ก็จะพ่ายแพ้ตกเป็นทาสกิเลส

แต่ถ้าเราเพียรพยายามต่อสู้ ถึงทุกข์ยากลำบากเพียงไหน ท้ายสุดเราก็จะเป็นผู้ชนะ โดยเฉพาะถ้าหากว่าถึงที่สุดแห่งชัยชนะคือ สามารถก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านบ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2019 เมื่อ 05:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:25



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว