กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 18-01-2013, 20:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,378 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๖

ให้ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่ตนเองถนัด เอาความรู้สึกของเราผูกติดอยู่กับลมหายใจ หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานรับปีใหม่วันที่สองของพวกเรา

เมื่อครู่ก่อนกรรมฐานได้กล่าวถึงพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อยู่ในลักษณะของอัปปมัญญาคือไม่มีประมาณ สงเคราะห์ทุกคนโดยเสมอหน้ากัน พูดง่าย ๆ ก็คือในความรู้สึกของพระองค์ท่านนั้น ไม่มีการแบ่งสี ไม่มีการแบ่งฝ่าย ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติ ไม่มีการแบ่งศาสนา ทุกคนก็คือพสกนิกรที่พระองค์ท่านต้องปกครองดูแล ช่วยให้พวกเราได้อยู่ดีกินดี มีความร่มเย็นเป็นสุขโดยเสมอหน้ากัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับพวกเรา ในการที่จะปฏิบัติในพรหมวิหาร ๔

พรหมวิหาร ๔ นั้นเป็นกรรมฐานใหญ่มาก ในกรรมฐาน ๔๐ แยกพรหมวิหาร ๔ ออกเป็น ๔ กองด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่น่าจะนับเป็นกองเดียว ก็เพราะความยิ่งใหญ่ละเอียดลออของกรรมฐานทั้งหลายเหล่านี้ พรหมวิหาร ๔ นั้นประกอบไปด้วย เมตตาคือความรักผู้อื่นเสมอด้วยตนเอง กรุณาคือความสงสาร อยากเห็นผู้อื่นเขาพ้นจากความทุกข์ มุทิตาคือความพลอยยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นอยู่ดีมีสุข อุเบกขา ในเมื่อช่วยเหลือจนสุดความสามารถแล้วไม่สามารถที่จะช่วยได้ ก็ต้องปล่อยวาง ยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม แต่การปล่อยวางนั้น ก็ยังอยู่ในลักษณะที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ถ้ามีโอกาสเมื่อไร ก็จะทำการช่วยเหลือใหม่

พรหมวิหาร ๔ นั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้แช่มชื่นเบิกบาน มีความอยากจะปฏิบัติธรรม เพราะเห็นว่าธรรมะนั้นเป็นสิ่งที่ดีเลิศ เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง เรายิ่งทำมากเท่าไร ยิ่งอนุเคราะห์สงเคราะห์บุคคลอื่นได้มากเท่านั้น จิตใจที่แช่มชื่นเยือกเย็นก็จะทำให้กรรมฐานต่าง ๆ ทรงตัวได้ง่าย และพรหมวิหาร ๔ ยังเป็นตัวประคับประคองศีลให้บริสุทธิ์ไปโดยปริยาย

ในเมื่อเรารักเขาสงสารเขา เราก็ไม่คิดที่จะเข่นฆ่าทำร้ายใคร ในเมื่อเรารักเขาสงสารเขา เราก็ไม่คิดที่จะไปลักขโมยผู้ใด ในเมื่อเรารักเขาสงสารเขา เราก็ไม่ไปแย่งชิงสิ่งที่เขารัก คนที่เขารัก ในเมื่อเรารักเขาเราสงสารเขา เราก็ไม่ไปโกหกหลอกลวงผู้อื่น ในเมื่อเรารักคนรอบข้างและตนเอง เราก็ไม่ไปกินเหล้าเมายาซึ่งทำลายทั้งสุขภาพของตนเอง และทำให้คนรอบข้างเขาเดือดร้อนเพราะการกระทำของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2013 เมื่อ 03:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 19-01-2013, 21:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,378 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเป็นเช่นนี้จะเห็นได้ว่า ในส่วนของพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นตัวควบคุมศีลอย่างแท้จริง บุคคลที่ทรงพรหมวิหาร ๔ จะมีศีลบริสุทธิ์โดยอัตโนมัติ การที่เราจะบำเพ็ญในพรหมวิหาร ๔ นั้น ก็คือการที่เรากำหนดใจที่เต็มไปด้วยหวังดีปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิทุกหมู่ทุกเหล่า ตั้งใจว่าเราไม่เป็นศัตรูกับใคร เรายินดีเป็นมิตรต่อคนและสัตว์ทั่วโลก กำหนดความรู้สึกนี้ให้แผ่ออกไปสู่เขาทั้งหลายเหล่านั้น

เมื่อกระทำจนกระทั่งกำลังใจสงบเยือกเย็น เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแล้ว ก็ให้จับลมหายใจเข้าออกภาวนาต่อไป จึงจะทำพรหมวิหาร ๔ นี้ให้เป็นฌานได้ ไม่เช่นนั้นแล้วพรหมวิหาร ๔ ของเรา อย่างเก่งที่สุดก็ไม่ได้เกินอุปจารสมาธิ เพราะว่าเป็นอารมณ์ในการคิดเสียมาก ดังนั้น..พรหมวิหาร ๔ จะทรงตัวหรือไม่ทรงตัว ขึ้นอยู่กับพื้นฐานคืออานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกของเรา

ถ้าเราจะกระทำตัวเมตตาพรหมวิหารในอีกลักษณะหนึ่ง คือการกำหนดภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ให้พระองค์ท่านสว่างไสวอยู่ทั่วจักรวาล กำหนดให้พระรัศมีอันสว่างไสวของพระองค์ท่านนั้น คือพระเมตตาซึ่งแผ่ปรกไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิทุกหมู่ทุกเหล่าโดยเสมอหน้ากัน

หายใจเข้า..ให้พระรัศมีของพระองค์ท่าน แผ่กว้างออกไปสู่เขาทั้งหลายเหล่านั้น หายใจออก..ให้พระรัศมีทั้งหลายเหล่านั้น หดกลับเข้ามาสว่างไสวอยู่ที่องค์พระท่าน หายใจเข้า..ให้รัศมีแผ่กว้างสว่างไสวออกไป หายใจออก..ให้พระรัศมีหดกลับเข้ามาสว่างอยู่ที่องค์พระ การซักซ้อมดังนี้นอกจากจะเป็นการแผ่เมตตา ที่เราจะรู้สึกว่าเป็นรูปธรรมแล้ว ยังเป็นการซักซ้อมในพุทธานุสติ ในกสิณ และในกรรมฐานกองอื่น ๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกด้วย

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้สามารถที่จะทำได้ จัดเป็นกีฬาสมาธิ เพื่อทำให้สภาพจิตของเราได้มีสิ่งที่แปลกใหม่เอาไว้กระทำ แทนที่จะดูแต่ลมหายใจอย่างเดียว หรือแทนที่จะแผ่เมตตาอย่างเดียว เมื่อสภาพจิตมีสิ่งที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ เข้ามารับรู้ ก็จะไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น ดังนั้น..การที่เราจะกำหนดภาพพระให้พระองค์ท่านแผ่พระรัศมีออกไป แทนพระเมตตาคุณต่อที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายก็ดี สิ่งที่จะลืมไม่ได้คือต้องควบกับลมหายใจเข้าออก เพื่อความมั่นคงในสภาพจิตใจของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2013 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 20-01-2013, 20:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,147
ได้รับอนุโมทนา 4,405,378 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าสามารถทำได้ถึงที่สุด เราจะสามารถกำหนดความสว่างไสวนั้น เบื้องบนไปจรดพรหมชั้น ๑๖ เบื้องล่างถึงอเวจีมหานรก เบื้องขวาง (รอบข้างของเรา) ก็คือโลกธาตุต่าง ๆ ที่ประกอบไปด้วยสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นอนันตจักรวาล ไม่สามารถที่จะนับได้ทั่วถ้วน

ถ้าสามารถกระทำได้อย่างนี้ทุกวัน กำลังจิตของเราที่ประกอบไปด้วยความเมตตา ก็จะมีความแจ่มใสเยือกเย็น ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ถึงอานิสงส์ว่า บุคคลที่เจริญเมตตานั้น ๑.หลับก็เป็นสุข ๒.ตื่นก็เป็นสุข ๓.ไม่ฝันร้าย ๔.เป็นที่รักของมนุษย์ ๕.เป็นที่รักของอมนุษย์ ๖.เทวดาจะช่วยรักษา ๗.ไม่ว่าอาวุธ ยาพิษ หรือเปลวไฟไม่สามารถที่จะทำร้ายได้ ๘.สามารถยังสมาธิให้ทรงตัวมั่นคงได้ ๙.เป็นผู้ที่มีใบหน้าอันผ่องใส ๑๐.เป็นผู้ที่ตายแล้วไม่หลง คือมีสติมั่นคง ๑๑.เมื่อตายแล้วมีพรหมโลกเป็นที่ไป เป็นต้น

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเรากระทำในตัวของพรหมวิหาร ๔ แล้ว ก็หวังเพียง ๒ อย่างเท่านั้น คือความเป็นพระอนาคามีและความเป็นพระอรหันต์ เมื่อเราเห็นว่าพรหมวิหาร ๔ นี้มีคุณค่าใหญ่ขนาดนี้ ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจซักซ้อมเอาไว้เป็นปกติ เพื่อความอยู่สุขอยู่เย็นของเราเอง เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติของเรา และเพื่อมรรคผลพระนิพพานของเราในภายหน้า

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจกำหนดใจภาวนา แผ่เมตตาสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย และเอาจิตใจจดจ่ออยู่ที่ภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจุดสุดท้าย ตั้งใจว่าพระองค์ท่านอยู่ที่พระนิพพาน เราเห็นพระองค์ท่านก็คือเราอยู่กับพระองค์ท่าน เราอยู่กับพระองค์ท่านก็คือเราอยู่บนพระนิพพาน ให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติในพรหมวิหาร ๔ ของตน จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าและเถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:13



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว