กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-01-2017, 15:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,369
ได้ให้อนุโมทนา: 150,683
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐

ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นการปฏิบัติธรรมรับปีใหม่ครั้งแรก และรับบ้านใหม่ (บ้านเติมบุญ) แห่งนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมของเรานั้น ก็คือทำ กาย วาจา ใจ ของเราให้อยู่ในขอบเขตของ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง

เรื่องของการให้ทานนั้น พวกเราให้กันเป็นปกติ ให้จนไม่รู้สึกว่าหนักใจ จึงถือว่าในเรื่องของการให้ทานเพื่อเป็นการตัดกิเลสใหญ่คือความโลภนั้น เราสามารถที่จะกระทำได้โดยสมบูรณ์

ส่วนการรักษาศีลนั้น หลายท่านยังขาดตกบกพร่องอยู่ เราต้องคอยทบทวนอยู่ทุกเช้าทุกเย็นว่า ศีลทุกสิกขาบทของเราสมบูรณ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ถ้าเป็นฆราวาสทั่วไปก็รักษาศีล ๕ เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็รักษาศีล ๘ เป็นสามเณรรักษาศีล ๑๐ เป็นพระก็รักษาศีล ๒๒๗ ข้อ

คอยทบทวนอยู่เสมอว่าเราตั้งใจละเมิดศีลด้วยตนเองบ้างหรือไม่ ? ถ้าเราไม่ได้ละเมิดศีลด้วยตนเองแล้ว เห็นคนอื่นละเมิดศีลเรายินดีด้วยหรือไม่ ? เรายังยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นประพฤติปฏิบัติในการละเมิดศีลบ้างหรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-01-2017 เมื่อ 21:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 14-01-2017, 15:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,369
ได้ให้อนุโมทนา: 150,683
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การปฏิบัติธรรมของเราถ้าหวังผล ศีลจะเป็นพื้นฐานใหญ่ที่สำคัญมาก เพราะการที่เราต้องคอยระมัดระวังรักษาศีลนั้น ก็คือการสร้างสมาธิให้เกิดขึ้น สติสัมปชัญญะของเราจะต้องคอยจดจ่อระมัดระวังไม่ให้ตนเองละเมิดศีล ไม่ยุให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ก็จะเกิดสมาธิขึ้นมาเป็นพื้นฐานรองรับในลำดับต่อไป

ในเมื่อทานเราทำได้แล้ว ศีลเราทบทวนให้สมบูรณ์บริบูรณ์ได้ ก็เหลือแต่ในเรื่องของภาวนา คำว่า "ภาวนา" ในที่นี้หมายถึงการทำให้เจริญขึ้น ก็คือ การใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณาให้เห็นว่า อัตภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ตลอดจนกระทั่งวัตถุธาตุสิ่งของต่าง ๆ ก็ตาม มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

ไม่ว่าเราจะเกิดมากี่ชาติก็จะพบกับสภาพร่างกายเช่นนี้ ก็คือมีความไม่เที่ยงเป็นปกติ มีความทุกข์เป็นปกติ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนได้ แล้วท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไปหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2017 เมื่อ 17:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 16-01-2017, 09:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,369
ได้ให้อนุโมทนา: 150,683
ได้รับอนุโมทนา 4,397,016 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราจะเอาศีลของเรามาเป็นเครื่องพินิจพิจารณาให้เกิดปัญญา ก็คือศีลนั้นเป็นเครื่องป้องกันเราไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่นให้ทุกข์ยากลำบาก ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเบียดเบียนเราจนได้รับความทุกข์ยากลำบาก ก็แปลว่าเราเกิดมาเมื่อไรก็ตาม ก็จะต้องโดนผู้อื่นเบียดเบียนอยู่เสมอ ถ้าเกิดมาเมื่อไรก็ต้องโดนเบียดเบียนอยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาในโลกที่เป็นความทุกข์เช่นนี้ เรายังต้องการอีกหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเราไม่มีความต้องการในตรงจุดนี้ ก็ต้องเอาใจเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้ ตั้งใจว่าถ้าหากว่าเราหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติภัยอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานเท่านั้น

เมื่อมาถึงตรงจุดนี้ก็ให้ทุกท่านประคับประคองรักษาอารมณ์ในการปฏิบัติเอาไว้ ถ้ายังกำหนดลมหายใจอยู่ได้ ก็กำหนดลมหายใจไป ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้อยู่ว่าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป อย่าไปพยายามทำให้เป็นอย่างนั้น และอย่าดิ้นรนออกจากสภาพนั้น เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้เฉย ๆ ให้ทุกคนรักษาอารมณ์ใจเช่นนี้ไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2017 เมื่อ 15:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:31



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว