กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 31-07-2012, 12:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน บวชเนกขัมมะ รุ่น ๑ (วันที่ ๒ ก.ย. ๒๕๕๓)

ขยับนั่งในท่าที่สบาย ใครถนัดนั่งขัดสมาธิ ถนัดนั่งพับเพียบ หรือจะห้อยเท้าอย่างไรก็ได้ ให้ทุกคนหายใจเข้ายาว ๆ หายใจออกยาว ๆ สัก ๒ - ๓ ครั้ง เป็นการระบายลมหยาบออกทั้งหมด เพราะการปฏิบัตินั้น เมื่อสติเริ่มละเอียดลงแต่ลมหายใจยังหยาบอยู่ บางคนจะเกิดอาการอึดอัดแทบขาดใจตาย

เมื่อหายใจเข้าออก ๒ - ๓ ครั้งแล้ว ก็ปล่อยให้ลมหายใจเป็นไปตามปกติ จะหายใจแรง หายใจเบา หายใจยาว หายใจสั้น อยู่ที่ความเหมาะสมของแต่ละคน เพียงแต่ให้กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา พร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด หรือพร้อมกับภาพพระของเรา


หายใจเข้าพุท...พระพุทธรูปไหลเข้าไปอยู่ในท้องของเรา หายใจออกโธ...พระพุทธรูปไหลขึ้นไปอยู่บนศีรษะของเรา หายใจเข้าพุท...พระพุทธรูปองค์เล็กลง ๆ ๆ ๆ เข้าไปอยู่ในท้องของเรา หายใจออกโธ...พระพุทธรูปใหญ่ขึ้น ๆ ๆ ๆ ไปอยู่บนศีรษะของเรา หายใจเข้าพุท..พระพุทธรูปเล็กลง ๆ ๆ ๆ ไปอยู่ในท้อง หายใจออกโธ..พระพุทธรูปใหญ่ขึ้น ๆ ๆ ๆ ไปสว่างอยู่เหนือศีรษะ

ทุกเวลาที่เราว่าง นึกขึ้นมาได้เมื่อไร ให้กำหนดภาพอย่างนี้ไว้ เพื่อให้ใจของเรามีที่ยึด มีที่เกาะ โดยเฉพาะการยึดอยู่กับลมหายใจเข้าออก สามารถป้องกันความฟุ้งซ่านได้ดีมาก ตราบใดยังอยู่กับลมหายใจเข้าออก ตราบนั้นรัก โลภ โกรธ หลง จะกินใจเราไม่ได้ บุคคลที่มีความคล่องตัวในลมหายใจเข้าออก สามารถทรงสมาธิระดับต่าง ๆ ได้นั้น สามารถรู้ได้แม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิตตนเอง บอกได้ว่าตนเองจะตายเมื่อไร

โดยเฉพาะลมหายใจเข้าออกนั้น สามารถระงับเวทนาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ดี ถ้าใครซักซ้อมจนมีความคล่องตัว เวลาเจ็บป่วยเราก็อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา ไม่ไปสนใจเรื่องความเจ็บป่วย ก็จะเหมือนกับคนไม่ป่วยนั่นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2012 เมื่อ 14:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-08-2012, 13:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนในเรื่องของพุทธานุสติหรือภาพพระนั้น ดังที่เคยบอกไปแล้วว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหน นอกจากพระนิพพาน จึงให้ตั้งกำลังใจว่า ถ้าเราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน

หายใจเข้าภาพพระสว่าง ไหลลงไปอยู่ในท้อง หายใจออกภาพพระสว่าง ไหลขึ้นไปอยู่บนศีรษะ หายใจเข้าให้ภาพพระใหญ่ขึ้น ๆ ๆ จนครอบตัวเรา หายใจออกให้ภาพพระเล็กลง ๆ ๆ ไปอยู่บนศีรษะของเรา นี่เป็นสิ่งที่เราทำตามความชอบของตน หายใจเข้าให้ภาพพระเล็กลง หายใจออกให้ภาพพระใหญ่ขึ้น หรือหายใจเข้าให้ภาพพระใหญ่ขึ้น หายใจออกให้ภาพพระเล็กลง อยู่ที่ความชอบเฉพาะตน สิ่งนี้เป็นกีฬาสมาธิ เป็นการซักซ้อมให้จิตใจอยู่ในทางธรรม จะได้ไม่ฟุ้งซ่านไปสู่อารมณ์อื่น ๆ


พวกเราทั้งหมดส่วนใหญ่มีพื้นฐานสมาธิมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าสมาธิแต่ละระดับนั้นเป็นอย่างไร หรือไม่รู้ว่าจะซักซ้อมความคล่องตัวในการเข้าออกสมาธิอย่างไร ก็ให้ซ้อมด้วยการจับภาพพระนี้ กำหนดให้ใหญ่ให้เล็ก ให้ขึ้นให้ลง ไปซ้ายไปขวา ไปหน้าไปหลัง มีพระ ๑ องค์ ๒ องค์ ๓ องค์ ๔ องค์ ๕ องค์ แล้วแต่เราชอบใจ เลื่อนพระองค์ท่านสลับไปสลับมาก็ได้ เมื่อจิตมีงานทำ ก็จะตั้งมั่นอยู่กับงานเฉพาะหน้า ไม่ฟุ้งซ่านไปสู่อารมณ์อื่น ๆ

เมื่อพวกเราภาวนาจนกระทั่งจิตมีกำลังแล้ว ถ้าหากว่าทิ้งไปเฉย ๆ ไม่ได้ใช้ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ดังนั้นเราจึงต้องนำเอากำลังนั้นมาพินิจพิจารณา ให้เห็นสภาพของความเป็นจริงของร่างกายนี้ เห็นสภาพความเป็นจริงของร่างกายคนอื่น เห็นสภาพความเป็นจริงของโลกนี้ ว่าทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ประกอบขึ้นด้วยความไม่เที่ยง มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-08-2012 เมื่อ 19:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-08-2012, 06:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ หรือระหว่างที่ดำรงสภาพอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุธาตุ เป็นสิ่งของ ก็ล้วนแล้วแต่มีความทุกข์เป็นปกติ ความทุกข์ของเราที่เห็น ๆ อยู่ คือความทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของความปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น

ในเรื่องของวัตถุธาตุต่าง ๆ ก็มีสภาวทุกข์ คือมีความเสื่อมสลาย ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ได้ จัดเป็นความทุกข์ตามสภาพของสิ่งนั้น ๆ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สิ่งที่มีชีวิตก็ดี สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ดี ล้วนแล้วแต่มีความทุกข์เป็นปกติ และในที่สุด สิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็เสื่อมสลายตายไป พังไป ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ ไม่สามารถยึดถือเป็นตัวตนเราเขาได้

ในเมื่อเรามีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรที่ยึดถือมั่นหมายได้อย่างนี้แล้ว ถ้าเรายังตายยังเกิดต่อไปอีก ก็จะทุกข์ไม่รู้จบ เกิดมาชาติหนึ่งก็ทุกข์แทบจะทนไม่ได้แล้ว ความหิวกระหาย ความร้อน ความหนาว การเจ็บไข้ได้ป่วย ปรากฏแก่เรา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความทุกข์ทั่ว ๆ ไปที่มีอยู่เป็นปกติ เราก็ย่ำแย่แล้ว ไหนจะต้องบริหารร่างกาย คอยดูแลทำความสะอาด หาอาหารให้กิน หาเสื้อผ้าให้นุ่งห่ม ร้อนก็ต้องหาของเย็นให้ หนาวก็ต้องหาเครื่องทำความอบอุ่น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีอยู่เป็นปกติกับร่างกาย เกิดมากี่ชาติก็ทุกข์อย่างหาที่สุดไม่ได้อย่างนี้

แค่การกินอย่างเดียว เราก็ไม่รู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องยกช้อนขึ้น ๆ ลง ๆ ตักอาหารใส่ปากกี่ครั้ง ถ้าเราหยิบช้อนขึ้นมา แล้วยกขึ้นยกลงสักหนึ่งร้อยครั้ง สองร้อยครั้ง เราก็จะรู้สึกว่าเมื่อย ก็แปลว่าแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ก็ยังสร้างความทุกข์ให้แก่เราได้อย่างมหาศาล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2012 เมื่อ 11:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-08-2012, 04:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ร่างกายมีพื้นฐานมาจากความทุกข์ทั้งสิ้น เราเกิดมาก็ต้องพบกับความทุกข์ ต้องทนอยู่กับความทุกข์ ดังนั้น..ให้ทุกท่านตั้งใจว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่ไม่เที่ยงอย่างนี้ มีความทุกข์อย่างนี้ ไม่สามารถยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนได้อย่างนี้ เราไม่พึงปรารถนาอีกแล้ว เราตั้งใจว่าเราจะทุกข์ทนกับร่างกายนี้ในชาติเดียว ตายเมื่อไร เราขอไปพระนิพพาน

จากนั้นก็ให้ทุกท่านทบทวนดูว่า เรามีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ตอนนี้อย่างน้อยเราทุกคนรักษาศีลแปดอยู่ ในช่วงเวลา ๑ คืน ๑ วัน ที่ผ่านมานั้น เราได้ฆ่าสัตว์หรือทรมานสัตว์ แม้กระทั่งสัตว์เล็กสัตว์น้อยบ้างหรือเปล่า ? เราได้ลักขโมย หยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้หรือเปล่า ? เรามีการละเมิดพรหมจรรย์หรือไม่ ? อย่างเช่น การจับต้องเนื้อตัวของเพศตรงข้าม ที่ทำให้เกิดความกำหนัดยินดีขึ้นมานั้นมีหรือไม่ ?

เราได้พูดโกหกเพื่อนฝูงหรือเปล่า ? เราดื่มสุราหรือเสพยาเสพติดใด ๆ หรือไม่ ? เราได้กินอาหารตั้งแต่เลยเที่ยงแล้วไปหรือไม่ ? เราได้ฟังดนตรี ขับร้อง ละเล่น ประโคมหรือไม่ ? เราได้ตบแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ หรือไม่ ? เราได้ใช้ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทาหรือไม่ ? และท้ายสุด เราได้นอนที่นอนสูง ที่นอนใหญ่บ้างหรือไม่
? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าทบทวนแล้วพบว่ามีข้อบกพร่อง ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารักษาสิกขาบทต่อไป

หลังจากนั้นท่านทั้งหลายก็ทบทวนดูว่า เรามีความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงหรือไม่ ? ยังมีการจาบจ้วงล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจหรือไม่ ? ถ้าหากว่ายังมีอยู่ ก็ให้ตัดใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะประพฤติปฏิบัติอยู่ในอาการที่เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะไม่ล่วงเกินแม้ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-08-2012 เมื่อ 12:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 51 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-08-2012, 06:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นแล้ว ให้กำหนดใจดูว่า เรารู้ตัวหรือไม่ว่าเราจะต้องตาย เรารู้ตัวหรือไม่ว่าความตายอยู่กับเราตลอดเวลา หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเช่นกัน การที่เราอยู่กับความตายเช่นนี้ ก็แปลว่าเราจะพ้นจากความทุกข์ไปได้ในชั่วลมหายใจออกเช่นนั้น การที่เราดำเนินชีวิตอยู่ แปลว่าเรามีชีวิตอยู่แค่ชั่วลมหายใจเดียว ถ้าไม่หายใจก็ตายเสียแล้ว ดังนั้น..ความทุกข์ทั้งหลาย ทำไมเราจะทนอยู่ด้วยไม่ได้ เพราะเรามีเวลาอยู่แค่นิดเดียวเท่านั้น

เมื่อพ้นจากนี้แล้ว ให้ตั้งใจว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เราไม่ต้องการอีก การเกิดมาในโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีก การเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม พ้นทุกข์แค่ชั่วคราว ถึงเวลาก็ต้องลงมาเกิดใหม่ ก็มาทุกข์อีก เราไม่ต้องการ เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน

เมื่อกำหนดกำลังใจเช่นนี้ได้ ก็กำหนดใจเกาะภาพพระแน่วนิ่งให้อยู่บนศีรษะของเรา หายใจเข้า ภาพพระสว่างขึ้น หายใจออกก็ให้ภาพพระสว่างขึ้น ตั้งกำลังใจว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดเลย นอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ถ้าหากเราสิ้นชีวิตหรือตายลงไปภายในวันนี้ เราขอมาอยู่พระนิพพานกับพระองค์ท่าน ณ ที่แห่งนี้เท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-08-2012 เมื่อ 12:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 05-08-2012, 06:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,030 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วให้ทุกคนกำหนดดูลมหายใจเข้าออกของตน ถ้ายังมีลมหายใจ ยังมีคำภาวนาอยู่ ก็ให้กำหนดดูลมหายใจ และคำภาวนาไป ถ้าหากลมหายใจเบาลง ก็ให้กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลง ถ้าคำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้ว่าคำภาวนาหายไป ถ้าไม่มีทั้งลมหายใจ ไม่มีทั้งคำภาวนา ก็ให้กำหนดรู้ว่าขณะนี้สภาพจิตไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา ให้ตามดูอยู่อย่างนั้น

ไม่ต้องไปดิ้นรนอยากจะหายใจใหม่ และไม่ต้องไปดิ้นรนอยากให้พ้นจากสภาพนั้น ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ สภาพจิตเราก็จะดิ่งลึกไปเรื่อย จนกระทั่งสามารถทรงฌานเต็มระดับที่เราต้องการ แต่ให้กำหนดใจไว้ว่า ไม่เกินตีสี่ครึ่ง เราจะถอนกำลังใจออกมา ไม่เช่นนั้นถ้ากำลังใจของเรา เข้าสมาธิลึกจนเกินไป บางทีเวลาจะผ่านไปโดยไม่รู้ตัว

สำหรับตอนนี้ก็ให้ทุกคนกำหนดใจจดจ่ออยู่กับภาพพระ จดจ่ออยู่กับการพิจารณา จดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา ก็ให้จดจ่ออยู่กับการรู้สภาพที่นิ่ง ใส สว่าง สงบอยู่อย่างนั้น จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน งานบวชเนกขัมมะรุ่น ๑
๒ กันยายน ๒๕๕๓
(ถอดจากเสียงเป็นตัวอักษร โดย เถรี)

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2012 เมื่อ 12:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:34



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว