กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-02-2020, 08:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,040 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓

ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ เป็นการปฏิบัติธรรมวันแรกของต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งระยะนี้พวกเราส่วนใหญ่กลัวการติดเชื้อไวรัสอู่ฮั่น หรือที่เขาเรียกอย่างเป็นทางการว่า เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ปี ๒๐๑๙ ก็เลยทำให้เกิดการแตกตื่น ตุนเครื่องป้องกัน อย่างเช่นหน้ากากอนามัย จนขึ้นราคาไปสูงมาก ซึ่งในส่วนนี้ถ้าสำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว ถือว่ายังเป็นกำลังใจที่ใช้ไม่ได้ เนื่องเพราะว่าเรายังกลัวตาย หลายท่านบอกว่าไม่ได้กลัวตาย แต่ไม่อยากป่วย ขอให้ดูลึก ๆ ลงไป คำว่า ไม่อยากป่วยก็คือกลัวตาย เพราะว่าถ้าป่วยมากอาจจะตายได้ เป็นต้น

ในส่วนนี้แสดงให้เห็นว่า เราขาดการเห็นความเป็นธรรมดาของชีวิตนี้ ขาดการเห็นความเป็นธรรมดาของร่างกายนี้ ซึ่งมีความตายเป็นปกติ หายใจเข้าไม่หายใจออกเราก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าเราก็ตายอีกเช่นกัน อรรถกถาจารย์ท่านให้พิจารณาว่า แม้โดยฐานะ บุคคลไม่ว่าจะรวย จะจน จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี เป็นคหบดี เป็นคนเดินดินธรรมดา หรือต่ำต้อยด้อยค่าขนาดเป็นขอทาน ทุกรูปทุกนามก็ต้องตายลงทั้งหมด ก็แปลว่าการดูโดยฐานะไม่มีใครรอดไปได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ทุกรูปทุกนามต้องก้าวไปหาความตายเป็นปกติ

ให้ดูด้วยตำแหน่งหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เจ้าพระยามหากษัตริย์ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือบรรดาผู้บัญชาการเหล่าทัพต่าง ๆ ต่อให้มีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดไหน ท้ายสุดก็ตาย ก็แปลว่าโดยตำแหน่งหน้าที่ ไม่ว่าตั้งแต่ใหญ่สุดเป็นในระดับประธานาธิบดี หรือตลอดจนกระทั่งพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก หรือตำแหน่งเล็กสุดอย่างผู้รับใช้สอยตามหน้าที่ต่าง ๆ ต้องเป็นข้าทาสบริวารเขา ก็ล้วนแล้วแต่ก้าวไปสู่ความตายทั้งสิ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-02-2020 เมื่อ 12:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-02-2020, 08:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,040 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกประการหนึ่งท่านให้ดูโดยบุญ บุคคลที่สร้างบุญสร้างกุศลมา ไม่ว่าจะเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ดี พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ตลอดจนถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถที่จะรอดพ้นจากความตายไปได้ ท้ายสุดแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังปรินิพพาน ก็แปลว่าไม่ว่าจะดูโดยสถานะไหนก็ตาม มนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม ท้ายสุดก็ก้าวเข้าไปหาความตายทั้งหมด

ชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง เราก้าวไปหาความเสื่อมเป็นปกติ เกิดขึ้นมาก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการประสบสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง โดยเฉพาะความทุกข์ในปัจจุบันของเรา ก็คือทุกข์เพราะเกรงจะเป็นโรค ก็คือทุกข์เพราะเกรงว่าจะต้องตาย

ถ้าเราสามารถพิจารณาจนเห็นความเป็นธรรมดาว่า ทุกคนก้าวเข้าไปหาความตายเป็นปกติ จะช้าจะเร็วก็ต้องสิ้นลมหายใจ ทิ้งสังขารเป็นธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม คืนให้แก่โลกไป ถ้าเห็นแล้วยอมรับสภาพความเป็นจริงว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ เราก็จะไม่หวั่นไหว ไม่หวาดกลัว หากแต่พยายามทำคติ คือที่ไปของเราให้เที่ยงแท้แน่นอน โดยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา โดยตั้งเป้าหมายสูงสุดไว้ที่พระนิพพาน

ที่ตั้งเป้าหมายสูงสุดเอาไว้อย่างนั้น เพราะว่าเราต้องใช้ความพยายามอย่างสูงสุด ถ้าไม่สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ อย่างน้อยเราก็จะได้ไปไกลกว่าคนอื่น ก็แปลว่าท่านทั้งหลายต้องอาศัยศีล สมาธิ ปัญญา เป็นที่ยึดที่เกาะ พยายามสร้างสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้เกิดขึ้นแก่เรา ให้มั่นคง ให้แน่นอน เมื่อเรามีความมั่นคงแน่นอนในคติ คือที่ไปหลังความตายแล้ว เราก็จะไม่หวั่นเกรงความตายไปเอง โดยเฉพาะถ้าใครสามารถทำจิตหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ จักไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดสามารถทำให้ท่านหวั่นไหวไปได้อีกแล้ว

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านบ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-02-2020 เมื่อ 12:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:42



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว