กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

Notices

พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) รวมธรรมะจากพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-09-2009, 13:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,539
ได้ให้อนุโมทนา: 151,571
ได้รับอนุโมทนา 4,406,989 ครั้ง ใน 34,129 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เรายืนอยู่ตรงจุดไหน?

ช่วงที่เรียนหนังสืออยู่ ๔ ปีด้วยกัน ใหม่ ๆ เข้าไปอาตมาก็ปิดตัวเอง ไม่อยากให้เพื่อน ๆ รู้ว่าเป็นอะไร ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่งานมาก..ก็เรื่องมาก พอเรียนไป ด้วยความที่อาตมาทำอะไรสม่ำเสมอแล้วได้ผลดี ก็ปรากฏชัดออกมาเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดก็มาอยู่ในจุดที่ว่า อาตมาทิ้งห่างเพื่อนไกลมาก พอมาพิจารณาดูตัวเองแล้วว่า ที่ทิ้งห่างเขาไกลเป็นเพราะอะไร พอดูจริง ๆ แล้วอาตมาแทบไม่ได้มีอะไรเพิ่มขึ้น แต่คนอื่นเขาถอยหลัง พอคนอื่นถอยหลังต่อให้อาตมาอยู่เฉย ๆ ก็จะห่างกันไปเรื่อย ตรงจุดนี้อยากให้พวกเราทุกคนพิจารณาดูว่า เราเข้ามาปฏิบัติแล้ว มีความก้าวหน้าหรือว่าถอยหลังอย่างไรบ้าง ?

อย่างเมื่อเช้านั่น ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งแต่ก่อนสมัยที่จะบวชเสียด้วยซ้ำ จนป่านนี้ก็ยังกลัวตายจนไม่เป็นผู้เป็นคน แล้วอย่างคนเมื่อครู่นี้ ก็รู้จักกันตั้งแต่ก่อนบวช แต่ก็ได้แค่อย่างที่เห็น เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่าในการปฏิบัติของบางคนจะมีความสม่ำเสมอ แต่สม่ำเสมออยู่ในระดับไหน ? อยู่ในระดับของทานหรือเปล่า ? อยู่ในระดับของศีลหรือเปล่า ? หรือว่าอยู่ในระดับของการภาวนา แล้วถ้าหากว่าทั้ง ทาน ศีล ภาวนา มีความสม่ำเสมอ คราวนี้ก็ต้องมาวัดกันว่า แล้วมีความก้าวหน้าขึ้นไปถึงระดับกัลยาณชนหรืออริยชนหรือเปล่า ? ไม่อย่างนั้นก็ยังเป็นโลกียชน จะเป็นผู้ทรงฌานได้อย่างไร ?

อาตมาถึงได้บอกกับพระที่วัดอยู่เสมอว่า พวกคุณบวชเข้ามาใหม่ ๆ ตั้งใจไว้ว่าอย่างไร ? แล้วตอนนี้ยืนอยู่ตรงจุดไหน ? ยังตรงเป้าหมาย ตรงทิศตรงทางที่ตั้งใจอยู่หรือเปล่า ? ก้าวมาได้ระยะทางเท่าไร ? เหลือระยะทางใกล้ไกลอีกเท่าไรกว่าจะไปถึงเป้าหมาย ? เคยพิจารณาบ้างไหม ? ไม่ใช่พอถึงเวลาบ่นทีด่าทีหนึ่ง ก็รู้สึกขึ้นมาหน่อยหนึ่ง พอเลิกบ่น เลิกด่าก็ละลายหายไปอีก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้ต่างจากควายเท่าไรนัก โดนปฏักทีหนึ่งก็สะดุ้งทีหนึ่ง พอไม่มีปฏักแทงก็เอ้อระเหยลอยชายไป ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปสู่โรงฆ่าสัตว์หรือมุ่งหน้าไปสู่ทางหลุดพ้นกันแน่..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-11-2013 เมื่อ 09:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 14-09-2009, 13:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,539
ได้ให้อนุโมทนา: 151,571
ได้รับอนุโมทนา 4,406,989 ครั้ง ใน 34,129 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้เรามาดูว่าในสภาพไหนก็ตาม จริง ๆ แล้วเราสามารถจะปฏิบัติได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าการปฏิบัติของเราตอนนี้อยู่ในระดับไหน ถ้าเราไม่มีการไตร่ตรองทบทวนอย่างนี้ โอกาสที่จะก้าวหน้าก็จะมีน้อย เพราะเราจะไม่รู้จักตัวเอง คนที่ไม่รู้จักตัวเองก็เหมือนกับหมอที่ไม่รู้จักสมุฏฐานของโรค รักษาโรคไม่ได้ ยกเว้นว่าบัง้อิญรักษาถูก แต่ก็ไม่แน่ว่าคราวต่อไปเป็นแล้วจะรักษาได้อีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจึงต้องดู ต้องรู้จักตัวเองให้ดีที่สุด ควบคุม กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีที่สุด สิ่งใดก็ตามที่ก่อเวรก่อกรรม สร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่คนอื่น ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ถ้าไม่จำเป็นเว้นได้ก็เว้น ไม่อย่างนั้นแล้ว อาจจะก่อเวรก่อกรรมให้กับเรามากกว่าที่คิดในภายหลัง

ตอนที่ออกจากวัดท่าซุงมา มีคนถามว่าคิดอย่างไร ? อาตมารู้สึกว่าถ้าอยู่วัดท่าซุงต่อไปความก้าวหน้าจะไม่มี เพราะว่าสิ้นหลวงพ่อแล้ว พระทั้งวัดนอกจากจะเอาอาตมาไม่อยู่แล้ว รู้สึกว่าคนที่จะตามอาตมาจะเยอะมากขึ้นทุกที ช่วงนั้นพระมีอยู่ ๔๐ กว่ารูป ถ้าจะสั่งซ้ายหันขวาหันก็พร้อมที่จะตามมาประมาณ ๓๐ รูป แล้วบรรดาฆราวาสต่าง ๆ เขาก็เห็นความสม่ำเสมอ และช่วงท้าย ๆ หลวงพ่อก็เรียกใช้งานประจำ ก็ให้ความสำคัญ มาคิดว่าถ้าอยู่ตรงจุดนั้นอาตมาจะหาความก้าวหน้าไม่ได้แน่นอน เพราะเท่ากับโดนคนอื่นเขาดันไปอยู่ที่สูงแล้ว คนที่ไปอยู่ในที่อย่างนั้น ถ้าขาดความรู้ตัวแม้แต่นิดเดียว จะไม่แสวงหาความก้าวหน้าอีกเลย เพราะคิดว่าเหนือกว่าเขาแล้ว จึงได้ทิ้งออกมา มาดิ้นรนอยู่ข้างนอก เพื่อที่ว่าจะได้ฝึกฝนอบรมตัวเองต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นก็จะขาดความพยายาม

จึงขอให้ทุกคนดูว่า ตอนนี้ความรู้สึกของเราก็ดี ความคิดของเราก็ดี อยู่ในลักษณะที่เห็นว่า เราดีกว่าคนอื่นแล้ว เราเหนือกว่าคนอื่นแล้ว โดยเฉพาะในแวดวงเพื่อนฝูงหรือในครอบครัว เรามีความคิดอย่างนั้นไหม ? ถ้ามีเมื่อไรเราจะแสวงหาความก้าวหน้าไม่ได้ เพราะเท่ากับบอกตัวเองว่า เรามาไกลกว่าคนอื่นเขาแล้ว แล้วถ้ากิเลสชวนให้ขี้เกียจ เราจะยิ่งไม่ก้าวหน้าเข้าไปใหญ่ และท้ายสุดก็จะมีลักษณะเดียวกับเท่าที่พบมาก็คือ ระยะเวลาผ่านไป ๔ ปี อาตมาไม่ได้มีความก้าวหน้าอะไรขึ้นมา แต่ทิ้งห่างเพื่อนไปเรื่อย เพราะเขาถอยหลังกันเอง..!

ดังนั้น ถ้าจะมอง..ต้องมองไกลไปข้างหน้า จะได้มีความพยายาม ความมุ่งมั่นบากบั่นที่จะก้าวต่อไป ถ้าหากเรามองไปข้างหลัง โอ๊ย..อย่าเพิ่งลุกขึ้นเดินเลย รายนั้นก็ขี่จักรยานโปเกอยู่ อย่างไรก็ไล่เราไม่ทันแล้ว ระวังจะไปเจอรถสปอร์ต ๓,๐๐๐ ซี.ซี. แซงพรวดเดียวไปถึงไหนก็ไม่รู้..?!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-11-2013 เมื่อ 09:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 14-09-2009, 13:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,539
ได้ให้อนุโมทนา: 151,571
ได้รับอนุโมทนา 4,406,989 ครั้ง ใน 34,129 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอเห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้อาตมาก็มานั่งคิดว่า เออ..ก่อนหน้านี้ก็เดินมาพร้อม ๆ กัน แล้วทำไมตอนนี้ห่างกันไกลมากเลย ? แต่ก็ยังดีที่เขายังเดินอยู่ ยังไม่หยุด บอกว่าเขารู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เดินอยู่ที่ไหน ? สมมติว่าทางอยู่ตรงนี้ เราเดินอยู่นี้ เขาเดินอยู่นี่ หรือเขาเดินอยู่นั่น แต่ละระดับของการเดินก็มุ่งหน้าเหมือนกัน แต่ว่าเป้าหมายเป็นคนละระดับชั้นกัน

ดังนั้น..ในเรื่องของอิทธิบาท ๔ ตัววิมังสา การไตร่ตรองทบทวน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าขาดการไตร่ตรองทบทวน ขาดการรู้ตัวเอง นอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาตัวเองได้แล้ว ยังไม่สามารถแสวงหาความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นให้กับตัวเองอีกด้วย

เรื่องหนักไปหรือเปล่า ? สมัยอยู่วัดท่าซุง อาตมาเป็นพวกรุ่นใหม่มาแรง แซงเขาไปเรื่อย ท่านไหนกำลังใจดีก็โมทนาด้วย ท่านไหนกำลังใจไม่ดีก็อาจจะมีการด่าตาม ยื่นขาเตะสกัดก็มี มาดูแล้วเหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร ? เท่าที่วิเคราะห์กับตัวเองก็คือ เป็นคนที่ชอบทำอะไรจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่เคยหมดไฟกับใคร บางคนตั้งใจเสียดิบดีบวชเข้ามา ๒ พรรษาหมดไฟแล้ว บางคนแย่กว่านั้นอีกบวชเข้ามาเดือนกว่า ๆ หมดไฟแล้ว แต่ที่ทนอยู่เพราะรู้ว่าเป้าหมายดี แต่กลับไม่พยายามตะเกียกตะกายไปให้ถึงเป้าหมาย กลายเป็นทนอยู่ไปวัน ๆ ซึ่งการทนอยู่ในสภาพอื่นยังพอไหว แต่การทนอยู่ในผ้าเหลืองรังแต่จะขาดทุนไปทุกวัน ฉะนั้น..การวิเคราะห์วิจัยเรื่องของตนเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และสำคัญตรงที่ว่าต้องไม่เข้าข้างตัวเองด้วย



เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันจันทร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-11-2013 เมื่อ 09:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:48



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว