กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-05-2017, 19:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐

ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตนเอง ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราทั้งหมด ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราทั้งหมด ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาหรือพิจารณาอย่างไรก็ได้ แล้วแต่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น สำคัญอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ถ้าเราทิ้งลมหายใจเข้าออก การปฏิบัติธรรมจะไม่มีผล ส่วนการปฏิบัติที่มีผลนั้นคือ การที่เราจับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา จนกระทั่งทุกอย่างเป็นเองโดยอัตโนมัติ

คำว่าเป็นเองโดยอัตโนมัติก็คือ สภาพจิตของเรากำหนดรู้ลมหายใจพร้อมคำภาวนาได้โดยไม่ต้องบังคับ ถ้ายังไม่ถึงขั้นนี้โอกาสที่จะเอาชนะกิเลสก็ยังไม่มี แต่ถ้าทำถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเราขาดสติ เผลอเมื่อไร กิเลสก็ตีกลับได้ทุกเมื่ออีกเช่นกัน

แต่ว่าเท่าที่เห็นในปัจจุบันนี้ก็คือ พวกเราทั้งหลายไม่มีความจริงจังในการปฏิบัติธรรม สักแต่ว่าปฏิบัติไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น เหตุใดถึงได้กล่าวเช่นนี้ ก็เพราะว่าเราปล่อยให้สภาพจิตของเรามีเวลาว่างไปฟุ้งซ่านกับ รัก โลภ โกรธ หลง มากจนเกินไป อย่างเช่นว่า อาจจะภาวนาเช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง เหลือเวลากลางวัน ๑๑ ชั่วโมงกับเวลากลางคืน ๑๒ ชั่วโมง เราปล่อยให้สภาพจิตของเราไหลตามกระแส รัก โลภ โกรธ หลง ไป ถ้าลักษณะอย่างนี้เราจะเอาตัวไม่รอด เพราะว่าทำงานในลักษณะที่ขาดทุนอยู่ทุกวัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-05-2017 เมื่อ 19:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-05-2017, 19:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทำอย่างไรที่เราจะมีความรู้สึกว่า อานาปานสติหรือว่าลมหายใจเข้าออกนั้น เป็นเหมือนกับเชือกช่วยชีวิตของเรา เหมือนกับเราตกสู่ก้นเหว แล้วมีเชือกช่วยชีวิตอยู่เส้นหนึ่ง ซึ่งก็คือลมหายใจเข้าออกนี้ ให้เราได้ค่อย ๆ ป่ายปีนกลับขึ้นไปสู่เบื้องบน ทำความรู้สึกเหมือนกับว่า เราหายใจเข้าออกครั้งหนึ่ง ก็คือการที่เราปีนขึ้นไปได้สักศอกหนึ่ง ถ้าเรารู้สึกว่าลมหายใจเข้าออกคือเชือกช่วยชีวิตของเรา กำลังใจของเราก็จะเกาะมั่นคง เพราะเกรงว่าถ้าปล่อยมือจากเชือกช่วยชีวิตเมื่อไร เราก็อาจจะตกเหวตาย

แต่คราวนี้เมื่อท่านทั้งหลายกำหนดกำลังใจอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกแล้ว เมื่อกำลังใจทรงตัว ให้ทำงาน ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว สามารถเข้าหรือออกสมาธิแต่ละระดับได้อย่างที่ตัวเองต้องการ งานอีกอย่างหนึ่งของเราก็คือ ตั้งสติประคับประคองอารมณ์การปฏิบัติภาวนานั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

โดยมากเมื่อปฏิบัติภาวนาจนกำลังใจทรงตัวแล้ว เมื่อเลิกจากการปฏิบัติ ลุกขึ้นมาเราก็ทิ้งไปหมด ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้น โอกาสที่จะก้าวหน้าของเราก็ไม่มี ทำอย่างไรเราจะรักษาการปฏิบัติเอาไว้ได้ ก็คือสามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ควรที่จะทำให้ได้ คือต้องอาศัยเชือกช่วยชีวิต ได้แก่ลมหายใจเข้าออกนี้เป็นหลัก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 24-06-2020 เมื่อ 02:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-05-2017, 12:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การกำหนดลมหายใจเข้าออกนั้น จะเป็นฐานเดียว สามฐาน เจ็ดฐาน หรือรู้ตลอดกองลม ก็แล้วแต่ว่าท่านมีความถนัดแบบไหน เพราะไม่ว่าท่านจะกำหนดกี่ฐานก็ตาม ท้ายสุดซึ่งจะเกิดขึ้นก็คือสมาธิที่เริ่มทรงตัวเป็นฌาน

มีหลายท่านมาเสียหายตรงที่สมาธิเริ่มทรงตัว เพราะไปฟุ้งซ่าน ถึงเวลาภาวนาเมื่อไรก็อยากจะให้เป็นแบบนั้น การที่กำลังใจของเราฟุ้งซ่าน ไม่มั่นคง โอกาสที่สมาธิจะทรงตัวแน่วแน่ก็ไม่มี จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องให้ความสำคัญกับลมหายใจเข้าออกในระดับเดียวกับว่า ถ้าเราทิ้งลมหายใจเมื่อไรก็คือเราทิ้งชีวิตของเรา เพราะชีวิตนี้อยู่ได้ด้วยลมหายใจเข้าออก เราแค่อาศัยยานพาหนะก็คือสติ ในการตามดู ตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา

เมื่อเห็นชัดเจนแล้ว ลมหายใจทรงตัวแล้ว กำลังใจทรงตัวแล้ว ก็คลายออกมาพิจารณาให้เห็นชัดเจนว่า ร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี เกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ให้สภาพจิตยอมรับว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2017 เมื่อ 17:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-05-2017, 12:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,367
ได้ให้อนุโมทนา: 150,682
ได้รับอนุโมทนา 4,396,971 ครั้ง ใน 33,956 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกส่วนหนึ่งก็คือดูให้เห็นว่า ตัวเราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่นั้น ประกอบไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ ปรารถนาไม่สมหวัง กระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น

ท้ายสุดก็เสื่อมสลาย ตาย พัง ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราสักอย่างเดียว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความไม่เที่ยงเช่นนี้ มีแต่ความทุกข์เช่นนี้ ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายให้เป็นตัวตนเราเขาได้เช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก ตายเมื่อไรเราขอไปที่เดียวคือพระนิพพาน

ทุกวันให้เราวางกำลังใจในลักษณะอย่างนี้ ส่งกำลังใจสุดท้ายของเราเกาะพระนิพพานเอาไว้ เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงว่า ถ้าหากหมดอายุขัยตายลงไป หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ความตาย เราจะได้ไปพระนิพพานดังที่เราตั้งความปรารถนาเอาไว้

ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2017 เมื่อ 17:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:32



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว