View Full Version : กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวของมันเอง
วาโยรัตนะ
28-10-2009, 20:59
เรื่องราวที่จะเล่าสู่กันฟัง ให้พอเป็นประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน เขียนแบบไม่ได้ใช้สคริปต์,ไม่มีสแตนด์อิน,ไม่ได้ใช้สลิงก์,มีแต่คอยจะระวังว่า "จะสะกดคำผิดหรือไม่":onion_no: ส่วน"พระพุทธศาสนสุภาษิต" ที่ยกมานั้น เป็นข้อสอบตอนสอบ "นักธรรมตรี" วิชาแต่งกระทู้ธรรม ประจำปี ๒๕๕๒ รู้สึกประทับใจ และ อยากประกาศแจ้งบอกให้ทุกท่านทราบว่า
"กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา"
กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวของมันเอง
กาลเวลามันกินทั้งตัวกระผมเอง (โปรดจำเอาไว้ว่า ข้าพเจ้า"สึก"แล้ว) และ กินทุก ๆ ท่านในที่นี้ด้วย "เวลาคือชีวิต ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็จงปฏิบัติกันต่อไปจนตราบเข้าพระนิพพาน"
เพราะคำว่า “ ไม่มีเวลา-เวลาไม่พอ” มักเป็นคำกล่าวอ้างของคนที่มีภารกิจการงานหลากหลายสาขาอาชีพพูดกันบ่อย ๆ และคิดกล่าวว่า เวลาไม่พอกับงานที่ตนเองทำ” พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา แปลความหมายว่า กาลเวลาย่อมกลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์โลกพร้อมด้วยตัวของมันเอง ไม่มีสัตว์ในโลกนี้แม้ผู้ใดเลยเรียกร้องเวลาที่หมดไปให้กลับคืนมาได้อีกทั้งที่เวลาจริง ๆ เลยมีเพียงแค่กลางวันและกลางคืนเท่านั้น
หวังอย่างยิ่งว่า เรื่องราวทั้งหมดนับจากนี้ไป คงจะเป็นประโยชน์ในลักษณะของการให้ใน "ธรรมทาน" แก่ท่านทั้งหลายไม่มากก็น้อย
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ (ป.ล. จาก ๑๙ มิ.ย. ถึง ๒๗ ต.ค. ๒๕๕๒):msn_smileys-15:
ใต้ร่มไม้ใหญ่
28-10-2009, 22:26
ผมขออนุโมทนาในกุศลที่ท่านได้ตั้งใจบวชด้วยนะครับ
เเต่สึกมาเเล้วก็ดี จะได้คุยกันง่าย ๆ หน่อย
ไม่ต้องใช้คำศัพท์ที่พูดกับพระ เเวะมารออ่านเรื่องของท่านด้วยใจจดจ่ออย่างยิ่ง
ลูกเจ้าคุณนรฯ
29-10-2009, 06:43
เรื่องราวที่จะเล่าสู่กันฟัง ให้พอเป็นประสบการณ์ ในการปฏิบัติธรรม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน เขียนแบบไม่ได้ใช้สคริปต์,ไม่มีสแตนด์อิน,ไม่ได้ใช้สลิง,มีแต่คอยจะระวังว่า "จะสะกดคำผิดหรือไม่":onion_no: ส่วน"พระพุทธศาสนสุภาษิต"ที่ยกมานั้น เป็นข้อสอบตอนสอบ "นักธรรมตรี" วิชาแต่งกระทู้ธรรม ประจำปี ๒๕๕๒ รู้สึกประทับใจ และ อยากประกาศแจ้งบอกให้ทุกท่านทราบว่า
"กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา"
กาลเวลา ย่อมกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเอง
กาลเวลามันกินทั้งตัวกระผมเอง (โปรดจำเอาไว้ว่า ข้าพเจ้า"สึก"แล้ว) และ กินทุก ๆ ท่านในที่นี้ด้วย "เวลาคือชีวิต ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็จงปฏิบัติกันต่อไปจนตราบเข้าพระนิพพาน"
เพราะ คำว่า “ ไม่มีเวลา-เวลาไม่พอ” มักเป็นคำกล่าวอ้างของคนที่มีภาระกิจการงานหลากหลายสาขาอาชีพพูดกันบ่อย ๆ และคิดกล่าวว่า เวลาไม่พอกับงานที่ตนเองทำ” พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา แปลความหมายว่า กาลเวลาย่อมกลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์โลกพร้อมด้วยตัวของมันเอง ไม่มีสัตว์ในโลกนี้แม้ผู้ใดเลยเรียกร้องเวลาที่หมดไปให้กลับคืนมาได้อีกทั้งที่เวลาจริง ๆ เลยมีเพียงแค่กลางวันและกลางคืนเท่านั้น
หวังอย่างยิ่งว่า เรื่องราวทั้งหมดนับจากนี้ไป คงจะเป็นประโยชน์ในลักษณะของการให้ใน "ธรรมทาน" แก่ท่านทั้งหลายไม่มากก็น้อย
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ (ป.ล. จาก ๑๙ มิ.ย. ถึง ๒๗ ต.ค. ๒๕๕๒):msn_smileys-15:
ขอเชิญท่านพี่เล่าเรื่องเป็นแบบกลอนได้ไหมครับ
มีคนเรียกร้องมาก และจะได้อารมณ์กว่าเยอะ
แหะ ๆ ๆ
:onion_emoticons-18::onion_emoticons-18::onion_emoticons-18:
วาโยรัตนะ
29-10-2009, 11:21
เอาละครับทุกท่านที่ตีตั๋ว "รออ่าน" บัดนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ขอประเดิมตอนแรกด้วย
๑."เมื่อข้าพเจ้าลาบวช"
๔ เดือนก่อนวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ หลังจากเริ่มทำงานกับบริษัทฝรั่ง ชนิดที่เรียกว่าทำแบบถวายชีวิต มีหลาย ๆ ปัจจัย ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน อาทิเช่น พระขรรค์โสฬสวัดท่าขนุน ร่วมบุญกฐินประจำปี ๒๕๕๒ ที่กระผมและคณะน้อง ๆ (คุณซัน,คุณนรินทร์,คุณต้อม,และ สมาชิกคนสุดท้าย คุณหม่อม ตลอดจนทีมที่ปรึกษา ทิดตู่,คุณอาคนเก่า,เถรี และอีกหลาย ๆ ท่าน) ร่วมแรงร่วมใจจัดสร้างถวายพระอาจารย์ ก็เป็นไปได้ด้วยดีจนต้องบอกว่า "เราทำอะไรทำด้วยใจบริสุทธิ์โดยขอบารมีพระรัตนตรัยและพระอาจารย์ท่านสงเคราะห์ อะไรก็สำเร็จ"
ลูกสาวคนเล็กก็คลอดได้เดือนเดียว เห็นว่าปลอดภัยแข็งแรง หากจะบวชทดแทนพระคุณพ่อ-แม่ ช่วงนี้เหมาะสมที่สุด หากลูกสาวโตขึ้นคงจะหาโอกาสบวชได้ยาก คนเรามันก็ห่วงกันไปตามเรื่องตามประสา
จึงปรึกษาคุณแม่และภรรยา ว่าจะขอลาบวช ๑ พรรษา เรื่องงานนั้นไม่ได้ลาบวช "ลาออกเลย" เพราะคิดว่าเราไม่เหมาะกับบริษัทนั้นเล่นเอาฝรั่ง "งง" (สะใจวัยรุ่นดีเหมือนกัน "ตูจะไปพระนิพพาน" ฝรั่งคงไม่ค่อยจะเข้าใจ เลยให้ออกแบบ "งง ๆ")
เมื่อทางสว่างแล้วเดินสะดวกเช่นนี้จึงตัดสินใจบวชในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ ที่วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง,หลวงปู่แช่ม) เพราะต้องการสงเคราะห์โยมแม่ ให้ท่านได้ทำบุญตักบาตรในช่วงเจ็ดวันก่อนเดินทางไปวัดท่าขนุน (เพราะเรื่องการเดินทางไกล ท่านชราภาพแล้วคงไม่สะดวกเท่าไหร่) เพื่อขอร่วมอยู่จำพรรษา ก่อนหน้านั้นได้โทรเรียนปรึกษาพระอาจารย์ดังนี้
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : กราบนมัสการพระอาจารย์ขอรับ กระผม "รัตน์" จากภูเก็ตขอรับ กระผมจะบวชที่ภูเก็ตแล้วขอไปจำพรรษากับพระอาจารย์ที่วัดท่าขนุนได้หรือไม่ขอรับพระอาจารย์
(เวลาโทรไปขอเรียนปรึกษาท่าน บรรยากาศมันช่างกดดันจริง ๆ ที่ต้องรายงานตัวก่อนนั้น เพราะกลัวท่านจำไม่ได้และเพื่อเป็นการไม่เสียเวลา กราบเรียนแจ้งท่านไปให้ชัดเจนเลยว่า อะไร,อย่างไร เพราะทุกวินาทีมีคุณค่า)
พระอาจารย์ : บวชเมื่อไหร่ ?
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : วันที่ ๑๙ มิถุนายนนี้ครับ ที่วัดฉลอง
พระอาจารย์ : บวชเข้ามาวันไหนก็ได้ แต่สำคัญวันสึกโน่น แล้วจะมาร่วมจำพรรษากี่รูปล่ะ เกิน ๕ รูป ไม่รับนะ...เลี้ยงไม่ไหว
(พระอาจารย์ท่านสอนว่า บวชเข้าวันไหนก็ได้ พระอาจารย์ท่านเคยสอนว่า เราจะหนีจากร้อนเข้ามาหาที่เย็นเข้ามาให้เร็วที่สุด ส่วนการจะออกจากที่เย็น คือสึกจากความเป็นพระนั้น ต้องถือฤกษ์ยามเป็นสำคัญ)
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : รูปเดียวครับ
พระอาจารย์ : เอาได้ ๆ ตั้งใจบวชล่ะ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ขอรับ กราบขอบพระคุณขอรับพระอาจารย์
วาโยรัตนะ
29-10-2009, 20:34
๒."แปลกที่-ผีไม่ดุ"
เมื่อมาถึงวัดท่าขนุน (วันที่ ๒๖ มิถุนายน) เห็นหลวงพ่อกำลังวุ่น ๆ เกี่ยวกับงานรับยันต์เกราะเพชร เข้าไปรายงานตัว พร้อมส่งเอกสารที่ทางวัดฉลองออกรับรองมาให้ งานนี้รู้ตัวก่อนหน้าแล้วว่าหลวงพ่อท่านให้อยู่ที่ "กุฏิแดง" (พวก รัก-ยม ส่งข้อความมาบอก ก๊ากกกกก ๆ )
แต่ยังโชคดีที่มีเพื่อนร่วมห้องคือ ท่านเก้า และ ท่านบอย (ตอนนั้นทั้งสองคนยังไม่บวชจะเรียกว่า "นาค" ก็ได้) งานนี้ก็ไม่ทราบว่าใครจะเป็นที่พึ่งให้ใคร พระพึ่งโยมหรือโยมพึ่งพระกันแน่? เพราะเรื่องของกุฏิแดงนั้นได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานานแล้ว ว่า "ผีดุ"
ตอนหลวงพ่อท่านนำเดินขึ้นกุฏิ ท่านก็ก้มกราบลงกับพื้น พอถึงหน้าพระท่านก็กราบพระ เคยถามท่านว่า หลวงพ่อที่กุฏิแดงชั้นสองหลวงพ่อกราบอะไรครับ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า "ผมกราบไปตามเรื่องตามราว" เพื่อความไม่ประมาท เราทั้งสามท่านจึงพากันกราบแทบทุกครั้งไม่ว่าจะขึ้นหรือจะลง "ความนอบน้อมเป็นสมบัติของคนกลัวผี แต่จะทำให้ผีกลัวหรือไม่นั้น..ผมไม่รู้" เซ็งอารมณ์ตรงที่ห้องน้ำมันอยู่ชั้นล่างนอกตัวกุฏิออกไปอีก ตกกลางคืนเล่นต้อง "ทนและทน" สุดท้ายทนอั้นไม่ไหว โรคนิ่วจะรับประทานเสียก่อน งานนี้มันต้องวัดดวงว่าจะเจอ "ท่านผี" ประจำกุฏิแดงไหม หากจะเรียก "นาค" ทั้งสองท่านให้ไปเป็นเพื่อน มันก็เสียภาพพจน์พระใหม่ไฟแรงหมด
จะลุกจะนั่งภาวนากันเอาไว้ก่อน คำภาวนามีเท่าไหร่เอามาใช้หมดแถมพระเครื่องหลวงพ่อก็พกกันชนิดที่ว่า ห่างตัวไม่ได้ เดินขึ้นเดินลงที่ไรมันเสียวสันหลังวูบ ๆ แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ด้วยดีจนได้ย้ายไปอยู่ "กุฏิเตชะไพบูลย์" ช่วงก่อนเข้าพรรษาเล็กน้อยนั้น พระใหม่ต่างคนก็ต่างยังกลัว ๆ อยู่ แถม "ทิดเอ" ผู้ชำนาญการเพราะบวชมาตั้งแต่สมัยก่อนมาเล่าเรื่องผีให้ฟังกันอีก
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : โยมเมื่อก่อนวัดท่าขนุนผีดุจริง ๆ หรือ โยมเคยเจอบ้างไหมตอนบวช
ทิดเอ : หลวงพี่..ยิ่งกว่าเจออีกครับ ขนาดผมนอนอ่านหนังสือในห้อง คิดว่าเณรที่ไหน มันไม่หลับไม่นอนเที่ยวเดินหน้ากุฏิสองคน แถมเดินคุยกันด้วย พอเลิกสนใจมัน อยู่ ๆ มันเข้ามาในกุฏิผมเลย ทั้ง ๆ ที่ประตูปิดอยู่ กลายเป็นผีผู้หญิงสองตน ผมต้องกระโดดถีบประตูกุฏิออกมา
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::3070242c:(หน้าซีดเล็กน้อย) แล้วแบบอื่น ๆ มีไหม
ทิดเอ : เจอกันบ่อยครับหลวงพี่สมัยนั้น ผมออกมานั่งนอกชานเพลิน ๆ พวกเล่นโผล่มา ตาจะหลุดซะข้างหนึ่ง พระสมัยนั้นก่อนเข้ากุฏิจะต้องท่องคาถาหว่านทรายทุกองค์ใครไม่ท่องมีโดน
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : แล้วตอนนั้นโยมพักกุฏิห้องไหนละ (จะได้ไม่แวะเวียนเดินผ่านไป)
ทิดเอ : ห้องที่หลวงพี่อยู่ตอนนี้นั้นแหละ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :(หน้าที่ว่าซีด ตอนนี้มันยิ่งกว่าตอนนั้นอีก และแล้วความเงียบก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา ขนาดเสียงจิ้งจกร้องทักยังดังเข้าไปสู่ขั้วหัวใจเลย:3070242c:).........จริงหรือทิด? ขอตัว หลวงพี่ขอเข้าห้องก่อนนะ.... หลังจากนั้นไม่นานการเจรจาก็เริ่มขึ้น.....
" คุณผีทั้งหลายครับ หลวงพี่มาบวชหวังตั้งใจจะทดแทนคุณ "พ่อ-แม่" ก่อนบวชก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาเยอะ บุญก็ทำมาเยอะ ยินดีให้ทุกท่าน แต่ขอร้องอย่ามารบกวนกันหรือถ้าจะมาจริง ๆ ก็มาในฝันนะ มาแบบสวย ๆ ด้วยนะ หลวงพี่จะอุทิศบุญให้เต็มที่ บุญสร้างพระขรรค์โสฬสก็มีนะ บุญใหญ่ด้วยนะ ใครมารังแกหรือมาหยอก งานนี้อย่าหวังว่าหลวงพี่จะอุทิศบุญให้นะ ถ้าหลวงพี่เป็นอะไรไป รับรองจะตามล้างตามเช็ดให้ถึงที่สุด:baa60776::fea27916: ขอทุกท่านกรุณารับทราบและสงเคราะห์กันตามนี้นะ"............(บรรยากาศมันน่าขนลุกมาก)
หลวงตาชาติ อยู่อีกห้องหนึ่งข้าง ๆ ถึงกับตะโกนมาแถมหัวเราะว่า "เอาแบบนี้เลยหรือท่านรัตน์"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w14.jpg
กาแฟ(ขาดไม่ได้)กับประคำทำด้วย "เมล็ดต้นมะค่าโมง" เก็บมาจากข้าง ๆ กุฏิหลวงพ่อ ในรูปนี้ตอนนั้นน้ำหนัก ๘๓ กิโลกรัม ตอนนี้เหลือ ๗๔ กิโลกรัม ตอนแรกไปปรับตัวเข้ากับอากาศไม่ค่อยได้เป็นภูมิแพ้ป่วยตลอด จนทนไม่ไหวตอนหลังทำวัตรเย็นเลยกราบเรียนหลวงพ่อว่า
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับไม่ทราบกระผมเป็นอะไรป่วยตลอด ขอเมตตาหลวงพ่อเคาะหัวให้ทีขอรับ
แล้วหลวงพ่อก็จารยันต์ด้วยมือที่หัวพร้อม ๆ กับหัวเราะแล้วพูดว่า "สงสัยไข้หวัดหมู"
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w13.jpg
ฉันกาแฟอย่างเป็นระเบียบที่"กุฏิเตชะไพบูลย์"
ลูกเจ้าคุณนรฯ
30-10-2009, 05:45
ก่อนอื่นต้องขอโมทนากับพี่รัตน์ก่อน
และต้องขอสารภาพว่ากระผมจะติดตามกระทู้นี้จนกว่าจะสิ้นเดือน
เพราะจะเอาใบแดงที่พี่ได้ไปตีหวยครับ
คาดว่าคงได้เรื่องแน่นอน...แดงเดือด
คิก ๆ ๆ
วาโยรัตนะ
30-10-2009, 08:32
๓."ผีไม่ดุจริงหรือ? (กุฏิแดงภาคสอง)"
เมื่อเริ่มปรับตัวได้กับสภาพของพื้นที่,ทั้งอาหารการกิน,การหลับการนอน,มีบ้างที่ฝันถึงสาว ๆ (ผีหรือเทวดาหรืออะไรก็แล้วแต่ถ้ามาแบบนี้....ค่อยยังชั่วหน่อย) สงสัยมาทดสอบกามราคะ พวกเล่นมาแบบนุ่งน้อยห่มน้อย เจอกันแทบทุกท่าน บางท่านเจอติด ๆ กันหลายคืนจนทนไม่ไหว มาเล่าสู่กันฟังเพื่อหาวิธีป้องกัน.......
"ท่านเอาจีวรนอนคลุมแทนผ้าห่มเลย รับรองมันเข้ามาไม่ได้หรอก ธงชัยพระอรหันต์" เสียงคำแนะนำลอยมาตามลมและแล้วคนที่นำไปใช้ก็คือ "หลวงพี่โยธิน (ทิดโย)" เพราะปกติท่านกลัวผีแบบขึ้นสมองและแล้วก็ได้บทสรุปตอนเช้า ด้วยหน้าตาที่อิดโรย ขอบตาคล้ำ เดินบิณฑบาตแทบไม่ไหว จะต้องขอหลบไปนอนจำวัดกับ "หลวงพี่ดอย" (พระสันติภพ) คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตาย
หลวงพี่โย :หลวงพี่ ขนาดผมนอนห่มจีวรแล้วกะว่าจะกันพวกนั้นได้ โธ่หลวงพี่..เมื่อคืนมันเล่นมาทีเดียวห้าตนเลย สวย ๆ ทั้งนั้น นางเอกหนังจีนแบบที่ผมชอบทั้งนั้น กระโดดหลบแทบไม่ทัน"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ผมถามจริง ๆ นะ ท่านกระโดดหลบหรือกระโดดเข้าใส่กันแน่.....:msn_smilies-15:
ปกติทำวัตรเช้าตอน ๐๔.๐๐ น.เริ่มจากนั่งกรรมฐาน ๓๐ นาที แล้วเริ่มทำวัตรเช้า หลวงพ่อท่านจะนำสวดเสมอ พระ-เณร เองต้องตื่นก่อนเวลาเพื่อทำธุระส่วนตัว ใครขยันหน่อยก็ตื่นตั้งแต่ตีสอง หาที่สงบ ๆ ทำกรรมฐานหรือเดินจงกรมตามแต่สะดวกของแต่ละท่าน
ส่วนทำวัตรเย็นจะเริ่ม ๑๘.๑๕ น. เริ่มสวดมนต์ถวายหลวงปู่สายก่อน ถึงประมาณ ๑๘.๕๐ น. มีเวลาให้พระ-เณรทำธุระส่วนตัว ๑๐ นาที ก่อนเริ่มทำวัตรเย็นบนศาลา ๑๙.๐๐ น.หลังจากนั้นประมาณ เกือบ ๆ สองทุ่ม หากหลวงพ่อท่านมีเวลาก็จะสนทนาธรรม,ตอบถามปัญหาในเรื่องการปฏิบัติกับพระ-เณร หลังจากนั้นก็แยกย้ายกัน บ้างก็พักผ่อน บ้างก็หาที่สงบทำกรรมฐานกันต่อ เพราะ ๒๐.๐๐ น. จะเปิดเสียงตามสาย (ธรรมะ) ของหลวงพ่อฤๅษี เป็นตอน,ตอนละ ๓๐ นาที
พระ-เณรส่วนใหญ่ก็มักจะมีคู่หูในการปฏิบัติชนิดว่า ไปไหนไปกันเป็นคู่บ้าง ไปเดี่ยวบ้าง ผมเองก็มักจะไปทำกรรมฐานกับ "หลวงพี่ปราโมช" (หลวงพี่โมช) เสมอ ๆ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :หลวงพี่เราไปทำกรรมฐานกันที่กุฏิแดงดีกว่าคืนนี้ แต่ผมขอแนะนำก่อนว่าต้องเคารพสถานที่มาก ๆ แบบสงบเสงี่ยมเจียมตัวสุด ๆ ไปเลยนะหลวงพี่
หลวงพี่โมช : แล้วแต่หลวงพี่นำ ผมตามอยู่แล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ภาพหลวงพี่ปราโมชกับเจ้าลูกเจี๊ยบทั้งเจ็ด
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w16.jpg
หลวงพี่ปราโมชกับเจ้าลูกเจี๊ยบที่หลวงพี่ท่านเฝ้าประคบดูแลตั้งแต่ยังเป็นไข่อยู่ในรัง ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าลูกเจี๊ยบพวกนี้ แต่สุดท้ายก็โดนสุนัขในวัดซึ่งจับมือใครดมไม่ได้(จับตีนหมาดมไม่ได้)ว่าเป็นเจ้าตัวไหน? กัดตายหมด ผมเองก็ได้แต่ปลอบใจท่านหลวงพี่โมชไปว่า
"หลวงพี่อย่างน้อยชาตินี้ก็เป็นชาติสุดท้ายที่พวกเขาเกิดเป็นเดรัจฉาน ตอนนี้เจ้าลูกเจี๊ยบทั้งหมดคงไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่าแล้วล่ะหลวงพี่ เพราะเขาจำภาพหลวงพี่ได้ จำภาพพระสงฆ์ที่คอยดูแลเอาใจใส่ค่อยเอาข้าวเปลือก เอาน้ำให้เขากินได้"
วาโยรัตนะ
30-10-2009, 10:01
ในใจผมเองก็คิดว่ามีเพื่อนมาร่วมทำกรรมฐาน ไอ้ที่เรากลัว ๆ อยู่นั้นอย่างน้อยก็หารสอง....ถ้าเจอก็เจอทั้งคู่ เอาวะงานนี้ตายเป็นตาย ตบท้ายด้วย "หลวงพี่โมชเจออะไรอย่าวิ่งนะ เอาสงบ ๆ เข้าไว้" (ถ้าวิ่งก็รอผมด้วย)
หลังจากค่อย ๆ เดินขึ้นไปด้วยความเรียบร้อยเจียมตัว กราบตรงยกระดับ แล้วตรงไปหน้าโต๊ะหมู่บูชา ค่อย ๆ บรรจงเปิดไฟล์บรวงสรวงชุมนุมเทวดาของหลวงพ่อ ตามต่อด้วยสมาทานพระกรรมฐาน
บรรยากาศมันช่างชวนให้กลืนน้ำลายไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไหร่
แล้วก็ค่อยหลับตาลงเข้าสู่สมาธิภาวนา....สัมปจิตฉามิ ๆ ๆ ๆ ๆ
พิจารณาความเป็นไปว่า เกิด,แก่,เจ็บ,ตาย เป็นธรรมดาแต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ อยู่ก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินไปเดินมา บรรยากาศค่อย ๆ เย็นลง สักครู่อึดใจก็มีเสียงเหมือนอะไรกระโดดลงมาแล้วก็เดินผ่านไป....หลวงพี่ปราโมชจะเป็นอย่างไรอันนั้นผมไม่รู้ พระท่านบอกว่าห้ามไปสนใจจริยาของคนอื่น แต่ผมว่างานนี้ "เจอ" ของจริงเข้าแล้วก็เร่งภาวนา "เต็มสปีด" จนบรรยากาศค่อย ๆ สบายขึ้นมามีสุขในสมาธิจนถึงเวลาอันควรแล้วจึงค่อย ๆ กล่าวนำหลวงพี่ปราโมชให้ออกจากกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศล จังหวะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนสายตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ ..............ไม่เจออะไร กราบพระแล้วก็ค่อย ๆ เดินแบบรีบ ๆ เก็บอาการออกมา พอถึงชั้นล่างหน้า "กุฏิประจวบดี" บรรยากาศการสนทนาก็เริ่มขึ้น
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่เมื่อกี้ได้ยินเสียงอะไรไหม บนกุฏิตอนเราทำสมาธิ มันเหมือนเสียงคนเดินไปเดินมา แล้วมีเหมือนอะไรตกลงมา (หน้าตาคงจะซีด ๆ ตามเคย)
หลวงพี่ปราโมช : ได้ยินสิหลวงพี่ สงสัยหลวงพี่แอ๋วคงขึ้นไปเดินจงกรมกระมัง เพราะท่านอธิษฐานไม่นอนตอนกลางคืนตลอดพรรษานี้
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ผมว่าถ้าเป็นหลวงพี่แอ๋วก็ดีสิ กลัวมันจะไม่ใช่น่ะสิหลวงพี่ หลวงพี่พอจะทราบเรื่องราวของกุฏิแดงบ้างไหมละ?
หลวงพี่ปราโมช :เปล่า ไม่ทราบเลยครับ
กรรมของกระผมนึกว่าทราบแล้ว เห็นว่าไม่กลัวเลยชวนกันไปเป็นเพื่อน คงจะเป็นที่พึ่งของกระผมได้ งานนี้สรุปใครพึ่งใครกันแน่ ระหว่างเดินขึ้นบันไดกุฏิประจวบดีมองไปเห็นหลวงพี่แอ๋วท่านสนทนาธรรมกับ "หลวงพี่ขวัญชัย" (ครูบาขวัญชัย) อยู่พอดีงานนี้เลยได้สอบถามไปว่า
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่ ๆ เมื่อกี้หลวงพี่ไปเดินจงกรมบนกุฏิแดงมาหรือเปล่าครับ
หลวงพี่แอ๋ว : เปล่านี่,ผมก็คุยกับท่านขวัญชัยอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว..ไม่ได้ขึ้นไปเดินจงกรมเลย
งานนี้ผมและหลวงพี่ปราโมชต่างก็มองหน้ากันชนิดที่เรียกว่า "สายตาเป็นสื่อของหัวใจ" ห้องใครห้องมันกุฏิใครกุฏิมันนะหลวงพี่ เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสจะไปแก้มืออีกครั้งที่กุฏิแดง แต่รออีกนานหน่อยกว่ากำลังใจมันจะฟิตเท่าเดิม....โดนงานนี้โดนเต็ม ๆ
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w15.jpg
กวาดทางออกเดินบิณฑบาต บรรยากาศเหมือนวัดป่า ผมแอบมาเดินจงกรมช่วงสาย ๆ อยู่บ่อย แสงแดดที่ลอดผ่านต้นไม้มากระทบพื้นดินเกิดเป็นบรรยายที่สวยงามตางามใจ.......คิดถึงวัดจริง ๆ
วาโยรัตนะ
30-10-2009, 14:22
๔."อยากจะสึก อยากได้อภิญญา จะเอาอะไรกันแน่"
หลังจากกระวนกระวายใจว่าเหลืออีกไม่กี่วันก็จะเข้าพรรษาแล้ว งานนี้โดนกรอบของเวลา ๓ เดือนจะอยู่ได้หรือ โธ่มันนานนะ มันเล่นงานจนอยากจะสึก พระใหม่ต่างคนก็ต่างเก็บอารมณ์เหล่านี้เอาไว้ พยายามหาอะไรฆ่าเวลาทำกัน คุยกันบ้างจนคุยกันมากเกินไปไม่เป็นอันปฏิบัติ จนกระทั่งตัวกระผมเองแทบจะเดินไปขอ "สึก" กับหลวงพ่อวันละร้อยครั้ง เหตุการณ์ก็ดำเนินไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปใกล้เข้าพรรษาไปทุกขณะ หลวงพ่อท่านคงทราบเพราะท่านมักจะกล่าวว่า
"พระบวชใหม่ พระใหม่มันก็มักอยากจะสึกวันละร้อยครั้งนั่นแหละ เมื่อก่อนผมเองก็เป็นแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาและธรรมชาติ"
มันก็ไม่ได้ทำให้กำลังใจของทุกท่านดีขึ้นเท่าไหร่ ต่างพยายามหาทางออกให้ตัวเองกันไป สุดท้ายหลวงพ่อก็สอนหลังจากทำวัตรเย็นว่า
"พวกคุณจำได้ไหมว่า วันแรกที่คุณบวชเข้ามากำลังใจของคุณมัน "ฮึกเหิม" ขนาดไหน?.... วันนี้ผมเห็นพวกคุณทำท่าจะตายกัน ผมขอบอกเลยว่า ไอ้ที่จะตายน่ะไม่ใช่พวกคุณหรอก "เจ้ากิเลส" ต่างหากมันกำลังจะตาย เพราะมันโดนกดด้วยศีล แล้วตีกรอบด้วยเวลาอีกตั้งสามเดือน มันเลยดิ้น ดิ้นทุกวิถีทางเพื่อจะให้มันรอด..............ในเมื่อมันจะตายแล้วพวกคุณไปสงสารมันทำไม สมาธิทำกันไว้ให้เยอะ ๆ จะได้มีแรงไปสู้กับเจ้ากิเลสมัน ถ้าฟุ้งมากก็หางานทำแล้วก็ภาวนาไปด้วยนั่นแหละเป็นการปฏิบัติทั้งนั้น ไอ้ประเภท เช้าเอน,เพลนอน,เที่ยงพักผ่อน,เย็นจำวัด,ดึก ๆ ตื่นขึ้นมาซัดม่าม่า เดี๋ยวก็ได้สึกกันหมด จำเอาไว้นะ เรามาเพื่อฝึกตน ญาติโยมเขารอบุญจากพวกเราอยู่ ไม่ว่าจะภพใดภูมิใดก็ตาม จำเอาไว้ บวชน้อยก็ให้เป็นเพชรที่มีค่ามีราคา ไม่ใช่แค่กำลังขี้หมาแบบนี้"
งานนี้นั่งเงียบคอตกกันเป็นแถว แต่ก็เชื่อในคำสอนของหลวงพ่อท่าน เอาวะตายเป็นตาย กิเลสตายไม่ใช่ตูจะตายปรับเปลี่ยนกำลังใจกันยกใหญ่,ฟิตกันซะเครื่องร้อนไปหมด......
ไอ้เรื่องที่กระผมมาบวช ก็หวังจะพิสูจน์กำลังของผ้าเหลืองว่า จะทำให้กำลังในการปฏิบัติสมาธิภาวนามันสูงขึ้นหรือไม่ เรื่องนี้เคยได้คุยกับ "ทิดตู่" อยู่บ่อย ๆ และแล้วมันก็เป็นจริง อยู่ ๆ มันก็มีนิมิตของกสิณไฟเข้ามา ประมาณว่าแค่จับเล่น ๆ แต่มันได้นิมิตในอุคหนิมิตมาจริง ๆคราวนี้ก็เที่ยวประกาศบอกสอนคนอื่นเขาไปทั่ว พอกลับมาทำเองคราวนี้มันเข้าอารมณ์นั้นไม่ได้ มารู้ความจริงจากหลวงพ่อว่า
"เรื่องของความเป็นทิพย์ที่ถ้าเรานำไปบอกคนอื่นทั้งหมด,ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้หรอก มันพูดได้เท่าที่ควรพูด ถ้าหากคุณบอกไปหมด อีกสามชาติคุณก็ไม่มีทางได้ฤทธิ์,ได้อภิญญาหรอก"
งานนี้เล่นเอาผมซึมไปเลย กำลังใจที่มันดีใจมันกลับเปลี่ยนเป็นอยากจะ "สึก" อีกครั้งงานนี้มันมากกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่า
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w17.jpg
จารพระขรรค์โสฬสทองเหลือง (หางานทำแก้ฟุ้งตามที่หลวงพ่อสั่ง) ของคณะแม่ชีชื่นที่นำเข้าพิธีโสฬส ให้บูชาที่วัดใครสนใจไปเช่าได้เลยครับ
วาโยรัตนะ
30-10-2009, 14:38
ความฮึกเหิมก่อนบวชของท่านพี่ทิดรัตน์ครับ :onion_eiei:
๒๒ วันก่อนอุปสมบท -> http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=525
ตอนนั้นมันคึก แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วคึกไม่ออกนะ "ใครว่าบวชแล้วง่าย ๆ สบาย ๆ ขอเรียนเชิญครับ ที่วัดท่าขนุนแล้วคุณจะรู้ว่าชีวิตคุณมันเปลี่ยนไป :70bff581:"
วาโยรัตนะ
30-10-2009, 15:03
๕."เมื่อฟ้าท่านเมตตา ภาค ๑"
หลังจากที่กระผมกำลังใจตกอย่างมาก เพราะเรื่องการรักษาอารมณ์และการยึดติดมากจนเกินไปว่าต้องได้แบบนั้นแบบนี้ ไม่ยอมปล่อยวาง อยู่ก็ได้รับความเมตตาเหมือนฟ้าประทานให้
หลวงพ่อ : ท่านรัตน์,ท่านปราโมช วันนี้ไม่ต้องบิณฑบาต ห่มดอง,พาดสังฆาฎิ ฉันเช้ากับผมที่โรงครัวตอนตีห้า แล้วเดินทางไปกับผมร่วม ๆ เจ็ดร้อยกว่ากิโลเมตร
คำสั่งแบบสายฟ้าแลบของหลวงพ่อผ่ากบาลของกระผมและหลวงพี่ปราโมชตอนจบทำวัตรเช้า เล่นเอาพระเพื่อนและกระผมงงกันไปตาม ๆ กัน สงสัยไปกรุงเทพฯ
ตอนฉันเช้าหลวงพ่อท่านเมตตาสอนอีกว่า
หลวงพ่อ : ผมสนิทแต่ไม่สนมกับพวกคุณ เพราะมันต้องมีเส้นวางเป็นกรอบเอาไว้ คุณจะเห็นว่าแม้แต่กับพวกโยมเองก็ตาม ผมจะวางตัวแบบนี้เสมอ ๆ ไม่อย่างนั้นจะเหลิงกัน
ไอ้ตรงทางเดินขึ้นมาจากสะพานแขวนตรงนั้นมันเป็น "ทางผีผ่าน" ทีแรกผมว่าจะสร้างกุฏีตรงนั้น แต่มาตัดสินใจว่าไม่สร้างดีกว่าไม่อยากจะเหนื่อยไปรบกับผี
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับแล้วถ้าเราจำเป็นต้องสร้างบ้านตรงทางผีผ่านละครับ ต้องทำอย่างไรครับ
หลวงพ่อ : ก็ต้องเก่งพอ ๆ กัน มันถึงจะพอสู้กันได้.....
อิ่มแล้ว พระใหม่ฉันข้าวกับผมน่ะไม่ค่อยจะอิ่มกันหรอก เพราะผมอิ่มก่อนเสมอ เอาตีห้ายี่สิบออกเดิน เข้าให้น้ำห้องท่าให้เรียบร้อยแล้วไปขึ้นรถที่หน้ากุฏิผม
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ และ หลวงพี่ปราโมช : ครับหลวงพ่อ
หลังจากนั้นรถก็ออกเดินทาง จะไปไหนพวกกระผมก็ยังไม่รู้เพราะไม่กล้าถามหลวงพ่อท่าน ท่านให้ไปเราก็ไป ดีใจได้นั่งใกล้ ๆ ท่านแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว....
ในรถก็ได้มีโอกาสสอบถามพระอาจารย์ชนิดแบบตัวต่อตัวเรื่องของนิมิตกสิน ท่านหัวเราะแล้วก็ตอบว่าให้ทำใหม่เดี๋ยวก็ได้ใหม่
หลังจากนั้นไม่นานกระผมและหลวงพี่ปราโมชก็ทราบว่า หลวงพ่อกำลังเดินทางไปวัดท่าซุงเพื่อไปกราบขอพรหลวงพ่อฤๅษี อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของท่านมาทุกปี จะก่อนหรือหลังวันเข้าพรรษาไปแล้วก็ตาม ถือว่าไปบอกกล่าวเรียนแจ้งครูบาอาจารย์ท่าน ตามแบบฉบับของหลวงพ่อเล็ก ไปถึงก็ตรงไปถวายสังฆทานชุดใหญ่ที่วิหารสมเด็จองค์ปฐม หลังจากนั้นก็เดินทางไปกราบพระศพหลวงพ่อฤๅษีที่วิหารร้อยเมตร พวกกระผมก็ได้อานิสงส์ในงานนี้ด้วย ถือเป็นตัวแทนพระใหม่ทั้งวัดมารายงานตัวต่อหลวงปู่หลวงพ่อ
พอเสร็จแวะฉันข้าวแล้วทำธุระเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหลวงพ่อแล้วก็เดินทางกลับวัดท่าขนุนทันที
พอไปถึงพระเพื่อน ๆ รู้เข้าว่า กระผมและหลวงพี่ปราโมชไปวัดท่าซุงกับหลวงพ่อมา ก็พากันจิตตกกัน ต่างกล่าวว่าทำไมตัวเองไม่ได้ไปแบบนี้บ้าง ผมเองก็ได้แต่ปลอบใจว่า ท่านอย่าจิตตกไปเลย พวกผมเดินทางกันเหนื่อยนะ แล้วบุญที่ถวายสังฆทานหลวงพ่อก็ตั้งใจให้ทุกท่านเท่า ๆ กันขอท่าน ๆ จงโมทนาบุญนี้เทอญ
ถึงจะผ่านงานนั้นมา กำลังใจของผมก็ยังไม่ดีขึ้นเพราะยังไม่ยอมปล่อยวางแบบเดิม จนกระทั่งวันหนึ่ง กระผมโทรไปหา เพื่อนรุ่นน้องสอบถามถึงอีเมล์ตอบกลับของครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ซึ่งผมได้ส่งอีเมล์ไปหาท่าน เพื่อเรียนแจ้งท่านให้ทราบว่า กระผมลาบวชและขอพรจากท่านเอาไว้ให้มีความเจริญในทาน,ศีล,ภาวนา ให้เพื่อนรุ่นน้องตรวจสอบว่ามีอีเมล์ตอบกลับจากท่านมาหรือไม่? เผื่อจะเป็นประโยชน์อะไรกับตัวผมบ้าง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w18.jpg
วาโยรัตนะ
30-10-2009, 15:49
๖."เมื่อฟ้าประทาน ภาค ๒"
ฟ้าประทานครั้งแรกคือหลวงพ่อท่านเมตตาสั่งสอนและให้ข้อคิด ตลอดจนท่านเมตตาพาไปวัดท่าซุง
ฟ้าประทานครั้งที่สองคือ กระผมได้รับอีเมล์ตอบกลับมาจาก ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพยิ่งอีกท่านถึงท่านจะอยู่ไกลแสนไกล ถึงแม้กระผมและท่านจะไม่เคยพบกันทางกายเนื้อ แต่ท่านก็ให้ความอนุเคราะห์กระผมเสมอมาในทุกเรื่องของการปฏิบัติ ท่านตอบมาดังนี้ว่า...(ให้โยมเพื่อนอ่านให้ฟังทางโทรศัพท์ แล้วกระผมก็จดเอาไว้อ่านเตือนใจตัวเองเสมอ ๆ )
"ถูกต้องแล้วโยม การจะเป็นพระดี...มันยาก วันนี้อาตมาอยากให้โยมใช้โอกาสที่ตัดสินใจละทางโลกนี้ให้เกิดประโยชน์
ศึกษาพระธรรมวินัย อย่าได้หวังฤทธิ์เดช หรือสิ่งใด ๆ ในพระพุทธศาสนาเลย หากทำไม่ได้ก็ให้สงบนิ่ง นิ่งและนิ่ง
ไหน ๆโยมก็เลือกเส้นทางนี้แล้วอาตมาก็อนุโมทนาแต่อยากให้ทำจริงจัง ไม่ใช่เพราะอยากเพียงอย่างเดียวความอยากมักให้โทษเสมอ
ชาติหนึ่งเราจะมีโอกาสไม่กี่ครั้งหรอกโยมที่จะได้บวช บางคนครั้งเดียวในชีวิตด้วยซ้ำที่ทำตามพ่อแม่
อาตมาจะเป็นกำลังใจให้อีกแรง
ทำทุกวันให้สุข...สุข....สุข
เจริญพร"
อ่านแล้วกระผมแทบจะร้องไห้ ท่านรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ ท่านให้กำลังใจและข้อคิดเสมอ ถึงเวลาแล้วกระมัง ถ้ากระผมเองจะยืนบนเส้นทาง
แห่งนี้ ต้องปรับกำลังใจใหม่อีกครั้ง จะมานั่งซึมแล้วอยากได้โน่นได้นี่ไม่ได้แล้ว ต้องลุยทำไปก่อน ถ้าทำ,ถ้าปฏิบัติโอกาสยังมี แต่ถ้ามานั่งแบบคนหมดอาลัยตายอยากแบบนี้มันได้เหมือนกัน คือ "แหกพรรษา" แน่นอน
เอาอีกฉบับหนึ่ง ถือว่ากระผมแถมให้ในฐานะที่เรา ๆ ท่าน ๆ เป็นนักปฏิบัติกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
"โยมรัตน์ อาตมาอยากให้โยมนิ่งให้มากกว่าที่เป็น ทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาง่ายเหมือนปอกกล้วย เมื่อถึงเวลาอะไร ๆ จะเปิดทางให้โยมเอง หลายต่อหลายครั้งที่โยมก้าวเข้ามาเกือบถึงอาตมาแล้ว แต่ความอยากที่มากไปจนกลายเป็นกิเลสที่เป็นฉากกั้นอยู่ จงจำไว้ว่าจะหาอาตมาไม่ยากหรอก ละความอยากในใจออกให้หมด เมื่อเวลาและกุศลผลบุญอำนวยโยมทั้งสองจะได้พบอาตมาเองอย่าคิดมา "ทางลัด" เพราะมันจะมาไม่ถึงจริงและสิ่งที่เห็นมันจะเป็นแค่ภาพในใจที่โยมปรุงขึ้น
วันหนึ่ง ๔ ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกัน เมื่อทุกอย่างพร้อม
เจริญพร"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w19.jpg
จากจุดชมวิว "เนินสวรรค์" เส้นทางไปคลิตี้
สณ.นิรนาม
30-10-2009, 21:29
ดุ ๆ กันทั้งนั้นเลย แจกอย่างกับแจกทอง ทั้งแดงเหลืองปลิวว่อนไปหมด
สู้ ๆ ครับโยมรัตน์ ผมจะได้ช่วยแจก ฮ่า ๆ
วาโยรัตนะ
31-10-2009, 08:29
๗."ความขยันกับขี้เกียจมันอยู่ใกล้กันนิดเดียว"
คืนหนึ่งก่อนทำวัตรเย็น มีกระดาษที่ข่าวใบเล็กพร้อมกับข้อความ
วางอยู่บนอาสนของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านหยิบอ่านดู จึงประกาศบอกว่าเป็นบัตรสนเท่ห์เขียนไปสอบถามหลวงพ่อดังนี้ว่า
"๑.มีบางท่านบอกว่าเขาบวชมาไม่ใช่เพื่อมาขนอิฐ,ขนทราย แบบนี้มันถูกหรือไม่ขอรับ?"
"๒.การที่เราเห็นเพื่อนพระทำงานกลางฝน แล้วทนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ต้องลงไปร่วมช่วยกันนั้นอยู่ในข้อธรรมแห่ง "พรหมวิหาร๔" หรือไม่ขอรับ?"
อันนี้ผมเองก็เกิดความเสียวไส้ในใจขึ้นทันที เพราะปกติคนที่มักจะตั้งคำถามเรียนสอบถามหลวงพ่อมากที่สุด ตอนหลังทำวัตรเย็นก็คือกระผมเอง ชนิดที่เรียกว่าถามจนพระเพื่อนให้ความไว้วางใจ ใครจะสอบถามปัญหาธรรมกับหลวงพ่อแล้วไม่กล้าถามก็มักจะมาขอความช่วยเหลือให้กระผมถามแทนให้เสมอ (มันน่าจะคิดรายการละ ๒๐ บาทต่อหนึ่งคำถามนะ) กลายเป็น "บุคคลสาธารณะ" (ไม่รู้ว่าท่านเหล่านั้นจะเห็นว่ากระผมเสือกทุกเรื่องหรือไม่ขอรับ:onion_no:) ที่เสียวไส้นั้น เพราะกลัวว่าท่าน ๆ เหล่านั้นจะหาว่าผมเขียนบัตรสนเท่ห์ไปฟ้องหลวงพ่อซิครับ (เดี๋ยวงานเข้าอีก)
มีครั้งหนึ่ง "หลวงพี่ปู" ท่านให้ถามเกี่ยวกับฆาตกรที่ชื่อ "ไอ้ไหล" เพราะเห็นว่าเจ้าฆาตกรคนนี้มันหนีตำรวจได้ทุก ๆ ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตำรวจก็ล้อมจับอยู่เห็น ๆ หลวงพี่ปูท่านสงสัยว่ามันมีวิชาดีอะไรหรือมันทำกำลังใจอย่างไร ทั้ง ๆ ที่มันเอาวิชาเหล่านั้นไปใช้ในทางที่ประทุษร้ายบุคคลอื่น เลยมาฝากกระผมถามหลวงพ่อให้
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับ หลวงพ่อรู้เรื่องฆาตกรที่ชื่อ "ไอ้ไหล" หรือไม่ขอรับ ทำไมเขาถึงใช้วิชาหนีตำรวจได้ทุกครั้งครับ
หลวงพ่อ : ไม่เห็นมีอะไรเลยก็เขามั่นใจในคาถา กำลังใจเขาเต็ม เมื่อกำลังใจเต็มมันก็เกิดผล...ไม่เห็นมีอะไรเลย......
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : แล้วอย่างพวกกระผม "พระใหม่" ควรภาวนาคาถาอะไรดีครับหลวงพ่อ
หลวงพ่อ : ภาวนาคาถา "สัมปจิตฉามิ" ให้ทรงตัว แล้วให้เพื่อนพระเอาขวานจามหัวดูว่าเข้าหรือไม่เข้า
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::154218d4::d33561e9::a47173957fi0::l438412717dh8::17f0f3b0::baa60776::msn_smilies-02::onion_beg::d1eef220::cebollita_onion-21:
พระเพื่อน ๆ ทุกองค์ : เดี๋ยวผมจามให้ :55318906::55318906::b048a2d2:
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::onion_emoticons-23::8dcf9699::215ad82f::onion_sadd: (แน่จริง ! เจอกันหลังกุฏิประจวบดี)
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w21.jpg
ทำไมมันหนักอย่างนี้ ๑๒๐ กิโลกรัม!!!!....เฮ้ย ๆ ข้างบนทำไมยืนยิ้มอย่างเดียวล่ะ โอ้ย!!!ปวดหลังสงสัยแก่แล้ว (บุญใดที่ลูกได้ทำดีแล้ว ขอตะกรุดเมเพิ่มอีกดอกขอรับ หลวงพ่อ)
วาโยรัตนะ
31-10-2009, 08:48
ย้อนกลับที่คำถามในบัตรสนเท่ห์ หลวงพ่อท่านเมตตาตอบว่า....
"๑.มีบางท่านบอกว่าเขาบวชมาไม่ใช่เพื่อมาขนอิฐ,ขนทราย แบบนี้มันถูกหรือไม่ขอรับ?"
หลวงพ่อท่าน : "ถูก" แต่ถูกของมันคนเดียวนะ อยากจะรู้ว่าวัน ๆ หนึ่ง มันจะทำสมาธิเข้ากรรมฐานได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงหรือไม่......... งานของพระมีทั้งเรื่องของการฝึกจิตและการฝึกกาย การทำงานก็ทำให้เป็นกรรมฐานได้ เอาจิตจดจ่อกับงานมันเข้าไปสิ งานในวัดพระก็ช่วยกันต้องทำสิ
"๒.การที่เราเห็นเพื่อนพระทำงานกลางฝน แล้วทนไม่ได้ ต้องลงไปร่วมช่วยกันนั้นอยู่ในข้อธรรมแห่ง "พรหมวิหาร๔" หรือไม่ขอรับ?"
หลวงพ่อ : แสดงว่าคุณมีจิตที่ฝึกมาดี ที่พิจารณาได้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ได้กุศลทั้งนั้นแหละงานในวัดถ้าเราตั้งใจทำ อานิสงส์มันคูณแสน,คูณล้าน
งานนี้ได้ข้อธรรมกันไปถ้วนหน้ากัน ต้องโมทนากับ "ผู้เขียนบัตรสนเท่ห์" ฉบับนี้ เพราะกระตุ้นหลาย ๆ ท่านให้รู้และเข้าใจว่า "ทำงานแล้วได้อะไร โดยเฉพาะงานในหน้าที่ของพระ" สะใจพระวัยรุ่นแย้มฝาโลง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w22.jpg
ถ่ายภาพหมู่หลังงานเสร็จ "สรุปแล้วพ่อนาคทั้งสองคงจะไม่เปลี่ยนใจนะ"
วาโยรัตนะ
01-11-2009, 08:47
๘."กุฎิแดงภาคสอง..หลวงพี่...น่ากลัวกว่าผี"
หลังจากวนเวียนหาสถานที่สิงสถิต (ขอใช้สำนวนให้มันดูชวนน่าสนุก) ในการนั่งสมาธิ ก็พบมีหลาย ๆ สถานที่ภายในวัดที่ส่งเสริมในเรื่องของทำสมาธิเป็นอย่างยิ่ง เช่น กุฏิเจ้าที่,วิหารสมเด็จองค์ปฐม,กุฏิหลวงปู่สาย,บนศาลาหน้าองค์,บนพระเจดีย์ที่ยอดเขา (เดิน ขึ้น-ลง สักสามรอบแล้วคุณจะรู้ว่า ข้อเข่าของคุณนั้นยังแข็งแรงอยู่หรือไม่) และสถานที่วัดใจแบบสุด ๆ ได้แก่ "ป่าไผ่ในป่าช้า"
พวกกระผมเคยออกเดินสำรวจช่วงประมาณสองทุ่มมาแล้ว ตอนแรกมีอาสาสมัครอยู่หลายรูป พอไปเข้าจริง ๆ เหลือแค่ ๖ รูป นำทีมโดย "ท่านพระครูน้อย" แรกก็เดินกันห่าง ๆ พอเข้าไปในป่าช้าลึก ๆ บรรยากาศของต้นไม้ก็ดี ความมืดก็ดีมันทำให้สามัคคีกลมเกลียวกันโดยอัตโนมัติ ชนิดที่เรียกว่า "คุณก้าว,ผมก็ก้าว,คุณหยุดผมก็หยุด,หากคุณจะวิ่ง,กรุณาตะโกนบอกและรอผมด้วยนะ" หมั่นเช็คยอดคนอยู่เสมอว่า มา ๖ ท่านมันจะกลายเป็น ๗ หรือไม่ ? หลังจากผ่านป่าช้ามาได้ อะไร ๆ ก็ดูง่ายไปหมด ก็เหลือแค่กุฏิแดงที่ต้องไปแก้มืออีกครั้ง.......
และแล้ว "นัดล้างตา" ก็เกิดขึ้น คราวนี้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มอีกสามรูป ได้แก่ หลวงพี่ปู,หลวงพี่ต้อม,หลวงพี่ขวัญชัย,กระผมและหลวงพี่ปราโมช กลายเป็นห้าเกลอหัวแข็ง ผีก็ผีเถอะ คราวนี้มากันเป็นหมู่คณะ แต่เพื่อความไม่ประมาทกระผมเองก็บอกเตือนทุกท่านอีกครั้งว่า "กรุณาแสดงความเคารพต่อสถานที่ด้วยนะครับและเจออะไรแล้วกรุณาอย่าวิ่ง ให้ผมดูดี ๆ ก่อนหากกระผมวิ่งก็ตามสุดฝีเท้าได้เลย"
ว่าแล้วก็ค่อย ๆ เดินเกาะกลุ่มกันขึ้นไป ผมเองเรื่องการเก็บอาการนั้นรับรองไม่มีใครสู้ได้ "ทำเป็นนิ่ง" แต่ในใจมันเต้นอย่างกับว่าเสียงหัวใจมันมาเต้นอยู่ที่ต้นคอ
หลังจากกราบพระ,กราบสถานที่แล้วเปิดพัดลมและไฟไว้หนึ่งดวงผมเองก็หาข้ออ้างต่อพระเพื่อนไปว่า "ให้อากาศมันถ่ายเทและเปิดไฟสักดวงสร้างบรรยากาศ:154218d4:" หลังจะเปิดไฟล์เสียงบวงสรวงชุมนุมเทวดาของ "หลวงพ่อฤๅษี" จากโทรศัพท์มือถือเอาฤกษ์เอาชัยแล้ว หลังจากนั้นก็ร่วมกันบูชาพระรัตนตรัย,สมาทานพระกรรมฐาน แล้วกระผมก็นำพระเพื่อนทุกรูป "ตัดร่างกาย,ไล่นิวรณ์" ว่ายังมีข้อใดคั่งค้างอยู่ในใจหรือไม่ เมื่อทุกท่านสงบดีแล้วก็นำไปกราบพระที่พระนิพพาน อารมณ์กำลังสงบได้กำลังได้ความรู้สึก อยู่ ๆ !!!!:3070242c: ไฟที่เปิดเอาไว้ก็ดับลง! กระผมเองพยายามใช้หูให้เป็นประโยชน์มากที่สุดฟังว่ามีใครวิ่งก่อนผมหรือไม่พร้อมกับเร่งคำภาวนาเต็มที่ สัมปจิตฉามิ ๆ ๆ ๆ เท่าที่สังเกตทุกท่านยังนั่งกันเป็นปกติ (งานนี้ตูโดนอีกแล้วใช่หรือไม่....) ใจดีสู้เสือพูดออกไปเตือนสติทุกท่านว่า "เอาใจอยู่ที่คำภาวนา เอาจิตจดจ่ออยู่ลมหายใจ" (ปลอบใจพระเพื่อน ๆ และตัวเอง) หลังจากนั้นไม่นาน "พัดลม" ที่เปิดอยู่ อยู่ ๆ มันก็ปิดเองโดยอัตโนมัติ!!!:onion_emoticons-17:
เหมือนเดิมตามสเต็ปของผมคือพยายามใช้หูให้เป็นประโยชน์มากที่สุดฟังว่ามีใครวิ่งก่อนผมหรือไม่ พร้อมกับเร่งคำภาวนาเต็มที่ สัมปจิตฉามิ ๆ ๆ ๆ เท่าที่สังเกตทุกท่านยังนั่งกันเป็นปกติ ใจดีสู้เสือ พูดออกไปเตือนสติทุกท่านว่า "เอาใจอยู่ที่คำภาวนา เอาจิตจดจ่ออยู่ลมหายใจ เรามาทำกรรมฐาน เรามาทำความดีและความดีนี้เราขอให้ทุกท่านในที่นี้ร่วมโมทนา เรา....." ไม่ทันขาดคำ ไฟที่ปิดอยู่ (มืดสนิท) ก็ติดขึ้นเองอีกครั้ง ทุกท่านเริ่มหวั่นไหวแล้ว ผมเองก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงค่อย ๆ กลั้นใจลืมตาดู (หากเจออะไร คราวนี้กะว่าจะส่งสัญญาให้ทุกท่านวิ่งแล้ว) หลวงพี่ขวัญชัยเองก็เช่นกัน
สิ่งที่เห็นประจักษ์เต็มสองตา ก็คือหลวงพี่ปูกำลังเดินจะเอาปลั๊กพัดลมไปเสียบ!!!
หลังจากนั้นทุกท่านก็ออกจากสมาธิตามเวลาไล่เลี่ยกันและแล้วการสนทนาก็เกิดขึ้น
หลวงพี่ขวัญชัย : หลวงพี่ปู...ทำเอาไรน่ะ คนอื่นเขาตกใจกันหมด มันไม่ดีนะแบบนี้ กลัวมาก ๆ เดี๋ยวมันจะบ้าสติแตกกันไป หลวงพี่ใช่ไหมที่ปิดไฟ,แล้วปิดพัดลม ?
หลวงพี่ปู:ผมไม่ได้ปิดพัดลม..ผมถอดปลั๊กพัดลม ที่ปิดไฟก็เพื่อสร้างบรรยากาศ..ผมอยากฟังหลวงพี่รัตน์นำนั่งมโนฯ แบบชัด ๆ
หลวงพี่ต้อมหันมายิ้มแบบสีหน้าถอดสีพร้อมพูดว่า "ถ้าหลวงพี่ปูเอามือมาจับตัวผมตอนที่ไฟมันดับอยู่ผมคงสติแตกแน่ ๆ"
หลวงพี่โมช : มันอันตรายนะ "หลวงพี่ปู" แบบนี้คนที่เขาจิตไม่แข็งพอจะสติแตกได้
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ผมนึกว่างานนี้เจอของจริงเข้าแล้ว ลองหลวงพี่ปูเอามือมาจับตัวผม ผมก็วิ่งเหมือนกัน แต่ระหว่างเป็นลมก่อนกับวิ่งก่อนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าอันไหนจะเกิดก่อนกัน
หลวงพี่ขวัญ : เราออกไปก่อนดีกว่าวันนี้ โอ้โห......มันน่านะ (ท่านหัวเสียไปเลย)
หลวงพี่ปูก็ยิ้มแบบแห้ง ๆ ไปตามระเบียบและแล้วข่าวการผจญภัยบนกุฏิแดงก็แพร่สะพัดออกไปยังเพื่อนพระท่านอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะกันท้องแข็ง.....
---------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w24.jpg
หลวงพี่ขวัญชัยกับภาระกิจที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อ "งานดูแลรองเท้าของพระผู้ใหญ่" ที่มา "งานบุญครบรอบวันมรณภาพ ปีที่ ๑๗ พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) วันจันทร์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๒"
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w23.jpg
หลวงพี่ปูประจำตรง "โต๊ะรับลงทะเบียนพระ-เณรจากตำบลต่าง ๆ" ที่มา "งานบุญครบรอบวันมรณภาพ ปีที่ ๑๗ พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) วันจันทร์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๒"
วาโยรัตนะ
02-11-2009, 19:03
๙."บันไดปราบเซียน"
เส้นทางการบิณฑบาตสงเคราะห์ญาติโยมของวัดท่าขนุนช่วงเข้าพรรษาจะมีอยู่สี่เส้นทาง คือ ตลาดทองผาภูมิ,ปอมเป,วังใหญ่,บ้านบน ตอนแรกหลวงพ่อท่านประกาศรับอาสาสมัครบิณฑบาตสายปอมเป ก็มีกระผม,พระครูน้อยเป็นหัวหน้าชุด,อาจารย์พงษ์,หลวงพี่ดอย ,หลวงพี่คมสันต์,หลวงพี่อ้น หลวงพี่คมสันต์ท่านมาล้มป่วยเป็นมาเลเรียช่วงงานหลวงพ่อจังหวัดจึงเปลี่ยนเป็น "ขาจร" มาแทน คือใครสนใจหรืออยากเปลี่ยนจะบรรยากาศก็เชิญมาได้เลยยินดีต้อนรับทุกท่าน กระผมเองวันแรกเต็มกำลังใจเต็มที่ แต่กำลังตีน (ฝีเท้า) มันสู้ไม่ไหวบิณฑบาตหรือว่า "แข่งเดินเร็วกันแน่"
พระครูน้อย : หลวงพี่ผมขออภัยด้วยนะ เราต้องกลับไปถึงโรงครัวก่อนสายตลาด
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ครับ ๆ หลวงพี่ (โอ้โห...สุดยอด..ลิ้นห้อย:onion_emoticons-24:)
ช่วงนั้นกำลังใจยังไม่ทรงตัวด้วย อย่างที่บอกว่า "มันอยากจะสึกสักวันละร้อยครั้ง" ช่วงบิณฑบาต "สายปอมเป" ภาวนาอะไรไม่ได้เลย เพราะกังวลเรื่องการเดิน กลัวไม่ทันเพื่อนด้วย เป็นอย่างนั้นอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ เห็นท่าไม่ดีถ้าเป็นแบบนี้เราขาดทุนยับแน่ ๆ ภาวนาก็ไม่ได้ขณะที่เดินแล้วจะเอาอะไรไปสงเคราะห์ญาติโยมเขา....จึงได้กราบเรียนสอบถามหลวงพ่อหลังทำวัตรเย็น
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับผมบิณฑบาต"สายปอมเป" ผมเดินไม่ทันแล้วจับลมหายใจภาวนาก็ไม่ได้ด้วยครับ
หลวงพ่อท่านตอบด้วยประโยคสั้น ๆ แต่มีความหมายกินใจเหลือเกินว่า "ฝีมือยังไม่ถึง" บาดลึกไปถึงทรวงและแล้วกระผมก็ของเมตตาพระครูน้อยเปลี่ยนสายบิณฑบาตเป็นสายตลาดแทน เพราะคิดดีแล้วว่า เราเดินได้,จับคำภาวนา,จับลมหายใจได้ สงเคราะห์ญาติโยมได้เต็มที่และมันจะได้ไม่ขาดทุนในส่วนของเรามากนัก เรื่องนี้หลวงพ่อท่านเคยสอนเสมอว่า เวลาเดินบิณฑบาตให้ภาวนาหรือจับภาพพระไปด้วย ญาติโยมที่เขาใส่บาตรจะได้อานิสงส์เต็มที่
พระหนุ่มก็มีบ้างที่สายตามันจะสอดส่องหาอะไรสวย ๆ งาม ๆ หลายต่อหลายครั้งที่หลวงพ่อหันมามองพระเพื่อน (อันนี้ขอยืนยัน,นอนยัน,ตะแคงข้างยันว่า "ไม่ใช่ผม":onion078:) ชนิดที่ว่า บรรยากาศใส ๆ กับภาพสาวสวย ๆ กลายเป็น "อสุภกรรมฐาน" ทันที:17f0f3b0:
มาถึงช่วงที่ชาวบ้านเรียกว่า "วังลังกา" มีบ้านคุณป้าท่านหนึ่งท่านใส่บาตรเสมอ ๆ ทุกวัน แต่ตรงผนังหน้าบ้านนะสิ..ที่มีปัญหา ผมว่าไม่น่าจะใช่ป้าท่านติดเอง ลูกชายของป้ามากกว่าที่ติดรูป......ไว้หน้าบ้านแผ่นเบ้อเร่อ "งานเข้า" เล่นเอาพระหนุ่มวุ่นวายใจกันยกใหญ่...
ยุบหนอ..พองหนอ...ยุบหนอ..พองหนอ... เฮ้ย ๆ เอาบาตรกด "มัน" เอาไว้สิท่าน หรือไม่ก็ "หักคอไอ้เท่ง" :54bd3bbb::msn_smilies-15::70bff581:( "มัน" คือ โปเตโต้)
ปกติเวลาเดินบิณฑบาตพอรู้ว่าเป็นสาว ๆ ใส่บาตร ก็ก้มหน้าก้มตากันตามระเบียบ แต่มองไปเห็นง่ามเท้า "ขนาดง่ามเท้ายังสวยเลย" (ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ จริง ๆ แล้วอยากใช่คำว่า "ง่ามตีน" แต่มันไม่เหมาะสมกับหน้าตาอย่างกระผมจึงใช้คำว่า "ง่ามเท้า" ดีกว่า) พ่อเจ้าประคุณ! อะไรมันจะขนาดนั้น วันนั้นผมเห็น "ง่ามเท้า" ของน้องหญิงคนหนึ่งบังเอิญเธอเหยียบขี้ไก่ด้วยสิ งานนี้มันไม่สวย....อย่างที่คิด เลยได้ "อสุภะง่ามเท้า" มาพิจารณาเป็นกรรมฐานแทน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w25.jpg
บิณฑบาตสาย "บ้านบน" ร่วมกับคณะหลวงตากวี,หลวงตาอ๊อด,หลวงตาอภิชาติ ชาวบ้านร้านตลาดแถบนี้มีเชื้อสาย "มอญ-พม่า" เยอะมาก แต่ "ศรัทธา" ที่เขามอบให้พระพุทธศาสนาช่างน่ายกย่องยิ่งนักหลายต่อหลายครั้งที่กระผมเห็นภาพคนเฒ่าคนแก่ ค่อย ๆ บรรจงนั่งพับเพียบลงกับพื้นดินแล้วกราบลงแทบเท้า ถึงแม้บางบ้านจะดูจากสภาพบ้านแล้ว นั่นมันบ้านหรือเพิงพัก เขายังให้ความอนุเคราะห์,สงเคราะห์ชนิดที่เรียกว่า "คนเมืองต้องอาย"
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w26.jpg
ชินเชาวน์
02-11-2009, 23:12
พูดถึงเรื่องการบิณฑบาต สมัยบวชอยู่ถ้ำทะลุ และต้องไปบิณฑบาตกับหลวงพี่หน่อย ระยะทางไปกลับประมาณ ๖ กิโลเมตร เรื่องก็มีอยู่ว่า...
ณ สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง มีพระใหม่เดินถือบาตรขึ้นเนินเขาแล้วเหนื่อย พลางบ่นกับพระผู้อาวุโสกว่าว่า
พระใหม่ : หลวงพี่ครับ ทำไมหลวงพี่ไม่เหนื่อยละครับ ?
พระอาวุโส : อาจารย์บอกว่า ถ้าเราเอาจิตเกาะกาย มันจะเหนื่อย
พระใหม่ : :a47173954nr0:
พอถึงช่วงลงเนินเขา
พระใหม่ : หลวงพี่ครับ หลวงพี่อย่าเดินเร็วนักสิครับ ผมตามไม่ทัน
พระอาวุโส : ผมเดินไม่เร็วหรอก แต่อาจารย์บอกว่า การเดินนั้น ก้าวแรกกับก้าวสุดท้ายนั้นต้องก้าวยาวเท่ากัน
พระใหม่ : :d1eef220:
พอกลับถึงวัด พระใหม่เห็นพระผู้อาวุโสกว่า เดินทางมาถึงวัดก่อนตั้งนานแล้ว และยังเดินมาช่วยรับบาตรจากพระใหม่ ในช่วงที่ต้องเิดินขึ้นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขา พร้อมกับถามว่า
พระอาวุโส : เป็นอย่างไร เหนื่อยมากไหม ?
พระใหม่ : ที่สุดของแจ้แล้วครับ หลวงพี่...:5c745924:
พระอาวุโส : มีอยู่วิธีหนึ่ง ถ้าคุณไม่อยากไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน...:4672615:
พระใหม่ : ทำอย่างไรหรือครับ ? :154218d4:
พระอาวุโส : ถ้าคุณขอข้าวเทวดากินได้ ก็ไม่ต้องไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน หลวงพี่อนุญาต :70bff581:
พระใหม่ : :4519626a:
วาโยรัตนะ
04-11-2009, 12:10
๑๐."หลวงพี่บาตร-เณรลูกนิมิต"
เณรที่กินจุที่สุดในวัดท่าขนุน ต้องยกนิ้วหัวแม่โป้งทั้งซ้ายและขวาให้กับ "เณรหมี" หากท่านใดไม่เชื่อ ลองเอาทุเรียนหมอนทองทั้งลูกไปถวายดูรับรอง "เณรหมี" ฉันหมดทั้งลูก จะเหลือก็แต่เม็ดทุเรียนกับเปลือกทุเรียนเท่านั้น....อีกเรื่อง,หลวงพ่อเรียกเณรหมีว่า "เณรหมีมือระฆัง" :onion_yom:ไม่ว่าจะใช่เวรตีระฆังของเณรหมีหรือไม่ก็ตาม เณรหมีก็มักจะขึ้นไปให้กำลังใจพระแทบทุกครั้ง ท่านไหนหมดแรงในการตีกลองย่ำรุ่ง-ย่ำค่ำขอให้บอก "มา...หลวงพี่เดี๋ยวผมตีเอง" เท่านั้นเป็นอันเรียบร้อย จะติดปลายนวมสัก ๒๐ บาทเณรหมีก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับ.....:onion_emoticons-01:(รับรองไม่กล้าแอบไปเล่นเกมส์แน่นอน....ไม่อย่างนั้นเจอไม้เรียวหลวงพ่อแน่ ๆ)
ไม้ตีหรือจะเรียกว่าไม้กระทุ้งระฆังทำจากไม้แดงรูปร่างคล้าย ๆ "สากตำข้าว" ดีนะที่บนหอระฆังไม่มีกระด้งสักลูกสองลูก วันดีคืนดีเณรหมีแปลงร่างเป็น.......ขึ้นมาแล้วจะยุ่ง เณรก็ซนตามประสาเด็ก
ไม้ตีระฆังถ้าจะถามว่าหนักหรือไม่ ครึ่งนาทีแรกมันไม่หนักเท่าไหร่ แต่จังหวะรัวระฆังนาน ๑ นาทีก็เล่นเอาหน้าซีดเผือดกันไปหลายท่าน
ด้วยรูปร่างอันสันทัดของ "เณรหมี" จึงเป็นที่รักใคร่ของหลวงพี่ทั้งหลาย หน้าที่ประจำคือคอยไปตักน้ำแข็งและหาน้ำหาท่าให้พระฉันตอนทำงาน แต่อาจจะหายไปนานหน่อย เพราะบางครั้งแวะไปเล่นกับสุนัขในวัดอยู่นานสองนาน จนต้องส่ง "หน่วยทะลวงฟัน" ไปตาม ถ้าไม่ใช่ "เณรเจ" ก็จะเป็น "เจ้าโด่ง" เด็กวัด แต่ถ้าส่งเจ้าโด่งไปตามเณรหมี คราวนี้ก็จะหายเงียบไปทั้งคู่เป็นประจำ สุนัขบางตัวแค่ได้ยินเสียงเณรหมีก็วิ่งหนีแทบไม่คิดชีวิตแล้ว
เณรหมี : หลวงพี่รัตน์ หลวงพี่พกบาตรมาด้วยหรือ?
แรก ๆ กระผมก็งง ทำงานขนทรายอยู่ตูจะเอามาได้อย่างไรละเณร
มารู้ว่าเณรหมีหาว่าผมอ้วน "พุงของผมเท่าบาตร" มันน่าจะโดน..
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ถ้าของหลวงพี่เท่าบาตรของเณรหมีก็ใช่ย่อยนะอย่างกับ "ลูกนิมิต" จะเอาไปถวายวัดไหนหรือพ่อคุณเล่นเอาเณรเงียบไปเลย
แต่ในเรื่องของการกินแล้วนั้น หากได้มีโอกาสสังเกตมองช่วงที่เณรหมีฉันข้าว เราจะเห็นว่านั่นคือช่วงที่มีความสุขที่สุดในโลกของเณร.......หลายต่อหลายครั้งที่ทุกสายตาจับจ้องมองแต่เณรหมีเพราะทุกท่านอิ่มแล้ว แต่ "เณรหมียังไม่อิ่ม" จะขึ้น "ยะถา-สัพพี" ก็ยังไม่ได้......หลวงพี่บางท่านทนไม่ไหวตะโกนถาม "เณรหมีอิ่มหรือยัง" เล่นเอาเณรหมีตกใจทุเรียนเม็ดงาม ๆ แทบหล่นจากปากมันช่างขัดลาภปากเณรหมีจริง ๆ
เรื่องของการสวดมนต์ เณรหมีได้ฉายาอีกอย่างจากผมว่า "เณรหมีแปดหลอด" พลังเสียงแบบดับเบิ้ลเซอร์ราวด์:conion-05:เล่นเอาพระหนุ่ม ๆ อายเณรไปเหมือนกัน.......
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w27.jpg
เณรหมีทำงาน (แถมขอ "เล่น" ไปด้วยนะหลวงพี่)
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w28.jpg
หลวงพี่ขอ "หมี" ดังสักคน
หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า ตอนไปบิณฑบาตชาวบ้านเขาสงสัยว่าทำไมเณรหมีจึงได้อ้วนกว่าตอนก่อนบวช ชาวบ้านก็คาดการณ์ไปต่าง ๆ นานา ว่าเณรหมีต้องแอบฉันมื้อดึกแน่เลย แต่ความจริงหลวงพ่อบอกว่า "ก่อนทำวัตรเย็นมันล่อโอวัลตินไป ๓ แก้ว พอทำวัตรเสร็จมันเอาอีกแก้ว จะไม่ให้อ้วนได้อย่างไร"
นอกจากนั้นแล้วก็มีอีกท่านหนึ่งที่เริ่มส่อเค้าบ่งบอกว่ากำลังเข้าสู่ฐานะ "มีอันจะกิน"
เถรี : หลวงพ่อคะ รู้สึกว่าเณรท่านนั้นแลดูมีน้ำมีนวลขึ้น
หลวงพ่อ : อ๋อ เขาเปลี่ยนจากคำว่า "ฉัน" เป็น "แดก"
วาโยรัตนะ
04-11-2009, 18:31
๑๑.กิจนิมนต์ "เขื่อนเขาแหลม"
"เรือนแพ สุขจริง อิงกระแสธารา" ด้วยความบังเอิญหรืออะไรมิทราบ "ท่านปาน" ท่านรับกิจนิมนต์ไปฉันเพลสงเคราะห์ญาติโยมที่บ้าน ก็มีท่านบอย,ท่านเค้ก,ท่านอึ่งและหลวงตาอภิชาติ หลวงตาอภิชาติท่านเองก็อยู่ในกลุ่มนั้นแต่ด้วยท่านเองชราภาพ แล้วก็มีการเดินทางโดยทางเรือด้วย
ท่านจึงออกปากขอรบกวนกระผมให้ไปแทน งานนี้ได้ขอรับด้วยความยินดีมีอะไรช่วยเหลือกันได้ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งขอรับ
หลวงพี่ปาน เดิมท่านมีอาชีพเป็นคนหาปลาในเขื่อนเขาแหลม เป็น "มือฉมวก " ที่มีฝีไม้ลายมือฉมัง งานนี้บวชเรียนทดแทนคุณพ่อแม่ เว้นว่างจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็ขอโมทนากับท่านด้วย อย่างน้อยก็ร่วมเกือบสี่เดือนที่ท่านไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต บางครั้งเราแทบจะเลือกไม่ได้ว่าจะทำมาหากินอะไรเลี้ยงชีพมันเป็นไปตามสภาพ.........
ออกเดินทางจากวัดไม่นานก็ถึงจุดที่ต้องนั่งเรือไปแทน บรรยากาศของริมน้ำและวิถีชาวแพอันสงบ เดินด้วยเรือแค่สิบนาทีก็ถึง เรือนแพกลางน้ำบ้านของท่านปานแล้ว ญาติโยมก็รออยู่พร้อมอาหารที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อย
บรรยากาศสงบผิวน้ำราบเรียบชวนให้น่าหลงใหล ไม่นานหลังจากฉันเพลเสร็จก็ได้ออกเดินทางไปชมบรรยากาศของภูมิประเทศสองฝั่งของแนวเขาที่ระดับน้ำในเขื่อนท่วมถึง
ท่านปาน : หากว่าเราแล่นเรือจากนี้ไปอีกประมาณเกือบสองชั่วโมงก็จะถึงสังขละบุรีแล้ว...หลวงพี่สนใจไหมละ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ถ้ามีโอกาส เดี๋ยวผมต้องขอไปให้ได้ ทางเรือนะ ทางรถใครก็ไปถึงได้.....รอออกพรรษาก่อนดีกว่านะหลวงพี่งานนี้มีทริปแก้ตัวแน่นอนหลวงพี่ปาน
----------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P9050398.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P9050404.jpg
"มองกล้องหน่อยสิ เจ้าหน้าย่น" (มันจะกระทบคุณยายที่นั่งข้างหลังหรือเปล่า....)
วาโยรัตนะ
04-11-2009, 19:19
๑๒."พระไม่เอา! ป้าจะเอาหลวงพี่ไปอยู่ที่บ้าน..(งานเข้า)"
ปกติวันพระชาวบ้านญาติโยมจะพากันมาทำบุญที่วัด วันพระทุกวันตอนเข้าพรรษาเป็นที่ทราบกันว่า พระไม่บิณฑบาต ทุกสายบิณฑบาตจะแจ้งญาติโยมก่อนหนึ่งวัน หลังจากทำวัตรเช้ากันเรียบร้อย ประมาณตี ๕.๓๐ น. เสียงระฆังก็จะดังขึ้น เป็นกันทราบกันว่า "นิมนต์ที่โรงครัว ข้าวต้มรออยู่" หลังจากฉันเสร็จก็เตรียมทำความสะอาดกวาดใบไม้เป็นปกติและเตรียมเอาบาตรขึ้นไปไว้บนศาลา เพื่อช่วงแปดโมงกว่าจะได้ให้ญาติโยมตักบาตรกัน
หลวงพ่อเองถ้าท่านอยู่คือไม่ติดกิจนิมนต์อันใดท่านก็จะขึ้นกล่าวต้อนรับทักทายญาติโยมโดยประมาณตั้งแต่ ๘.๐๐ น. พอ ๘.๔๕ น. พระเณรก็ขึ้นศาลา......
หลวงพ่อท่านมักจะหยิบยกเรื่องราวใกล้ตัวในชุมชนหรือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาเป็นหัวข้อในแต่ละวันพระ ญาติโยมเองก็นั่งฟังกันด้วยความเคารพ
ส่วนพระเณรนั้น.....ท่าน ๆ วันนี้หลวงพ่อเอาพระอะไรมาแจกให้ผู้ร่วมทำบุญ,ท่าน ๆ มียี่สิบสองใบหรือเปล่า,ท่าน ๆ วนทำบุญหลายรอบเลยนะ ได้มาหลายองค์ละสิ,ฝาก ๆ "เณรหมี" ดีกว่า,เอา ๆ "เณรเจ" ของหลวงพี่ยี่สิบขอสององค์นะ...... สาละวนทำบุญด้วยหวัง "วัตถุมงคล" ของหลวงพ่อด้วยความเคารพในอนุสสติทั้งนั้น
หลวงพ่อ : ประกาศ ๆ พระเณรท่านใดยังไม่เอาบาตรขึ้นมาบนศาลา ขอความกรุณารีบนำมาด่วน ญาติโยมไม่เห็นบาตรแล้วใจไม่ดี,คิดถึงพระ อย่ามัวแต่จ้องแต่จะทำบุญแล้วรับวัตถุมงคลกัน......
เฮ้ย! "ไพศาล" (เด็กวัดท่านหนึ่งที่คอยขับสามล้อรับข้าวของจากที่พระบิณฑบาตมา) วัตถุมงคลของข้าไม่ช่วยคนกินเหล้าหรอก! เลิก ๆ มันได้แล้ว...
งานนี้ไพศาลยิ้มหน้าบานมาเลย "เห็นไหมหลวงพี่ผมโดนเลย..เอาไปครับของท่านไหนบ้างที่ฝากผมไปทำบุญ":55318906:
มีงานอบรมของกรมราชทัณฑ์ คือทางหน่วยราชการส่งเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์มาปฏิบัติธรรมที่วัด หลวงพ่อท่านอ่านกำหนดการดู มีหลายหัวข้อที่ต้องขึ้นไปพูดให้คติธรรมกับคณะผู้มาอบรม ท่านประกาศรับอาสาสมัคร กระผมเองจึงได้รับอาสาไป ในระหว่างการอบรม "พระครูน้อยกับกระผม" ก็รับหน้าที่ สอนเรื่องการเดินจงกรม แบบ "ยุบหนอ-พอหนอ" คณะที่มาอบรมก็ดีมาก...เงียบสนิท,ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ แบบว่าให้ทำอะไรก็ทำแบบเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีส่วนแสดงความคิดเห็นเท่าไหร่ หลวงพ่อท่านนิมนต์คณาจารย์หลายท่านมาพูดตามหัวข้อต่าง ๆ ที่จัดอยู่ในเนื้อหาวาระของการอบรม....ผมเองเห็นว่า ผู้เข้าอบรมเป็นแบบนี้แล้วเล่นเอาถอดใจ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :ขนาดท่านอื่น ๆ โหพูดตั้งสองชั่วโมง พวกเขายังนั่งกันนิ่งไม่มีส่วนร่วมใด ๆ เลย หลับบ้าง ตาลอยบ้าง แล้วเราจะไหวหรือวะงานนี้ เห็นที่ต้องขอนิมนต์หลวงพ่อท่านจัดการเองดีกว่า...งานนี้จะเจอ "บาทาไร้เงา" ของหลวงพ่อหรือเปล่า...ก็ไปรับอาสาจากท่านมาแล้ว....เครียด...จน...ฉันกาแฟดีกว่า:cebollita_onion-21: โอ้...มายก็อด....กาแฟเพิ่งเอามาลงส่วนกลางเมื่อเช้าหมดแล้ว....มันฉันกันหรือว่าอาบกันแน่....:8dcf9699::msn_smilies-02::fea27916::7f5341cc:
วาโยรัตนะ
04-11-2009, 19:38
หากมีการผิดพลาดประการใดกระผมขอแจก "ใบแดง" ตัวเองล่วงหน้าก่อนนะครับ
:9bbc76d5: อดีตชาติคงเคยไปแจกชาวบ้านไว้เยอะ สงสัยเคยเป็นกรรมการ "หมากเตะ"
๑๒."พระไม่เอา... ป้าจะเอาหลวงพี่ไปอยู่ที่บ้าน..(งานเข้า)"
เฮ้ย! "ไพศาล" (เด็กวัดท่านหนึ่งที่คอยขับสามล้อรับข้าวของจากที่พระบิณฑบาตมา) วัตถุมงคลของข้าไม่ช่วยคนกินเหล้า..หรอก! เลิก ๆ มันได้แล้ว...
:9bbc76d5:แถมให้อีกใบค่ะ ควรเขียนติดกันนะคะ
"วัตถุมงคลของข้าไม่ช่วยคนกินเหล้าหรอก! เลิก ๆ มันได้แล้ว"
(ใครที่รอเลขรวมจากใบแดง ท่าทางจะได้เลข ๓ ตัวค่ะ :onion_eiei: )
วาโยรัตนะ
06-11-2009, 09:12
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อขอรับ นิมนต์หลวงพ่อขึ้นเทศน์พรุ่งนี้แทนกระผมขอรับ กระผมเห็นว่าผู้อบรมคงจะได้ประโยชน์มากกว่าที่กระผมจะเทศน์ขอรับ......:154218d4:
หลวงพ่อ : ผมต้องดูก่อนว่าผมไหวหรือไม่...คุณเตรียมข้อมูลอะไรมาแล้วก็ว่ามันต่อไปเถอะ
บรรยากาศมันช่างชวนให้เหงื่อตกจริง ๆ เอา! สรุปก็ต้องกลับไปเตรียมตัวเอาไว้งานนี้คงจะรอดยาก และแล้วเมื่อถึงเวลาหลังจากฉันข้าวเช้า
พระครูน้อย : หลวงพี่รัตน์เหมือนเดิมนะ วันนี้เวลาเดิมเดี๋ยวเราจะสอนจงกรมแบบห้าจังหวะและหกจังหวะให้จบไปเลย วันนี้เริ่มตอนบ่ายโมงนะ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : อ้าวหลวงพี่วันนี้ผมต้องขึ้นไปพูดบรรยายหัวข้อธรรมตามที่หลวงพ่อท่านจัดให้นะ
พระครูน้อย : เห็นท่านบอกว่าให้นำเดินจงกรมหนึ่งชั่วโมงแล้วหลังจากนั้นท่านจัดการต่อเอง
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::875328cc::msn_smileys-12::8f337f1c::da4c2d5e:ครับ ๆ หลวงพี่
งานนั้นหลวงพ่อท่านเลยเมตตาสอนกรรมฐานให้คณะผู้อบรมแทน แต่ที่พิเศษคือ หลวงพ่อท่านให้คณะผู้อบรมเอาหมอนมาด้วย หลวงพ่อท่านสอน "นอนทำกรรมฐาน" งานนั้นผมเห็นเป็นที่พอใจของคณะผู้เข้าอบรมมาก ๆ หลวงพ่อบอกว่า "วัดอื่นไม่สอนแต่วัดท่าขนุนสอน หากสนใจก็ส่งคณะมาอบรมกันอีกนะ"
ผมเองแทนที่จะช่วยงานหลวงพ่อได้เต็มที่กลับเป็นว่าต้องให้หลวงพ่อช่วย มันกลับกันจริง ๆ จึงต้องมานั่งคิดทบทวนตัวเองใหม่หลายรอบ
หลวงพ่อท่านจะแจ้งกำหนดการเดินทางของท่านเสมอ ๆ มีหลายครั้งที่ตรงกับวันพระ งานนี้กระผมจึงขออาสาหลวงพ่ออีกครั้งว่าขอขึ้นไปกล่าวต้อนรับญาติโยมแทนหลวงพ่อช่วงหลวงพ่อภาระกิจไม่อยู่ในช่วงวันพระ
หลวงพ่อ : อ๋อ จะขอแก้ตัวว่าอย่างนั้นหรือ เอา ๆ กลับมาแล้วจะเช็ค "เรตติ้ง"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::154218d4::baa60776:
หลังจากเตรียมข้อมูลมาพร้อมลุยเต็มที่ แปดโมงตรงก็ถึงเวลา...
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : พระภิกษุ สามเณรท่านใดยังไม่ได้เอาบาตรขึ้นบนศาลาขอนิมนต์นะครับ.......เจริญพรญาติโยมตอนนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกาตรงแล้ว ท่านใดที่มาแล้วก็ขอเชิญขึ้นมาบนศาลาได้เลยจ้ะ.......วันนี้หลวงพ่อท่านไม่อยู่ อาตมาภาพเลยรับหน้าที่มากล่าวทักทายต้อนรับญาติโยมแทนจ้ะ อาตมาภาพมาไกลจากภูเก็ตโน่นมาขออยู่ร่วมจำพรรษากับหลวงพ่อ เห็นความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของญาติโยมที่นี้แล้วก็ชื่นใจ........(แล้วก็จ้อมันต่อไปเรื่อยตามประสาคนบ้าไมค์:55318906:)
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :ญาติโยมที่มาทำบุญตรงนี้ วันนี้ไม่มีวัตถุมงคลแจกนะจ๊ะ ก็ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะ ให้เจริญ ๆ ในทาน,ศีล,ภาวนาจ้ะ
หลังจากนั้นก็มีคุณป้ารุ่น ๆ หกสิบกว่า ๆ ท่านเดินตรงมา พร้อมธนบัตรใบละยี่สิบบาทหนึ่งใบค่อย ๆ บรรจงหยอดในขันใบใหญ่ที่ไว้รับปัจจัยจากญาติโยม พร้อมพูดว่า "พระไม่เอา...แต่จะเอาหลวงพี่ไปอยู่ที่บ้านได้ไหมคะ :onion_love:" สีหน้าและแววตาอย่าให้ผมพูดเลยมัน "สะท้าน :154218d4::4519626a::d582d79f:" รุ่นนี้ต้องเรียกว่า "รุ่นหมากกระจาย" คือประมาณว่าเคี้ยวหมากไม่ไหวต้องขว้างทิ้งเอาแทน หมากเลยกระจาย
หลังจากที่กระผมเกิดอาการ "สะท้าน" ไปถึงทรวงอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตอบไปว่า
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หากนิมนต์หลวงพี่ไปอยู่ที่บ้าน ต้องไปขอกับหลวงพ่อท่านนะ
ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า หลวงพ่อท่านได้รับเรื่องราวหรือคุณป้าท่านไปขออนุญาตจากหลวงพ่อบ้างหรือเปล่า....งานนี้งานเข้าจริง ๆ ครับ:55318906:
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P9120566.jpg
หลวงพ่อท่านสอนว่า "เป็นพระ" เราก็ต้องเป็นให้สมบทบาท
ใต้ร่มไม้ใหญ่
06-11-2009, 10:21
ได้อ่านเรื่องที่ท่านทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ นำมาเขียนเล่าให้อ่านกันเเล้ว ทำให้ผมต้องกลับมาคิดทบทวนอีกเเปดตลบกว่า ๆ ว่าจะบวชที่วัดท่าขนุนดีหรือไม่ตามที่พวกเพื่อน ๆ ชวนกันบวชหมู่ งานเข้าเเน่ตู
วาโยรัตนะ
07-11-2009, 08:45
๑๒."ถ้าจะไปคลิตี้ อย่าลืมภาวนา!"
หลังจากทราบข่าวจากหลวงพี่กวาง ท่านได้ขอแรงพระภิกษุหนุ่มทั้งหลายร่วม ๆ ๑๐ องค์ ก็มี หลวงพี่เก้า,หลวงพี่อึ่ง,หลวงพี่เต้ย,หลวงพี่เค้ก,หลวงพี่ปราโมช,หลวงพี่ต๋อง,หลวงพี่บอย,หลวงพี่ปาน,เณรเจและกระผม โดยมีทิดแก้วเป็นสารถีขับรถมารับที่วัดท่าขนุน งานนี้ไปช่วยกันยกเสาไฟฟ้า (เสาใหม่ใหญ่และสูงกว่า)ที่เกาะพระฤๅษี เสาไฟเก่าหักชำรุด กิ่งไม้ใหญ่ล้มลงมาตีในวันที่ฝนตกลมกระชากก่อนนั้นประมาณสักสองวัน งานนี้พร้อมลุยกันเต็มที่สามัคคีชุมนุมประสาพระพี่พระน้อง
หลังจากปรึกษาหารือกันว่าจะใช้วิธีไหน งานนี้เมื่ออุปกรณ์ครบ,แรงงานพร้อม,ก็ถึงเวลาลุย เสาไฟขนาด ๑๐ เมตรกับพระรวมแล้วทั้งหมด ๑๔ รูป ก็ใช้วิธีแบบดั้งเดิมคือเอาเชือกมัดร้อยไม้คานเข้าไปทั้งหมด ๖ อัน พระจับคู่ซ้ายขวา แล้วก็ค่อย ๆ แบกดังในรูปดู ๆ ไปคล้ายตะขาบตัวใหญ่ค่อย ๆ ลำเลียงเสาไฟมาที่หลุมที่ขุดเตรียมเอาไว้แล้ว โดยมีทิดแก้วเป็นนายช่างใหญ่ ซ้าย ๆ ขวา ๆ หมุนจนได้ที่ได้ทิศทาง คราวนี้ก็หาเชือกผูกดึงกับต้นไม้ใหญ่แล้วแบ่งแรงงานไปดึงเชือกเพื่อจะตั้งเสาให้ลงหลุม.........
เอา ๆ ลุย เสียงหลวงพ่อกวางสั่ง "ระดมกำลัง" เมื่อเสาไฟลงหลุมได้แล้วก็ผูกโยงกับต้นไม้แล้วช่วยกันผสมปูน,หิน,ทรายให้เข้าก็แล้วก็เทก้นหลุมจนเต็มรอจนปูนแห้งทิ้งเอาไว้สักสองวันก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย "โรงเรียนศิษย์หลวงพ่อเล็ก" งานอะไรก็ตามถ้าสามัคคีกันย่อมเสร็จได้โดยง่ายดาย ที่เหลือคืองานเดินสายไฟฟ้าอันนี้เป็นหน้าที่ของ "ทิดแก้ว" ต่อไป หลังจากฉันน้ำ,พักผ่อนกันพอสมควรก็ตกเข้าประมาณบ่ายโมงกว่าแล้วจึงขอตัวกราบลาหลวงพี่กวางและคณะท่าน
ทัดฤทธิ์ -ทิดรัตน์ : ถ้าเราไม่ย้อนกลับไปทางเดิม ทางนี้มันไปออกทางไหนทิดแก้ว?
ทิดแก้ว : ไปได้จนถึงคลิตี้เลยครับหลวงพี่
หลวงพี่ปราโมช :เวลายังเหลือนะหลวงพี่เราลองให้ทิดขับไปทางนี้ก่อนถ้าไปถึงคลิตี้ทันก็ดี ถ้าไม่ทันก็เลี้ยวกลับวัด
ทัดฤทธิ์ -ทิดรัตน์ : ผมขอถามความคิดเห็นพระเพื่อนข้างหลังก่อนนะหลวงพี่......ท่าน ๆ ครับ ทางนี้ถ้าเราขับไปประมาณสองชั่วโมงกว่า ก็จะไปทะลุคลิตี้ได้ท่าน ๆ คิดเห็นว่าเป็นอย่างไร?
พระเพื่อน ๆ ท้ายกระบะ :ลุยเลยหลวงพี่!
ทัดฤทธิ์ -ทิดรัตน์ :ไปเลยทิดแก้วลุย เหยียบสักร้อยยี่สิบ ไม่ต้อง "ดริฟท์" เดี๋ยวจะไปไม่ทันถึง...จะตกเหวไปก่อนทิด ๕๕๕๕
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P9110515.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w6.jpg
วาโยรัตนะ
07-11-2009, 12:38
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/216a.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/178.jpg
เส้นทางช่วงแรกยังเป็นถนนราดยางมะตอยอยู่ แต่พอเริ่มขึ้นเขาก็เป็นถนนลูกรังดินแดงสองข้างเป็นป่าไผ่สลับกับป่าเต็งรังไปเรื่อย ๆ ให้ผมมาคนเดียวกลางคืนเส้นนี้ก็คงต้องขอบอกว่ามาได้แต่ขอนิมนต์พระรูปท่านมาด้วย ยิ่งมาได้ทั้งวัดเลยยิ่งดี นับเป็นโอกาสดีที่ได้เดินทางมาเห็นกับตาตัวเอง กาญจนบุรี ทองผาภูมิ มันไม่ได้เล็กอย่างที่เคยคิด ความอุดมสมบรูณ์ยังมีอยู่มากถึงแม้จะถูกบุกรุกไปบ้างก็ตาม
เราออกจากเดินทางจากเกาะพระฤๅษีไปเส้นทางที่ทะลุออกบ้านห้วยเสือ เมื่อเราเดินทางมาได้ระยะหนึ่งด้วยเส้นทางที่ต้องขอบอกว่าถ้ามีรถออฟโรดการเดินทางจะสะดวกกว่า แวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกตรงจุดชมวิว "เนินสวรรค์" แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ
พระเพื่อนทุกท่านโดยเฉพาะที่นั่งท้ายกระบะเมื่อเจอกระแทกเข้าไปเยอะ ๆ ก็ออกอาการเหนื่อยให้เห็นเช่นกัน โดยเฉพาะ "ท่านบอย" ปกติท่านเป็นคนผิวขาวอยู่แล้วแต่งานนี้ผมเองสังเกตุเห็นริมฝีปากท่านมันออกขาว ๆ ซีด ๆ ไปด้วย
เราใช้เวลาในการเดินทางกว่าจะทะลุออกมาที่ "บ้านห้วยเสือ" ไปกว่าสองชั่วโมง ด้วยสภาพของถนนที่ผ่านมาถือว่าทิดแก้วทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ บางช่วงเป็นทางระหว่างไหลเขาข้างทางเป็นเหว แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือเราเจอ "รถกระบะขายกับข้าว" วิ่งสวนไปสองคันแสดงว่าโดยปกติก็มีรถใช้เส้นทางนี้อยู่เสมอ ๆ เมื่อคำนวณเวลาแล้วคงจะไปไม่ทันแน่นอนจึงตัดสินใจบอกทิดแก้วหันหัวออกทางบ้านทุ่งนางครวญ,บ้านทิพุเย,ผ่าน อบต.ชะแล แล้วออกมาทางบ้านเกริงกระเวีย เลี้ยวซ้ายตรงถนนใหญ่กลับเข้าท่าขนุน,ทองผาภูมิ มาถึงวัดท่าขนุนก็ประมาณเกือบห้าโมงยี่สิบมีเวลาให้เตรียมตัวก่อนสวดมนต์ถวายหลวงปู่สายและทำวัตรเย็นคนละสี่สิบนาที งานนี้เหนื่อยไปตาม ๆ กันแต่ก็ประทับใจกันทุกคน ป่าไม้สีเขียว,ต้นไม้ใหญ่ "ธรรมชาติคือสิ่งที่รับรองความเป็นอยู่ของมนุษย์" น่าเสียดายที่ธรรมชาติในหลาย ๆ ส่วนของประเทศไทยเรามันด้อยค่าลงไปก็เพราะความไม่เอาใจใส่ของพวกเรากันเอง......
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P9110543.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P9110552.jpg
บนยอดเขาที่เป็นทุ่งราบชาวบ้านได้รับการส่งเสริมให้ปลูกยางพารา แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างร่องยางแต่ละแถวกับทางภาคใต้ก็คือว่า ทางภาคใต้ระหว่างร่องยางจะปลูกสัปปะรด แต่นี่เขาปลูกข้าวไร่ ดูแล้วสวยงามแปลกตาจึงขอให้ทิดแก้วหยุดรถแล้วก็รีบไปเก็บภาพประทับใจนี้มา
วาโยรัตนะ
07-11-2009, 20:38
๑๓."เณรเจ รอยเตอร์"
เณรเจ :หลวงพี่ ๆ สอนคณิตศาสตร์ผมหน่อยสิครับ เรื่อง "เซ็ท"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ได้แต่ต้องมีข้อตกลงกันก่อนว่า "ตะกรุดเม" หนึ่งดอก บอก "เจ้าฝ้าย" พี่สาวเณรด้วยนะ ว่าหลวงพี่ขอตะกรุดเมหนึ่งดอก
เณรเจ : โห หลวงพี่เอาแบบนี้เลยหรือ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :สัญญาลูกผู้ชาย โอเคไหม? เอาหนังสือมา เรื่องของเซ็ท เณรต้องเข้าใจก่อนว่า เซ็ทก็เหมือนวัด วัดท่าขนุนก็คือเซ็ทหนึ่งเซ็ท เรียกว่า "เซ็ทวัดท่าขนุน" มีสมาชิกในเซ็ทก็คือ พระ,เณร,แม่ชี,เด็กวัดทุก ๆ คน หมา,แมวทุก ๆ ตัว เข้าใจหรือเปล่าเณร
เณรเจ :onion_emoticons-26:
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :งง ๆ ละสิ เอาแบบนี้ เณรเป็นเณรวัดท่าขนุนใช่ไหม? ถ้าหากสมมุติว่า วัดทองผาภูมิเป็นเซ็ทชื่อว่า "เซ็ทวัดทองผาภูมิ" เณรเป็นสมาชิกของเซ็ทวัดทองผาภูมิหรือเปล่าละ
เณรเจ :ไม่เป็นสมาชิกของเซ็ทวัดทองผาภูมิ เพราะผมอยู่วัดท่าขนุน
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ถูกเก่งมาก:msn_smileys-15::onion_eiei: ต่อไปคำว่า "ยูเนียน" คือเอาสมาชิกของเซ็ทสองเซ็ท เช่น "เซ็ทพระกุฏิเตชะไพบูลย์ "ยูเนียน" กับเซ็ทพระกุฏิประจวบดี" เราก็รวมจำนวนพระทั้งสองกุฏิมารวมกันถึงจะซ้ำก็นับแค่หนึ่งเท่านั้นเข้าใจไหม
เณรเจ :ครับ ๆ :154218d4:
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ดีมาก เรียนเยอะแล้วเดี๋ยวงง เดี๋ยวค่อยสอนเรื่อง "อินเตอร์เซคชั่น" ของเซ็ทต่อนะ ลองเอาโจทย์ในหนังสือไปทำนะถ้าไม่เข้าใจแล้วค่อยมาถาม....ตะกรุดเมหนึ่งดอก อย่าลืม:70bff581:
ทำไมเณรเจถึง มีฉายาที่กระผมมอบให้เป็นพิเศษว่า "เณรเจ รอยเตอร์" ก็เนื่องด้วยฝีมือรายงานข่าวอันฉับไวทันเหตุการณ์ "วินาทีต่อวินาที" เล่นเอาแทบวุ่นวายไปทั้งวัด เจอ "ประกาศิต" ของหลวงพ่อเข้าไป เล่นเอา "เณรเจ รอยเตอร์" ฉันข้าวเช้าแทบไม่ลง เอามือกุมขมับขยับส่ายหัวไปมา "ไม่น่าเลยตู" เล่นเอาพระเณรท่านอื่นหัวเราะกันท้องแข็ง หลวงพ่อท่านบอกว่า "เห็นไหมพิษภัยของโทรศัพท์มือถือ
เรื่องบางเรื่องถึงเราอยากจะบอกโยมแทบจะขาดใจ แต่ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบด้วย" งานเข้าเลยเณร :70bff581::70bff581:
เรื่องที่น่าชมเชยและโมทนากับเณรเจ คือเรื่องของการทำงานไม่ว่าจะร้อนขนาดไหน เณรเจมักจะมาเป็นคนแรก ๆ เสมอ ใครไม่ทำเณรไม่สน งานนี้เณรเจลุยตักดิน,ตักทราย,ขนอิฐ,เต็มที่
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/PA031014.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/PA051052.jpg
วันที่ผมสึก "เณรเจร้องไห้" :msn_smilies-02::onion_beg::fea27916: แต่ผมเองก็ร้องไห้เหมือนกันเพราะทุกวันนี้ยังไม่ได้ตะกรุดเมเลย....เณร:onion_emoticons-01::fea27916:
วาโยรัตนะ
09-11-2009, 09:31
๑๔.งานทำบุญหลวงปู่
นับเป็นวันที่รอยคอยกันอีกวันหนึ่ง สำหรับพระเณรทุกท่านต่างช่วยกันจัดเตรียมงานกันเต็มที่ ตามที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อและที่อาสาทำกันเองด้วยความเต็มใจ ผม,ท่านตั้ม,ท่านปาน,ท่านต้อม,ท่านนวย,อาจารย์พงษ์,ทิดเอ ช่วยกันขัด "พระประจำวันเกิดจำนวน ๘ รูป" เรียกกันได้ว่าไม่เคยขัดพระทองเหลืองที่มีขนาดองค์ใหญ่เท่า ๆ คนจริงแบบนี้มาก่อน งานนี้ทุกท่านต่างดีใจ ตั้งใจขัดกันเต็มที่จนทุกองค์เหลืองอร่ามงามตาดังในรูป นั่งมองแล้วหายเหนื่อย,ปีติดีใจกันมาก จนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ครับ เข้าไปที่วิหารสมเด็จองค์ปฐมทีไร มองพระประจำวันที่เป็นสีเหลืองทองอร่ามแล้ว "โคตรปลื้มใจ" เลยครับ ขัดไปอธิษฐานไป ขอให้บรรลุธรรมโดยไว ๆ,ขอให้เจริญในทาน,ศีล,ภาวนา,ขอให้มีทิพยจักขุญาณที่แจ่มใส,ขอให้ชาติหน้าเกิดมาหล่อแบบ "เท่ง เถิดเทิง" (อันนี้ผมว่า "ท่าน" นั้นคงจะเมากลิ่น "บรัสโซ" น้ำยาขัดทองเหลืองยังดีนะที่ท่านไม่ยกมาฉันแทนน้ำปานะ)
ส่วนงานที่หลวงพ่อท่านแบ่งให้รับผิดชอบเป็นกลุ่ม ๆ มีดังนี้ งานต้อนรับบนศาลา,งานรับลงทะเบียนพระเณรจากวัดหรือสำนักสงฆ์ในตำบลต่าง ๆ ของอำเภอทองผาภูมิ (งานผมเป็นหัวหน้าชุด),งานดูแลเครื่องเสียง,งานดูแลความสะดวกทั่วไป (รวมถึงห้องน้ำ)
งานนี้ก็มีโรงทานเลี้ยงญาติโยมที่มาร่วมงานบุญด้วย เมื่อพระผู้ใหญ่ก็ตาม หรือญาติโยมอาวุโสมาถึงก็ดี หลวงพ่อก็ลงมาต้อนรับด้วยตัวเอง
เนื่องจากพระทุกท่านตลอดจนญาติโยมที่มาร่วมงานต่างก็มาด้วยความเคารพและระลึกนึกถึงความดีของหลวงปู่สาย งานทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีนับเป็นความภูมิใจของกระผมและพระทุกรูปเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็ได้เวลาเก็บข้าวของจัดแจงทำความสะอาดพื้นที่ งานนี้ทุกท่านให้ความสนใจ "งาช้าง" สองคู่ ซึ่งปกติโอกาสที่จะได้ชมก็คงจะต้องเป็นงานใหญ่แบบนี้เท่านั้น เพราะปกติจะเก็บไว้ในที่อันควร งานนี้ประวัติที่พอจะทราบแต่กระผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก หลวงพ่อบอกว่า " มีเจ้าหญิงคณะหนึ่งมอบถวายไว้ครั้งเมื่อเสด็จมาที่วัดท่าขนุน" งานนี้ พระแทบจะทุกท่านจ้องเป็นสายตาเดียวกันคือ ขอถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก ส่วนผมเซ็งสุด ๆ ถ่ายภาพให้คนอื่นออกมาสวยงามทั้งนั้น แต่ให้พระเพื่อนท่านถ่ายภาพให้ผมบ้าง ภาพกันออกมาไม่ได้สัดส่วนไม่ครอบคลุม....โอยอะไร ๆ มันก็ดูขาดเนื้อเรื่องในภาพไปหมด....วัยรุ่นเซ็ง ช่วยกันคนละไม้คนละมือก็เสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็ขนอิฐขนทรายกันต่อ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่ปาน.....การจะถ่ายภาพให้ดีนั้น! เราต้องหาจุดสำคัญของภาพก่อน นี่! อย่างผม "ธีระพงษ์ เหลียวเลิ่กลั่ก" ใช้วิธีมองภาพให้ออกว่าเราจะสื่ออะไร ทุกอย่างมันคือศิลปะ
หลวงพี่ปาน : ครับหลวงพี่ ผมเคยทำงานที่พัทยามาแล้ว ถ่ายภาพแขกก่อนลงดำน้ำ:onion078:
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : เยี่ยมมากเลย......ซาร่า! หลวงพี่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ :msn_smileys-16:
หลวงพี่ปาน : หลวงพี่ ๆ เปิดกล้องตรงไหน ???:l438412717dh8::7f5341cc::baa60776:
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : โอ....ฮ่วย จั่งซี่มันต้องถอน! :9bbc76d5:
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/112.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/111.jpg
งานนี้ถ้า "งาช้าง" หายไป....สงสัยพระสามรูปกับอีกหนึ่งฆราวาสได้เลยครับ (กระผม,ท่านนวย,ท่านปาน,ทิดเอ)
วาโยรัตนะ
09-11-2009, 09:32
๑๕."มัน" อยู่ในห้อง (กุฏิ)
หลังจากงานพิธีปลุกเสกพระขรรค์โสฬส กระผมก็กลายเป็นพระที่ชาวบ้านเขารู้จักไปโดยปริยาย งานนี้เราเป็น "พระ" เราต้องเป็นที่พึ่งของโยมตามนโยบาย "สงเคราะห์ผู้ที่ยังไม่ศรัทธาให้ศรัทธา และทำให้ผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่แล้วมีความศรัทธายิ่ง ๆ ขึ้นไป" (แบบสัมมาทิฐินะครับ) ในเมื่อญาติโยมขอความช่วยเหลือ
แล้วกระผมจะปฏิเสธได้อย่างไร (งานเข้า) ส่งมากันเยอะมาก..............อะไรรู้ไหมครับ “วัตถุอัปมงคล”
มาเป็นกล่อง ๆ ทางไปรษณีย์ก็มี,เอามามอบให้ถึงมือกระผมด้วยตัวเองถึงวัดก็มี, โทรมาปรึกษาก็เยอะ
ขนาดเที่ยงคืน “มัน” ก็ยังโทรมา ถือว่าเป็นผู้ที่มีสังฆานุสติที่มั่นคงมาก......เอา ๆ เพื่อความสุขของญาติโยม
แล้วทำไมไม่ถามพระบ้างว่า "พระเองน่ะกลัวบ้างไหม กลัวหรือเปล่า?" หลวงพ่อบอกว่า “ผีกับพระมันของคู่กัน
อะไรที่มันอยู่ภพภูมิต่ำกว่าเรา จะไปกลัวเขาทำไม ถ้ามาแบบหาเรื่องกันก็อัดให้กระจายไปเลย” แต่สุดท้ายแล้วการประนีประนอมย่อมดีที่สุด เพราะเราพอจะเป็นที่พึ่งให้เขาได้ (ที่พึ่งของผีนะ) เรา ๆ ท่าน ๆ ก็คงจะจำคำสอนของหลวงพ่อได้ งานนี้เลยส่งมากันยกใหญ่เลย พัสดุของพระรัตน์ทั้งนั้น
งานนี้เมื่อแกะดู โอ้โฮ กุมารทอง กว่า ๒๔ ตน ( เฮ้ยอยู่กันดี ๆ นะไม่ใช่แบ่งทีมเตะฟุตบอลกันในกุฏิหลวงพี่ละ ถ้าไม่เชื่องานนี้พ่อจะเอาไปเผาให้หมด ขู่ ๆ เอาไว้ก่อน แต่ก็เกรง ๆ มันอยู่เหมือนกัน หลวงพี่ไม่ใช่เพื่อนเล่นพวกเธอนะ) ผ้ายันต์,ตะกรุด,น้ำมัน,พระ จัดแจงแยกออกเป็นชุด ๆ แล้วก็เก็บใส่กล่องเอาไว้ คืนแรกนอนก็ผวาเหมือนกัน ตกดึก ๆ เอาไฟฉาย (เข้าพิธีโสฬสแล้ว) ส่อง ๆ ดูอยู่บ่อย ๆ พร้อมกำหนดจิตให้แสงไฟฉายเป็นแสงเลเซอร์เหมือนดาบของเหล่า “อัศวินเจได” ในภาพยนตร์ .......จิตมันคิดของมันไปเอง....
ได้โอกาสเลยเรียนถามหลวงพ่อหลังทำวัตรเย็นเสร็จ
ทัดฤทธิ์- ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับจะทำอย่างไรดีกับของพวกนั้นครับ คือว่าญาติโยมส่งมาให้ผมกันเยอะมากเลยครับ
หลวงพ่อ : อย่าว่าแต่ของคุณเลย ญาติโยมก็นำมาถวายไว้กับผมเยอะเหมือนกัน ก็รองานเป่ายันต์แล้วกันจะได้ล้างของไม่ดีออกไปให้หมด
และแล้วก็มีเหตุการณ์ระทึกเกิดขึ้น ผมเองนำจีวรพาดราวเชือกเอาไว้ รีบแต่งองค์ทรงเครื่องจะไปทำวัตรเช้า คว้าจีวรไม่ทันได้ดู ตุ๊กแกตัวเบ้อเร่อ เกาะผนังยิ้มปากกว้างให้อยู่ เฮ้ยมาได้อย่างไร ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเข้ามา รู้ไหมว่าพระกลัว “โคตรกลัวเลย” กรุณาออกไปได้ไหม พระไม่กล้าหยิบจีวร คุยอย่างกับคุยกันรู้เรื่อง.............มันก็ยังยิ้มมองจ้องหน้าอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ......เอาตายเป็นตาย มีเทียนอยู่เล่มหนึ่งยาวประมาณไม้บรรทัด เลยค่อย ๆ เขี่ยจีวร แล้วเอาเทียนเคาะข้างฝาไม้สองสามครั้ง เจ้าตุ๊กแกเลยวิ่งหายเข้าไปข้างเสา เหลือเวลาอีกสองนาที ตูไปลงชื่อทำวัตรเช้าสายแน่ ๆ งานนี้..........
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่นวยกุฏิที่ผมอยู่หลวงพี่เคยอยู่มาก่อนใช่ไหมครับ เคยเจอตุ๊กแกบ้างไหมครับ
หลวงพี่นวย : หลวงพี่ ที่ผมเจอยิ่งกว่าตุ๊กแกอีกครับ เพราะมันมาเป็นคู่ "ตุ๊กแกกับงูเขียว" ร่วงลงมาด้วยกันทั้งคู่ในห้องเลย ดีนะผมนอนหลับแต่ก็มีสติ พอได้ยินเสียงเลยเปิดไฟฉายดู.....งานนั้นแทบจะวิ่ง ค่อย ๆ ประคองสติ เอาไม้ไผ่ที่พิงข้างเสา หลวงพี่เห็นไหม? ผมยกให้หลวงพี่เป็นของที่ระลึกเลยก็แล้วกัน เอาไว้เขี่ยตุ๊กแก เขี่ยงูเขียว:onion_emoticons-26:
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : งานนี้นอนกับผี แถมตุ๊กแกกับงูเขียวอีกสองตัว
ช่างทดสอบกำลังใจกันเสียจริง ๆ :3070242c:
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/PA271681.jpg
กลางคืนต้องปิดหน้าต่างเพราะอากาศค่อนข้างหนาว (จริง ๆ แล้วไม่ค่อยอยากจะเปิดเอาไว้ เพราะกลัวว่าเมื่อมองออกไปจะเห็นต้นโพธิ์ใหญ่ กลัวว่าจะเห็น "ใครสักคน" ที่นั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งของต้นโพธิ์)
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/PA271684.jpg
กุฏิห้องที่ ๓ ชั้นที่ ๒ กฏิประจวบดี นับจากโต๊ะหมู่บูชา
วันนี้กระผมอุตส่าห์เตรียมงานก่อนโดยพิมพ์ในโปรแกรม word แล้วตั้ง spelling ตรวจสอบคำผิดแล้ว โอ....มายก๊อด...ทิดอยากตาย หมด,หมดกัน ขอทิดอยู่เงียบ ๆ คนเดียวสักพักนะครับ
:a03cbf1e::a03cbf1e: ขอบอกนะขอรับว่า...
กระผมอยู่กับการใช้งานโปรแกรมประมวลผลคำ ๒๐๐๗ ขนาดคำที่ถูกต้องแล้ว เว้นวรรคถูกต้องแล้ว โปรแกรมยังฟ้องว่าผิด แต่คำที่ควรจะผิด หรือเว้นวรรคผิด โปรแกรมดันไม่ฟ้องต้องคอยตรวจแก้จนตาเหล่....
ดังที่หลวงพ่อท่านเคยสอนละขอรับว่า...
:8dcf9699:อย่าไว้ใจเทคโนโลยี อย่าฝากชีวิตไว้กับเทคโนโลยี มากกว่าการสร้างความรู้ความสามารถให้ตนเอง
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ท่านทั้งหลายจงยังให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด:msn_smilies-11:
วาโยรัตนะ
12-11-2009, 13:01
๑๖ "วันโกน..กับเรื่องบนหนังศีรษะ"
ก่อนวันพระใหญ่หนึ่งวัน เราเรียกว่า "วันโกน" คือ วันขึ้น ๗ ค่ำกับ ๑๔ ค่ำ และแรม ๗ ค่ำกับแรม ๑๔ ค่ำ ของทุกเดือน(หรือ แรม ๑๓ ค่ำ หากตรงกับเดือนขาด) ซึ่งเป็นวันก่อนวันพระ ๑ วันนั่นเอง ทุกเดือนจะมีการปลงผมหรือโกนผมก่อนวันลงปาฏิโมกข์ในพระอุโบสถ
ถ้าจะถามว่าใครโกนหรือปลงผมให้ งานนี้ก็ต้องบอกว่าผลัดกันปลง ส่วนของพระอาวุโสหลาย ๆ ท่าน ท่านปลงผมด้วยตัวเอง เนื่องด้วยมีความชำนาญเป็นพิเศษ สำหรับผมใช้บริการของ "หลวงพี่ดอยบาร์เบอร์" ตลอดงานนี้ กุฏิไหนต่อไหนไม่รู้ ถ้าจะมาให้หลวงพี่ดอยปลงผมให้ ต้องเอาใบมีดโกนมาด้วย ค่าแรงไม่คิดแต่จะติดปลายนวมนั้นก็ขอรับโดยไม่ปฏิเสธใด ๆ
ในชีวิตมีเหยื่อสองรายมาให้ผมทำ "การทดลอง" โกนผมให้ ท่านแรกคือ "หลวงพี่เก้า" งานนั้นเลือดอาบไปทั้งหัวเล่นเอาคนโกนและคนที่ถูกโกนจะเป็นลมไปตามกัน
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่..ขยับหัวมาทางนี้หน่อยครับ สิวเยอะมาก ข้างหลังก็เยอะ งานนี้มีเลือดอาบแน่ ๆ
หลวงพี่เก้า : ผมฉันไข่ไก่ประมาณวันละห้าฟองทุกวัน..สงสัยว่ามันจะทำให้เป็นสิว
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : อ้าว..ก็หลวงพี่ไปบน"พระแก้ว"ท่านไว้เยอะ แถมแก้บนอยู่บ่อย ๆ ผมก็ช่วยฉันวันละสองฟองอยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่กล้าฉันมากเดียวมัน "คึก" เฮ้ย..เลือด!!!!
งานนั้นใครที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นเข้า คงไม่กล้าให้ผมโกนให้แน่ เห็นเดินหลบ ๆ กันทั้งนั้น บางท่านมีแซวว่า "หลวงพี่..โกรธอะไรหลวงพี่เก้าหรือเปล่า ? เล่นกันเลือดตกยางออกขนาดนั้น..!"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่..ไม่สนใจใช้บริการของผมบ้างหรือ ?"
เสียงตอบกลับมาด้วยความหนักแน่นว่า "ไม่ละครับหลวงพี่รัตน์"
ในที่สุดหลวงพี่เก้าก็ได้หลายแผล.. งานนี้ผมต้องขออภัยนะครับ "สิวมันเยอะ" (อ้างไปเรื่อย..!"):154218d4:
ถัดไปก็เป็นหลวงพี่ดอย ก่อนจะลงสนามผมถามแล้วว่า "หลวงพี่..แน่ใจนะ.." ท่านตอบว่า "แน่ใจครับ"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่พร้อมนะ..งานนี้จะเอาให้ปราณีตกว่าของท่านเก้าอีก.."
แกร๊ก ๆ เสียงใบมีดโกนที่ค่อย ๆ ตามไปส่วนโค้งของศีรษะมันช่างได้อารมณ์เสียเหลือเกิน
หลวงพี่ดอย : "โดน..!"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "โดนอะไรครับหลวงพี่ ?" :onion_emoticons-26:
หลวงพี่ดอย : "หนังหัวผมนะสิ..!"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "จริงหรือครับ..?"
ก้มมองที่มีดโกน หนังศีรษะยังติดอยู่ที่ใบมีดเลย พร้อมกับเลือดที่ศีรษะของหลวงพี่ดอย ค่อย ๆ ซึมออกมา..!:154218d4:
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "ท่าน ๆ..อย่าเสียงดังกันสิ ผมไม่มีสมาธิในการโกนผมให้หลวงพี่ดอยนะ.." :87a4e689:
แล้วผมก็บรรจงลากใบมีดโกนต่อไป
หลวงพี่ดอย : "โดน..! โดนอีกแล้ว..!":215ad82f:
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่นั่งนิ่ง ๆ สิ.."
หลวงพี่ดอย : "โอ๊ย..! โดนอีกแล้ว โห..หลวงพี่.."
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "งานนี้ผมใจไม่ดีแล้วนะ เลือด..! หลวงพี่..เลือด..ใครก็ได้มาโกนต่อแทนผมที.."
งานนี้หลวงพี่คมสันท่านเลยมารับหน้าที่แทน
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่ดอย..งานนี้ผมไม่โกนให้แล้วนะ แต่เวลาผมมาขอให้หลวงพี่ปลงผมให้ "อย่าเอาคืน" ถือว่าผมทำไปโดยไม่ได้เจตนา.."
หลวงพี่ดอย : "ไม่เป็นไร..แค้นนี้ต้องชำระกันซักวัน.."
งานนี้ก็สอนให้ผมรู้ว่า ทำอะไรที่เราถนัดและมีความสามารถจะดีกว่า อย่าได้เอาคนอื่นเป็น "หนูทดลองยา" เลย มันเสียว..!
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P9140610.jpg
งานนี้งานแรกที่ "หลวงพี่บอย" ยอมโผล่หน้าให้ถ่ายภาพครับ ส่วน "หลวงพี่ต้อมร่างยักษ์" อยู่ทางด้านขวามือสุดแถวสุดท้าย
วาโยรัตนะ
12-11-2009, 21:21
๑๗. "คลิตี้...ดินแดนแห่งมนต์ขลัง" (อย่าลืมภาวนาเด็ดขาด)
เมื่อทุกอย่างพร้อมและวาระมาถึง"นัดล้างตา"ก็เกิดขึ้น คราวนี้พวกเราต้องไปให้ถึงคลิตี้ให้ได้...ว่าแล้วก็ห่มจีวรพลางตรวจสอบกล้องถ่ายรูปว่าพร้อมหรือไม่ ด้วยความรอบคอบแบบนี้ เลยทำให้กระผมขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย
ทิดแก้วกับรถกระบะคู่ใจ พร้อมด้วยพระอีก ๑๐ รูป นำโดยพระครูน้อยก็ออกเดินทางทันที คณะเราออกจากวัดท่าขนุนหลังจากฉันเช้าเสร็จ เราเดินทางจากวัดท่าขนุนไปตามเส้นทางหมายเลข ๓๒๓ เข้าทางบ้านทิพุเย ในส่วนของ อบต.ชะแล ผ่านบ้านทุ่งนางครวญ บ้านห้วยเสือ อุทยานแห่งชาติลำคลองงู เส้นทางบางช่วงก็อย่างที่เคยเล่าไปว่า ยังเป็นถนนลาดยางสลับกับถนนลูกรังดินแดงอยู่ ผ่านหมู่บ้านเป็นระยะ ๆ สลับกับไร่มันสำปะหลังที่แซมด้วยข้าวไร่ดูเขียวขจีไปหมด นี่คือชีวิตเรียบง่ายของชาวบ้าน ซึ่งบางทีเราแทบจะลืมกันไปแล้วว่า ความสงบที่พึ่งพิงอยู่กับธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร
รถทำความเร็วได้ไม่มากนัก เราใช้เวลาเดินทางไปเรื่อย ๆ คือให้ทันเพลที่คลิตี้ เรากำลังจะเข้าไปยังดินแดนของชาวกะเหรี่ยงซึ่งนิสัยใจคอของชาวกะเหรี่ยงนี้ "รักใครรักจริง เกลียดใครก็เกลียดจริง..!"
สำหรับพวกเราที่เป็นพระ หลวงพ่อมักจะเตือนเสมอว่า "อย่าได้วางใจใครไม่ว่าจะเป็นคนหรือในความเป็นทิพย์ทั้งหลาย เพราะความที่เราเป็นพระ บางสิ่งบางอย่างเขาลองกับคนอื่นไม่ได้ เขาก็ลองกับพระ จะฉัน จะลุก จะยืน จะนอน กันไว้ดีกว่าแก้ ให้มีสติเสมอ ก่อนฉันให้พิจารณาอาหาร แล้วว่า "คาถาบารมี ๓๐ ทัศ" ดังนี้
อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา
อิติโพธิมะนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม
นะ โม พุท ธา ยะ
นึกภาพพระคลุมข้าวปลาอาหารทั้งหมด จะเป็นการแก้คุณไสยทุกชนิดที่เขาทำมาลองดีหรือหวังประทุษร้าย
พวกเราเองได้ยินชื่อเสียงความขลังในเรื่องของไสยศาสตร์ของชาวกะเหรี่ยงมากันพอสมควร จึงไม่ประมาท พยายามจับคำภาวนาในใจตามแต่ใครถนัดแบบไหนก็ว่ากันไป เพื่อให้เกิดกำลังใจมั่นคง
หลังจากใช้เวลาไปเกือบสามชั่วโมง พวกเราก็เดินทางผ่านถนนช่วงหลัง ซึ่งมีสภาพเหมือนเส้นทางไปดาวอังคาร คือเต็มไปด้วยหลุมบ่อและทางน้ำกัดเซาะ
พระครูน้อย(หลวงพี่ของชาวบ้าน) บอกผมว่า เวลานั่งรถประจำทางในเมืองมันไม่สบายแบบนี้ คือ "ถนนมันเรียบเกินไป" แบบทางเข้าหมู่บ้านคลิตี้นี้นั่งแล้วสบายกว่า
กระผมเองก็ได้แต่กระพริบตา กลืนน้ำลายแทบจะไม่ลง เพราะเริ่มรู้สึกได้ว่า "มันเพลีย ๆ เหนื่อย ๆ แบบคนเมารถ"
รถกระสวยอวกาศของทิดแก้วค่อย ๆ เลี้ยวผ่าน "โรงเรียนบ้านทุ่งเสือโทน" อย่างช้า ๆ เนื่องจากที่นี่ไม่มีไฟฟ้า เราจึงเห็น "แผงรับพลังงานแสงอาทิตย์" เรียงรายทางด้านข้างของโรงเรียน แสงแดดยามเช้า ฟ้าใส ๆ กับอากาศเย็นสบาย ๆ มันชวนให้อยู่กับบรรยากาศแบบนี้ไปนาน ๆ จนลืมคำภาวนาไปหลายอึดใจ มองไปก็เห็น "วัดทุ่งเสือโทน (หลวงปู่เนป่อง)" ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ เสียงเครื่องยนต์ที่ดับลงแปลว่าเรามาถึงที่หมายแล้ว
"อาปาเช่" สาวกะเหรี่ยงออกมาต้อนรับ เชื้อเชิญพระครูน้อยและพวกเราเข้าบ้าน...สภาพบ้านอันเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยฝีไม้ลายมือใน "งานช่างไม้" ทำให้บ้านหลังเล็ก ๆ หลังนี้ดูมีแล้วมีคุณค่ามากกว่าห้องสี่เหลี่ยมที่คนในกรุงอยู่อาศัยกัน ทางด้านหน้ามีนอกชานกว้าง นั่งสบาย ลมพัดถ่ายเทตลอดเวลา
กระผม ท่านดอย ท่านนวย เดินสำรวจไปอย่างช้า ๆ ผมพยายามเก็บรายละเอียดตามปกติที่ผมเป็นอยู่แล้ว ต้นไม้ ใบหญ้า นก สัตว์ต่าง ๆ จนไปถึงสิ่งก่อสร้าง
เราตรงไปกราบรูปเหมือนของ "หลวงปู่เนป่อง" ซึ่งแกะสลักด้วยหินทรายจากยอดเขาภูพาน แล้วเข้าไปกราบพระประธานภายในโบสถ์.....
หลังจากนั้นเราก็ตรงไปยังหอระฆังและศาลา ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ชาวกะเหรี่ยงเขาถือทิศใต้เป็นทิศมงคล เมื่อก่อนพระประธานภายในศาลาหันไปทางทิศใต้ พระครูน้อยเมื่อครั้งที่ท่านยังเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนี้ ท่านได้ทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ให้เปลี่ยนทิศทางของพระประธานให้ไปทางทิศเหนือแทน
หลังจากนั้นเราก็เดินกลับไปร่วมฉันเพลที่บ้านของ "อาปาเช่" กับข้าวกับปลาเต็มไปหมด สิ่งหนึ่งที่กระผมสะดุดตา คือ "แตงเปรี้ยว" ทีแรกก็งง ๆ นี่มันลูกอะไร ? ผลไม้หรือว่าผัก...
หยิบขึ้นมาพิจารณาแล้วถ่ายรูป หลังจากพิจารณาอาหารแล้วก็หยิบมาฉัน แตงกวานี่หว่า..! รสชาติออกเปรี้ยวเล็กน้อย แต่กรอบกว่าแตงกวาปกติ(เพราะผิวมันตึงมาก) กัดไปคำตามด้วยน้ำพริกปลาร้า ข้าวสวยอุ่น ๆ (ร้อน ๆ เดี๋ยวปากพอง) ทุกท่านเจริญศรัทธาและเจริญอาหารกันเต็มที่ หลังจากนั้นก็นั่งสนทนากันจนถึงเวลาเดินทางกลับ
จริง ๆ แล้วสิ่งที่เรากลัวมักจะเกิดจากเราได้ยิน ได้ฟัง หรือเกิดจากการปรุงแต่งของเราเอง แต่เรื่องของการไม่ประมาทเป็นเรื่องที่ดี ผมได้มาสัมผัส ได้มาเห็นกับตาตัวเอง ถือว่างานนี้เหมือนกับเราได้ทำข้อสอบแล้ว หายสงสัยไปหลายเรื่อง หลังจากที่เราแวะเยี่ยม "ผู้ใหญ่บ้าน" พร้อมกับนำผ้ายันต์พิชัยสงครามและยันต์มหาเศรษฐีมอบให้ พูดคุยทักทายปราศรัยกัน กว่าจะถึงเวลาร่ำลากัน ผมก็เห็นในความมีน้ำจิตน้ำใจ ความเป็นกันเอง ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของเขาแล้ว ทำให้นึกถึงสำนวนที่ว่า
"ต้นไม้ไร้นกเกาะถึงดูไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านกไร้ต้นไม้เกาะ มันดูไม่เหมาะเพราะไม่เหลืออะไร"
เห็นทีต้องขอไปขยายความในตอนต่อ ๆ ไปครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w31.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w29.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w30.jpg
วาโยรัตนะ
14-11-2009, 12:10
๑๘."ให้มีความคล่องตัว"
ในช่วงเข้าพรรษา นับเป็นโชคดีของท่านต่าง ๆ ที่บวชเข้ามาในช่วงนี้ มีบุญรออยู่แทบจะทุกวัน หลวงพ่อท่านให้พระภิกษุสามเณรทุกรูป จับสลากเพื่อขึ้นเทศน์ในวันพระตลอดพรรษา ทุกวันพระจะมีเทศน์สองรอบ คือ รอบเช้า ๙.๐๐ น.และรอบค่ำ ๑๙.๓๐ น. ใครใคร่จะเลือกกัณฑ์เทศน์ไหนมานั้น หลวงพ่อท่านให้อิสระเต็มที่ กระผมเองเมื่อค่อย ๆ เปิดฉลากใบเล็ก ๆ ดูก็รู้ว่า ตัวเองได้เทศน์วันออกพรรษาช่วงเช้าซึ่งวันนี้เป็นวันที่หลาย ๆ ท่านภาวนาว่า "ขออย่าให้หยิบได้ใบนี้เลย.." แต่ตรงกันข้ามกับกระผม ที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ก่อนว่าขอให้ได้เถอะ เพราะตั้งใจจะอุทิศบุญให้โยมพ่อที่ล่วงลับไปแล้ว
เมื่อทราบกำหนดการกันแล้วว่า ใคร..? ท่านใดบ้าง(แสดงว่าบางท่านโชคดี..รอดตัวไป)ที่จะได้ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ โปรดญาติโยมในวันไหน ? เวลาใดบ้าง ? ต่างก็กลับไปเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ งานนี้..คนไหนที่รู้ว่า ตัวเองไม่มีความสามารถหรือไม่มั่นใจ ก็ถึงกับออกปากไหว้วานหา "อาสาสมัครเดนตาย" ให้รับหน้าที่แทน ปัจจัยของกัณฑ์เทศน์ หลวงพ่อประกาศตั้งแต่ต้นแล้วว่า "ใครเทศน์คนนั้นก็ไป" ส่วนมากก็จะยกให้คนที่ขึ้นไปรับหน้าที่แทน ท่านแรกที่ขึ้นเทศน์ในพรรษานี้ คือ "ท่านนวย"
หลวงพี่นวย : "หลวงพี่..ผมละกลุ้มเลย งานนี้คนแรกด้วยสิ.."
หลวงพี่นวยบ่นพลางแอบซุ่มฟิตซ้อมเต็มที่ แล้วงานแรกก็ออกมาดี เลยเป็นที่กดดันท่านต่อ ๆ ไป
เวลาช่างรวดเร็วเหมือน "นกกระจอกกินน้ำ" หลายต่อหลายท่านผ่านไป บางท่านก็ทำหน้าที่ได้ดี เพราะมีความรับผิดชอบซักซ้อมมาก่อน แต่งานนี้มีท่านหนึ่งที่ถูกหลวงพ่อท่านดุเอา ชนิดที่ว่านั่งงงลงจากตั่งไม่ถูกเลย ก็คือ "หลวงพี่กุ๊ก" เพราะท่านประมาทมากเกินไป ไม่ได้ซักซ้อมให้เกิดความชำนาญคล่องตัว หลวงพ่อท่านประกาศหลังจากที่ท่านกุ๊กเทศน์เสร็จว่า "คนต่อไปอย่าให้เป็นอย่างนี้อีก..!" ทุกท่านเงียบสนิท
หลังจากนั้นไม่นาน หลวงพ่อท่านก็สอนว่า "เรื่องของการเทศน์จะต้องหมั่นซ้อม คนที่เทศน์ได้ดีนั้นต้องผ่านเวทีมาแล้วไม่น้อยกว่าร้อยธรรมาสน์ขึ้นไป หรือไม่ก็ผ่านการเรียนหลักสูตร "นักเทศน์" มาแล้ว ท่านบอกว่า ตั้งใจมากเกินไปก็ไม่ดี ไม่ตั้งใจเลยก็ไม่ดี ให้ทำกำลังใจกลาง ๆ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านกัณฑ์เทศน์ไป"
และแล้ว..ก็มีนักเรียนนอกหลักสูตรท่านหนึ่ง คือ "หลวงพี่ขวัญชัย" เรื่องที่จะเทศน์ ท่านแต่งเอง ไม่ได้เอามาจากกัณฑ์เทศน์ที่เตรียมเอาไว้ให้เลือกกัน
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "หลวงพี่..คายความลับออกมาหน่อยซิ ว่าหลวงพี่จะเทศน์เรื่องอะไร ?"
หลวงพี่ขวัญชัย: "ไม่ได้..ความลับก็ต้องเป็นความลับสิ..!"
เอา..ในเมื่อท่านยืนยัน นอนยัน นั่งยัน ตะแคงยันถึงขนาดนั้นก็ตามใจ
และแล้ว..ท่านเทศน์ชนิดที่ว่า พระเณรทุกท่านนั่งลุ้นว่ามันจะจบได้หรือไม่ ? และจบอย่างไร ? ผมเองกลั้นหัวเราะจนแทบทนไม่ไหว,อาจารย์พงษ์,หลวงตาชาติ พระเณรอีกหลายรูป ไม่เว้นแม้แต่ญาติโยม แต่คนที่นิ่งที่สุดคือหลวงพ่อ พระครูน้อยท่านแอบกระซิบ
ว่า "นั่งใกล้ ๆ หลวงพ่อ บรรยากาศมันตึงเครียดสุด ๆ" งานนี้ถ้าจะเจองานเข้าชุดใหญ่แล้ว
สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงได้แบบ "เครื่องบินหารันเวย์ลงไม่ได้"เพราะเทศน์วกไปวนมาอยู่หลายรอบ
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง หลังฉันเช้าเสร็จ หลวงพ่อท่านประกาศว่า "อย่างที่ท่านขวัญชัยทำนั้นนับเป็นความคิดริเริ่มที่ดี แต่ทุกท่านอย่าได้ทำอีกเพราะเรื่องของการเทศน์นั้น ต้องเทศน์ให้ญาติโยมเขาฟังรู้เรื่อง ขนาดตัวคนเองแต่งเองยังไม่รู้เรื่องเลย แล้วแมวที่ไหนมันจะรู้..! ต่อไปห้ามแต่งเองอีก ยกเว้นว่าท่านเรียนจบนักเทศน์มา"
และแล้ว..วันของผมก็มาถึง ก่อนจะขึ้นธรรมาสน์ผมตรงไปกราบพระประธานบนศาลา,กราบหลวงพ่อ ในขณะกราบท่านหลวงพ่อท่านให้พรด้วยน้ำเสียงที่เมตตาว่า "ขอให้มีความคล่องตัว" วันนี้คนเต็มศาลาไปหมด น้อยกว่าวันรับยันต์เกราะเพชรประมาณ ๒๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เมื่อขึ้นไปบนธรรมาสน์ มองไปเห็นคนเต็มไปทั้งศาลา ใจมันหวิวพิกล
หลังจากรวบรวมกำลังใจแล้วว่า งานนี้ขอบารมีพระท่านเมตตา ขอให้เป็นหน้าที่ของท่านในการสงเคราะห์ญาติโยม ช่วงแรก ๆ ผมเทศน์ผิด อ่านผิด ออกเสียงแล้วลิ้นมันพันกันไปหมด จึงค่อย ๆ รวบรวมกำลังใจอีกครั้ง ที่ผิดมันก็ผิดไปแล้ว แต่ที่จะอ่านต่อไปพยายามเอาใจจดจ่อ สลัดภาพของคนหมู่มากออกไป ตั้งใจว่า เทศน์ให้โยมพ่อฟัง
มาถึงตรงนี้ "เครื่องมันก็ติดแล้ว" ยิ่งอ่านยิ่งเพลิน ยิ่งเพลินก็ยิ่งเป็นสมาธิ จนมาถึงตอนจบ พยายามรวบรวมกำลัง ตั้งใจอธิษฐานอุทิศบุญให้ญาติโยมก็ดี ให้โยมพ่อโยมแม่ก็ดี และอธิษฐานเพื่อมรรคผลนิพพานของตัวเองก็ดี ถือว่าจบแบบสมบูรณ์จนลืมสลับขา
นั่งพับเพียบนาน ๆ มันทำเอาขาเป็นเหน็บชาไปหมด หลวงพ่อท่านประกาศบอกว่า "นั่งให้หายชาแล้วจึงค่อยลงจากธรรมาสน์" แต่ผมเองประมาทไป จึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมา ความรู้สึกตอนนั้นก็ปกติ แต่หลังจากคุกเข่ากราบพระ กราบหลวงพ่อแล้ว ที่รู้สึกได้คือ ขามันแข็งไปหมด พยายามจะพยุงตัวขึ้น หลวงพ่อท่านรู้ ท่านจึงโบกมือให้รู้ว่า ให้นั่งตรงนี้ก่อนอย่าเพิ่งลุกไป เพราะมันอาจจะล้มได้ เพราะประสาทมันชาไปหมด ผมเลยนั่งแล้วพยายามสูดลมหายใจเอาอากาศเข้าไปให้เยอะ ๆ สุดท้ายเมื่อมั่นใจแล้ว จึงค่อย ๆ ลุกเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
หลวงพ่อท่านเมตตา,ท่านรู้,ท่านผ่านประสบการณ์มามากต่อมาก ท่านคือครูที่เราควรเชื่อฟังให้มากที่สุด
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w32.jpg
๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ "วันออกพรรษา" วัดท่าขนุน
วาโยรัตนะ
16-11-2009, 09:48
๑๙."ต้นไม้ไร้นกเกาะถึงดูไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านกไร้ต้นไม้เกาะ มันดูไม่เหมาะเพราะไม่เหลืออะไร"
ต้นไม้แต่ละต้น อิฐ หิน ดิน ทราย แต่ละก้อนที่พระเณรต่างช่วยกันทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตอนนี้มองเห็นเป็นภาพที่ชัดเจน "ลานธรรม"ของวัดท่าขนุนค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนาบด้วยเรือนไม้ที่เอาไว้ให้ญาติโยมหรือผู้ปฏิบัติธรรมได้พักผ่อนหลบร้อนหลบฝน
ผ่านวันออกพรรษาก็มาถึงวันสำคัญที่ทุกท่านต่างตั้งตารอก็คือ "วันตักบาตรเทโว" หลวงพ่อให้เตรียมตัวขึ้นไปรอบนยอดเขาตั้งแต่แปดโมงเช้า หลังจากวันก่อนหน้านั้น ทุกท่านต่างเร่งจัดเตรียมพื้นที่ จัดวางขาตั้งไม้ พร้อมนำเอาไม้แผ่นจากโรงไม้มาวางเป็นทางยาวริมถนน ตั้งแต่ทางลงมาจากพระเจดีย์จนทอดยาวไปถึงทางขึ้นศาลา.......
ในวันตักบาตรเทโว ญาติโยมต่างเตรียมข้าวสารอาหารแห้งมาจับจองที่ทาง ไล่ตั้งแต่ทางลงพระเจดีย์ไปจนถึงสุดทางเดินขึ้นศาลา ภาพเหล่านี้ทำให้กระผมตระหนักถึงความศรัทธาที่ญาติโยมมีต่อพระ "พระคือเนื้อนาบุญอันประเสริฐ" ทำให้รู้สึกประทับใจมาก
เมื่อถึงเวลา..พระเณรทุกท่านต่างเตรียมพร้อม บางท่านไปรอบนเจดีย์ตั้งแต่เช้า หลวงพ่อท่านเดินขึ้นไป พร้อมกับมีเจ้าลูกหมาน้อยตัวหนึ่งค่อย ๆ ตามหลวงพ่อขึ้นไปจนถึงพระเจดีย์ เจ้าลูกหมาตัวนั้นมันคงรู้ว่า หลวงพ่อคือเนื้อนาบุญของมัน มันจึงแสดงออกด้วยทีท่าที่คอยเดินตามท่าน ถึงแม้ว่าขั้นบันไดทางขึ้นบางช่วงจะมีความสูงอยู่มาก แต่มันก็พยายามไปจนถึง......ขนาดพระเณรบางท่านและหลาย ๆ ท่านยังเหนื่อยกันแทบลิ้นห้อย แต่เมื่อเห็นภาพหลวงพ่ออุ้มเจ้าหมาน้อยตัวนั้น พร้อม ๆ กับที่หลวงพ่อท่านกล่าว "จับดูแล้วหัวใจมันเต้นปกติ มันไม่เหนื่อยเหมือนที่เราเหนื่อยกันเลย " พาเอาทุกท่านหัวเราะ "เจ้าตัวเล็กนี่มันสุดยอด" เสียงห้าว ๆ ของ "เณรเจ" กล่าวเสริม
หลังจากหลวงพ่อท่านนำสวดมนต์ถวายบูชาพระเจดีย์แล้ว ทุกท่านก็ตั้งแถว แล้วค่อย ๆ เดินลงมาจากยอดเขา บรรยากาศก็ดี,อากาศก็ดีเป็นอีกวันหนึ่งที่กระผมเองจะต้องเก็บเอาไว้ในความทรงจำไปตลอดชีวิต
ญาติโยมหลาย ๆ ท่านมาดักรอใส่บาตรตั้งแต่วิหารองค์สมเด็จบนยอดเขา สีทองของแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านต้นไผ่ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า ดูแล้วสดชื่นยิ่งนัก มองลงไปเห็นพระเดินลงเป็นทิวแถว นำโดยหลวงพ่อ ผมก็อดใจที่จะถ่ายรูปเอาไว้ไม่ได้
ญาติโยมหลั่งไหลมาแทบทุกสารทิศของอำเภอทองผาภูมิ ทั้งลูกเด็กเล็กแดงคนเฒ่าคนแก่ ต่างเฝ้ารอใส่บาตรกันด้วยสีหน้าแววตาเอิบอิ่มไป เสียงเหรียญกระทบก้นบาตรไม่ขาดสาย ข้าวสาร อาหารแห้ง ดอกไม้ เต็มบาตรจนบางครั้งถ่ายเทให้เด็กวัดแทบไม่ทัน
นั่นคือคำว่า "ศรัทธา" นั่นคือคำว่า "เคารพ" ที่ญาติโยมแสดงออก มันยากที่จะอธิบายในความรู้สึกประทับใจของผม บางครั้งผมเห็นคุณยายแก่ ๆ ก็คิดถึงโยมแม่ คิดถึงโยมพ่อจับใจ อยากจะให้ท่านได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ และอยากจะให้ท่านได้มีโอกาสตักบาตรพระลูกชายในที่นี้
วันนี้ต้นไม้ที่วัดท่าขนุนอันหมายถึง "ต้นไม้ในนาบุญ" มีนกเกาะเต็มไปหมดทุกต้น ไม่ว่าจะเป็นต้นใหญ่หรือต้นเล็ก ต้นไม้ที่ผมเปรียบเปรยนั้นก็คือ หลวงพ่อและพระเณรทุกรูป ที่ต่างก็ปฏิบัติในธรรมอันประเสริฐแห่งพระพุทธศาสนา ส่วน "นก" ก็คือญาติโยมทุกท่านที่พึ่งพาอาศัยหาความร่มเย็นใน ทาน ศีล ภาวนา โดยมีหลวงพ่อเล็กเป็นต้นโพธิ์ใหญ่อันร่มรื่น แตกกิ่งก้านสาขาออกไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อประโยชน์ต่อญาติโยมทางใด ท่านก็ยืนเป็นหลักชัยอย่างมั่นคง
"ต้นไม้ไร้นกเกาะถึงดูไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านกไร้ต้นไม้เกาะ มันดูไม่เหมาะเพราะไม่เหลืออะไร"
พระพุทธศาสนาก็คือต้นไม้ยืนต้นที่ฝังรากลึกอย่างมั่นคง แตกกิ่งก้านสาขาออกไปมากมาย ปกคลุมให้เกิดความร่มเย็นแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ที่ได้มาหลบร้อนภายใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่ต้นนี้ ถึงจะไม่มีแม้แต่สัตว์น้อยใหญ่สักตัว ต้นไม้ต้นนี้ก็ยังคงหยัดยืนต่อไปอย่างมั่นคง
วันใดที่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย พยายามจะไขว่คว้าค้นทางเส้นทางที่จะไปถึงยังต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ แต่ทว่าหลงลืมหาทางไม่เจอ ด้วย"วัชพืชแห่งกิเลส" ต้นไม้ต้นนี้ก็มิได้ด้อยค่าลงไปเลยแม้แต่น้อย.......
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w33.jpg
:onion082::onion082::onion082:ทิดรัตน์ สู้ สู้
อุตส่าห์พิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน
ยังประโยชน์ให้ผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย :msn_smileys-15:
ยังประโยชน์ให้ผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้ว ยิ่งเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น:msn_smileys-15:
เป็นตัวอย่างแก่รุ่นน้อง ๆ ไม่กลัวผิด ไม่กลัวพลาด
แต่กลัวจะไม่มีโอกาสได้เผยแพร่ธรรมะให้ผู้มืดบอดได้เห็นแสงสว่างในชีวิต
ถ้าไม่เกรงว่าน้องเต้ยอิจฉาจะกระโดดหอมซักฟอด:l43841274qn5::l43841274qn5:
วาโยรัตนะ
16-11-2009, 21:51
ก่อนอื่นขอ "อ้วก" ก่อนนะครับ คำพังเพยเขียนเอาไว้ว่า "อายครูบ่รู้วิชา" ต้องขอขอบพระคุณทุก ๆ ท่านที่ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ช่วงนี้งานมันเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กระผมเองพยายามใช้เวลาให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าให้มากที่สุด แต่ละตอนที่เขียนมันต้องเรียบเรียงออกมาจากความรู้สึกและรูปภาพที่มีให้ได้บรรยากาศและสาระ บางครั้งแค่สองสามบรรทัด นั่งคิดแล้วคิดอีก บางตอนใช้เวลาร่วมสองสามชั่วโมง แค่คิดและเขียน ยังไม่รวมมานั่งไล่แก้คำผิดนะครับ.....:l438412717dh8:
"ต้นไม้ไร้นกเกาะถึงดูไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านกไร้ต้นไม้เกาะ มันดูไม่เหมาะเพราะไม่เหลืออะไร" เป็น "ท่อนสร้อย" ของเพลงเพลงหนึ่ง กระผมเองก็จำชื่อเพลงไม่ได้ ทำนองและคำร้องโดย "เทียรี่ เมฆวัฒนา" ผมฟังแล้วมันสะดุดใจให้คิด เลยเอามาวิปัสสนาเป็นข้อธรรมส่วนตัวของกระผมไปเรื่อย
วาโยรัตนะ
16-11-2009, 21:54
คุณสุดใจ (ขาดดิ้น...ขอแถมหน่อยนะครับ) ขอบคุณมากครับ
หลวงพ่อท่านบอกกับผมว่า "ให้บ้าต่อไป" ผมเลยบ้าต่อเลย บ้าแบบที่ผมจะบ้าได้ในทางที่ดีเท่านั้นครับ อันนี้ไม่ขอสงวนลิขสิทธิ์ครับ
"ต้นไม้ไร้นกเกาะถึงดูไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านกไร้ต้นไม้เกาะ มันดูไม่เหมาะเพราะไม่เหลืออะไร"
ท่อนนี้พี่รัตน์คงแปลงเนื้อมาจากเพลง คู่รัก
"ต้นไม้ไร้นกเกาะ ดูไม่เหมาะเพราะไร้ชีวา ผืนดินในถิ่นท้องนา ถ้าไม่โดนไถไหนเลยดินจะดี..." จริง ๆ คนร้องเพลงนี้มีหลายเวอร์ชั่นค่ะ แต่เถรีชอบเวอร์ชั่นที่ประกอบละครค่ะ ฟังมาตั้งแต่สมัยประถม :b048a2d2:
วาโยรัตนะ
17-11-2009, 15:24
เวอร์ชั่นคนแก่
วาโยรัตนะ
17-11-2009, 22:15
๒๐."สังขละบุรี (ภาคอาโปกสิณัง)"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่ปาน..ไปขออนุญาตหลวงพ่อสิ ผมขออนุญาตแทนพวกท่านมาหลายรอบแล้ว กลัวโดน..!"
หลวงพี่ปาน : "เดี๋ยว..หลังฉันเพลก่อน ..ผมว่าหลวงพี่นั่นแหละ ควรจะไปขออนุญาตท่าน"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่นั่นแหละดีแล้ว ถ้าหลวงพ่อท่านอนุญาต ผมให้พระเครื่องหนึ่งองค์ "
หลวงพี่ปาน : "อย่างนั้นผมขอพระองค์ที่ ๑๑..!"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "ผมมีองค์เดียว ให้ไม่ได้หรอก..ไป ๆ หลวงพี่ท่านอื่นรอลุ้นกันอยู่นะ ว่าหลวงพ่อท่านจะอนุญาตให้ไปหรือไม่ "ตา" เป็นประกายกันทุกรูปเลย..ดูสิ.."
และแล้วหลวงพ่อท่านก็อนุญาตโดยมีหลวงพี่ปานเป็นผู้เรียนขอ
หลวงพ่อ : "ไปทั้งหมดกี่รูป ? ตอบมาไว ๆ เอาชัด ๆ แน่นอน ไปทั้งหมดกี่รูป ?"
หลวงพี่ปาน : :154218d4: "ทั้งหมด ๙ รูปครับหลวงพ่อ.."(ไปจริงโดดไปซะ ๑๑ รูป..!)
หลวงพ่อ : "๙ รูป...เชิญ รีบกลับมาให้ทันทำวัตรนะ.."
และแล้วการเดินทางก็ดำเนินขึ้น โดยมี "ทิดแก้ว" เป็นพลขับเหมือนเดิม เดินทางจากวัดท่าขนุนถึงเขื่อนเขาแหลมใช้เวลาประมาณ ๔๕ นาที ทิดป้อมพี่ชายของหลวงพี่ปาน จัดเตรียมเรือและน้ำมันเรือ คณะของเราช่วยค่าน้ำมันเรือไป ๘๐๐ บาท
หลังจากขึ้นเรือกันเรียบร้อย จัดสรรการนั่งเพื่อความสมดุลของน้ำหนัก แสงแดดหลังเที่ยงมันช่างร้อนระอุจริง ๆ แต่การเดินทางในครั้งนี้เราไปทางเรือ จึงรู้สึกถึงบรรยากาศว่า ช่างแตกต่างกับทางรถยนต์โดยสิ้นเชิง
บางท่านวิตกเพราะว่ายน้ำไม่เป็น โดยเฉพาะ "หลวงพี่เก้า"
"ไม่เป็นไรครับหลวงพี่..เราค่อย ๆ วิ่งไปเรื่อย ๆ" กระผมพูดให้กำลังใจทุกท่านรวมถึงหลวงพี่เก้าด้วย
หลวงพี่ปาน : "ทิดป้อม..แวะแพร้านค้า ฉันน้ำกันก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ.."
เสร็จธุระแล้ว เรือออกจากแพร้านค้า วิ่งตรงไปยังเป้าหมายทางทิศตะวันตก ระหว่างทางกระผมเห็น "แพปั่นไฟ" ที่ชาวบ้านเปิดไฟล่อปลาจำพวก "ปลาซิวแก้ว" ตอนกลางคืน ก่อนที่จะสาวอวนตาข่ายจับปลาที่มาเล่นแสงไฟเหล่านั้นขึ้นมา นี่ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านขนานแท้ สอบถามหลวงพี่ปานท่านบอกว่า บางคืนได้ปลาซิวร่วม ๕๐ - ๖๐ กิโลกรัมต่อแพ
สองข้างตลิ่งยังมีสภาพเป็นป่าค่อนข้างสมบรูณ์ มีเกาะคือยอดเขาที่โผล่พ้นน้ำ หลวงพี่ปานท่านบอกว่า บนเกาะก็มีสัตว์จำพวกหมูป่า นก ตะกวด อยู่บ้าง สมัยท่านยังเป็นฆราวาส ถ้าหาปลาไม่ได้ก็จะขึ้นดอนขึ้นเกาะ หาของป่าเป็นรายได้เสริม
เราแล่นเรือผ่านคุ้งน้ำหลายคุ้ง ต่อหัวเสือทำรังหลายรังบนยอดไม้ที่โผล่เหนือระดับน้ำ หลวงพี่บอยเห็นแล้วแสดงสีหน้าขยาด เพราะท่านโดนต่อหัวเสือที่วัดตรงหลังโรงครัว ต่อยไปครั้งหนึ่งตอนเดินกลับมาจากบิณฑบาต
สายลมพัดเอาละอองน้ำกระเด็นมาตามทิศทางของลม หลวงพี่ตั้มเปียกไปครึ่งตัว หลวงพี่ดอย หลวงพี่นวย เข้าสมาธิเงียบหรือหลับก็ไม่แน่ใจ มองไปสุดลูกหูลูกตา ขอบฟ้ากับน้ำช่างตัดกันดีเสียเหลือเกิน
ทิดป้อมชำนาญทางมาก เรือเราแล่นมาถึงหน่วยแพกลางน้ำของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ทิดป้อมค่อย ๆ ชะลอความเร็ว พร้อม ๆ กับตะโกนแจ้งชื่อและนามสกุลของตัวเอง พร้อมจำนวนของพระทั้งหมดในเรือและรายละเอียดว่า มาจากไหน..จะไปไหน..อย่างไร เจ้าหน้าที่ก็ลงบันทึกเอาไว้
เรือคณะเราแล่นไปจนถึง "วัดวังก์วิเวการามเก่า" ส่วนของหลังคาโบสถ์ยังโผล่ขึ้นเหนือระดับน้ำ ส่วนฐานทั้งหมดจมอยู่ในน้ำ ในระดับความลึกประมาณ ๘ เมตร ยอดหอระฆังยังสมบูรณ์ อร่ามไปด้วยสีทอง มองดูเหมือนเจดีย์กลางน้ำ ทิดป้อมชะลอความเร็วลงอีกครั้ง หลวงพี่เก้า กระผม ตลอดจนทุก ๆ ท่าน ต่างตั้งจิตอธิษฐานตามแต่ที่ตนจะปรารถนา
แล้วทิดป้อมก็เร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง ตรงไปยัง "เจดีย์พุทธคยาจำลอง" ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ฝนเม็ดใหญ่ ๆ ร่วงพรูลงมาเหมือนเป็นการบอกว่า เรามาถึงสังขละบุรีแล้ว
ป.ล.ยังไม่จบนะครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w34.jpg
ภาพด้านล่างซ้ายมือที่ยืน (สี่ขา) นั่นคือผู้จัดการร้านสะดวกซื้อแห่งนี้(บางแก้วซะด้วย)"
หลวงพี่ปราโมช : "เฮ้ย ๆ..อย่ากระโดดลงมานะ พระนะ..! นี่พระนะ..!":msn_smilies-13:
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w35.jpg
ภาพวัดวังก์วิเวการามเก่า,พระแกะจากไม้หอมฝีมือช่างชาวพม่า...อยากได้แต่ปัจจัยไม่พอ ในสามท่านนั้นกระผมผอมที่สุด...๕๕๕๕
วาโยรัตนะ
17-11-2009, 22:51
วัดวังก์วิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ สร้างขึ้น ในปี พ.ศ.๒๔๙๖ ที่บ้านวังกะล่าง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า ห่างจากอำเภอเมืองกาญจนบุรี ประมาณ ๒๒๐ กิโลเมตร
ในระยะแรกมีเพียงกุฏิและศาลา มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า "วัดหลวงพ่ออุตตมะ" ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ" ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำ ๓ สาย คือแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ แม่น้ำรันตี ไหลมาบรรจบกัน ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ ได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาให้ใช้ชื่อว่า วัดวังก์วิเวการาม ซึ่งตั้งตามชื่ออำเภอเดิม คืออำเภอวังกะ ซึ่งต่อมาถูกยุบเป็นกิ่งอำเภอ ก่อนที่จะยกฐานะเป็น อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีในปี พ.ศ.๒๕๐๘
วัดวังก์วิเวการาม ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบพม่า มีพระพุทธรูปหินอ่อน และ งาช้างแมมมอธ
มีเจดีย์พุทธคยา สร้างจำลองแบบจากเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย เริ่มก่อสร้าง พ.ศ.๒๕๑๘ แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๙
สะพานมอญ(สะพานอุตตมานุสรณ์) เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวประมาณ ๙๐๐ เมตร
เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ปิดเขื่อนเขาแหลมหรือเขื่อนวชิราลงกรณเพื่อเก็บกักน้ำ ทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอเก่า รวมทั้งบริเวณหมู่บ้านชาวมอญทั้งหมด หลวงพ่อจึงได้ย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขาในที่ปัจจุบัน
หลวงพ่ออุตตมะได้จัดสรรที่ดินของวัดวังก์วิเวการามให้ชาวบ้านครอบครัวละ ๓๐ ต.ร.ว. ปัจจุบันหมู่บ้านชาวมอญมีพื้นที่ราว ๑,๐๐๐ ไร่เศษ มีผู้อาศัยราว ๑,๐๐๐ หลังคาเรือน ชาวบ้านเกือบทั้งหมดเป็นผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า ซึ่งไม่มีบัตรประชาชน หาเลี้ยงชีพโดยการปลูกพืชผักสวนครัวตามชายน้ำ ทำประมงชายฝั่ง คนหนุ่มสาวส่วนหนึ่งนิยมเป็นลูกจ้างในโรงงานเย็บเสื้อที่อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้าน
ส่วนบริเวณวัดหลวงพ่ออุตตมะเดิม ปัจจุบันพระอุโบสถหลังเก่าจมอยู่ใต้น้ำ และมีชื่อเสียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว "Unseen Thailand" เป็นที่รู้จักในชื่อว่า "วัดใต้น้ำสังขละบุรี" :a03cbf1e:ข้อมูลถึงยาวแต่ก็ได้สาระดีนะครับ
คณะเราใช้เวลาอยู่ที่ตลาดมอญไม่นาน ขึ้นไปกราบพระเจดีย์
หลวงพี่ตั้มอัญเชิญพระแก้วมาหนึ่งองค์
หลวงพี่ปราโมชซื้อ "ตั่ง" ไม้เล็ก ๆ ไว้แทนหิ้งพระในห้อง
หลวงพี่ดอยท่านเลี้ยงกาแฟกระผม
หลวงพี่เก้า เณรเจ หลวงพี่ปู หลวงพี่นวยและหลวงพี่บอยรีบเดินย่ำขึ้นไปที่วัดหลวงพ่ออุตตมะเพราะเรามีเวลาไม่มาก
หลวงพี่ปานเที่ยวตามหาทิดป้อมเพราะไม่รู้ไปจีบสาวมอญอยู่ที่ไหน ส่วนผมเองอยากได้พระแกะสลักจากไม้หอม แต่ต้องตัดใจเพราะไม่มีปัจจัยเพียงพอ...เศร้า! รวยเมื่อไรจะมาเหมาให้หมด..! หลังจากนั้นทุกท่านก็มารวมตัวกัน ขึ้นเรือ ออกเดินทางย้อนเส้นทางเดิม
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w36.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w37.jpg
วาโยรัตนะ
18-11-2009, 20:44
:onion_emoticons-01:ทิดต้อม! จ่ายค่าเช่าพื้นที่มาด่วนเลยครับ.....
วาโยรัตนะ
18-11-2009, 20:51
๒๑. "ฤๅษีนำพระตาม (สามกิโลแม้ว)โคตรเหนื่อยเลย"
"ฤๅษี" หลาย ๆ ท่านคงรู้จักคำนี้ หากจะถามว่า "ฤๅษี" ยังมีอยู่จริงในสมัยปัจจุบันนี้หรือ ก็คงต้องตอบว่ายังมีอยู่จริง ตัวจริง เสียงจริง เมื่อก่อนผมเคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ แต่ตอนที่บวชได้เจอท่านฤๅษีตัวจริงมาแล้ว ท่านถือศีลแปด ห่มจีวรสีเปลือกมังคุดและมัดเกล้าผมดังในรูป ขออนุญาตท่านถ่ายภาพ ท่านโบกมือแสดงอาการว่าถ่ายไม่ได้หรือท่านไม่ให้ถ่ายรูปนั้นเอง...แล้วทำไมท่านไม่พูดก็ต้องตอบว่า ท่านอธิษฐานปิดวาจาเป็นเวลา ๑๐๘ วัน นับตั้งแต่วันเข้าพรรษา ตอนที่เจอกันวันนั้น กระผมถามท่านว่าเหลืออีกกี่วัน ท่านถึงจะพูดได้ ท่านแสดงโต้ตอบด้วย "ภาษามือ" ว่าเหลืออีก ๑๕ วัน
หลาย ๆ ท่านคงสงสัยว่า ทำไมเราต้องไปเจอฤๅษีท่านนี้ เพราะเราขอให้ท่านนำทางพากระผมและคณะอันได้แก่ หลวงตานุกูล หลวงพี่โก๋ หลวงพี่ปราโมช หลวงพี่แอ๋ว โยมเทิด โยมเอก โยมหม่อม ไปกราบ "หลวงตาโมเช่" ซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ในถ้ำกลางป่า แล้ว หลวงตาโมเช่คือใคร ? หลาย ๆ ท่านคงสงสัยอีกแน่นอน (เดาเอาไม่ได้ใช้เจโตฯ) หลวงตาโมเช่ในสมัยที่ท่านเป็นฆราวาส ท่านเป็นคนกะเหรี่ยง ท่านชำนาญในการเดินป่าแถวทองผาภูมิ สังขละบุรี ไปจนถึงพม่า ท่านเป็นคนนำทางให้หลวงพ่อเล็ก ตอนหลวงพ่อมาธุดงค์แถบนั้น
พระครูน้อยท่านเล่าว่า ท่าน (หลวงตาโมเช่) มักจะแบกข้าวสารอาหารแห้งไปส่งให้พระธุดงค์ที่มาธุดงค์ในป่าแถบนั้นเสมอ ๆ อันนี้กระผมฟังจากพระครูน้อยท่านเล่ามานะครับ
หลังจากนั้นหลวงตาโมเช่ก็บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ก่อนหน้านี้ คณะหลวงพี่เก้าและท่านอื่น ๆ ก็มากราบท่าน แต่หลังจากกลับไปถึงวัดทุกท่านอยู่ในสถานภาพอิดโรย บ้างก็พันแข้งพันขาด้วยผ้าก๊อซ บ้างก็กลับมาในสภาพที่เรียกว่า "จีวรเปลี่ยนสี" คือเปื้อนดินเปื้อนโคลนเต็มไปหมด
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ "หลวงพี่..ไปรบกับพวกเวียดกงที่ไหนมาครับ":70bff581:
หลวงพี่เก้า "พวกผมเดินป่าไปกราบ "หลวงตาโมเช่" ทางเดินขึ้นเขามันลื่นมาก ฝนก็ตก ทางก็ชัน ขากลับลงมา ดินมันลื่น กลิ้งกันเป็นลูกขนุนเลย..!"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ "โห..ขนาดนั้นเลยหรือหลวงพี่..วันหลังกระผมต้องหาโอกาสไปกราบท่านบ้าง"
ย้อนกลับมาเข้าเรื่องกันต่อ ตอนนั้นประมาณหลังเพล รถสองคันคือรถของโยมหม่อมและโยมเอก ที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดและได้นัดหมายจะไปปฏิบัติธรรมกันต่อที่เกาะพระฤๅษี ก่อนที่จะออกมาจากวัด คณะเราได้ซื้อน้ำดื่มมาด้วยจำนวนสี่ชุด ตั้งใจว่าจะเอาไปถวายหลวงตาโมเช่ที่ถ้ำ หลังจากสื่อสารกับฤๅษีจนเข้าใจกันดีแล้ว เราแบ่งน้ำออกช่วยกันถือไปคนละชุด แล้วก็ออกเดินทาง โดยมีฤๅษีท่านนำทางไป เราค่อย ๆ เดินตามถนน ผ่าน"สวนมะม่วงหิมพานต์" ซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่กระผมอย่างมาก เพราะปกติจะนิยมปลูกกันทางภาคใต้ เดินไปไม่กี่อึดใจเจอสวนยางพาราอีก..! เอา..เอาเข้าไป นี่มันภาคใต้หรือทองผาภูมิกันแน่ "นิ".. "พันพรื้อ..มันเป็นพันนี่นิ..!"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ "หรอย..สุดยอดเลยนะ...บ่าวเทิด" (กรุณาออกเสียงในฟิลม์เป็นสำเนียงใต้นะครับ)
บ่าวเทิด "ครับ ๆ..พี่หลวงรัตน์"
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w38.jpg
พระยังสู้ไหว แต่โยม ๆ ทั้งหลายจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ป่านี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ "หลวงพี่..ผมขอพักก่อนนะ.." หลวงพี่ล่วงหน้าไปก่อนเลยนะครับ.." "หลวงพี่..จะถึงหรือยังครับ..?" "หลวงพี่..โคตรเหนื่อยเลยครับ..!"
วาโยรัตนะ
22-11-2009, 09:35
ขออภัยที่ขาดช่วงไปนิดหนึ่งครับ เดินทางไปหาดใหญ่ พาคุณแม่ไปตรวจตามที่หมอนัดครับผม....เอาเรามาเข้าเรื่องกันต่อเลยนะครับ
วาโยรัตนะ
22-11-2009, 10:04
เราค่อย ๆ เดินไต่ระดับ ตั้งแต่ลาดเขาที่มีความชันตั้งแต่ ๓๕ องศา ไปจนถึงระดับ ๖๐ องศาเห็นจะได้ หลังจากผ่านสวนยางพารามาแล้ว สภาพป่าก็เปลี่ยนเป็นป่าดิบสลับกับป่าไผ่ ไม้ไผ่แต่ละลำเท่า ๆ โคนขาของกระผม ถ้าเอาไปทำข้าวหลามจะขายกระบอกละเท่าไหร่ดีนะ..? ๕๕๕๕๕๕ หิว..!
อากาศร้อนชื้นพาให้พื้นดินมันลื่น "ดอกรองเท้า" ของพวกเราเต็มไปด้วยดิน ฉะนั้นสภาพการยืดเกาะอย่าไปพูดถึง เผลอสติเมื่อไรมีหวังได้เห็น "พระลื่น..ฆราวาสล้ม" ไม่ทันขาดคำ โยมเทิดลื่นไปคว้าเอาต้นไผ่ไว้ทันให้ชมเป็นขวัญตาก่อนเพื่อน...:70bff581: ขาไปเดินขึ้นยังไม่เท่าไร กระผมคิดล่วงหน้าไปก่อนแล้วว่า ขากลับจะต้องเล็งต้นไม้ต้นไหนบ้างเป็นที่พึ่ง....แต่ตอนนี้เอาตัวให้มันรอดไปถึงถ้ำก่อนดีกว่า...ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย
เราเดินได้ประมาณระยะทาง ๑ ใน ๓ ส่วน ท่านฤๅษีท่านก็ทำสัญญาณมือบอกให้นั่งพักตรงจุดนี้ก่อน มองไปข้างหลัง อ้าว..! โยม ๆ หายไปไหนกันหมด..:154218d4: ช่วงหลังเวลาผมจะเดินทางไปไหนมาไหน กรรมมันส่งผล กระผมมักจะเป็นฝีที่ขาก่อนอย่างน้อยสองวันเสมอ อย่างกับว่านัดกันเอาไว้ เดินขึ้นเขาพลางคิดในใจว่า เหนื่อยก็เหนื่อย เจ็บฝีที่ขาก็เจ็บ แต่ก็ถือว่าชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไป
หลังจากพักกันพอสมควร เราก็ออกเดินทางกันต่อขึ้นไป จนถึงจุดที่เป็นเหมือนเหวตื้น ๆ ที่พอจะประคองตัวลงไปตามลาดหิน ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นแนวทางเดินดิ่งลงไป แล้วค่อย ๆ เป็นทางตรงผ่านแนวป่าอีกครั้ง ก่อนจะค่อยไต่ระดับความสูงขึ้นไปอีก ผ่านไปช่วงอึดใจยาว ๆ เราก็มาถึงทางออก คราวนี้เป็นหุบเขาหินปูน ตั้งตรงสูงตระหง่านล้อมรอบลานกว้างตรงกลาง ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจมาก ลมพัดผ่านเย็นสบาย มองไปบนเนินเห็นกระท่อม พวกเราจึงรีบเดินไปพักที่กระท่อม
ฤๅษีท่านชี้ให้เห็นปากถ้ำซึ่งซุกตัวอยู่ช่วงหน้าผา แสดงว่างานนี้ต้องเดินไต่ความสูงขึ้นไปอีก โยม ๆ เห็นเข้าถึงกับหน้าซีด อย่าว่าแต่โยมเลย กระผมและคณะหลวงพี่ยังตกใจเหมือนกัน ดีที่หลวงพี่แอ๋วท่านมาด้วย ท่านว่าอีกไม่ไกลแล้ว เดินขึ้นอีกช่วงเดียว ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายก็ได้ไปกราบ "หลวงตาโมเช่" ตามที่เราตั้งใจมากันแล้ว
วาโยรัตนะ
23-11-2009, 11:09
เราค่อย ๆ ไต่ขึ้นปากถ้ำ เห็นปากถ้ำใหญ่อยู่เหนือขึ้นไปประมาณ ๑๕ เมตร โชคดีเป็นของพวกเรา..ชาวบ้านที่มาทำบุญส่งเสบียงอาหารให้หลวงตาโมเช่ ทำบันไดดินเป็นขั้น ๆ เอาไว้ จึงค่อนข้างสะดวก แต่ก็ประมาทไม่ได้ หากพลาดท่าลื่นตกลงไปมีหวังได้แบกกันกลับวัด "สวด" แล้วก็ "ฌาปนกิจ" ได้เลย..! (สงสัย..งานนี้กลับไปจะได้สวดให้คณะโยมที่ติดตามมา...ฝีมือมันคนละขั้น ๕๕๕๕๕๕๕)
ขนาดของถ้ำถือว่าใหญ่แต่ไม่ลึก เป็นลักษณะถ้ำหินปูน ด้านบนมีช่องที่แสงแดดส่องลงมาได้สะดวก อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่มีกลิ่นของมูลค้างคาว มีพื้นที่เป็นที่พักอาศัยได้ประมาณ ๕ ถึง ๗ คน ข้าง ๆ ผนังถ้ำมีแอ่งน้ำซับที่สามารถเอามาต้มก่อนดื่มกินได้
หลวงตาโมเช่เมื่อเห็นพวกเรา ท่านก็เดินออกมาต้อนรับ หลังจากกราบเรียนท่านว่า คณะเราเป็นใครมาจากไหนแล้ว หลวงตาท่านก็สอบถามถึงหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อท่านสบายดีหรือไม่ ?" หลังจากท่านอยู่ในถ้ำนี้ครบ ๑๐๘ วันแล้ว ท่านจะเดินเท้าไปเยี่ยมหลวงพ่อและไปแวะเกาะพระฤๅษี..เราสนทนาธรรมกับท่านอยู่นาน หลวงพี่แอ๋วคอยเป็น "ล่าม" ช่วยเสริมความเข้าใจให้พวกเรา เนื่องจากหลวงตาโมเช่ท่านพูดไทยปนสำเนียงกะเหรี่ยง หลายต่อหลายครั้งที่กระผมเองตีความผิดไปจากสิ่งที่ท่านพูด
สรุปในเรื่องของการปฏิบัติ หลวงตาโมเช่ท่านบอกว่า การมาอยู่ในป่าก็เพื่อเข้าหาความสงบ การทำสมาธิที่สำคัญที่สุดคือการเข้าหาความสงบ เรื่องอื่น ๆ นั้น เช่นเรื่องของการรู้การเห็นเป็นเพียงแค่เรื่องรอง ๆ ลงไปเท่านั้น ท่านสอนให้เราเคารพป่า เคารพธรรมชาติ ไม่ต้องไปอยากได้อะไร มีหน้าที่ทำอย่างเดียว คือทำใจให้สงบในสมาธิเท่านั้น
งานนี้ใครที่จะไปขอ "ของดี" อะไรจากท่าน......๕๕๕๕๕ เล่นเอานั่งกันเงียบสนิท จะมีก็แต่...ส่งสายตาให้กันและกัน ส่วนความในใจของท่าน ๆ เหล่านั้น กระผมพอจะทราบว่า "หลวงพี่รัตน์..ลุยเลยสิ..ขอของดีจากท่านเลย" งานนั้น..ด้วยเจโตฯ อันแม่นยำ(จริง ๆ แล้ว "แม่นระยำ" ดีกว่า) ของกระผม เลยค่อย ๆ อัญเชิญ "พระพุทธชินราชผงจักรพรรดิ สูตรของหลวงปู่ดู่" ใส่กรอบเรียบร้อยถวายหลวงตาโมเช่ พร้อมกับบอกท่านว่า "นิมนต์หลวงตารับเอาไว้นะขอรับ ถือเป็นพุทธานุสติขอรับ กระผมดีใจที่ได้มากราบหลวงตาในวันนี้ขอรับ"
หลวงตาโมเช่ค่อย ๆ บรรจงรับไว้ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มและเมตตา...หลวงพี่ท่านอื่น ๆ คงจะงง! งานนี้ไหนว่ามาขอของดีจากหลวงตา..กลับเป็นเอาของดีมาให้หลวงตา..กระผมเลยส่งภาษาใจไปทางสายตาอันหยาดเยิ้มว่า "บุญแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ นะฮะ...ตัวเอง:af48944b:"
นั่งสนทนาธรรมกับหลวงตานานไปหน่อย ฤๅษีกลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ งานนี้ต้องเดินกลับกันเอง หวังว่าคงจำทางกลับได้นะ หลังจากนั้นพวกเราก็กราบลาหลวงตา แล้วเดินย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม คราวนี้ด้วยความชันและลื่น ต่างก็พากันลื่นล้มจนนับครั้งไม่ถ้วน เผลอสตินิดเดียวเอง พรืดดดด..! ดีที่มีต้นไม้ให้เกาะ เจ็บจนน้ำตาแทบไหลเพราะมันดันล้มลงทางด้านขาที่เป็นฝี ขาไปกระทบเข้ากับกิ่งไม้ "ฝี" แทบทะลัก...หลวงพี่ปราโมชถาม "เจ็บหรือเปล่าหลวงพี่..." กระผมรีบเก็บอาการทันที ตะโกนตอบไปว่า ไม่เจ็บ..นิดเดียว..! (โคตร..เจ็บเลยต่อมน้ำตาแทบแตก) จีวร สบง เปื้อนดินสีน้ำตาลเข้ม กลับไปถึงวัดมันจะซักออกหรือเปล่า ? ชุดเก่งซะด้วยสิ..!
คณะเรากลับไปถึงวัดด้วยทีท่า "สะบักสะบอม" ไม่แพ้คณะที่แล้ว ๆ มา สามกิโลแม้วหรือสามกิโลกะเหรี่ยง งานนี้ทรหดพอ ๆ กัน
จั่งซี่มันต้องถอน..!...อ้วกสลบ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w39.jpg
ภาพทางซ้ายมือบนคือ "ปากถ้ำ" ถ่ายย้อนขึ้นไปให้เห็นว่าสูงขนาดไหน ส่วนทางขวามือบนคือช่องที่แสงส่องลงมาจากเพดานถ้ำ
ภาพด้านล่างทั้งขวามือและซ้ายมือ คือทางเดินจงกรมรอบเจดีย์หิน ตรงนี้เองก่อนจะถ่ายภาพ กระผมเห็นแสงกระพริบ ๆ ออกมาหลาย ๆ ครั้งด้วยตาเปล่า ในรูปจะเห็นทางเดินจงกรมที่หลวงตาท่านเดิน เป็นร่องลึกลงไปในพื้นดิน
วาโยรัตนะ
24-11-2009, 06:49
ใกล้จะสิ้นเดือนแล้วนะครับ ไม่ทราบว่าจำนวนใบแดงที่กระผมได้รับจะสงเคราะห์ใครให้มีความคล่องตัวได้บ้าง ไปบ้านอนุสาวรีย์ งานนี้มีหวังได้เดินคลุมปี๊บเข้าไปกราบหลวงพ่อแน่ ๆ ครับ เดี๋ยวคืนนี้มาเขียนตอนต่อไปครับ วันนี้มีงานทั้งวัน
วาโยรัตนะ
24-11-2009, 06:58
ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้หวังจะดัง แต่มันคือการต่อสู้กับตัวเอง สังเกตตัวเองตั้งแต่สึกออกมา มันเหนื่อยมาก ๆ กับการดำรงชีวิตในมาดของฆราวาส เพราะคราวนี้มันทุกข์ชนิดที่เห็นได้อย่างละเอียดมากขึ้นกว่าเดิมหลาย ๆ เท่า กระผมเองพยายามรวบรวมกำลังใจ กำลังความรู้ทั้งหมดที่บวชเรียน ประคับประคองครอบครัวตลอดจนตัวเอง หลาย ๆ อย่างกำลังปรับเปลี่ยนไป โดยพยายามรู้ว่านั้นมันคือธรรมดาของชีวิต พยายามที่จะให้ทุกคนรอบข้างและตัวเราเองอยู่กันอย่างมีความสุขบนความเป็นไปของแต่ละวัน โดยพยายามรู้เท่าทันอารมณ์และมีธรรมเป็นเครื่องนำทาง.........ปีนี้แก่ไปเยอะครับ ๕๕๕๕๕
ขนาดน้ำความลึก ๗ เมตร ดำลงไปได้ไม่นานก็เหนื่อยแล้ว แต่เรื่องของการทำงานบ้าน งานในสวนในไร่ มันกลับมีแรงและขยันที่จะทำมากขึ้นเหมือน มันมีความสุขบนแนวทางธรรมชาติกับเศรษฐกิจแบบพอเพียงตามพระราชดำริของในหลวงท่าน
วาโยรัตนะ
25-11-2009, 07:40
๒๒."ตะลุยเกาะพระฤๅษี" (หลวงพ่อครับ คนอื่นเขาอยากกลับบ้าน แต่หนูอยากกลับวัด ๑)
ตามกฏของวัดท่าขนุนและด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ ใครที่อยู่วัดในพรรษาที่ผ่านมา สามารถลากลับไปเยี่ยมบ้านได้ ๑๕ วัน ถ้าเป็นช่วงปกติคือไม่ใช่ช่วงเข้าพรรษา หากอยู่วัดเป็นเวลาหนึ่งเดือน (๓๐-๓๑ วัน ) สามารถลาได้ ๗ วัน ถ้าใครอยู่วัดในระยะเวลาสองเดือนขึ้นไปลาได้ ๑๕ วัน (นับตั้งแต่วันที่ออกจากวัดวันแรก)
ส่วนใครจะขอลาไปไหนนั้น ต้องทำการกราบเรียนแจ้งหลวงพ่อและลงบันทึกประจำวันที่ "โรงพัก"...(เอ้อ..! ขออภัยครับ... แต่เป็นไปเพื่อความบันเทิง คำเตือน โปรดระวังอย่าใส่ "มุกตลก" มากเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจจะโดน......เป็นเวลา ๑ เดือนได้ สตรีและเด็กมีครรภ์ กรุณาอย่าเลียนแบบ เพราะนี่คือความสามารถเฉพาะส่วนบุคคล) ขออภัย ลงบันทึกใน "สมุดบันทึกการลา" ซึ่งในนั้นต้องแจ้งรายละเอียดดังนี้ว่า
ลากี่วัน ? เริ่มตั้งแต่วันไหนและจะกลับถึงวัดวันที่เท่าไร ? ลาไปแห่งหนตำบลใด ? เหตุผลในการลา (ไปทำไม ?) ไปกี่ท่าน ? (หากมีเพื่อนร่วมเดินทาง ต้องแจ้งด้วย) เบอร์โทรศัพท์ของผู้ลา ทั้งหมดนี้เพื่อให้คณะสงฆ์ได้รับทราบและเพื่อประโยชน์ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินและที่สำคัญ หากกลับมาไม่ทันในระยะเวลาที่แจ้งเอาไว้โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ถือว่าไม่มีความรับผิดชอบและไม่มีความตรงต่อเวลา
ทางวัดจะเชิญให้เก็บข้าวของส่วนตัว (ของวัดห้ามเอาไป..!) ภายใน ๒๔ ชั่วโมง แล้วขอเชิญย้ายตัวเองออกไปจากวัดภายใน ๒๔ ชั่วโมงเช่นกัน.....อันนี้สมดังประโยคที่ว่า "บ้านเมืองมีขื่อมีแป" วัดท่าขนุนเองก็เช่นกัน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและฝึกตนให้มีความรับผิดชอบครับ
สิ่งหนึ่งที่ทุกท่านตั้งตารอ ก็คือเมื่อออกพรรษาแล้ว จะได้ขอลากลับไปเยี่ยมบ้านหรือตามแต่ละท่านตั้งใจเอาไว้ สืบเนื่องจากมี "โยมอุปัฎฐาก" สองท่าน คือ โยมหม่อมและโยมเอก มาปฏิบัติธรรมด้วยที่วัดท่าขนุน ก่อนจะถึงกำหนดลาของกระผม จึงได้ปรึกษากันว่า ก่อนเดินทางไปภูเก็ตจะไปปฏิบัติธรรมที่เกาะพระฤๅษี ๓ วัน แล้วจึงออกเดินทางไปภาคใต้ต่อ แวะจังหวัดสตูล ไปปฏิบัติธรรมที่นั้น อีก ๑ วันและนำพระแก้วใสขนาด ๙ นิ้วไปถวายกฐินที่วัดนั้น แล้วจึงเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต
วาโยรัตนะ
26-11-2009, 20:33
สำหรับท่านที่ลาเป็นคนแรกคือ ท่านกุ๊ก ตามด้วย ท่านโอและเณรเจ ส่วนผมลาเป็นอันดับที่สี่ แถมลืมลงบันทึกการลาด้วยซ้ำไป ดีที่แจ้งพระเพื่อน ๆ เอาไว้แล้ว แจ้งพระครูน้อยและพระครูหน่อยก่อนจะออกจากวัด แต่ลืมเขียนในสมุดบันทึกไปเลย..งานนั้นเล่นเอาใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มอยู่หลายวัน
คณะกระผม คุณเอก คุณหม่อม เดินทางเข้าเกาะพระฤๅษี หลังจากรายงานตัวกับหลวงพี่กวาง พร้อมลงสมุดรายชื่อผู้มาปฏิบัติธรรมและรับทราบในกฎระเบียบข้อบังคับทุกประการแล้ว หลวงพี่กวางท่านก็จัดแจงส่งถึงที่พัก โยมหม่อมกับโยมเอก พักกุฏิใกล้ ๆ สะพานที่เดินตรงไปยังศาลา ส่วนกระผมพักกุฏิริมน้ำ.......งานเข้าเล็กน้อย เพราะเกรงใจที่จะต้องนอนจำวัดคนเดียว มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นต้นไม้ใหญ่ ๆ อยู่อีกฝั่งของทางน้ำ พลางคิดว่า "บรรยากาศโคตรโรแมนติก" กลางคืนจะมีใครมาร้องเพลงกล่อมข้าง ๆ กุฏิให้จำวัดสบาย หรือเปล่า.. "หลวงพี่มาดีนะ มีบุญมาเพียบ ถ้าอยากได้ เดี๋ยวจะอุทิศให้นะ แต่.. แต่อย่ามาหลอกกันนะตัวเอง จุ๊บ ๆ ใครมาไม่ดี ถ้าหลวงพี่เป็นอะไรไป จะตามราวีให้ถึงที่สุดเลย รักทุก "ตน" นะ จุ๊บ ๆ" บรรยากาศในการต่อรองก็เริ่มขึ้นเป็นปกติตามประสา "คนขี้เกรงใจ" (กลัวขึ้นสมอง)
การปฏิบัติธรรมที่เกาะพระฤๅษีนั้น เริ่มตั้งแต่ตี ๔.๐๐ น. ทำสมาธิ ทำวัตรเช้า ไปจบประมาณ ตี ๕.๓๐ น. หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดพื้นที่รอบ ๆ เกาะ ฉันเช้า แล้วก็เป็นเวลาส่วนตัว ใครใคร่จะเจริญภาวนาหรืออย่างอื่นก็ตามอัธยาศัย กระผมเองชอบที่จะไปนั่งสมาธิที่ตรงทางน้ำที่เป็นลักษณะสามแพร่งคือ มีสายน้ำหลักไหลมาหนึ่งสาย แล้วแยกออกเป็นสองสายไหลล้อมรอบเกาะพระฤๅษีเอาไว้และไปบรรจบกันอีกครั้งที่ทางด้านทิศใต้ของเกาะ ตรงนี้มีความรู้สึกในความเป็นทิพย์หลาย ๆ อย่าง (โปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณาครับ) การทำสมาธิอย่างที่หลวงพ่อสั่งสอนเอาไว้ว่า ให้เป็นไปเพื่อความสงบ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ในขณะนั้นต้องใช้ข้อธรรมมาวิเคราะห์และพิจารณา
บางครั้งกระผมเองก็ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ มาเป็นการเดินจงกรมรอบ ๆ เกาะแทน เสียงสายน้ำไหล เสียงสายลมและบรรยากาศร่มเย็น รวมถึงเสียงเหล่านกกา ที่มาพึ่งพิงอาศัยสถานที่อันสงบปลอดภัยนี้ ทำให้รู้สึกว่า สถานที่แห่งนี้คือ "สวรรค์ของนักปฏิบัติ" จริง ๆ ต่างคนต่างไม่พูดพร่ำทำเพลง แยกหาความสงบความวิเวกในการปฏิบัติกันไปอย่างเต็มที่เท่าที่จะสามารถเก็บเกี่ยวกันไปได้ให้คุ้มค่าที่สุด จะมีมาสนทนาธรรมกันบ้างก็ช่วงหลังจากทำวัตรเย็นไปแล้ว
กระผมได้เรียนแจ้งขออนุญาตหลวงพี่กวาง เพื่อไปกราบพระอาจารย์เผื่อน (หลวงพี่เผื่อน) ที่สำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ ตั้งใจว่าจะพาโยมทั้งสองท่านขึ้นไปนั่งสมาธิที่บนถ้ำ เพื่อแสวงหาอารมณ์สงบในสมาธิและประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w40.jpg
ภาพที่สามทางซ้ายมือด้านล่าง เป็น ท่านพญานาคที่ประดิษฐานอยู่โพรงต้นไม้ตรงทางน้ำสามแพร่งครับ
ส่วนภาพที่สี่ทางด้านขวามือล่างนั้น อย่าเข้าใจผิดว่าคือคางคกธรรมดา ๆ นะครับ เพราะตัวใหญ่กว่าคางคกมาก ถ้าจะเรียกว่าคางคกต้องเรียกว่า "โคตรคางคก" ที่ถูกต้องเขาเรียกว่า กง หรือ จงโคร่ง หรือ หมาน้ำ หรือ คางคกยักษ์ สัตว์ป่าหายากที่เป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของป่าและความสะอาดของน้ำครับ แต่พบได้ที่ใต้ถุนกุฏิที่เกาะพระฤๅษี มีหลายตัวตามบริเวณต่าง ๆ ของเกาะ ตัวนี้เป็นเพื่อนของกระผมเอง ตั้งชื่อให้ว่า "คาซามาคุง" ถ้าอยู่เกาะพระฤาษีให้นานกว่านี้ กระผมว่ากระผมคงจะคุยกันกับ "ท่านคาซามาคุง" รู้เรื่องแน่ ๆ ครับ "โฮ่ง ๆ" เสียงร้องของเขาเหมือน ๆ กับเสียงสุนัขเห่า แรกผมก็หาอยู่ว่าหมาที่ไหนมาเห่าข้าง ๆ กุฏิ เดี๋ยวจะลงไปกัดกับเจ้าหมาตัวนั้นสักหน่อย พระจะจำวัดเห่าอยู่ มาหาไปทางต้นเสียง....ตัวอะไรวะ อ๋อมันสมควรแล้วที่จะเรียกว่า "หมาน้ำ" จริง ๆ ๕๕๕๕๕๕ "โฮ้ง ๆ โบร๊ววววววว :msn_smilies-22::onion_eiei:" ผมร้องส่งรหัสโต้ตอบไปเป็นระยะ ๆ
วาโยรัตนะ
27-11-2009, 18:51
เราออกเดินทางไปสำนักสงฆ์ถ้ำทะลุซึ่งไม่ไกลจากเกาะพระฤๅษี ไปถึงก็ตรงไปกราบพระประธานภายในศาลา หลังจากนั้นก็สอบถามหลวงตานุกูลว่า พระอาจารย์เผื่อนท่านอยู่หรือไม่ ? ก็ทราบว่าพระอาจารย์เผื่อนท่านอยู่บนถ้ำ พวกเราพากันจึงเดินขึ้นไป สภาพของสำนักสงฆ์ถ้ำทะลุในวันนี้ ยังเงียบสงบเหมือนเดิม มีการปรับปรุงถนนทางเข้าเป็นถนนคอนกรีตเรียบร้อย ซึ่งกระผมจำได้ว่า เมื่อสองปีที่แล้ว สภาพถนนยังเป็นดินลูกรัง ในยามหน้าฝนมันเละขนาดที่ว่า ใครขับรถยนต์แบบไม่ใช่ขาลุยแล้ว มีหวังได้จอดรถกลางเนินแน่ ๆ
มองบันไดพญานาคแล้วนึกถึง "ตัวตั้งตัวตี" ในการหาปัจจัยนั้นก็คือ "ยายผีป่า" ที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักกันนี้เอง พวกเราค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดกันไปอย่างช้า ๆ ด้วยสภาพหัวเข่าอันเกือบหมดสภาพของผม (สงสัยไม่ได้หยอดน้ำมัน) มันยังเจ็บตั้งแต่ตอนไปกราบหลวงตาโมเช่ ยิ่งทำให้การขึ้นถ้ำทะลุในครั้งนี้ตอกย้ำว่ากับตัวผมเองว่า "ตูแก่แล้ว...โคตรเจ็บเลย ร่างกายไม่ใช่เรา ร่างกายไม่ใช่ของของเรา เราไม่ใช่ร่างกายนี้" แถมหันไปวางมาดใส่โยมเล็กน้อยว่า..."โยมเดินขึ้นมาเร็วหน่อยสิ"
มองไปด้านซ้ายมือเห็น สมเด็จองค์ปฐมขนาดสี่ศอกประดิษฐานอยู่ ซึ่งเมื่อสองปีที่แล้วไม่มี จึงตรงไปกราบแสดงความเคารพ แล้วจึงเดินขึ้นไปกราบพระอาจารย์เผื่อนซึ่งท่านอยู่ด้านบน ตรงจุดข้าง ๆ สมเด็จองค์ปฐมปางมนุษย์
พระอาจารย์เผื่อน :"ไปไหนกันมาล่ะ เมื่อครู่ได้ยินเสียงคนหอบ...."
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "สงสัยโยมขอรับ:154218d4:เขาคงเหนื่อยกันกระมังครับ.....เดินขึ้นถ้ำ บันไดมันชันครับ อาจารย์สบายดีนะขอรับ พวกผมมาจากเกาะพระฤๅษีกันครับ ผมเองลาหลวงพ่อท่าน ๑๕ วันว่าจะกลับไปเยี่ยมโยมแม่ที่ภูเก็ต พอดีคณะโยมเขามาปฏิบัติธรรม ก็เลยชวนกันแวะปฏิบัติธรรมที่เกาะก่อนสักสามวันขอรับ"
พระอาจารย์เผื่อน :"ดี ๆ สงเคราะห์ญาติโยมกันไป ไปนั่งสมาธิกันตรงข้าง ๆ นั้นสิ"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :"กระผมว่าจะขออนุญาตจากพระอาจารย์อยู่พอดีขอรับ เอ้อ..สมเด็จองค์ปฐมสี่ศอกด้านล่างสร้างใหม่หรือขอรับพระอาจารย์..ใครสร้างถวายขอรับ"
พระอาจารย์เผื่อน :"อ๋อ..สร้างเมื่อปีที่แล้ว คณะของพระอาจารย์สมปองท่านถวายมา กว่าจะช่วยกันยกขึ้นมาประกอบข้างบนได้ต้องขอแรงชาวบ้านมาช่วยกันหลายคน เพราะเป็นปูน บารมีพระท่านสงเคราะห์"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :"สาธุ ถ้าอย่างนั้น กระผมขอตัวนำโยมนั่งสมาธิก่อนนะขอรับ"
พระอาจารย์เผื่อน :"เอา ๆ ตามสบาย ดี ๆ ตั้งใจปฏิบัติกัน ขอโมทนาสาธุด้วยทุกคน"
วาโยรัตนะ
27-11-2009, 19:12
จัดแจงปูเสื่อ โยมทั้งสองก็พร้อมแล้วในการนั่งสมาธิ พวกเราตั้งจิตแสดงความเคารพเทวดาทั้งหลาย ด้วยการเปิดไฟล์เสียง "ชุมนุมเทวดา" ของหลวงพ่อฤๅษี หลังจากนั้น กระผมก็นำบูชาพระรัตนตรัย โดยถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมปางมนุษย์ ที่ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าเป็นประธาน แล้วก็นำสมาทานพระกรรมฐาน เมื่อพร้อมกันแล้วก็ค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าออกแบบเต็ม ๆ ปอดสามวาระ เป็นการระบายลมหยาบที่คั่งค้างอยู่ในร่างกายออกไป แล้วจึงแนะนำให้โยมจับคำภาวนาพร้อมจำภาพพระ.......
บรรยากาศอันเงียบสงบ ทำให้พวกเราเข้าสู่ความสงบในสมาธิได้ดียิ่ง ผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าสงบอยู่ในสมาธิ เมื่อถึงเวลาอันควรก็แนะนำญาติโยมให้ค่อย ๆ ยกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน เมื่อได้เวลาพอสมควรแล้ว จึงกล่าวบอกทุกท่านให้กราบลาพระ แล้วค่อย ๆ ออกจากสมาธิ แล้วนำอุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
หลังจากนั้น..คณะของเราก็ไปกราบลาพระอาจารย์เผื่อน และหลวงพี่ทั้งหลายที่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ แล้วเดินทางกลับเข้าไปที่เกาะพระฤๅษี
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w41.jpg
จากภาพทางด้านขวามือบน จะเห็นว่าบันไดสูงชันขนาดไหน.....ถ้าร่วงกลิ้งลงมา กระผมว่าฟันคงไม่เหลือติดปากแน่ ๆ ครับ
หลวงพ่อท่านเคยสอนว่า สถานที่แต่ละที่มีความเกื้อหนุนในสมาธิต่างกัน วันนี้พวกเราทุกคนต่างรู้สึกปีติยินดี ที่ได้มาเจริญภาวนา ปฏิบัติกรรมฐานที่ถ้ำทะลุแห่งนี้ เรื่องเหล่านี้ทุกท่านจะทราบดี ก็ต่อเมื่อตัวท่านเองได้ไปเจริญกรรมฐาน ณ สถานที่เหล่านั้นด้วยตัวท่านเอง กระผมคงไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากกว่านี้
วาโยรัตนะ
27-11-2009, 19:49
๒๒.หลวงพี่จะรังเกียจหรือไม่ขอรับ ถ้าอมนุษย์จะขอติดรถไปด้วย . (โกยเถอะ..! :3070242c:โยม)
เวลาผ่านไปช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน ความสงบในธรรมแห่งเกาะพระฤๅษีนี้ ทำให้กระผมมีความรู้สึกไม่อยากจะจากไปเลย น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอยู่ลึก ๆ "เราจะคงสภาพความสงบอันจะหาอะไรมาเทียมเท่าเช่นนี้ได้อีกไม่นานแล้วหนอ" ที่นี้ไม่วุ่นวายหนอ ประโยคนี้ผุดแล่นเข้ามาในความคิดรวดเร็วเหมือนรถไฟฟ้ามหานคร (สำนวนมันพาไป...ไปไหนอันนี้กระผมไม่ทราบครับ)
ความมีน้ำใจไมตรีจากพระพี่พระน้อง รวมถึงแม่ชีทุก ๆ ท่าน ทำให้กระผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ในบ้าน The Star ค้นคว้าหาดาว (สำนวนมันพาไป...ไปไหน? อันนี้กระผมไม่ทราบครับ) มีหลาย ๆ เรื่องที่เป็นเหมือน "จิ๊กซอว์" มาต่อเติมและมาเติมเต็มช่องว่างที่หายไปในเรื่องการปฏิบัติธรรมของกระผม ด้วยความมีน้ำใจจากเจ้าบ้านทุกท่านแห่งเกาะพระฤๅษี
แม่ชีปุ๊ก:"หลวงพี่...ของหลวงพี่นะใกล้แล้วนะ...ขาดที่ยังลังเลสงสัยอยู่เท่านั้นเอง แล้วแม่ชีขอเสริมว่าพยายามปรับเปลี่ยนมาเป็นเดินจงกรมให้มากขึ้นค่ะ"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "ขอบคุณแม่ชีมากที่แนะนำ"
แม่ชีปุ๊ก:"เก็บเกี่ยวไปให้เต็มที่เลยนะหลวงพี่ แม่ชีขอโมทนาอย่างยิ่ง"
ความมีน้ำใจเหล่านี้ เมื่อนึกย้อนไปถึงที่ไร นี่คือกำลังใจในการปฏิบัติ และแล้ววันสุดท้ายที่เกาะพระฤาษีก็มาถึง คืนนั้นกระผม หลวงพี่กวาง แม่ชีปุ๊ก โยมหม่อม พวกเรานั่งสนทนาธรรมกันอยู่จนดึก ทั้งสองท่านร่วมบุญปัจจัยในการสร้างบล๊อกแบบพระอุปคุตและค่าใช้จ่ายในพิธีบรวงสรวงพระอุปคุต
หลวงพี่กวาง:"ผมโมทนากับหลวงพี่รัตน์เป็นอย่างยิ่ง ผมเองไม่ได้มีโอกาสทำ โอกาสสร้าง แต่ก็ขอร่วมบุญด้วยถือว่าได้ร่วมสร้าง ตอนที่คณะหลวงพี่ขอผาติกรรมพระพุทธรูปไปประดิษฐานบนซุ้มพระเจดีย์ที่ยอดเขา ผมเองก็ขอโมทนาด้วยอย่างยิ่ง พวกเราทางนี้ทราบข่าวแล้วก็ดีใจกับคณะหลวงพี่ทุก ๆ ท่านที่วัดท่าขนุน แต่อีกใจหนึ่งก็เสียดายที่ไม่ได้ทราบข้อมูลข่าวสารให้ทันท่วงที"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"สาธุขอรับหลวงพี่และแม่ชี กระผมยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ถือว่าเราทุกท่านได้ร่วมสร้าง ร่วมทำ ร่วมจรรโลงพระศาสนา ก็ขออนุโมทนาบุญกับหลวงพี่กวางและแม่ชีขอรับ
พรุ่งนี้กระผมกะว่าจะออกเดินทางตั้งแต่ตีสองครับ เพราะระยะทางร่วมพันกิโลเมตร อย่างไรก็ใช้เวลาร่วมสิบสองช่วงโมงอยู่แล้วครับ
หากสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กระผมและคณะได้ล่วงเกินไปด้วย กาย วาจา ใจ ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ด้วยประมาณพลาดพลั้งก็ดี ขอหลวงพี่และตลอดจนทุก ๆ ท่าน ณ.ที่นี้โปรดอภัยและอโหสิกรรมให้กระผมและคณะด้วยขอรับ"
เมื่อร่ำลาและขอขมากรรมกันแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไป คืนนั้นกระผมนอนไม่หลับ ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ ภาวนาแล้วก็ไม่หลับ
สงสัยว่าคงปีติในธรรมที่เราสนทนากัน ตีหนึ่งกระผมลุกขึ้นมาจัดแจงเก็บข้างเก็บของให้เป็นระเบียบ หลังจากนั้นก็เดินไปปลุกโยมหม่อมให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวออกเดินทาง ส่วนโยมเอกลากลับบ้านตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันแล้ว
กระผมนำโยมหม่อมทำวัตรเช้าที่หน้าพระประธานโบสถ์ ขอพรให้การเดินทางให้ปลอดภัย หลังจากนั้นก็นำโยมหม่อมไปกราบลาเจ้าที่ พร้อมอุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่าน ๆ เหล่านั้น ที่ให้ความอนุเคราะห์พวกเราเป็นอย่างดีในช่วงที่อยู่ที่เกาะพระฤๅษี ดูนาฬิกาก็ตีสองตรงพอดี ทุกอย่างเหมือนโดนกำหนดเอาไว้อย่างลงตัว กระผมถอนลมหายใจยาว ๆ ออกมา หนึ่งก็เพราะนอนไม่หลับ สองก็เพราะไม่อยากจะจากที่นี่ไป....
รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมา เนื่องด้วยสภาพของถนนหน้าเกาะพระฤๅษีที่เต็มไปด้วยหลุมด้วยบ่อ แถม อบต.โคตรจะฉลาดเลย แทนที่จะเอาดินหรือทรายมาถมหลุมเหล่านั้น ดันทะลึ่งเอาหินผุก้อนใหญ่มาถมแทน.....แหมมันน่าจะสวด "กุสลา ธัมมา" ให้สักชุด
วาโยรัตนะ
27-11-2009, 23:22
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"โยมมีแผ่นซีดีธรรมะของหลวงพ่อฤๅษีบ้างหรือเปล่า..? นอนเต็มที่แล้วแน่นะ หลวงพี่เป็นอะไรก็ไม่รู้ นอนไม่หลับ สงสัยคงไม่หลับยันเช้า ดีแล้วละ..จะได้นั่งเป็นเพื่อนโยม"
โยมหม่อม:"มีครับหลวงพี่..เปิดได้เลยครับ"
พอกระผมเปิดเครื่องเสียงในรถ ปรากฏว่า ไฟล์ที่ขึ้นมา เป็นไฟล์เสียงชุมนุมเทวดา ใจจริงก็อยากจะปิด แต่ก็คิดขึ้นมาว่า ก็ดีเหมือนกัน ท่าน ๆ เทวดาทั้งหลายจะได้มาช่วยคุ้มครอง หลังจากนั้นแผ่นก็วิ่งเองไปที่ไฟล์เสียงอุทิศส่วนกุศล ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร มองไปสองข้างทางเรายังวิ่งอยู่บนถนนนิคมฯอยู่เลย สองข้างทางก็มืด มีรถของคณะเราคันเดียวที่วิ่งอยู่บนถนนเส้นนี้.....ไม่กี่ช่วงอึดใจ รถเราก็แล่นออกถนนใหญ่ มองดูนาฬิกาในรถตีสองยี่สิบนาที กระผมเองก็ช่วนโยมหม่อมคุยโน่นคุยนี่ไปเรื่อย ๆ
ผ่านไปช่วงหนึ่ง กระผมจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นเขาเรียกว่าตำบลหรือ หมู่บ้านอะไร เท่าแต่ทราบว่าเราวิ่งมาจากปากทางนิคมไม่นานประมาณแค่สิบห้านาทีเอง ระหว่างที่คุยสายตามันก็เห็นว่ามีเด็กสองคนใส่ชุดนักเรียน ยืนอยู่ข้างทาง ยืนหันหลังให้รถเรา ที่กระผมสังเกตเห็นอีกอย่างคือ มีมอเตอร์ไซค์เก่า สภาพยับเยินอยู่ข้าง ๆ ตรงนั้นด้วย
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"เด็กสมัยนี้มันขยันเรียนนะ เตรียมตัวไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่"
โยมหม่อม:................(เงียบ)
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"โยมเห็นเด็กนักเรียนเมื่อกี้ หรือเปล่า ? (ชักรู้สึกแปลก ๆ ใจว่าทำไมโยมเงียบไป)"
โยมหม่อม:"เอ้อ....เห็น ๆ ครับหลวงพี่ ก็นั่งมาด้วยกัน เห็นแต่ไกลเลยครับ"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"เออ..นั่นสิ แล้วทำไมโยมหน้าซีด ๆ ล่ะ หลวงพี่เห็นโยมนิ่งไปนะเมื่อกี้.....เด็กต่างจังหวัดมันขยันแบบนี้แหละ"
โยมหม่อม:"กระผมว่าท่าจะไม่ค่อยดีนะครับหลวงพี่..หลวงพี่ลองดูนาฬิกาก่อนสิครับว่า ตอนนี้มันตีสองสี่สิบนาทีเองนะครับหลวงพี่..มันผิดปกตินะครับ"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"เออ..จริงสิ โยมเด็กมันคงไปเรียนที่กรุงเทพฯกระมัง ? ที่โยมเห็นเป็นอย่างไรล่ะ..ลองว่ามาซิ"
โยมหม่อม:"ผมเห็นเด็กผู้หญิงสองคนครับ ยืนหันหลังอยู่ สะพายกระเป๋าด้วยครับ แล้วที่หลวงพี่ว่าเด็กไปเรียนกรุงเทพฯ กระผมว่าออกเดินทางตอนตีสี่ตีห้าไปยังทันเลยครับ โรงเรียนเข้าแปดโมงเช้านะครับ แล้วคงเรียนแถว ๆ ชานเมือง หรือไม่ก็ไม่ได้เรียนที่กรุงเทพ เรียนที่ตัวเมืองกาญจน์หรือนครปฐมจะดูมีเหตุผลมากกว่านะขอรับ"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"แต่หลวงพี่เห็นเป็นเด็กผู้ชายถือกระเป๋า ประมาณเด็ก ม.๑ แล้วข้าง ๆ มีเด็กผู้หญิงสะพายเป้ ตรงมุมมืดหลวงพี่เห็นมอเตอร์ไซค์เก่า ๆ ด้วยนะ เราย้อนไปดูดีกว่าโยม"
โยมหม่อม:"กระผมว่าอย่าเลยครับหลวงพี่ กระผมว่าท่าจะไม่ดีแล้ว ผมรู้สึกขนลุกไปหมดแล้วครับ ถ้าไปแล้วไม่เจอ หรือเจอในสภาพที่เละ ๆ จะทำอย่างไรละครับหลวงพี่ ?"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"มากับหลวงพี่กลัวอะไรวะ..? งั้นอย่าวกกลับดูไปมันเลย:154218d4:" (ตอนนั้นก็เริ่มกลัว ๆ ขึ้นมาเหมือนกันครับ) ไหนลองหาเหตุผลมาดูสิ ว่ามันจะเป็นคนหรือ..?"
โยมหม่อม:"บรรยากาศแบบนั้น เวลานั้น กระผมจ้างหลวงพี่หนึ่งพันบาทไปยืนตรงนั้น หลวงพี่จะกล้าหรือเปล่าขอรับ ?"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:..........(เงียบแบบคุมเชิง:onion_emoticons-17:) "เอ้อ..เอ้อ แล้วโยมล่ะ กล้าหรือเปล่า ?"
โยมหม่อม:"จ้างผมเท่าไรก็ไม่เอาหรอกครับ แล้วเด็กอายุขนาดนั้นที่ไหนมันจะกล้ามายืนที่เปลี่ยว ๆ ถึงจะไม่ยืนคนเดียวก็ตามเถอะขอรับ เดี๋ยวโจรมันก็ลากไปพอดีครับ"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์....:7f5341cc:(หน้าซีดและพยายามทบทวนเหตุการณ์) "สงสัยงานนี้เราจะเจอของจริงเข้าแล้วละโยม หลวงพี่สังหรณ์ใจตั้งแต่ตอนเปิดไฟล์เสียงหลวงพ่อแล้วโดยเฉพาะไฟล์เสียงอุทิศส่วนกุศล:154218d4: รีบ ๆ ขับไปก่อนเถอะโยม"
"บุญใดหลวงพี่ทำมาดีแล้วหลวงพี่ขออุทิศให้เป็นการเฉพาะเลยนะ ขอพวกเธอทั้งสองโมทนาด้วย แล้วไม่ต้องไปดักหลวงพี่ที่ป้ายหน้านะ..โอเคแล้วนะ"
โยมหม่อม:"บุญใดที่กระผมทำมาดีก็ขออุทิศให้เช่นกัน อิทัง ปุญญะ ผะลัง..ฯ"
ยังไม่ทันขาดเสียงโยมหม่อมกล่าวอุทิศเลย กระผมก็มองไปข้างทางเจอเข้าอีกตนหนึ่ง....:d33561e9::fea27916::msn_smilies-02: (เดี๋ยวจะไปฟ้องหลวงพ่อว่า พวกเรารังแกฉัน) งานนี้กระผมปิดปากเงียบสนิทไม่ได้บอกโยมหม่อม เพราะมันพูดไม่ออก ลิ้นมันตันจุกปากไปหมด.....บทจะเจอพวกก็มาให้เจอแบบ "จะ จะ"
วาโยรัตนะ
28-11-2009, 08:44
๒๓."สตูล ดินแดนลี้ลับ"
หลังจากพ้นผ่านเรื่องระทึกใจมาพอหอมปากหอมคอแล้ว แต่ก็ยังไม่วายจะนึกถึงอยู่...... ช่างเป็นประสบการณ์ที่ต้องจดจำไปจนวันตาย เราเดินทางมาจนรุ่งเช้าแถว ๆ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นอะไรที่โล่งใจมาก เพราะอย่างน้อย "ท่านสองตน" นั้น คงไม่โผล่มาตอนกลางวันแน่ ๆ ตรงช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงคอคอดที่แคบที่สุด ตามแผนที่ประเทศไทย และเป็นช่วงที่น่าเบื่อที่สุดในการขับรถเดินทางไกล ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง เพราะเราใช้เวลาในเส้นทางช่วงจังหวัดประจวบฯนี้นานที่สุด วิ่งเท่าไรก็ยังไม่พ้นเขตจังหวัดประจวบฯ สักที.....................
หลังจากแวะปั๊มน้ำมันเพื่อพักรถและเปลี่ยนอิริยาบถกันบ้าง พร้อมทั้งฉันเช้าเป็นการเรียบร้อย หลังจากนั้นก็เดินทางกันต่อเพื่อจะแวะเข้าจังหวัดสตูลก่อน เราวางแผนใช้เส้นทางที่คุ้นเคย เราเข้า นครศรีธรรมราช พัทลุง และเข้าจังหวัดสตูล นับว่าเป็นระยะทางร่วมกว่า ๑,๒๐๐ กิโลเมตร จากทองผาภูมิ งานนี้ต้องนับถือความอดทนของคุณหม่อม
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :"ถ้าขับไม่ไหวจอดนะ เดี๋ยวหลวงพี่ขับเอง:70bff581: ๕๕๕๕๕"
โยมหม่อม : .......:154218d4: สู้สุดใจขาดดิ้นครับ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :เดี๋ยว หลวงพี่โทรหา "คุณท็อป" เขาจะเป็นคนนำทางเราไป "วัดหลวงพ่อบุญเริญ"........
"ฮะโหล ๆ ที่นั่นที่ไหน? แล้วใครพูด? แล้วไอ้คนที่พูดนะใช่คุณท็อปใช่หรือไม่?....หา!อะไรนะ....ทักษิณหรือ?.....อ๋อ ๆ มหาลัยทักษิณหรือครับ....ขออภัยพระต่อผิดสายครับ...เจริญพรโยม:154218d4:"(มุกนี้รู้สึกว่าจะเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางหน่อยนะครับ:55318906:)
มีเสียงทิ้งทวนเบา ๆ ในสายของคู่สนทนามาว่า "อ้ายหัวครก"
หลังจากโทรฯ จนเจอคุณท็อปแล้ว เราก็นำแนะกันตรงตัวเมืองสตูล หลังจากนั้นไม่นาน รถของคุณท็อปก็ส่งสัญญาณควัน :154218d4:ขออภัย "สัญญาณไฟกระพริบ" และแล้วรถทั้งสองคันก็วิ่งตามกันไปจนถึงวัดของพระอาจารย์บุญเริญ
วาโยรัตนะ
03-12-2009, 18:32
ขออภัยอย่างยิ่งขอรับ กำลังสับสนกับพิษเศรษฐกิจปีนี้ขอรับ เล่นเอากระผมตั้งตัวแทบไม่ติดเลยขอรับ เลยหายเงียบไปสองสามวันขอรับ
วาโยรัตนะ
04-12-2009, 09:35
เราเดินทางอีกไม่นานก็ถึงวัดของท่านพระอาจารย์บุญเริญ ที่วัดแห่งนี้ทางสอน "หนอ" แบบจับอาการของการเคลื่อนไหวมือ แล้วกำหนดเอาความรู้สึกทั้งหมดไปกับการเคลื่อนไหวนั้น ซึ่งพระอาจารย์บุญเริญ มหาปุญฺโญ แห่งวัดโพธิเจริญธรรม
ท่านรับการถ่ายทอดวิชานี้มาจากท่านพระครูกิตติศีลวัตร (หลวงปู่เมฆ กิตฺติสทฺโธ) ซึ่งกระผมจะกล่าวเรื่องนี้โดยละเอียดต่อไป
"หลวงพ่อบอกว่าการปฏิบัติทุกสาย หากมุ่งตรงเพื่อละขันธ์ เพื่อละการเกิด เพื่อพระนิพพานนั้นย่อมเป็นการปฏิบัติที่ดีทั้งหมด"
หลังจากที่กราบพระอาจารย์บุญเริญพร้อมทั้งน้อมถวาย "พระแก้วมรกตใสทรงเครื่องฤดูร้อน" ขนาดเก้านิ้วจากบ้านสายลม เพื่อถวายร่วมกฐินประจำปีวัดโพธิเจริญธรรม พร้อมกับกราบเรียนแนะนำตัวเองต่อท่านแล้ว การสนทนาธรรมก็เกิดขึ้น ด้วยความเมตตาของท่านที่มีต่อกระผมและคุณหม่อมนับเป็นบุญอย่างยิ่ง
ท่านเล่าให้ฟังอย่างคราว ๆ จากประวัติของท่านพระครูกิตติศีลวัตร (หลวงปู่เมฆ กิตฺติสทฺโธ)ว่า
หลวงปู่ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมัยท่านอยู่กรุงเทพฯ ที่วัดบุปผาราม ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในเรื่องของการปฏิบัติมาก ถึงท่านจะอยู่ที่ตึกพระสังฆราช ท่านก็เพียรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ฉันน้อย นอนน้อย กำหนดสติตลอดเวลา กำหนดสติมั่นอยู่กับการเคลื่อนไหว โดยอาศัยการเดินจงกรม
หลวงปู่ท่านเคยกล่าวกับพระอาจารย์บุญเริญว่า "อาตมาธุดงค์ในป่าคอนกรีตภายในตึกพระสังฆราช จับหลักมหาสติล้วน ๆ อยู่ที่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้รู้ทันอารมณ์ปัจจุบัน เป็นสำคัญ" หลวงปู่ท่านจึงเอาคำว่า หนอ ไปผูกกับการเคลื่อนไหว โดยกำหนดจิตอยู่กลางฝ่ามือ เวลาเคลื่อนไหว ก็เคลื่อนไหวโดยเอาจิตกำหนดรู้ว่ามือเคลื่อนไหว พร้อมกับภาวนา คำว่า "หนอ" ให้ตรงกับจังหวะเคลื่อนไหวของมือ
กระผมเองก็ฟังด้วยความตั้งใจ งานนี้ต้องเอาตัวเองเข้าไปปฏิบัติ มันถึงจะรู้ การที่ผมไปไหนมาไหนก็แฝงด้วยวัตถุประสงค์คือ หนึ่งไปให้รู้ สองไปดูให้เห็นกับตาตัวเองและถึงจะเอาทุกอย่างมาประมวลผล แต่ก็อดนอกประเด็นไม่ได้คือแบบว่า ":onion_emoticons-18::154218d4:……..พระอาจารย์ครับ สองตนที่กระผมเห็นเมื่อคืน เอ้อ..คือว่า...:3070242c::baa60776::cebollita_onion-08::154218d4::msn_smilies-02: :onion_you::onion_emoticons-18:"
กระผมก็เล่าท่านไปยืดยาว ท่านก็นั่งฟังด้วยอาการสงบนิ่ง ยังไม่ทันจะเล่าจบ ท่านก็กล่าวบอกกระผมว่า "เป็นเรื่องธรรมดาของนักปฏิบัติ ที่ต้องเจอเรื่องพวกนี้" งานนี้เล่นเอากระผมเงียบสนิทไปเลย หันไปเห็นบทกลอนที่ท่านเขียนติดเอาไว้ว่า "จงหนีของหยาบ จงปราบของเนียน จงเพียรสังวร จงถอนทิฏฐิ จงติตัวเอง จงเกรงเรื่องกรรม จงทำของจริง จงทิ้งสมมุติ จงหยุดเหมือนดิน":onion_emoticons-18:...............จงหยุดเหมือนดิน อย่างนั้นหมายความว่ากระผมควรหยุดเล่าถึงเรื่อง"นักเรียนสองตน" นั่นได้แล้ว..........
หลังจากนั้นก็กราบลาท่านเข้าที่พักที่ท่านให้ "หลวงพี่เอ๋" ซึ่งท่านเป็นคนบ้านเดียวกับผม คือเป็นคนภูเก็ต ท่านจัดเตรียมที่พักให้
วาโยรัตนะ
07-12-2009, 19:49
หลังจากสรงน้ำเป็นการเรียบร้อย เวลา ๑๙.๐๐ น. ก็ได้เวลาทำวัตรเย็น ปกติที่วัดท่าขนุนใช้เวลาโดยประมาณ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาทีก็เป็นการเสร็จพิธี แต่ที่วัดพระอาจารย์บุญเริญนี้ เริ่มทำวัตรตั้งแต่ ๑๙.๐๐ น. ไปจบเอา ๒๒.๐๐ น รวมเวลาแล้ว ๓ ชั่วโมง....กระผมพยายามพยุงตัวเองขึ้นหลังจากนั่งพับเพียบสลับขาซ้ายทีขวาที จนนับไม่ถ้วน แต่ได้ชื่อว่า "ลูกศิษย์พระอาจารย์เล็กแล้ว" งานนั้นอดทนและทนอด (ปวดปัสสาวะมาก อั้นอยู่นาน) พยายามทำกำลังใจสู้ให้ถึงที่สุด และแล้วก็ผ่านไปได้
หลังจากไปห้องน้ำมาแล้ว เห็นแม่ชี พระ ตลอดจนฆราวาส ปฏิบัติ "หนอ" กัน กระผมเองอย่างที่บอกว่ามาเพื่อ "ทำให้รู้ ดูให้เห็น" ก็ร่วมปฏิบัติด้วย นั่งภาวนาสลับกับการเดินจงกรม จะผ่านไปนานเท่าไหร่ อันนี้กระผมก็ไม่ทราบ เห็นพระ,เห็นแม่ชี ตลอดจนแม่ชีท่านหนึ่งอายุประมาณ ๗๐ กว่า ๆ ปฏิบัติด้วยความเข้มแข็งแล้วนับเป็นอีกเรื่องที่ยืนยันกับกระผมได้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัติสิ่งที่หลวงพ่อเคยพูดว่า "ทำแค่ตาย" กับคำถามที่ญาติโยมมักจะเรียนสอบถามท่านว่า "ต้องทำแค่ไหน" ตอนนี้มันเป็นคำตอบแก่ตัวกระผมทั้งในรูปธรรมและนามธรรมให้เห็นอยู่เบื้องหน้าจริง ๆ
ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล เล่นงานกระผมและโยมหม่อม ชนิดที่ว่าแทบจะล้มทั้งยืน ผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน พระอาจารย์บุญเริญท่านก็สั่งให้หยุดปฏิบัติ แล้วท่านก็นำอุทิศส่วนกุศล คำอุทิศส่วนกุศลที่ท่านนำมาใช้ช่างเป็นที่ชื่นใจมาก ๆ แก่กระผม คือ เป็นคำอุทิศส่วนกุศลแบบของหลวงพ่อฤๅษี เพราะพระอาจารย์บุญเริญท่านก็ศรัทธาพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ และท่านเป็นผู้หนึ่งซึ่งมีความคล่องตัวเป็นอย่างยิ่งในมโนมยิทธิและทิพจักขุญาณ
หลังจากนั้นกระผมก็กราบบอกลาท่านว่าวันรุ่งขึ้นกระผมและโยมจะขอออกเดินทางแต่เช้าตอนตีห้า เพราะต้องเดินทางไปภูเก็ตต่อไป พร้อมกับร่วมถวายปัจจัยร่วมบุญกฐินประจำปีเป็นเงินอีก ๓๐๐ บาท ท่านก็กล่าวอนุโมทนาบุญ พร้อมกับกล่าวว่า "คุณไม่ใช่คนใหม่ของที่นี่ จะมาเมื่อไหร่ก็เชิญนะ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ ขอโมทนาบุญที่ได้บวชและความดีที่ได้ทำมาทั้งหมด"
สาธุ นับเป็นบุญของกระผมอย่างยิ่ง บวชเรียนครั้งนี้ได้อะไรต่อมิอะไรมากมายกว่าที่ผมจะพรรณาได้หมดจริง ๆ ครับ
แล้วจังหวัดสตูลเป็นดินแดนแห่งความลี้ลับตรงไหน?
พระอาจารย์บุญเริญท่านเป็นผู้แสวงหาความสงบ ท่านชอบที่จะออกเดินธุดงค์ ท่านเล่าให้ฟังว่า เรื่องของความเป็นทิพย์เฉพาะในจังหวัดสตูลเองนั้นมีมากมาย เฉพาะในวัดของท่านเองก็มีเรื่องราวแปลก ๆ อยู่มาก สตูลเป็นจังหวัดที่มีถ้ำมากมาย มีเทือกเขาที่ยาวและยังเป็นป่าดิบชื้นที่อุดมสมบรูณ์
เรื่องหนึ่งที่ผมพลาดไปคือ กระผมลืมขออนุญาติกราบเรียนขออนุญาตท่าน ขอดู "นารีผลหรือมักกะรีผล" ซึ่งท่านเล่าว่า เทวดาท่านเอามาให้ โยมท็อปเองก็เคยได้เห็นเพราะท่านเคยเอาให้ชม ตลอดจนพระอาจารย์ดุสิตที่ สำนักสงฆ์ถ้ำวังทอง จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นสหธรรมิกกับท่านอาจารย์บุญเริญท่านยังเล่าเรื่องนี้ให้กระผมฟังเช่นกัน กระผมจะแวะทำบุญและกราบท่านเสมอ ๆ เวลาพาคุณแม่ไปตรวจตามรายการนัดของโรงพยาบาล ม.อ.ที่หาดใหญ่ พระอาจารย์บุญเริญยังเล่าให้ฟังว่า เรื่องของความเป็นทิพย์ เขาอยู่รอบ ๆ ตัวเรานี้เอง เท่าแต่ว่า เรามีความดีขนาดไหน ถ้าทำดีมากก็ได้เห็นได้สัมผัสมากเป็นการตอกย้ำความมั่นใจในเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่า ผีมีจริง เทวดามีจริง นรกมีจริง พระนิพพานมีจริงซึ่งเราจะสัมผัสได้ด้วยการปฏิบัติเท่านั้นและยังมีอีกหลายเรื่องราว ที่กระผมต้องย้อนกลับไปพิสูจน์ ไม่ใช่ว่าเพราะตื่นข่าวมงคลใด ๆ แต่ทั้งหมดนั้นมันคือ "กำไรชีวิต" ในมาดของนักปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด
วาโยรัตนะ
09-12-2009, 08:32
๒๔ "หลวงพ่อครับ หนูอยากกลับวัด" (คนอื่นเขาอยากกลับบ้าน แต่หนูอยากกลับวัด)
หลังจากออกเดินทางจากจังหวัดสตูลตั้งแต่ ๐๕.๐๐ น. ด้วยความไม่คุ้นเคยเส้นทางทำให้ใช้ความเร็วในการเดินทางได้ไม่มากนัก เราเปลี่ยนมาใช้เส้นทาง สตูล-ตรัง-กระบี่-พังงา-ภูเก็ต ระหว่างทางก็ได้สนทนาธรรมกับคุณหม่อมพอหอมปากหอมคอ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "เป็นอย่างไรบ้างโยม เมื่อคืนเล่นเอาแทบรากเลือดเลยใช่หรือเปล่า หลวงพี่ลุกเดินแทบไม่ไหว รู้เลยว่าคนที่เขาเป็นอัมพาตไม่มีแรงที่ขา อารมณ์เขาเป็นอย่างไรตอนนั้น หลวงพี่ว่าตอนที่หลวงพี่ขึ้นเทศน์ในวันออกพรรษานั้น เวลาลงมากราบพระ กราบหลวงพ่อแล้ว ขามันแข็งไปทั้งสองข้าง นั่นคือความทรมานที่สุดแล้วนะ แต่ครั้งนี้มันหนักกว่าครั้งนั้น มันทำให้เห็นจริง ๆ เลยว่า
ร่ายกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของของเรา"
โยมหม่อม:"กระผมเคยเจอตอนที่ผมยังบวชอยู่ครั้งหนึ่งครับ ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สองในชีวิต แต่เราก็ผ่านมาได้ครับหลวงพี่ นับเป็นการทำวัตรที่นานที่สุดในชีวิตของผม ณ ขณะนี้"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "สาธุ แสดงว่าที่หลวงพี่พาโยมมาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ โยมได้เจออะไรหลาย ๆ อย่างในคราวเดียวกันเลย หลวงพี่โมทนาบุญด้วยขอให้เจริญ ๆ เอาไว้คราวหน้าโยมบวชกับหลวงพ่อแล้วหลวงพี่สมัครเป็นโยมอุปัฏฐากถือว่าต่างตอบแทน:55318906:"
โยมหม่อม : "ขอรับหลวงพี่"
พูดไปก็ไวเหมือนโกหก เรามาถึงภูเก็ตช่วงประมาณ ๑๑.๐๐ น. ญาติโยมที่บ้าน โยมแม่ โยมภรรยา โยมลูก โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กโตขึ้นมาก จนกระผมแทบจะจำไม่ได้ สภาพบ้านเรือนก็เป็นปกติ สิ่งแรกที่กระผมตรงเข้าไปก่อนก็คือ ห้องพระ กราบพระและอุทิศบุญแสดงความขอบคุณต่อเหล่าเทวดาทั้งหลายตลอดจนเจ้าที่เจ้าทาง ที่ท่านช่วยปกป้องดูแลในขณะที่กระผมไม่อยู่
วันที่สองความรู้สึกของอารมณ์ที่รับเอาอารมณ์กระทบต่าง ๆ มันเริ่มเข้ามา โดยที่จริงเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องปกติ หากแต่ว่าเราต้องระลึกอยู่เสมอว่า เราเป็นพระเป็นสมณะ ความวุ่นวายในการดำรงชีวิตของบุคคลธรรมดาโดยทั่วไป มันทำให้กระผมได้ตระหนักว่า "ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา"
อะไรที่เป็นกิจธุระในการมาในครั้งนี้ กระผมเองจึงต้องปรับเปลี่ยนว่าต้องกระทำให้เสร็จอย่างรวดเร็วที่สุด แล้วรีบเดินทางกลับวัด
การมาสงเคราะห์ ญาติโยมในครั้งนี้ เมื่อต่างก็ได้เห็นซึ่งกันและกันว่า อยู่สบายในบทบาทตามแต่ละบุคคลแล้ว ก็ถือว่าเป็นการดีที่สุดแล้ว ภารกิจที่เหลือก็คือการเดินทางไปจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อนำเงินกฐินที่ญาติโยมร่วมทำบุญมาไปมอบให้กับ "วัดถ้ำวราราม" เพื่อเป็นปัจจัยในการก่อสร้างและบูรณะพระอุโบสถ
เรื่องของปัจจัยต่าง ๆ หลวงพ่อท่านย้ำหนักย้ำหนาว่า "เรารับเงินของญาติโยมมาเพื่อประโยชน์อันใดก็ตาม ที่ญาติโยมเสียสละปัจจัยเหล่านั้นเพื่อร่วมบุญมา จงถือเป็นหน้าที่ว่า เราต้องทำตามวัตถุประสงค์เหล่านั้นของญาติโยม อย่าได้คิดเปลี่ยนแปลงใด ๆ"
การเดินทางไปวัดถ้ำวรารามก็สำเร็จตามวัตถุประสงค์ทุกประการ และแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องลาญาติโยมกลับกรุงเทพฯ โดยมีคุณหม่อมซึ่งติดภารกิจด่วนได้เดินทางกลับล่วงหน้าไปก่อนแล้ว มารอรับที่สนามบิน การขึ้นเครื่องบินครั้งที่แล้วมันทำให้กระผมกลัวจริง ๆ เจ้ากรรมนายเวร ไม่มีคำว่าลดราวาศอกให้เลย โดยปกติกระผมเป็นนักดำน้ำ เรื่องของการปรับความกดดันของอากาศในหูนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก ๆ แต่ในครั้งนั้นกระผมไม่สามารถปรับความกดดันของอากาศในหู มันปวดมาก ๆ ปวดจนคิดว่าแก้วหูคงจะระเบิด ขณะที่เครื่องบินปรับเพดานบินขึ้นไปในระดับความสูง ความเจ็บปวดก็ยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น จนคิดว่าอาจจะต้องมาตายในขณะครองผ้าเหลืองและตายในระดับความสูงที่ใกล้สวรรค์เต็มที :55318906:
กลั้นใจอยู่นาน นึกถึงพระ หลวงปู่ หลวงพ่อ ลูกจะไปถึงวัดท่าขนุนหรือเปล่าขอรับ แต่อย่างไรเสียถ้ามันจะตายลูกก็ขอไปพระนิพพาน ขออโหสิกรรมและอุทิศบุญให้แด่เจ้ากรรมนายเวรท่านนั้น อะไรที่กระผมเคยล่วงเกินก็ขอขมากรรมต่อกัน
ปวดอยู่นานมากร่วมชั่วโมง จนกัปตันประกาศให้สละเครื่อง....:onion_no: ขออภัยครับ จนกัปตันประกาศให้รัดเข็มขัดเพราะจะนำเครื่องลงสนามบินดอนเมือง อาการปวดจึงค่อย ๆ หายไป.....สาธุ:154218d4:ถึงแล้ว ถือว่าเวรกรรมนั้นได้ชดใช้กันไปแล้วนะ ก็ขอให้ท่านเจ้ากรรมนายเวรท่านนี้จงไปสู่สุคติเทอญ...อิทัง ปุญญะ ผะลังฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w43.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w42.jpg
ภาพแรกบนซ้ายมือคือหมู่พระประธานในพระอุโบสถวัดไชยธาราราม(วัดฉลอง หลวงปู่แช่ม)
ภาพบนขวามือ รูปหล่อซ้ายมือสุดคือ พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี (หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง) รูปหล่อตรงกลางคือรูปหล่อของหลวงพ่อช่วง รูปหล่อองค์ที่สามด้านขวามือสุด หลวงพ่อเกลื้อม
ภาพซ้ายมือล่าง พระพี่พระน้องร่วมกันทำวัตรเย็นที่วัดฉลอง
ภาพขวามือล่าง คือ "เรือพระ" ซึ่งเป็นเรือพระประจำปีของวัดถ้ำวราราม
ขอทุกท่านโมทนากับบุญถวายกฐินวัดถ้ำวรารามด้วยเทอญ
วาโยรัตนะ
10-12-2009, 08:43
๒๕ "กิจนิมนต์ที่กรุงเทพฯ (ป้าเม้าท์ฉายเดี่ยว)"
หลังจากเจอกับคุณหม่อมที่สนามบินตามเวลานัดหมายแล้ว ในเรื่องของการเดินทางในครั้งนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เรื่องของเจ้ากรรมนายเวรตามราวีให้เจ็บด้วยอาการปรับความกดอากาศภายในหูนั้นก็หายเป็นปกติไม่ได้เกิดอาการใด จะมีเพียงก็เศษกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เห็นว่า การให้ความเคารพความสำคัญต่อพระสงฆ์องค์เจ้าในสังคมปัจจุบันนั้นมันน้อยลงไปเรื่อย ๆ
รอขึ้นเครื่องโดยปกติแล้ว สายการบินมักจะให้ความเอาใจใส่โดยจะนิมนต์พระภิกษุขึ้นเครื่องก่อนเพื่อความสะดวกในเรื่องของที่นั่งก็ดี และเรื่องอื่นก็ดี
นั้นนับเป็นสิ่งที่ดี แต่วันนั้น กระผมพบเจอกับพนักงานซึ่งหากคิดในแง่ดีก็คือ ยังขาดประสบการณ์อยู่ก็ได้หรือเป็นเศษกรรมของกระผมเอง
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ "โยมนี้ตั๋วเลขที่นั่งของอาตมา จะขึ้นเครื่องแล้วใช่หรือไม่ โยม..." ยังไม่ทันพูดขาดคำ
พนักงานสาวของสายการบินหนึ่ง: "หลวงพี่ไปยืนรอด้านโน้นก่อนนะคะ"
กระผมเองก็ขยับตัวไปยืนรอที่มุมของโต๊ะรายงานตัวขอขึ้นเครื่อง
เห็นแขกชาวต่างชาติก็ดี ผู้โดยสารคนไทยก็ดีต่างทยอยมาเข้าคิวรอขึ้นเครื่อง และแล้วพนังงานกลุ่มนั้นก็ทำงานไปตามปกติ กระผมยืนรอแล้วรออีกจนกลายเป็นคนสุดท้าย ก็เลยถามกับพนังงานคนนั้นไปว่า
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :"โยมโดยปกติถ้ามีพระหรือนักบวช ร่วมโดยสารไปนั้น โยมจะอำนวยความสะดวกให้ขึ้นเครื่องก่อนไม่ใช่หรือ เพื่อความสะดวกหลาย ๆ อย่างของพระก็ดี นักบวชก็ดี ทำไมคราวนี้โยมให้อาตมายืนรอเป็นคนสุดท้ายเลยละ ครั้งที่แล้วอาตมาก็โดยสารกับสายการบินนี้แหละ เห็นว่าให้ความอนุเคราะห์ต่อพระดีมาก อาตมายังชื่นชมอยู่เลย"
หัวหน้าชุดบริการ :"อ้าวแล้วทำไมเธอไม่ดูแลให้หลวงพี่ท่านไปก่อนล่ะ"
พนักงานสาวของสายการบินหนึ่ง:"ก็หนูเห็นคนอื่นมายืนรอกันแล้ว"
หัวหน้าชุดบริการ :"อ้าว! แล้วพระท่านก็มายืนรอเหมือนกัน ท่านยืนรออยู่นานแล้ว เก้าอี้สักตัวให้ท่านนั่งยังไม่มีเลย"
พนักงานสาวของสายการบินหนึ่ง :...................เงียบ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "ไม่เป็นไรโยม แล้วนี่เหลืออาตมาเป็นคนสุดท้ายแล้วนะ จะให้เข้าไปได้หรือยัง"
หัวหน้าชุดบริการ: "นิมนต์ครับหลวงพี่"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :เจริญพร
พอกระผมโผล่ขึ้นไปบนเครื่องบิน ปราฏกว่าที่นั่งของพระภิกษุมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ โชคดีที่มีน้องผู้ชายที่นั่งอีกฝั่งหนึ่ง จัดการขอสลับที่นั่งให้ อะไรมันจะขนาดนี้ เรื่องเจ็บไข้ได้ปวด "เขา" เล่นเราไม่ได้ "เขา" ก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องอื่นแทน เอาก็ชดใช้กันไป เจริญพรคุณโยมเจ้ากรรม
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "ฮัลโหล....เจริญพรโยมทิดตู่ หลวงพี่ถึงกรุงเทพฯ แล้ว....เอ่อคือว่า หลวงพี่อยากจะกลับวัด เพราะรู้สึกว่าอยู่ที่บ้านแล้วมันไม่ค่อยสบายใจสบายเนื้อสบายตัวแบบอยู่ที่วัด......อ๋อโยมก็เป็นเหมือนกันหรือ....ใช่ถูกต้อง
หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า "ที่นั่นไม่ใช่ที่ของเรา"...หลวงพี่เลยกะว่าจะให้โยมหม่อมไปส่งที่วัด.....อะไรนะสัญญาณไม่ค่อยชัด...หา.. หลวงพี่เผื่อน อ๋อพระอาจารย์เผื่อนหรือ? ท่านอยู่กรุงเทพหรือแล้วเย็นนี้โยมต้อมไปรับท่านมาพักที่บ้านโยมต้อมหรือ?....อะไรนะจะนิมนต์หลวงพี่พักด้วยกับพระอาจารย์เผื่อนหรือ? ...ขอหลวงพี่คิดดูก่อนนะ หลวงพี่อยากกลับวัด คนอื่นเขาอยากกลับบ้านแต่หลวงพี่อยากกลับวัดนะโยมทิดตู่....อะไรนะช่วยอยู่สงเคราะห์ญาติโยมหรือ?...ขอคิดก่อนสักครู่นะ....เอาก็เอา พระอาจารย์เผื่อนท่านอยู่ด้วย หลวงพี่ว่าก็นับเป็นเรื่องธรรมะจัดสรร เพราะหลวงพี่เพิ่งจะเข้าใจในคำพูดของหลวงพี่กวางแล้วว่า หลวงพี่เป็นพระใหม่ การจะไปไหนมาไหนนั้นควรจะนิมนต์พระรุ่นพี่ที่บวชตั้งแต่สามพรรษาขึ้นไป ไปด้วยเพื่อช่วยดูแล
เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของศีลของพระนั่นละ ขนาดว่าหลวงพี่ว่าหลวงพี่ก็หนึ่งในตองอูแล้วนะ หลวงพี่ยังรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเลย เอา ๆ โยมหลวงพี่รับนิมนต์ เดี๋ยวให้โยมหม่อมโทรหาโยมต้อมก่อนนะ คืนนี้คงไปพักกับที่บ้านโยมต้อมกับพระอาจารย์เผื่อนท่าน....เจริญพรขอให้มีความคล่องตัวโยม"
วาโยรัตนะ
10-12-2009, 16:42
หลังจากทักทายญาติโยมที่บ้านโยมต้อมได้ไม่นาน พระอาจารย์เผื่อน ท่านก็เดินทางมาถึง นับเป็นบุญของกระผมอีกครั้งช่วงที่พักอยู่กรุงเทพฯ สามวันกับพระอาจารย์เผื่อนนั้น กระผมได้ข้อธรรมและประโยชน์อีกมากมายที่ท่านเมตตาสั่งสอน ท่านได้เล่าประวัติส่วนตัวของท่านตั้งแต่ท่านยังเป็นฆราวาสจนกระทั่งได้บวชที่วัดท่าซุง เส้นทางเดินของครูบาอาจารย์แต่ละท่าน กว่าที่ท่านจะมายืนได้จนถึงจุดนี้นั้น เส้นทางที่ท่านเดินนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลย ความเสียสละของแต่ละท่านนั้นนับเป็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวทั้งสิ้น เพื่อให้ถึงซึ่งทางสว่างสูงสุดในพระพุทธศาสนา
คืนแรกกระผมและพระอาจารย์เผื่อนจำวัดที่บ้านโยมต้อม คืนที่สองกระผมจำวัดที่บ้านโยมซัน พระอาจารย์ท่านพักที่บ้านทิดตู่ ช่วงกลางวันโยมซันกราบนิมนต์เรียนเชิญพระอาจารย์เผื่อนไปเจิมบ้านและศูนย์บีทาเก้นเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในกิจการการงานต่าง ๆ วันรุ่งขึ้นวันที่สามได้นัดกันที่บ้าน "โยมติ๊ก"ช่วงเย็น หลังจากนั้นไม่นานญาติโยมก็เดินทางมาร่วมปฏิบัติกรรมฐาน โดยมีพระอาจารย์เผื่อนท่านเป็นผู้นำสอนมโนมยิทธิ เราใช้เวลาในการนั่งกรรมฐานอยู่ร่วมสองชั่วโมง แต่เป็นสองชั่วโมงที่รู้สึกเหมือนกับว่านั่งแค่ยี่สิบนาที คนที่ตอบชัดเจนเสียงแจ๋วมากที่สุดก็คือป้าเม้าท์ของเรา ๆ ท่าน ๆ นี้เอง ไม่รู้ว่าไปเก็บกดอะไรมาจากไหน ๕๕๕๕๕ (ขอขำอย่างไม่เป็นทางการหน่อยนะครับ)
:70bff581:ซ้ายรู้จัก ขวารู้จัก:55318906: ผู้หญิงคนนี้ใส่เสื้อสีอะไร ผู้ชายคนนี้ใส่กางเกงสีอะไร ป้าเม้าท์ตอบได้หมด:msn_smileys-15: มาหรือยัง ป้าเม้าท์มาหรือยัง :55318906:
ป้าเม้าท์แกไปได้หมด ตอบด้วยความมั่นใจ ไปได้ทุกกระบวนท่าเยี่ยมยุทธจริง ๆ แล้วจะไม่ให้เรียกว่า "ป้าเม้าท์ฉายเดี่ยว" ได้อย่างไร สาธุขอโมทนาบุญด้วยอย่างยิ่ง ความไม่ลังเลสงสัยกับการกระทำตามครูฝึกสั่งทุกขั้นตอนนั้นละคือคำตอบ.....:msn_smileys-15:ต้องขอยกนิ้วให้ป้าเม้าท์ครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w44.jpg
คุณนรินทร์แอบมองป้าเม้าท์หรือเปล่า? ภาพมันฟ้อง ๕๕๕๕๕
วาโยรัตนะ
11-12-2009, 08:48
คืนสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ กระผมและพระอาจารย์เผื่อนได้พักที่บ้านโยมคุณอาคนเก่า หลังจากฉันเช้าเป็นการเรียบร้อยช่วงประมาณ ๑๑ น. โยมหม่อมก็ขับรถป้ายแดงมารับ อานิสงส์ในการปฏิบติธรรมและอำนวยความสะดวกให้กับพระภิกษุ (อันนี้คงไม่ใช่กระผมนะครับ หมายถึงพระอาจารย์เผื่อนท่านครับ) มันแรง "ทำดีได้ดี" สมดั่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสสอนไว้เป็นธรรมอันประเสริฐจริงแท้แน่นอน
หลังจากนั้นพระอาจารย์เผื่อนท่านก็พาไปแวะเอาซองกฐินที่บ้านของท่าน บรรยากาศติดกับป่าชายเลนทำให้กระผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า ใกล้ ๆ กรุงเทพก็มีทะเล ทะเลจริง ๆ ไม่ใช่สวนสยามนะครับ หลังจากนั้นท่านก็เมตตาเจิมรถให้โยมหม่อม นับเป็นพระเมตตาของท่านเป็นอย่างยิ่ง งานนี้เล่นเอาโยมหม่อมยิ้มหน้าบานไปหลายวัน
โยมแม่ของพระอาจารย์เผื่อนท่านชราภาพมากแล้ว ก่อนกลับกระผมและโยมหม่อมได้เห็นภาพประทับใจที่สุดอีกภาพหนึ่ง เมื่อพระอาจารย์ท่านร่ำลา โดยท่านก้มกราบลงแทบเท้าโยมแม่ของท่านด้วยความเคารพยิ่ง มันสะท้อนให้กระผมเห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง คิดถึงโยมแม่ของกระผมเองอย่างจับใจที่สุด แม่คือพระอรหันต์ของลูก ภาพพระอาจารย์กราบโยมแม่นั้นยังประทับใจกระผมไม่รู้ลืม
"พระดี" เขาวัดกันที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำ นับเป็นบุญของกระผมที่ได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์เผื่อนท่าน ถึงจะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ที่ได้รับการสั่งสอนจากท่าน แต่นับเป็นบุญของกระผมอย่างยิ่ง สาธุ กระผมขอกราบแทบเท้าพระอาจารย์เผื่อนด้วยความเคารพยิ่งขอรับ
วาโยรัตนะ
13-12-2009, 20:31
๒๕ "บรวงสรวงพระอุปคุตเถระ"
หลังจากเดินทางกลับมาถึงวันก่อนกำหนดการลากิจสองวัน จึงได้เรียนหลวงพ่อกราบขออนุญาตหลวงพ่ออีกครั้งว่า จะจัดการบวงสรวงพระอุปคุตเถระในวันที่ ๒๒ คือก่อนวันกฐินประจำปีวัดท่าขนุนหนึ่งวัน เนื่องด้วยญาติโยมหลาย ๆ ท่านที่ร่วมเป็นคณะเจ้าภาพจัดสร้างถวายสำหรับงานกฐินประจำปีวัดท่าขนุน ๒๕๕๓ จะได้มาร่วมงานกันได้บางส่วน
ฉันเช้าวันที่ ๑๙
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพ่อขอรับ ตอนนี้ก็ใกล้จะสึกกันแล้ว กระผมไม่ทราบว่าทำไมช่วงนี้กระผมเป็นฝีที่ขาบ่อยขอรับ ก่อนจะออกไปนอกวัดทีไรมักจะเป็นฝีก่อนเสมอขอรับ"
หลวงพ่อ: "ความดีมันจะทะลักนะสิ"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::154218d4::d33561e9:
หลวงพี่เก้า : ๕๕๕๕๕:55318906:
พระครูน้อย ::70bff581:
หลวงพ่อขอรับ "รูปหล่อพระอุปคุต ควรจะตั้งชื่อรุ่นว่าอย่างไรขอรับ พระอุปคุตปราบมารมหาลาภ ได้หรือไม่ขอรับ"
หลวงพ่อ "ด้านหน้าลงฐานบัวให้ลงว่า "พระอุปคุตเถระ" แล้วด้านหลังลงว่า "วัดท่าขนุน ๒๕๕๓" ก็พอแล้ว"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "ขอรับ"
สืบเนื่องจากที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้นำเรื่องของพระอุปคุตปางจกบาตรไปลงตีพิมพ์ หลังจากนั้นก็มีประชาชนมากมายหลั่งไหลมาที่วัดท่าขนุน เพื่อมากราบสักการะและเสี่ยงทายโยนเหรียญ บางคนถึงขนาดตัดหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับที่ลงตีพิมพ์มาด้วย นับว่าบารมีพระอุปคุตสงเคราะห์วัดท่าขนุนเป็นอย่างยิ่ง หลังจากโครงการพระขรรค์โสฬสร่วมบุญกฐินประจำปีวัดท่าขนุน ผ่านพ้นไปด้วยดีแล้ว กระผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจก็พยายามคิดหาว่าควรจะสนองพระเดชพระคุณหลวงพ่อในงานกฐินประจำปีปีหน้าอย่างไร
ก็เหมือนพระท่านดลใจ จึงได้กราบเรียนขออุนญาตหลวงพ่อขอจัดสร้างพระอุปคุตเถระองค์ขนาดเล็ก เพื่อถวายในงานกฐินประจำปีปีหน้า
หลวงพ่อ: "พวกคุณหาเรื่องเหนื่อยกันอีกแล้วใช่หรือไม่? เอา ๆ ทำองค์เล็ก ๆ ให้เยอะ ๆ องค์ใหญ่ถ้าจะทำ ทำไม่ต้องเยอะนะ"
เรื่องของการจะทำอะไรสักอย่างนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคล หลวงพ่อท่านเน้นย้ำเสมอให้ทำด้วยความเคารพ ไม่ใช่สักแต่อยากจะทำ กระผมเองจะทำอะไรนั้น จะต้องกราบเรียนปรึกษาขอความเมตตาจากหลวงพ่อเสมอ ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าของความสำเร็จในงานนั้น ๆ จะดูสวยงาม แต่เบื้องหลังคือความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเสมอ คำปรึกษาที่ได้รับจากหลวงพ่อ มันมากกว่าคำตอบ มันมากกว่าคำสั่ง มันมากกว่าอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น หากกระทำตามนั้นได้ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ถึงจะมีข้อผิดพลาดไปบ้าง หลวงพ่อท่านไม่เคยตำหนิ มีแต่จะสอนว่า
"ความสำคัญมันอยู่ที่อะไรและตรงไหนเป็นหัวใจหลัก อะไรที่ผิดพลาดไปแล้วขอให้จำเป็นบทเรียนแล้วอย่าพลาดอีก เพราะวัตถุมงคลแต่ละชนิด แต่ละชิ้นแต่ละองค์ นั้นมันหล่อหลอมความศรัทธาของคนที่ครอบครองต่อพระพุทธศาสนาและมันฟ้องว่าคนจัดสร้างมีความศรัทธาและพิถีพิถันขนาดไหน รับรองว่า ถ้าทำเพื่อหวังจะดังนั้น ดับก่อนเสมอ"
วาโยรัตนะ
14-12-2009, 09:24
ตอนจัดสร้างพระขรรค์โสฬสใช่ว่าจะไม่มีความผิดพลาดใด ๆ นับเป็นความเมตตาของหลวงพ่ออย่างยิ่ง ที่ท่านตรวจพบและแจ้งมาว่า
"จำเอาไว้เลยนะ เรื่องของพระขรรค์นั้น อักขระเลขยันต์บนใบพระขรรค์นับเป็นหัวใจหลัก จะแก้ไขได้หรือไม่ ?"
ความผิดพลาดในครั้งนั้น ยังนับว่าดีที่แก้ไขได้ทันท่วงที การที่เราประมาทเกินไป ไม่ได้เข้าตรวจสอบ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่จุดตำหนิเล็ก ๆ แต่ก็ทำให้งานที่ออกมาผิดพลาดได้อย่างมหันต์ และอีกเรื่องที่อยากจะถ่ายทอดประสบการณ์ให้ทุกท่านได้ทำความเข้าใจ และขอความกรุณาจดจำไปใช้ก็คือ เวลาปรึกษาอะไรกับหลวงพ่อแล้วนั้น ควรจะกระทำตามโดยเคร่งครัด กระผมตอนนั้น คิดที่จะทำพระขรรค์โสฬสเนื้อนวโลหะเพิ่มเติม จึงกราบเรียนท่านไปว่า
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "หลวงพ่อขอรับ กระผมขอจัดทำพระขรรค์เนื้อนวโลหะเพิ่มเติมขอรับ จึงมากราบเรียนขอคำปรึกษาหลวงพ่อขอรับ"
หลวงพ่อ:"ถ้าคุณจะทำ ก็ต้องทำแบบเต็มสูตรคือมี ทองคำเก้าบาท เงินแปดบาท ...........ฯลฯ ถ้าไม่เต็มสูตรแบบนี้ก็ไม่ใช้เนื้อนวโลหะ คนที่เขามีความรู้จริง เขาจะรู้ว่ามันไม่ใช่ ส่วนถ้าตั้งใจจะทำจริง ๆ ให้ทำแค่ ๑๐๘ เล่มก็พอ แต่ผมว่าอย่าทำเลย........."(ท่านทิ้งเป็นปริศนาธรรมเอาไว้)
กระผมก็คิดตรึกตรองอยู่นาน ความอยากที่จะทำก็มีอยู่เยอะ แต่ทำไมหลวงพ่อท่านบอกว่า "อย่าทำเลย" เมื่อคิดพยายามหาข้อธรรมมาพิจารณา จนคิดไม่ตกเพราะยังมีความอยากที่จะทำอยู่ จึงโทรไปปรึกษาที่ปรึกษาส่วนตัวก็คือ "ทิดตู่"(ค่าจ้างยังไม่ได้ตกลงราคา งานนี้ปรึกษาฟรี! ๕๕๕๕๕) ของเรา ๆ ท่าน ๆ นี้เอง
ทิดตู่: "พี่! ลองสะกดคำว่า"ปรึกษา" ให้ผมฟังหน่อยสิครับ แล้วมันแปลว่าอะไร? คำว่า "ปรึกษา""
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :" (อะไรวะ?):154218d4::5c745924::efb50fe2:"
ทิดตู่: "พี่โทรจิต เฮ้อ! โทรศัพท์ไปปรึกษาท่าน ท่านก็เมตตาให้คำปรึกษาพี่ แล้วถ้าพี่ไม่ทำตามท่าน พี่จะโทรไปทำไม หลวงพ่อท่านไม่ได้มีเวลามานั่งรับโทรศัพท์ทุกคนนะ กระผมขอฟันธงเลยว่า คำตอบที่เราได้รับจากท่านนั้น ท่านต้องเห็นถึงประโยชน์สูงสุดแล้ว ว่ามันเหมาะสมด้วยเหตุอันควรทุก ๆ ประการครับ"
ทักฤทธิ์-ทิดรัตน์:":d16c4689::onion_love::l43841274qn5::af48944b::onion_wink: รับทราบครับผม"
แต่ปัจจุบันผมเห็นมีหลาย ๆ ท่านหลาย ๆ คน โทรไปหาหลวงพ่อไปปรึกษาท่าน และแล้วเมื่อได้รับคำตอบไปแล้ว บางคนบางท่านก็ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านั้น นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง เสียดายอะไรบ้างรบกวนท่าน ๆ ไปคิดกันเอาเองขอรับ:875328cc:
ป.ล.อันนี้เป็นความคิดเห็นเฉพาะส่วนบุคคล และขอรับผิดชอบในการแสดงความคิดเห็นเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชน หากมีความผิดพลาดประการใด ข้าน้อยยอมให้ยึดหนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนี้ โดยมีความยินดีจะมอบให้พร้อมดอกเบี้ยขอรับ:875328cc:
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/Top1.jpg
วาโยรัตนะ
14-12-2009, 12:03
งานบวงสรวงในครั้งนี้ ได้รับความอนุเคราะห์จากคณะแม่ชีชื่นเป็นอย่างยิ่ง ที่ช่วยจัดทำบายศรีและเครื่องคาวหวานต่าง ๆ ในการประกอบพิธี ตลอดจนได้รับความเมตตาจากพระอาจารย์เอ โดยกระผมได้กราบเรียนขอความเมตตาจากท่าน เรียนเชิญท่านเป็นผู้นำในการประกอบพิธี ซึ่งท่านก็ได้ให้ความเมตตาอย่างยิ่ง ออกเดินทางจากรุงเทพฯตั้งแต่เช้าตรู่ ตลอดจนพระพี่พระน้อง คณะแม่ชี และคณะญาติโยมทุก ๆ ท่าน ที่ได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานและร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่เอขอรับ หลวงปู่พระอุปคุตเถระท่านว่าอย่างไรบ้างขอรับ ?"
พระอาจารย์เอ: "ท่านว่า หลวงพ่อเล็กไปเรียนท่านเอาไว้แล้ว ท่านยังบอกว่า อะไรที่ที่เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องบุญในงานพระพุทธศาสนา ก็จัดการทำไปได้เลย ท่านอนุญาต"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "อ๋อ หลวงพ่อเล็กท่านไปเรียนแจ้งเอาไว้แล้ว นับเป็นความเมตตาอย่างยิ่งขอรับ เมื้อกี้กระผมรู้สึกว่าท่านจะยืนมานะขอรับ"
พระอาจารย์เอ: "ถูก ท่านบอกว่านั่งนานแล้ว ขอยืนบ้าง"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: สาธุ
หลังจากกระผมสึกหาลาเพศออกมาได้ไม่นาน ก็มีข่าวคราวเป็นกระแสออกมาว่า "ขนาดหลวงพ่อท่านบอกแล้วว่า อย่าทำ อย่าสร้าง มันก็คิดจะสร้างเอามัน ไปชนกับพระปิดตาของหลวงพ่อที่ท่านจะสร้างออกมา รับรองหงายท้องแน่ ๆ" (อยากจะเอาอวัยวะที่มีห้านิ้วแต่อยู่เบื้องล่าง กว้านขึ้นไปในอากาศ แล้วไปกระทบใบหน้าผู้นั้นยิ่งนัก แต่ "ขันติ"เอาไว้ก่อนขันจะแตก เพราะเราเป็นผู้บวชเรียนมาแล้ว ๕๕๕๕๕)
กระผมเลยสับสนเอามาก ๆ ก็กระผมเป็นคนขออนุญาตหลวงพ่อกับตัวเอง แล้วคนเหล่านั้นเอาข่าวมาจากไหน ส่วนเรื่องการจัดสร้างนั้น มิได้มุ่งหวังประเด็นไปแข่ง หรือกะเอาดัง หรือต้องได้ปัจจัยถล่มทลาย มุ่งหวังไปในบุญอันเป็นประโยชน์ต่องานพระพุทธศาสนา และแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์เท่านั้น ตราบเท่าที่ชีวิตจะหาไม่
หลังจากนั้นไม่นาน กระแสเหล่านั้นก็รุนแรงขึ้น จนคณะน้อง ๆ ผู้ร่วมอุดมการณ์ต้องหวั่นไหวไปหลายท่าน.....จนกระทั่ง
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "หลวงพ่อขอรับ กระผมทิดรัตน์ มารายงานตัวขอรับ เรื่องการจัดสร้างพระอุปคุตตอนนี้ ถึงขั้นตอนการปั้นแบบแล้วขอรับ เมื่อตกลงเรื่องแบบได้สวยงามลงตัวแล้ว ก็จะได้ดำเนินการหล่อเลยขอรับ เอ้อ:154218d4: หลวงพ่อขอรับ กระผมได้ข่าวมาหลายกระแสเลยขอรับ ทำเอาน้อง ๆ หลายคนกำลังใจตกไปเลย ใครไม่ทำกระผมไม่ได้ว่าขอรับ แต่งานนี้กระผมทำครับ"
หลวงพ่อ: "แค่เรื่องแค่นี้พวกคุณก็กำลังใจตก กลายเป็นกำลังใจขี้หมากันไปแล้ว"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"ใครไม่ทำกระผมไม่ได้ว่าขอรับ แต่งานนี้กระผมทำขอรับ"
หลวงพ่อ: "เออ..ดี..! เอาขอให้บ้าต่อไป เจริญ ๆ"
ใครจะว่าผมเข้าข้างตัวเองก็ว่าไปครับ คำว่าว่าบ้าของหลวงพ่อ หมายถึง "บ้าดี" เท่านี้กระผมก็มีกำลังใจมากมายแล้ว การทำเรื่องอะไรสักอย่าง ไม่ใช่สักแต่ว่าอยากทำ งานนี้หลาย ๆ ท่านได้ร่วมบุญมาแล้ว ได้ร่วมบวงสรวงแล้ว ความรับผิดชอบของผมหมายถึงรับทั้งผิดและรับทั้งชอบ แต่ของคนอื่นกระผมไม่รู้ คงจะเป็นเอาแต่ชอบ แต่ไม่เอาผิดกระมังครับ ? แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การเล่นขายของในสายตาและความคิดของตัวกระผมครับ
หลวงพี่ท่านให้ฤกษ์เป็นมงคลในการหล่อมาแล้วนี่ครับ งานนี้ฉลุย เห็นว่าต้นเดือนหน้าท่านก็จะนำชนวนมวลสารอันเป็นมงคล มามอบให้นำไปหล่อด้วย กราบขอบพระคุณขอรับ
เมื่อวานไปดูแบบมาแล้ว งดงามมากครับ:onion_wink::6f428754::msn_smilies-15:
งานนี้นอกจากพวกเราจะได้ร่วมทำบุญมหากุศลถวายกับพระอาจารย์แล้ว ยังได้วัตถุมงคลอันศักดิ์สิทธิ์ และมีค่ายิ่งไว้เป็นอนุสติคุ้มครองตน เป็นมงคลให้กับตนเองและครอบครัวอีกด้วย ตามสไตล์ทีมงานพระขรรค์โสฬสงกบุญ :onion_eiei:
และ "เราจะก้าวไปอีกขั้น" โดยการทำวัตถุมงคลถวายบูชาคุณครูบาอาจารย์ นอกจากจะเปี่ยมไปด้วย พุทธานุภาพ
ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และพรหมา เทวานุภาพเป็นอัศจรรย์แล้ว ยังจะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงามในเชิงของศิลปกรรม พุทธศิลป์แบบช่างฝีมือไทยที่งดงาม ควรค่าแก่การบูชา และเก็บรักษาเอาไว้เป็นมรดกสืบต่อไป ตราบนานเท่านาน
"เราจะก้าวไปด้วยกัน...ก้าวต่อไป!" (นา นา น่า นา เลียนแบบโฆษณา ถ้าท่านใดนึกถึงหน้าคณะผู้จัดทำไม่ออก ก็ให้นึกถึงตัวเอกในโฆษณาแทนก็แล้วกันนะครับ เขาว่า "หล่อ" เหมือนกัน :onion_eiei::onion_smileys06:)
วาโยรัตนะ
15-12-2009, 09:50
คุณมองมุมไหนว่า "ทิดตู่" หล่อกว่าผม ๕๕๕๕๕
โอ้ เขียนมาก็ ๒๕ ตอนแล้ว ไม่มีแมวมองตัวไหน เฮ้อ! คนไหน เอาไปสร้างเป็นละครบ้างเลยหรือ? กะว่าจะออนแอร์แข่งกับ "จามอง" ละครดังจากเกาหลีเลยนะครับนี่
วาโยรัตนะ
15-12-2009, 10:27
๒๖. "ผจญโยมที่บึงลับแล" (เทวดาสงเคราะห์)
หลังจากออกพรรษาแล้ว เหลือเวลาอีกไม่นาน กำหนดการลาสิกขาก็จะมาถึง (วันที่ ๒๗ ตุลาคม) หลังจากเสร็จงานกฐินสามัคคีวัดท่าขนุน นับเป็นโชคดีอย่างยิ่ง ที่หลวงพ่อท่านเมตตาต่อญาติโยม เข้ากรรมฐานก็เพื่อให้ญาติโยมได้อานิสงส์มาก ๆ ในการร่วมบุญกฐินในครั้งนี้
คณะของโยม ญ.ผู้หญิง ได้มาถึงตามที่กราบเรียนขออนุญาตหลวงพ่อท่านเอาไว้ว่า จะนำคณะเข้าไปในบึงลับแล โดยให้หลวงพ่อหน่อยและทิดกอล์ฟเป็นคนนำทาง เรื่อง.........(คำใบ้:อาการที่เอาตัวเองเข้ามีส่วนในเรื่องของชาวบ้านเสมอ ๆ ทั้งที่ไม่ใช้กิจธุระของตัวเอง) เรื่องชาวบ้านกระผมไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว งานนี้ก็วางมาดเรียบร้อย พอให้เป็นที่น่าเกรงใจของญาติโยม
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : โยมกร ๆ "คำมอน" (แปลว่ามานี่) โยมคนไหนคือคุณโยม ญ.ผู้หญิง ไปตามมาเจอหลวงพี่หน่อยสิ
โยม ญ.ผู้หญิง : มีอะไรหรือเจ้าคะหลวงพี่..???
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :หลวงพี่รัตน์จ้ะ หรือ "รัตนวาโย"หรือ "วาโยรัตนะ" เอาเป็น "วาโยรัตนะ" ดีกว่านะ "รัตนวาโย" มันตายไปแล้ว (โยมคงจะงงแน่ ๆ กระผมสังเกตจากสีหน้า)
โยม ญ.ผู้หญิง:หลวงพี่มีอะไรให้รับใช้หรือเจ้าคะ ?
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :อ๋อ โยมมากันกี่ท่านละ ? จะไปบึงลับแลพรุ่งนี้ใช่หรือเปล่า ? ออกเดินทางกี่โมง......??? ฯลฯ (ใส่ไปเป็นชุด) คืออย่างนี้ หลวงพี่อยากจะบอกพวกเราว่า การมาในครั้งนี้ของพวกเรา เรามาเพื่ออะไร ? แล้วเราเอาอะไรไป ? และอะไรที่เราจะเอาไปให้ "เขา" ซึ่ง "เขา" เหล่านั้น ในที่นี้ก็คือเหล่าท่านทั้งหลายในความเป็นทิพย์ตามภพภูมิ ที่เขาอยู่บริเวณบึงลับแลนั่นเอง
งานนี้หลวงพี่อยากให้พวกเราตั้งใจว่า เราจะเอาความดีไปให้เขา ความดีจากไหนล่ะ ? ก็ความดีที่โยมทำในทาน ศีล ภาวนานี้แหละ เพราะฉะนั้น..ตั้งใจให้ดี ๆ นะ ทุกคนทุกท่าน พรุ่งนี้ตื่นมาทำวัตรเช้าตอน ๔.๐๐ น.ตรง เริ่มจากนั่งสมาธิ ตอนเรานั่งก็ตั้งใจว่า จะเอาบุญในการภาวนานี้แหละ อันเป็นบุญที่มีอานิสงส์มาก ไปอุทิศให้เขาและท่านเหล่านั้นที่บึงลับแล แล้วงานนี้หลวงพี่หน่อยท่านไปองค์เดียวหรือ ? หลวงพี่ขอดูก่อนว่าว่างหรือเปล่า ถ้าพรุ่งนี้ ว่างหลวงพี่จะไปช่วยอีกแรง:a03cbf1e: (ช่วยอะไร ? :20f27c58:๕๕๕๕๕ งานนี้เสร็จ ต้องรีบสรุปปิดการขาย:f5f49335:)
โยม ญ.ผู้หญิง:"นิมนต์หลวงพี่ด้วยนะเจ้าคะ มีพระไปด้วยหลายรูปจะได้อุ่นใจ"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :"(ก๊าก ๆ ๆ ในใจ:55318906:สำเร็จ ๆ :onion078:) ได้จ้ะ หลวงพี่รับนิมนต์ เดี๋ยวพรุ่งนี้ทุกคนตั้งใจทำวัตรเช้า สวดมนต์ เจริญสมาธิภาวนากันให้เต็มที่นะ อายุ......พลัง เจริญพร ไปพักผ่อนเอาแรงกันเถอะโยม:onion_yom:"
วาโยรัตนะ
15-12-2009, 19:08
หลังจากทุกท่านร่วมกันทำวัตรเช้ากันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว กำหนดการเดินทางก็เริ่มขึ้นเวลา ๖.๐๐ น. โดยอาศัยรถกระบะของทางวัดหนึ่งคัน ซึ่งทางโยมได้กราบเรียนขออนุญาตใช้งานกับหลวงพ่อไว้แล้ว ทุกคนโดยเฉพาะท่านชายชาตรีทั้งหลาย ก็จัดสรรปันส่วนพื้นที่ท้ายกระบะให้มีความเพียงพอกับจำนวนคน เล่นเอากระผมนั่งจนเหน็บชากินก้นไปเลย เราเดินทางไปซื้อหาเสบียงอาหารก่อน ญาติโยมได้นิมนต์กระผมและพระครูหน่อย ฉันข้าวเช้าที่ตลาดเลยเพื่อความสะดวก โดยให้เวลาโยมแยกย้ายกันไปหาเสบียงอาหารของแต่ละท่านเป็นเวลา ๒๐ นาที หลังจากนั้นเราก็เดินทางตามเส้นทางหมายเลข ๓๒๗๒ (ทองผาภูมิ-บ้านอีต่อง) ผ่านเขื่อนวชิราลงกรณ ไปประมาณ ๒๐ กม.มีป้ายบอกทางอยู่ขวามือเข้าสวนป่าทองผาภูมิ เห็นซุงไม้สักขนาดพอใช้งานได้กองอยู่มากมาย บรรยากาศยามเช้ากับหมอกที่ลงจัด มันเหมือนอีกโลกหนึ่งซึ่งห่างไกล แต่อยู่ใกล้วัดท่าขนุนแค่นี้เอง
ในขณะที่รถของเรากำลังวิ่งเข้าไปยังเป้าหมาย ก็มีรถกระบะบรรทุกคนงานที่ไปทำงานในสวนป่าตามหลังมาหนึ่งคัน ถึงจะเป็นแค่รถกระบะขับเคลื่อนสองล้อธรรมดา แต่ฝีมือคนขับนั้นร้ายเหลือ ถนนที่เต็มไปโดยโคนพี่แก่ยังสไลด์ซ้ายบ้างขวาบ้างตามมาติด ๆ ต้องนับถือความเคยชินชนิดที่เรียกว่า "ขับจนเป็นฌาน" ของลุงคนขับ แต่รถของเราต่างหากที่วิ่งช้าและด้วยถนนแคบ จึงไปสามารถหลบให้รถเจ้าถิ่นแซงไปได้ ๕๕๕๕๕ ขอพระขำบ้างได้หรือเปล่าโยม
ผ่านหอดูไฟป่าได้ไม่นานรถเราก็มาถึงป้ายบอกทางเข้า "เส้นทางเดินป่า บึงลับแล-ต้นไม้ยักษ์" คราวนี้เส้นทางแคบลงกว่าเดิม สองข้างทางไปด้วยต้นไม้ที่มีหนามยื่นออกมาจากริมป่าสองข้างทาง บางครั้งแทบหลบไม่ทันเพราะหนามทั้งต้น ใครหลบไม่ทันรับรองได้ว่า ได้หนามมาเต็มแขนแน่ ๆ โดนกันไปตาม ๆ กัน ถึงจะพยายามหลบแล้วแต่พื้นที่ท้ายกระบะมันบีบ เพราะโดยสารกันมาหลายท่าน ใครว่ามีวิชาดีหนังเหนียว วันหลังต้องของเชิญครับ
วาโยรัตนะ
22-12-2009, 19:44
"Home" (Michael Buble)
Another summer day
Is come and gone away
In Paris and Rome
But I wanna go home
Mmmmmmmm
Maybe surrounded by
A million people I
Still feel all alone
I just wanna go home
Oh I miss you, you know
And I’ve been keeping all the letters that I wrote to you
Each one a line or two
I’m fine baby, how are you?
Well I would send them but I know that it’s just not enough
My words were cold and flat
And you deserve more than that
Another aerorplane
Another sunny place
I’m lucky I know
But I wanna go home
Mmmm, I’ve got to go home
Let me go home
I’m just too far from where you are
I wanna come home
And I feel just like I’m living someone else’s life
It’s like I just stepped outside
When everything was going right
And I know just why you could not come along with me
But this was not your dream
But you always believe in me
Another winter day has come And gone away
And even Paris and Rome
And I wanna go home
Let me go home
And I’m surrounded by
A million people I
Still feel alone
Oh, let go home
Oh, I miss you, you know
Let me go home
I’ve had my run
Baby, I’m done
I gotta go home
Let me go home
It will all right
I’ll be home tonight
I’m coming back home
บทเพลงนี้แสดงออกถึงความคิดถึงบ้านตลอดจนคนรักได้อย่างลึกซึ้ง
เข้าไปฟังได้ที่นี่ครับ http://music.virginradiothailand.com/song/57 แล้วจดจำทำนองแต่เปลี่ยนเนื้อร้องเป็นแบบฉบับของกระผมได้ในข้อความต่อไปครับ
วาโยรัตนะ
22-12-2009, 19:59
และสำหรับบทเพลงนี้คงจะแสดงถึง ความคิดถึงวัดท่าขนุนที่ฝังลึกอยู่ภายในใจของ "ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์" เสมอ:fea27916:
"Wat" (Tid-Rat)
Another summer day
Is come and gone away
In Phuket and phang Nga
But I wanna go wat
Mmmmmmmm
Maybe surrounded by
A million people I
Still feel all alone
I just wanna go wat
Oh I miss you, you know
And I’ve been keeping all the letters that I wrote to you
Each one a line or two
I’m fine baby, how are you?
Well I would send them but I know that it’s just not enough
My words were cold and flat
And you deserve more than that
Another aerorplane
Another sunny place
I’m lucky I know
But I wanna go wat
Mmmm, I’ve got to go wat
Let me go wat
I’m just too far from where you are
I wanna come wat
And I feel just like I’m living someone else’s life
It’s like I just stepped outside
When everything was going right
And I know just why you could not come along with me
But this was not your dream
But you always believe in me
Another winter day has come And gone away
And even Phuket and Phang Nga
And I wanna go wat
Let me go wat
And I’m surrounded by
A million people I
Still feel alone
Oh, let go wat
Oh, I miss you, you know
Let me go home
I’ve had my run
Baby, I’m done
I gotta go wat
Let me go wat
It will all right
I’ll be wat tonight
I’m coming back wat
วาโยรัตนะ
22-12-2009, 20:18
"วัด" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์
วันแห่งคิมหันต์
ผันผ่านมาและผ่านพ้นไป
ในภูเก็ตและพังงา
แต่ฉันอยากกลับวัด:fea27916:
แม้จะมีผู้คนนับแสนนับล้าน
รายล้อมรอบตัวฉัน
แต่กระนั้นฉันยังรู้สึกเปลี่ยวเหงา:l438412717dh8:
เพียงอยากกลับไป กลับคืนสู่วัด
คุณจะรู้บ้างไหม ว่าฉันคิดถึงคุณ
ฉันยังคงเก็บรักษาจดหมายทุกฉบับที่ร่างถึงคุณ
ด้วยเพียงประโยคสองสามบรรทัด ในแต่ละฉบับ
คนดี ฉันสบายดี แล้วตัวคุณเล่า?
ฉันควรส่งจดหมายเหล่านั้น
แต่รู้ดีว่านั่นไม่เพียงพอหรอก
ถ้อยคำของฉันอาจดูเย็นชาและทึมทื่อ:d1eef220:
แต่ฉันรู้ว่าคุณควรค่า กว่านั้น:fea27916:
ก้าวสู่เครื่องบินอีกลำ
สู่แดนดินแห่งดวงตะวันสาดแสงแห่งใหม่
ฉันรู้ว่าตัวเองโชคดี
แต่ก็ปรารถนาที่จะกลับคืนสู่วัด
อยากกลับวัด...:fea27916::33c4b951::onion_emoticons-10:
ปล่อยฉันกลับวัด
ฉันไกลห่างจากคุณเสียเหลือเกิน
อยากกลับไปหา...:msn_smilies-02:
และรู้สึกราวกับว่าได้ละทิ้งชีวิตหนึ่งมา
ประดุจตัวเองก้าวออกมาภายนอก
ในเมื่อทุกอย่างก็ดูเพียบพร้อม
และฉันรู้ว่าทำไม
คุณจึงไม่อาจร่วมเดินไปกับฉัน
เนื่องด้วยว่านี่ไม่ใช่ความใฝ่ฝันของคุณ
แต่คุณก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวฉันเสมอ
วันแห่งเหมันต์
ผันผ่านมาและผ่านพ้นไป
ในภูเก็ตและพังงา
แต่ฉันอยากกลับวัด
ปล่อยให้ฉันได้คืนสู่วัด
แม้จะมีผู้คนนับแสนล้าน
รายล้อมรอบตัว
แต่กระนั้นฉันยังรู้สึกเปลี่ยวเหงา
เพียงอยากกลับไป กลับคืนสู่วัด
คุณจะรู้บ้างไหม ว่าฉันคิดถึงคุณ
ขอฉันคืนสู่วัด
ฉันดำเนินชีวิตมาได้ไกลแล้ว
คนดี ฉันทำได้แล้ว
คงต้องกลับวัด....เสียที
ขอให้ฉันได้กลับไป
ก็คงจะดี
หากค่ำคืนนี้ที่ฉันจะได้อยู่วัด
ฉันจะกลับวัด ....:msn_smilies-02::onion_beg::d33561e9:
วาโยรัตนะ
23-12-2009, 08:17
:fea27916:..สุขเถิดแม่ชี อยู่ดีเถิดหนา พลอยโมทนา หมู่มารอย่ามี
เจอแสงพระธรรมชี้นำเห็นทาง เจอแสงสว่างสิ้นเวรกันที
ลาแล้ว แม่ชี ชาตินี้ขอ โมทนา..:msn_smilies-04::55318906::70bff581:
ผมขอคำคม
ไปใช้บ้างนะครับ
หากไม่อนุญาติ ก็ขอ อโหสิ ครับ
ขอบพระคุณครับ
วาโยรัตนะ
02-01-2010, 21:40
หลังจากผ่านพ้นปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ ๒๕๕๓ กระผมเองพักการเขียนเรื่องราวในกระทู้ไประยะสั้น ๆ (แต่ก็นานเหมือนกันนะครับ) ไม่ได้ขี้เกียจหรือว่าจะหลบหนีหายไปไหน ช่วงของชีวิตบางครั้งมันมีหลาย ๆ เรื่องราวเข้ามาพร้อม ๆ กัน ชนิดที่เรียกว่า ๒๔ ชั่วโมงต่อวันมันดูเหมือนจะมีเวลาไม่พอ
หลวงพ่อเองท่านมักจะบ่นลอย ๆ มาให้ฟังเสมอ ๆ ใครไม่คิดอะไรมันก็ไม่มีอะไร แต่ไอ้คนคิดมากอย่างผม มีหรือจะไม่คิด นั่งคิดนอนคิด ตอนเป็นพระก็คิด สึกออกมาแล้วก็ยังคิดแถมเจอกับตัวเองด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่า "ดูเหมือนเวลาของผมในแต่ละวันมันจะไม่พอ ทั้ง ๆ ที่ผมและพวกคุณมีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน"
เวลามันคือชีวิตจริง ๆ ถ้าเราไปเต้นกับมันไม่คุมสติให้ดี ๆ รับรองมีหวัง......ด้วยบุญของการปฏิบัติหรือคุณงามความดีหรือความมีสติ บางครั้งมันแย้งขึ้นมาว่า ผมกำลังวิ่งตามอะไร...อะไรคือเป้าหมายทั้งทางโลกและทางธรรม พออารมณ์ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น มันเบรกตัวกระผมอย่างชนิดที่เรียกว่า "รถจอดแล้วแต่คนยังกระเด็นทะลุกระจกออกไป" จึงต้องพยายามดึงเอาความสงบกลับเข้ามาให้เร็วที่สุด และแล้วกระผมก็เห็นว่า กระแสโลกมันหมุนชนิดที่เรียกว่า "อย่าได้เผลอสติ" เผลอเมื่อไหร่มีเบลอเสียศูนย์ถ่วงของตัวเองเมื่อนั้น
งานนี้ผมเลยบอกว่าผมกลับมาแล้วพร้อมฟันปลอมหนึ่งคู่ ลองใส่ดูมันก็เท่ห์ดี ๕๕๕๕๕ ว่าแล้วก็จะได้เตรียมข้อมูลในการเขียนกระทู้ต่อไป สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกทุกท่านในปีใหม่นี้ก็คือ "เวลาคือชีวิต"
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/kenshin.jpg
วาโยรัตนะ
03-01-2010, 08:37
ฟันปลอมอันนี้ เราได้แต่ใดมา
มันเคยเป็นของ คุณยายคุณย่าท่านให้
เราใส่ก็เพราะเรา อยากจะหล่อให้บาดใจ
ใส่แล้วหน้างอน ช่วยให้น่าสงสัย
ว่านั่นคน หรือว่าตัวอะไร
เพราะเหตุใด ไยมันทุเรศจัง
สักวาหวานอื่น มีหมื่นแสน
หากว่าอยากมี แฟนจะเอาให้
ใส่ฟันปลอม แบบเรานี้ประลัย
รับรองได้ว่าเธอ จะเจอ.....ตี.....น
วาโยรัตนะ
04-01-2010, 21:29
หลังจากผจญกับหนามยักษ์จนได้แผลเป็นที่หอมปากหอมคอกันแล้ว สารถีเท้าช้าง ( คนขับร่างใหญ่ครับ ๕๕๕๕๕ ) พยายามจะเร่งเครื่องขึ้นไปบนเนิน จนแล้วจนรอดเร่งเครื่องอยู่นาน นานจนทุกคนสรุปว่า "จอดรถแล้วออกเดินเท้าไปเลยดีกว่า" หลังจากจอดรถเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับจัดสรรเสบียงในการเคลื่อนย้าย ตามความรับผิดชอบของแต่ละท่านที่ซื้อหากันมา ตามทุนทรัพย์และความจุในการรับประทาน งานนี้เราก็เริมออกเดินทางเดินจริง ๆ จัง ๆ ซะที
สองข้างทางเต็มไปด้วยหญ้าและดอกไม้ป่า สลับกับกอไผ่ลำโต ๆ ผมเดินไล่กวดโยม ๆ จนกลายเป็นนำหน้าโยมไปหลายก้าว บางช่วงจึงได้มีโอกาสหยุดแวะถ่ายภาพไปตามประสาฉายาในหมู่เพื่อน ๆ ที่เล่นกล้อง เรียกกระผม "ธีระพงษ์ เหลียวเลิ่กลั่ก" จินตนาการบรรเจิด เดินนำไปนำมาจนถึงทางสามแยก งานนี้กระผมไม่แน่ใจและต้องขอบอกเลยว่า อย่ามาเชื่อทิพจักขุญาณของกระผมเป็นอันขาด ขนาดเขียนหนังสือผมยังเขียนผิดเลย ถ้าให้ผมตัดสินใจว่าจะไปทางไหน รับรองได้หลงป่ากันเป็นวัน ๆ แน่ ๆ ครับ
รอไม่นานพระครูหน่อยก็นำท้ายขบวนมาถึง พร้อมกับชี้ทางว่าให้ไปทางซ้ายมือ เดินลงไปตัดลำน้ำเล็ก ๆ แล้วเดินขึ้นเนินชันไปอีกนิดหนึ่ง เมื่อเดินขึ้นไปแล้วก็เจอแคร่ไม้ไผ่ที่หน่วยป่าไม้สร้างไว้ เพื่อเป็นจุดพักของนักเดินป่า ใต้ต้นไม้ใหญ่ดูน่าร่มรื่น งานนี้ก็ทนไม่ได้ที่จะต้องถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก
"โยม ๆ.....โยม ๆ มานี่หน่อยสิ รบกวนถ่ายภาพให้หลวงพี่หน่อยนะ.....เจริญพร ขอบคุณมากโยม.....แหม ฝีมือใช้ได้เลยนะ เดี๋ยวไปเจอที่เหมาะ ๆ แล้วหลวงพี่จะรบกวนอีก"
นั่งยังไม่ทันหายเหนื่อยโยม ๆ ก็มากันครบทุกคน คราวนี้พอหันไปมองเนินอีกเนินหนึ่ง โอ้....ทำไมมันถึงได้ชันขนาดนั้น.......งานนี้เล่นเอาโยมสาว ๆ หลายท่านถึงกับถอดใจ
เสียงปลอบใจของทิดดังสวนมาทันที "นี่แหละครับ คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริง"
กระผมมองขึ้นไป โอ้....มันชันประมาณ ๗๕ ถึง ๘๐ องศา งานนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเต็มที่ เพราะดินมันลื่น แถมยังชันอีกต่างหาก ดีที่ว่าพอจะมีขั้นบันไดดินเก่า ๆ ให้พอสังเกตแนวทางในการก้าวไป งานนี้กระผมออกเดินนำไปก่อน เล่นเอาโรคกลัวความสูงกลับมามีบทบาทในชีวิตอีกครั้งครับ ขาสั่นเล็กน้อยแต่ก็ต้องเก็บอาการ อยู่กับสมาธิกับการภาวนาให้ใจมันนิ่ง ก็พอจะประคองตัวไปได้ คราวนี้ก็เหลือแต่เอาใจช่วยโยม ๆ ทั้งหลาย และแล้วทุกท่านก็ผ่านมาได้ ด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อันเป็นอีกภาพที่ประทับใจกระผมครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w45.jpg
ในภาพเราจะเห็นความชันของพื้นที่ได้อย่างชัดเจน ลักษณะแบบนี้เราเดินขึ้นไป หากจะถามว่ายากหรือไม่ก็ต้องตอบว่า ไม่ยากเท่ากับขาลงที่เราไล่ระดับลงตามความลาดเอียงของไหล่เขา ใครพลาดรับรองได้แผลไปเป็นที่ระลึกครับ แต่พระครูหน่อยท่านบอกว่า หลวงพ่อท่านใช้เวลาเดิน ๔๕ นาทีถึงบึงลับแล แต่สำหรับคณะเรา เราใช้เวลาร่วมเกือบสองชั่วโมง
วาโยรัตนะ
06-01-2010, 06:22
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w46.jpg
จากรูปต้นไม้ที่มีโพรงอยู่นั้นมีเรื่องราวนะครับ หากจะถามกระผมว่าไปบึงลับแลแล้ว กระผมรับรู้เรื่องอะไรในความเป็นทิพย์บ้างหรือไม่ ก็ต้องขอตอบว่า "แน่นอนครับ"
กระผมเดินนำทุก ๆ ท่านไปตามเส้นทาง ทิ้งระยะห่างพอสมควรกับคณะคุณโยมทั้งหลาย จึงได้หยุดพักนั่งตรงแคร่ไม้ไผ่จุดที่สองที่คนสร้างได้สร้างเอาไว้ ตรงใต้โคนต้นไม้ใหญ่ที่มีโพรงดังในรูป.....ทันใดนั้นเอง....ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว กำลังนั่งพักเพลิน ๆ ก็มีแสงสว่างแบบกระพริบ ๆ คล้ายไฟแฟลชจากกล้องถ่ายรูปพร้อมเสียงก้องในหูเบา ๆ (คนอื่นไม่เห็น คนอื่นไม่ได้ยิน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของกระผม โดยเฉพาะเวลาใครส่งวัตถุมงคล หรือเวลากระผมเพ่งมองวัตถุมงคลต่าง ๆ จะมากจะน้อย จะชัดเจนหรือไม่ชัดเจนนั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของกระผมขณะนั้นด้วย อันนี้กรุณาใช้วิจารณญาณของแต่ละท่านด้วยนะครับ อย่าเชื่อจนกว่าจะได้สัมผัสแบบกระผมและอย่าปฏิเสธว่ามันไม่จริงหรือเป็นไปไม่ได้ เรา ๆ ท่าน ๆ ในที่นี้ต่างก็เป็นนักปฏิบัติกันทั้งนั้น.....)
มันจึงทำให้กระผมมั่นใจว่า เทวดาท่านแสดงตนให้รู้ว่า ท่านอยู่ที่ต้นไม้ต้นนี้ กระผมจึงอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน เมื่อโยมเดินขึ้นมาจึงได้บอกว่า ทุกท่านให้อุทิศส่วนกุศลที่ทุกท่านตั้งใจมาดีแล้วเมื่อตอนทำวัตรเช้า และย้ำในข้อความเดิมที่เคยพูดกับคณะโยมว่า "เรามาทำไมและเราจะเอาอะไรมาให้ความเป็นทิพย์ที่นี่ได้บ้าง"
แสงแดดสาดส่องตัดกับความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้าในเขตร้อนชื้น ทำให้ความร้อนภายในร่างกายพุ่งขึ้นสูง ต้องหมั่นสอบถามคณะโยมและหยุดพักเป็นช่วง ๆ เมื่อเรามาถึงจุดสูงสุด คราวนี้เส้นข้างหน้าก็เริ่มมีความลาดเอียงที่ต้องเดินไต่ระดับลงไป ด้วยสภาพป่าที่ร้อนชื้นและสภาพดินที่อุ้มน้ำ ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นไปอีก น้ำหนักตัวที่บวกด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก มันอาจจะนำร่างคนที่เดินแบบไม่ระวังลื่นพลาดท่าได้ง่าย ๆ มีหวังได้แบกกันกลับวัด จากประสบการณ์ที่ได้ไปกราบหลวงตาโมเช่มาแล้วนั้น ทำให้กระผมมีความชำนาญมากขึ้น แต่คณะโยมนั้นสิ งานนี้มีบางท่านบ่นมาแต่ไกล "หลวงพี่..นิมนต์ไปเถอะครับ กระผมรอตรงนี้ก็ได้ขอรับ":9bbc76d5: ถ้ากระผมเป็นกรรมการฟุตบอลงานนี้เอาใบแดงไปเลย โทษฐานที่ทำให้พระเสียกำลังใจ :70bff581:
เทวคันธี
06-01-2010, 10:47
ตอนลงปากบึงที่ชันนี่ ถือว่ามันสุด ๆ แล้ว ผมเอาก้นไถลไปตามพื้น เอาเท้าไว้คอยเบรก มันจริง ๆ แต่ต้องคอยหลบโขดหินกับต้นไม้หน่อย อ่านไปก็นึกถึงโฆษณาของสวนสยามเอานะครับ (พื้นดินต้องเปียกนิดหน่อย) ไม่อยากจินตนาการ นี่ถ้ามีหิมะหน่อยคงได้เล่นสกีกัน เห็นว่ามีข่าวโหรท่านหนึ่งทำนายว่าเมืองไทยจะมีหิมะตก อยากให้ไปตกแถวเมืองกาญจน์หน่อยก็แล้วกัน จะได้ไปเล่นที่บึงลับแล...
หลังจากผ่านพ้นปีเก่าเข้าสู่ปีใหม่ ๒๕๕๓ กระผมเองพักการเขียนเรื่องราวในกระทู้ไประยะสั้น ๆ (แต่ก็นานเหมือนกันนะครับ) ไม่ได้ขี้เกียจหรือว่าจะหลบหนีหายไปไหน ช่วงของชีวิตบางครั้งมันมีหลาย ๆ เรื่องราวเข้ามาพร้อม ๆ กัน ชนิดที่เรียกว่า ๒๔ ชั่วโมงต่อวันมันดูเหมือนจะมีเวลาไม่พอ
หลวงพ่อเองท่านมักจะบ่นลอย ๆ มาให้ฟังเสมอ ๆ ใครไม่คิดอะไรมันก็ไม่มีอะไร แต่ไอ้คนคิดมากอย่างผม มีหรือจะไม่คิด นั่งคิดนอนคิด ตอนเป็นพระก็คิด สึกออกมาแล้วก็ยังคิดแถมเจอกับตัวเองด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่า "ดูเหมือนเวลาของผมในแต่ละวันมันจะไม่พอ ทั้ง ๆ ที่ผมและพวกคุณมีเวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน"
เวลามันคือชีวิตจริง ๆ ถ้าเราไปเต้นกับมันไม่คุมสติให้ดี ๆ รับรองมีหวัง......ด้วยบุญของการปฏิบัติหรือคุณงามความดีหรือความมีสติ บางครั้งมันแย้งขึ้นมาว่า ผมกำลังวิ่งตามอะไร...อะไรคือเป้าหมายทั้งทางโลกและทางธรรม พออารมณ์ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น มันเบรกตัวกระผมอย่างชนิดที่เรียกว่า "รถจอดแล้วแต่คนยังกระเด็นทะลุกระจกออกไป" จึงต้องพยายามดึงเอาความสงบกลับเข้ามาให้เร็วที่สุด และแล้วกระผมก็เห็นว่า กระแสโลกมันหมุนชนิดที่เรียกว่า "อย่าได้เผลอสติ" เผลอเมื่อไหร่มีเบลอเสียศูนย์ถ่วงของตัวเองเมื่อนั้น
งานนี้ผมเลยบอกว่าผมกลับมาแล้วพร้อมฟันปลอมหนึ่งคู่ ลองใส่ดูมันก็เท่ห์ดี ๕๕๕๕๕ ว่าแล้วก็จะได้เตรียมข้อมูลในการเขียนกระทู้ต่อไป สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกทุกท่านในปีใหม่นี้ก็คือ "เวลาคือชีวิต"
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/kenshin.jpg
สักวา แปลงร่าง อย่างกับม้า
ถลึงตา ปากกว้าง ช่างน่าขัน
จมูกบาน อย่างกับหมู ดูมันทำ
โอ้..เวรกรรม ทำไปได้ ไม่อายคน! :onion_no:
คิดดีแล้วหรือคะที่ทำแบบนี้ (อิอิ..ล้อเล่นนะคะพี่ทิดสุดหล่อ) ภาพแรกก็หล่อดีอยู่หรอกค่ะ :onion_wink:
วาโยรัตนะ
06-01-2010, 21:04
สักวา แปลงร่าง อย่างกับม้า
ถลึงตา ปากกว้าง ช่างน่าขัน
จมูกบาน อย่างกับหมู ดูมันทำ
โอ้..เวรกรรม ทำไปได้ ไม่อายคน! :onion_no:
คิดดีแล้วหรือคะที่ทำแบบนี้ (อิอิ..ล้อเล่นนะคะพี่ทิดสุดหล่อ) ภาพแรกก็หล่อดีอยู่หรอกค่ะ :onion_wink:
"ยายนุ้ย" Who are you ?:onion_emoticons-17:
วาโยรัตนะ
06-01-2010, 21:38
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w47.jpg
ภาพของบึงลับแลค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ บึงน้ำสีเขียว แต่งานนี้พระครูหน่อยท่านบอกว่า น้ำยังเยอะอยู่มาก ตอนท่านมาน้ำน้อยกว่านี้
โยม ๆ ทั้งหลายพอเดินทางลงมาถึง ไม่ได้ทันจะหายเหนื่อย เสียงทิดก็ร้องบอกว่า "เดี๋ยวเราจะเดินตัดขึ้นไปทางเดิมแล้วเลี้ยวไปทางซ้ายมือเพื่อไปยังจุดที่หลวงพ่อท่านพักกางกลดในสมัยที่ท่านและคณะมาบำเพ็ญภาวนาที่บึงลับแลแห่งนี้" เราเดินเกาะกลุ่มต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลกไต่ระดับขึ้นตามเส้นทางเดิม หันไปมองอีกทีโยม ๆ ทั้งหลายคงจะสู้ไม่ไหว กระผมจึงนิมนต์พระครูหน่อยท่าน หยุดพักกันตรงแคร่ไม้ไผ่ทางลงสู่บึงลับแล เพื่อรอคณะคุณโยมทุก ๆ ท่านให้พร้อมเพรียงกันอีกครั้งก่อนออกเดินทางต่อไป
เสียงคนขับเท้าช้างคร่ำครวญมาเป็นระยะ ๆ "โอ๊ย....ไม่ไหวแล้ว รู้แบบนี้รอที่รถดีกว่า" คุณ ญ.ผู้หญิง ก็ปลอบขวัญให้กำลังใจไปหลายชุด เร็ว ๆ "อวบ" , สู้หน่อยนะ "อวบ" , "อวบ" สู้ ๆ ทุกคนต่างก็ให้กำลังใจ
มาโยม! ถ้าไม่ไหวก็มานั่งตรงนี้กับหลวงพี่ก่อนก็ได้...โยมตัวใหญ่นั่งยอง ๆ คงจะไม่สะดวก (แต่ระวังแคร่หักนะ) กระผมร้องเรียกก็เพราะเห็นว่าน้ำหนักของคุณโยมคนขับเท้าช้าง คงจะมีปัญหามากกับการต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก งานนี้น้ำหนักคงหายไปอย่างน้อยสองถึงสามกิโลกรัม ดีแล้วจะได้ฟิต "วันหลังไปบวชที่วัดท่าขนุนนะโยม รับรองสุขภาพดีขึ้นแน่นอน หลวงพี่รับประกัน" กระผมแถมไปอีกชุด:70bff581:
วาโยรัตนะ
07-01-2010, 20:09
เมื่อทีมงานทุกท่านพร้อม เราก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ คราวนี้เราเลี้ยวไปทางซ้าย พระครูหน่อยท่านเคยพูดว่า "การเดินเท้าที่บึงลับแลนี้ ทางไหนที่เรารู้สึกหรือว่ามองดูแล้วเหมือนจะใช่ทางที่ถูกต้อง มักจะเป็นทางที่ผิดเสมอ" ผมเองพยายามสังเกตอยู่เสมอ ๆ จากสภาพป่าที่คล้ายกันไปหมด แน่นอน..ถ้าไม่มีความจำที่ดีเลิศหรือไม่มีความชำนาญในเส้นทางแล้ว....มีสิทธิ์ได้กินข้าวลิงแน่นอนครับ ดูไปดูมาเหมือน "ค่ายกลดอกท้อ" ในหนังกำลังภายในเลยครับ
และแล้วเราก็มาถึงทางลงบึงลับแล ซึ่งทางนี้จะลงไปยังจุดที่หลวงพ่อท่านและคณะมาปฏิบัติธรรม หลวงพี่แอ๋วเคยเล่าให้ฟังว่า คราวก่อนที่ท่านมากับคณะเมื่อปีที่แล้ว มาลุยทำเส้นทางให้คณะญาติโยมก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน ตอนนั้นมันหน้าแล้ง เวลาเดินลงต้องคอยหาต้นไม้เป็นจุดเบรกตัวเอง เพราะน้ำหนักตัวขณะเดินลงไป เมื่อบวกกับแรงโน้มถ่วงของโลกแล้วนั้น กลายเป็นคูณสองทันที ใครเบรกไม่เป็นหรือคำนวณระยะผิด งานนั้นมีเจ็บตัว ซึ่งตอนนั้นกระผมเองก็ยังนึกภาพไม่ออก ว่ามันจะชันขนาดไหน
งานนี้พอเจอกับตัวเอง ด้วยสภาพดินที่ลื่นและชื้นแบบนี้ เล่นเอาเลิกเป็นห่วงคณะโยมไปเลย ห่วงตัวเองเอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า งานนี้ทำให้ผมท้อใจอยู่ไม่น้อย จะลงทางซ้ายหรือทางขวาดี ถ้าพลาด...มีเจ็บตัวทั้งนั้น และคาดการณ์ได้ว่าไม่ใช่เป็นการบาดเจ็บเล็กน้อยด้วยสิครับ โยมหลาย ๆ ท่าน ไถลก้นลงไปช้า ๆ โดยเฉพาะโยมผู้หญิงทั้งหลาย งานนี้น่าสงสารมาก กางเกงที่สวมใส่กันมามันไม่มีสภาพของสีเดิม ๆ ให้เห็นเลยครับ บางท่านพอกลับถึงวัดถอดชุดลุยป่าชุดนั้นทิ้งถังขยะไปเลย
หลายต่อหลายจุดที่ผมเองแทบจะหมดปัญญา เพราะมันอ่านทางไม่ออกว่าจะลงไปแบบไหน..กลัวพลาด แต่จริง ๆ ก็ต้องขอบอกว่ากลัวตายด้วยครับ จนแล้วจนรอดค่อย ๆ ใช้ปัญญา ใช้มือ ใช้เท้า ดีนะครับที่ไม่มีอะไรให้คาบเอาไว้เพื่อยึดตัวเองให้มั่นคง ไม่อย่างนั้นคงจะได้ ใช้ปาก ใช้ฟันด้วยครับ.....ใครยังไม่เคยไปต้องบอกว่า ขอเชิญไปพิสูจน์กับตัวท่านเองครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w48.jpg
กระผมพยายามถ่ายภาพย้อนขึ้นไปให้ดูกันครับ ว่าพื้นที่มีความลาดชันขนาดไหน
วาโยรัตนะ
07-01-2010, 20:17
ในที่สุด...ทุกท่านก็เดินทางมาจนถึงเป้าหมาย คือบึงลับแลฝั่งที่หลวงพ่อและคณะมาปฏิบัติธรรม ไม่น่าเชื่อเราใช้เวลารวมทั้งหมดตอนขาลงมานี้ร่วม ๆ สองชั่วโมง อย่างที่กระผมบอกครับ โยมแต่ละท่านอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เลย แม้แต่กระผมเองยังลื่นล้มไปสองครั้ง แต่รักษาสภาพเอาไว้ได้จนญาติโยมบอกว่า "หลวงพี่ทั้งสองท่านยังดูสง่างามเหมือนเดิมนะขอรับ หากกระผมเอาเสื้อผ้าชุดนี้ไปให้ภรรยาซักมีหวังโดน......แน่ ๆ ขอรับ"
ระดับน้ำของบึงในช่วงนั้นสูงมาก สูงจนท่วมลานดินที่พระครูหน่อยพยายามชี้ให้ดูว่า คือจุดที่หลวงพ่อท่านเดินจงกรม น้ำสีเขียวเข้มในบึงก็ดูน่าพิศวง ดูน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย ใครจ้างกระผมให้ลงไปว่ายน้ำ ต่อให้เอาเงินมากองก่อนสักล้าน ผมเอาแต่เงินครับ คงไม่กล้าลงไปว่ายแน่นอน
"กลัวอวัยวะบางอย่างจะหายไปครับ" :55318906: ถ้ามันหายไป กระผมคงเสียสมดุลในบางเรื่องไปเลยครับ......
เมื่อพักผ่อนจนพอจะหายเหนื่อยแล้ว เราก็เดินเลี้ยวซ้ายไปยังเพิงผาด้านหน้า เห็นร่องรอยของการปรับระดับหน้าดินให้เรียบเพื่อสะดวกในการปฏิบัติและกางกลด ตลอดจนข้าวของต่าง ๆ พวกเครื่องอำนวยความสะดวกในการหุงหาอาหารที่จัดเก็บเอาไว้อย่างเรียบร้อย
เราอยู่จุดนี้ไม่นาน กระผมนำคณะญาติโยมอุทิศส่วนกุศลแล้ว เราก็เดินทางกลับออกมาทันที เพราะเราต้องแข่งขันกับเวลา และกลุ่มเฆมฝนกลุ่มใหญ่ ที่มีทีท่าว่าจะตกในไม่ช้านี้ ถ้าฝนตกการเดินทางก็คงต้องยากลำบากขึ้นแน่นอน เพราะคราวนี้เราต้องเดินไต่ระดับขึ้นไป
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/w49.jpg
ตอนที่กระผมเอามือแตะต้นไผ่ ท่านเทวดาท่านก็แสดงตัวเหมือนเดิมครับ ในอาการแบบที่กระผมรับรู้ได้ ที่เขียนเล่าไว้แล้วก่อนหน้านี้ครับ หากจะดูขนาดของลำไม้ไผ่ ในภาพเมื่อเปรียบเทียบกับมือของกระผมแล้ว โอ้..ไผ่แต่ละลำที่บึงลับแลนี้มีขนาดใหญ่จริง ๆ ครับ
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งจริง ๆ แล้ว ก็ต้องขอบอกให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณพิจารณากันก็คือ ตอนที่กระผมพยายามปีนขึ้นไปบนก้อนหิน ซึ่งตอนนั้นกระผมพยายามหาเส้นทางอื่นแล้ว แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด มองไปด้านไหนมันก็มีความลาดชันมาก จึงพยายามปีนขึ้นไป แต่บังเอิญกระผมพลาด ตอนนั้นคิดว่างานนี้เจ็บตัวแน่ ๆ แค่คิดเท่านั้นเอง ก็มีแสงกระพริบ ๆ พร้อมเสียงคล้าย ๆ เสียงไฟแฟลชกล้องถ่ายรูปดังมาในอากาศ พร้อม ๆ กับรู้สึกเหมือนมีคนมาดันข้างหลัง ให้ประคองตัวขึ้นไปได้ ไม่เสียหลักลื่นล้มแล้วร่วงลงไปครับ กระผมเองเชื่อว่าได้รับความสงเคราะห์จากเทวดาบริเวณนั้นครับ นี่เป็นประสบการณ์หนึ่งที่กระผมยังจำได้อย่างเด่นชัด....สาธุ ขอโมทนาบุญและขอกราบขอบพระคุณที่ช่วยอนุเคราะห์
วาโยรัตนะ
10-01-2010, 22:40
เรื่องราวในช่วงชีวิตหนึ่งของกระผม ซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดและกระผมมีความสุขที่สุด นับตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบัน "สุขใดเล่าจะสู้ความสุขในรสพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้"
สิ่งละอันพันละน้อยที่กระผมเองเอาตัวเข้าแลกมา มันหลอมรวมเป็นสิ่งที่ใหญ่ขึ้น ๆ ในทุกขณะจิต สว่างขึ้น สงบขึ้น ถึงแม้ว่าวันเวลามันจะหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว......การดำเนินชีวิตที่มีเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน มันคือเส้นทางเอกและกระผมกำลังเดินก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
วาโยรัตนะ
13-01-2010, 19:45
http://en.tackfilm.se/?id=1263483103078RA85
ดูให้รู้ว่ามันคือ "มายา" ครับ
ต้อมบางพูน
13-01-2010, 20:03
ผมเคยนั่งคุยกับพี่ทิดตู่คุณหม่อมและคุณนรินทร์ ว่าทำไมพี่รัตน์ถึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เปรียบได้เหมือนน้ำที่ล้นออกมาจากแก้ว:onion_emoticons-18:
ชินเชาวน์
13-01-2010, 20:14
http://en.tackfilm.se/?id=1263483103078ra85
ดูให้รู้ว่ามันคือ "มายา" ครับ
โถ...ทำไปได้...
ผมเคยนั่งคุยกับพี่ทิดตู่คุณหม่อมและคุณนรินทร์ ว่าทำไมพี่รัตน์ถึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ เปรียบได้เหมือนน้ำที่ล้นออกมาจากแก้ว:onion_emoticons-18:
ค่อนข้างจะเชื่อแล้ว...
วาโยรัตนะ
13-01-2010, 21:34
สำหรับหลาย ๆ ท่าน คนที่เปิดลิงค์ไปดูแรก ๆ จิตก็คิดไปว่ากระผมจะเล่นอะไรให้หัวใจวายหรือเปล่า ทั้งภาพและเสียงช่วงแรก จิตมันปรุงแต่งไปแล้วว่าน่าจะเป็นหนังสยองขวัญประเภทที่อยู่ ๆ ก็มีอะไรน่ากลัว ๆ มาโผล่ที่หน้าจอ จิตมันปรุงแต่งไปโน่น ไปนี้ ไปนั้น ตามแต่ภาพและเสียงจะนำไป......เท่าที่ทราบบางท่านมีการภาวนาไปด้วยในขณะนั้น
สุดท้าย....พอดูไปเรื่อย ๆ จิตมันก็ค่อย ๆ รับรู้ว่าคือเรื่องราวอะไร มันต่างจากจิตที่คิดปรุงแต่งไปก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ขำได้หัวเราะได้แต่หันกลับมามีสติลองคิดย้อนไปดูว่า เราปรุงแต่งตามอะไรไปบ้างครับ
วาโยรัตนะ
27-01-2010, 04:07
สิ่งละอันพันละน้อย
วันหนึ่งในขณะเดินบิณฑบาตบริเวณตลาดทองผาภูมิ มีครอบครัวหนึ่งมารอใส่บาตร โดยปกติผู้เป็นแม่จะเป็นคนตักบาตรเสมอ วันนี้เห็นให้ลูกชายซึ่งไม่คุ้นหน้าคุ้นตามากนักเป็นคนตักบาตร พระทั้งหมดร่วมสิบกว่ารูป น้องชายคนนั้นตักเอา ๆ เต็มทัพพีเท่าที่กระผมมองแค่พระเจ็ดองค์ข้าวก็คงจะหมดแล้ว
"ลูกตักแค่องค์ละครึ่งทัพพีสิ...เดี๋ยวใส่บาตรไม่ครบทุกองค์นะลูก"
"แม่....เดี๋ยวพระท่านฉันไม่อิ่ม" น้องชายคนนั้นหันไปตอบพร้อมสีหน้าจริงจัง แถมตักบาตรพระบางองค์สองทัพพีใหญ่ ๆ ส่วนผมเองก็ได้แต่แอบยิ้มในใจ..สาธุโมทนาด้วยแต่ข้าวจะเหลือถึงหลวงพี่หรือเปล่าโยม ?
วาโยรัตนะ
27-01-2010, 10:12
"ฝี"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: หลวงพ่อครับ ก่อนจะสึกทำไมกระผมต้องเป็นฝีครับ ก่อนจะเดินทางไปไหนมาไหนก็เหมือนกัน เช่นไปกราบหลวงตาโมเช่ก็เป็นครับ ตอนไปบึงลับแลก็เป็นครับ เป็นแต่ที่ขาทั้งนั้นเลยครับหลวงพ่อ ไม่ทราบว่าที่เป็นฝีแบบนี้หมายถึงอะไรขอรับหลวงพ่อ:875328cc:
หลวงพ่อ: อ๋อ...ความดีมันจะทะลักนะสิคุณ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์::5c745924:
วาโยรัตนะ
08-02-2010, 23:52
"คดีเด็ด"
วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เวลา ๒๒.๓๕ น.
สายลับจับบ้านน้อย:ว.๑ เรียก ว.๒ จึ๊กกะดึ๋ย ๆ ทราบแล้วเปลี่ยน
ว.๒: ทราบแล้วว่าอย่างไร?
สายลับจับบ้านน้อย: มีรถผู้ต้องสงสัยเลี้ยวเข้ามาในบริเวณเป้าหมาย พร้อมมีชายฉกรรจ์ ๓ คนเดินลงจากรถ หมายเลขทะเบียน กฉ ๘๒xx ภูเก็ต คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นผู้ร่วมขบวนการ นำรถมาส่งมอบ จึงแจ้งเพื่อให้เพิ่มกำลังและดำเนินการตามแผนเดิม ทราบแล้วเปลี่ยน
ว.๒: ทราบแล้วเลิกกัน
ทิดโมช : ตามสบายเลยทิดรัตน์ พักที่นี่รับรองปลอดภัย เอ้า..อาบน้ำอาบท่าให้ชื่นใจก่อน กาแฟ โอวัลติน ขนม ผลไม้ บนโต๊ะตามสบายเลย
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: ครับ ๆ โห..ขับรถมาบ้านทิดนี่ไกลเหมือนกันนะ เอ้า..คุณกิ๊ก ไปอาบน้ำก่อนสิ เอ้อ..ทิดโมช ผมไม่มีผ้าเช็ดตัวมา เพราะเมื่อคืนพักโรงแรม แต่วันนี้โรงแรมเต็ม เลยตัดสินใจมาพักด้วย คิดถึงได้เจอก็ดีใจ เพื่อนร่วมสถาบัน....
คุณกิ๊ก: สถาบันอะไรหรือพี่ ?
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "Thakhanun temple"
หลังจากคุยกันพอหอมปากหอมคอ เวลาก็ผ่านเลยไปถึงเที่ยงคืนกว่าแล้ว เราทั้งสามคนก็แยกย้ายกันเข้านอนตามสภาพร่างกายที่เหนื่อยอ่อนพอสมควร โดยเฉพาะผม เดินตะลุยหาข้อมูลจาก "เวิ้งนครเกษม" ไปทะลุ "เยาวราช" และจบที่ "วงเวียน ๒๒"
งานนี้เป็นฝีที่เท้าอีกตามเคย จะเดินทางไปไหนมาไหน มีอันต้องเป็นทุกที สงสัย "ความดีมันจะทะลัก" อย่างที่หลวงพ่อบอก
วาโยรัตนะ
09-02-2010, 06:01
เวลา ๕.๔๕ น. เช้าตรู่ของวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
"เฮ้ย! วางกำลังล้อมเอาไว้ ระวัง ๆ มันมีปืนนะ ออกมามอบตัวดีกว่า นั่น ๆ มันซุกอยู่ตรงนั้น ค่อย ๆ ล้อมเข้าไป อย่าต่อสู้นะ ถ้าต่อสู้เจอวิสามัญฯ นะ ระวัง ๆ ออกมา ๆ กูสั่งให้ออกมา ชูมือขึ้น....นอนลง"
เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นมาจนถึงชั้นสี่ กระผมและทิดโมชนอนกันอยู่ในห้องได้ยินเสียงแปลก ๆ ก็สงสัยว่าเสียงอะไรจึงรีบเปิดประตูออกไปดู เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยอาวุธครบมือ ล้อมจับผู้ต้องหา
ทิดโมช : ทำอะไรกัน?
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: ทิดโมชเข้าห้องดีกว่าท่าน อาวุธครบมือเลยนะ คงไม่ได้มาเล่นไล่จับกันหรอก อันตรายเดี๋ยวเจอลูกหลง....ส่วนคุณกิ๊กนอนกรนอยู่ในห้อง อือม์ รายนี้นอนหมดสภาพจริง ๆ
กระผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย เข้าใจไปว่าตำรวจคงมาไล่จับคนส่งยาบ้าหรือขโมยกระจอก ๆ อะไรทำนองนั้น แต่เมื่อตื่นแล้วจะไปนอนต่อก็ใช่เรื่อง ทิดโมชเปิดทีวีดูข่าว พร้อมส่งเสียงเชิญชวนให้ชงกาแฟดื่มกัน ไม่กี่อึดใจคุณกิ๊กก็ตื่นมาร่วมวงกาแฟ สนทนากันอย่างได้อรรถรส จนเวลาผ่านไปใกล้จะแปดโมงเช้าแล้ว จึงทยอยกันอาบน้ำเตรียมตัวออกไปทำธุระ ตามกำหนดการต่าง ๆ
ได้เวลาออกเดินทางแล้ว เอาช่วยกันอาราธนาพระแก้วใสทรงเครื่องทั้ง ๕ องค์ไปที่รถ โดยคุณกิ๊กยกไปสององค์ ผมสององค์ ทิดโมชหนึ่งองค์ กำลังใจมันฟูมาก เพราะจะได้นำไปถวายหลวงพ่อ
"ถวายพระแก้วใส ทุกเดือนแบบนี้ ตายไประวังจะมองกายทิพย์ตัวเองไม่เห็น เพราะอานิสงส์การถวายพระแก้วใสนั้น ทำให้กายทิพย์มีความใสสว่างมาก ๆ" ทิดโมชเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อท่านบอกทิดโมชและคณะแบบนี้
กำลังใจของผมมันเลยฟูมาก ยกแบบเกร็งแขนตั้งแต่ชั้นสี่ ลงมาชั้นล่าง พอเจ้ากิ๊กหันมาบอกเท่านั้นว่า "พี่รัตน์รถหาย เมื่อคืนพี่จอดรถตรงนั้นหรือเปล่า" เท่านั้นแหละครับโผล่หน้าออกไปดู พลางคิดในใจอะไรมันบังตูหรือเปล่าวะ ?(ในความเป็นทิพย์ ท่านใดมาแกล้งหรือเปล่า ? ถ้าแกล้งกันเป็นได้มีเรื่อง..มีเรื่อง)
แล้วสิ่งที่ได้เห็นมันคือความว่างเปล่า รถหายไปจริง ๆ กำลังใจที่ยกพระแบบแขนเกร็ง ๆ คราวนี้อ่อนปวกเปียกไปหมด หาที่วางพระได้ก็รีบกระโจนลงไปตรงบริเวณที่เคยจอดรถเมื่อคืน ค่อย ๆ เอามือแหวกไปในอากาศเผื่อจะเจอรถ (คิดได้อย่างไร..?) แต่ไม่เจอแม้แต่โมเลกุลของรถ....ก๊ากกกกกกกก รถหาย! งานนี้ไอ้หวังตายแน่ ภรรยาคงยื่นซองขาวให้แน่นอน..............:fea27916::4519626a::a471739513as2::d1eef220::msn_smilies-02::onion_beg::conion-04:
วาโยรัตนะ
11-02-2010, 14:51
ทนเสียงกดดันไม่ไหวต้องรีบมาเขียนต่อครับ
ขอบคุณหลาย ๆ ท่านที่โทรมาให้กำลังใจ แถมหัวเราะท้องแข็งกันไป ว่าง ๆ ขอให้เจอประสบการณ์แบบกระผม แล้วคุณจะรู้ว่าขำไม่ออก
เมื่อมั่นใจแน่นอนแล้วว่า รถยนต์ของกระผมได้ย้ายสสารไปอยู่ที่อื่นแล้ว
งานนี้ก็หน้าซีดกันเป็นแถว ๆ :7f5341cc:โดยเฉพาะทิดโมชเจ้าบ้าน
ทิดโมช: นักการฯ เห็นรถกระบะสีบรอนซ์เงิน สี่ประตู ทะเบียนภูเก็ตบ้างหรือเปล่า ? รถเพื่อนผมหาย จอดไว้ตรงนี้เมื่อคืนตั้งแต่ตอนสี่ทุ่มกว่า ๆ
นักการฯ : เห็นครับ เห็นว่าตำรวจเอารถมาลากไปโรงพักคลองห้า เมื่อคืนตำรวจล้อมจับแก๊งค์ขโมยรถกัน พี่ไม่ได้ยินเสียงโวยวายบ้างเลยหรือ ? ตอนใกล้ ๆ จะหกโมงเช้านะครับ
ทิดโมช :ได้ยินสิ ผมกับเพื่อนยังออกมายืนดูที่หน้าห้องเลย ผมนึกว่าพวกขายยาบ้าธรรมดา ๆ ตำรวจเอารถไปเมื่อไรล่ะ ?
นักการฯ : เมื่อตอนเจ็ดโมงเช้านี้เอง เขาหาเจ้าของ แต่หาไม่เจอเลยนึกว่าเป็นรถที่ขโมยมา เห็นตำรวจบอกว่าวางกำลังล้อมจับผู้ต้องหาสามคน มันเอารถเข้ามาพักที่นี่เมื่อคืนนี้ แล้วไอ้คนที่เป็นหัวโจก มันเอารถมาพักที่นี่เป็นประจำ คงคิดว่าตบตาตำรวจได้เพราะเป็นสถานที่ราชการ
ทิดโมช :เอาอย่างไรดีทิดรัตน์ ? ต้องไปโรงพักคลองห้าแล้วละผมว่า
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : เรารีบไปกันเถอะ งานนี้ผมเซ็งสุด ๆ เลยว่ะ...
รปภ. : "พี่ ๆ ทั้งสามคนจะไปไหนครับ แล้วหิ้วกล่องอะไร ?" เสียงยามรักษาความปลอดภัยร้องทัก พร้อมเดินสืบเท้าเข้ามาหา
ทิดโมช : อ๋อ...ในกล่องมีพระ จะเอาไปถวายพระอาจารย์
ผมสังเกตเห็นยามคนหนึ่งรีบโทรแจ้งตำรวจ พร้อมกับยามอีกคนก็เข้ามาสอบถามรายละเอียดว่า พักห้องไหน ? มาจากไหน ? ผมเห็นท่าไม่ค่อยจะดี เลยถามกลับไปบ้าง
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :"พี่เห็นรถกระบะสีบรอนซ์เงินบ้างไหม ? ทะเบียนภูเก็ต รถผมหายในมหาวิทยาลัยนี้ ผมมาเยี่ยมเพื่อน พอลงมากะว่าจะออกเดินทางรถก็ไม่อยู่แล้ว:fea27916:"
รปภ. : อ๋อ...พวกพี่นี่เอง :332f960b:ตำรวจเขาตามหาตัวพวกพี่อยู่ เมื่อคืนตำรวจรวบแก๊งค์ขโมยรถ เมื่อเช้าเขายังวางกำลังควานหาเจ้าของรถแปลกหน้าคันของพี่อยู่เลย พี่รีบไปโรงพักก่อนเถอะพี่ เพื่อนผมโทรแจ้งประสานไปให้แล้วเมื่อกี้ เอาเดี๋ยวผมเรียกมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งปากทาง แล้วพี่ต่อแท็กซี่ไปเองนะ
ทิดโมช : ขอบใจมาก
วาโยรัตนะ
11-02-2010, 23:14
เหตุการณ์ต่าง ๆ เมื่อย้อนนึกถึง พี่มารเขาเก่งจริง ๆ "มารไม่ใช่ศัตรู แต่มารคือครูที่ดีที่สุด" ประโยคนี้หลวงพ่อพร่ำสอนเสมอมา เหตุการณ์มีความสอดคล้องกันไปโดยแทบจะนึกไม่ถึง พอเจอหน้านายดาบตำรวจเท่านั้นเรื่องที่น่ากลัวกว่ารถหายก็เกิดขึ้น...:a47173957fi0:
นายดาบตำรวจ : พวกคุณนี้โชคดีนะ ถ้าหากพวกคุณลงมาตอนเจ็ดโมงเช้า มีหวัง...ไม่นอนหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาล ผมเองก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะวางกำลังตำรวจอาวุธครบมือดักรออยู่ แล้วสายก็รายงานตั้งแต่เมื่อคืนว่า พวกขบวนการนี้มีสามคนที่เข้ามาใช้สถานที่นี้เป็นที่พักรถที่ขโมยมา
ทิดโมช : ปกติรถในมหาวิทยาลัย ไม่เคยหายนี่ครับ
นายดาบตำรวจ ::87a4e689: ใครบอกคุณ เดือนที่แล้วหายไปสามคัน ไอ้ที่ผมว่าพวกคุณโชคดีนั่นน่ะ คือถ้าเจอพวกคุณตอนช่วงเจ็ดโมงเช้านั้น พวกตำรวจเข้าประกบตัวแน่ ๆ ถ้าต่อสู้ขัดขืนก็เจ็บตัว ดีไม่ดีถ้าซวย ปืนลั่นใส่ก็ตายฟรี เอ้า..ไปแสดงบัตรประชาชนแล้วรับรถไปได้เลย อ้อ..ขอโทษด้วยที่ปล่อยลมยางไปข้างหนึ่ง ถือว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกันนะ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ครับ ๆ รถไม่หายก็ดีใจแล้วครับ (อย่าไปเดินแถวหน้าบ้านผมนะ..!) :e111de78:
ผมนึกย้อนไปอีกเรื่อง อยู่ ๆ ตอนเช้าก่อนลงมา ทิดโมชก็เอาปืนสั้นมาอวด แถมบอกว่าจะพกไปด้วย งานนี้ถ้าพกลงมาก็เรื่องยาวเลยครับ ถ้าตรงช่วงตำรวจดักรออยู่ งานนี้ยิ่งสมจริงสมจังเข้าไปใหญ่เลย "ขบวนการขโมยรถ" เสือรัตน์ เสือโมช หมากิ๊ก:55318906: ได้เจอวิสามัญฯ แน่ ๆ
วาโยรัตนะ
12-02-2010, 13:38
มากราบหลวงพ่อ ก็อดที่จะรายงานท่านไม่ได้ จึงกราบเรียนรายงานท่าน ไปตามนั้นทุกประการ หลวงพ่อท่านก็บอกพร้อมอมยิ้มเล็กน้อยว่า "พวกคุณพลอยติดหลังแหกับเขาไปด้วย"
"ติดหลังแห" สำนวนนี้เล่นเอาผมพิจารณาอยู่นาน จนเห็นภาพในจิต มันเหมือนกับชาวประมงเหวี่ยงแหไป ติดปลากลุ่มหนึ่ง ซึ่งปลาที่ติดอยู่ในแหนั้น จะดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่รอด หนีออกมาไม่ได้ ส่วนปลาอีกพวกหนึ่งติดหลังแหขึ้นมาด้วย เพราะตาข่ายของแหไปติดอวัยวะบางส่วนของปลาเหล่านั้น ครั้นเมื่อปลาเหล่านั้นดิ้นรน สะบัดตัวไปมา ก็สามารถหลุดออกจากพันธนาการนั้นได้อย่างง่ายดาย แต่หากไม่ดิ้นรนอะไรก็จะพลอยติดแหไปด้วยจริง ๆ เหมือนปลาภายในแห
งานนี้ถ้าผมไม่ดิ้นรนแสดงตัวว่าผมคือใคร ก็คงจะต้องเดือดร้อนไปมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ ที่รอดมาก็เพราะบารมีพระ ถือว่าบุญรักษา
สาธุ "ทำดีได้รับผลของความดีตอบแทนเสมอ ทำชั่วก็ได้รับผลชั่วตอบแทนเสมอเช่นกัน"
แล้วคุณละ วันนี้ทำความดีแล้วหรือยัง?
ป.ล. พระแก้วใสองค์ที่กระผมอัญเชิญมาภูเก็ต ตอนนี้ได้ถวายประดิษฐานที่สำนักสงฆ์เขานาคเกิดเป็นที่เรียบร้อย พร้อมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุวรรณะแก้วใส ซึ่ง"พระ"ท่านประทานให้โดยเสด็จมาเอง และในวันพระที่จะถึงนี้ จะทำการจุดประทีปถวายเป็นเวลา ๑ วัน ๑ คืน ขอทุกท่านร่วมโมทนาบุญด้วยเทอญ
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P2130233.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P2130231.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P2130247.jpg
ต้อมบางพูน
12-02-2010, 13:40
รถหายถือว่าฟาดเคราะห์เล็ก...ดีกว่ากลับไปแล้วเมียที่บ้านหายนะครับพี่ทิดรัตน์ :a03cbf1e:
ช่างเจรจาเสียจริงนะครับ ว่าแต่คุณนรินทร์เตรียมตัวบริหารก้านคอให้แข็งแรงเพื่อรองรับโซ่ตรวนขนาดใหญ่หรือยังครับ :onion_wink:
วาโยรัตนะ
12-02-2010, 13:44
:QUOTE=นรินทร์;34708]รถหายถือว่าฟาดเคราะห์เล็ก...ดีกว่ากลับไปแล้วเมียที่บ้านหายนะครับพี่ทิดรัตน์ :a03cbf1e:
:70bff581: ก๊าก.......
พี่ทิดคะ คืนนี้หากว่าง
ออนเอ็มด้วยค่ะมีเรื่องจะคุยด้วยหลายเรื่อง
(ค่อยมาลบให้นะคะ) :onion_emoticons-23:[/QUOTE]
เมียหาย ผมคงเสียใจแค่ สองวินาที แล้วก็ทำใจได้ ก๊ากกกกกกกกกกกกกกก
ต้อมบางพูน
12-02-2010, 14:33
พี่ทิดรัตน์ครับ "you are the man" :msn_smileys-15:
พิชัยสงคราม
12-02-2010, 17:24
ช่างเจรจาเสียจริงนะครับ ว่าแต่คุณนรินทร์เตรียมตัวบริหารก้านคอให้แข็งแรงเพื่อรองรับโซ่ตรวนขนาดใหญ่หรือยังครับ :onion_wink:
"ผมดูทรงแล้ว.."งานนี้พี่นรินทร์ไม่คอหักก็คงบาดเจ็บสาหัสแน่ ๆ ครับ :onion_love::onion_love:
"ผมดูทรงแล้ว.."งานนี้พี่นรินทร์ไม่คอหักก็คงบาดเจ็บสาหัสแน่ ๆ ครับ :onion_love::onion_love:
:4672615: ตอนนี้นรินทร์กำลังคิดหนักครับท่านผู้ชม!
เพราะกำลังคิดจะอัพเกรดโปรแกรม จาก 'แฟน ๗.๐'มาเป็น 'ภรรยา ๑.๐'
ในปีหน้าครับ แฮ่!:6f428754:
วาโยรัตนะ
13-02-2010, 07:29
"มงคลชีวิตกับของที่เขาบอกว่าอัปมงคล"
การไปกราบ-ทำบุญ ที่บ้านอนุสาวรีย์ในครั้งนี้ เหมือนไปโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่ได้รับกำหนดการใด ๆ อยู่ ๆ เพื่อน ๆ และทางคณะสะพานบุญบอกให้ไปตัดชุด เพื่อไว้ใส่ทำงานสนองพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ในงานบุญต่าง ๆ หลังจากกราบรายงานตัวร่วมถวายสังฆทานแล้ว ก็ถึงเวลาไปหาลู่หาทางทำมาหากินต่อไป เดินหาข้อมูลจนขาลาก ร้อนจนแทบจะแก้ผ้าเดินกลางตลาด:55318906:
ธุรกิจจะร้อยล้านพันล้านหรือวันละแค่สองสามร้อยบาท ถ้ามันเป็นสัมมาอาชีวะ ก็นับเป็นมงคลแก่ชีวิต "อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยทำกิน" ของมือสองที่ต่อชีวิตผมและทำให้ครอบครัวมีความสุข มีงานทำเพิ่มขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น ถึงแม้ในความเชื่อของชาวบ้านที่ว่า ถ้าไปเอาของอะไรก็ตาม ที่คนอื่นเขาทำแล้วเลิกทำแล้วเจ๊ง มาทำมาหากินเราจะเจ๊งไปด้วย สำหรับผมมีคำตอบให้คำเดียวเท่านั้น คือต้องพิจารณาก่อนว่า เจ้าเก่าที่ทำกิจการแล้วเจ๊งเป็นเพราะอะไร แล้วถ้าเราทำมันจะเจ๊งหรือไม่ เริ่มต้นอย่างที่หลวงพ่อสอน คือไม่กู้เงินใครมาทำและหาความรู้ หาข้อมูลก่อนจะทำอะไร ๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
๑.สัมมาทิฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
๒.สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
๓.สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
๔.สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
๕.สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
๖.สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
๗.สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
๘.สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/PC262112.jpg
ทุกวันนี้กระผมแทบจะกราบสิ่งของเหล่านี้ ที่ทำให้มีอาชีพเพิ่ม มีรายได้เพิ่ม มีการพัฒนากระบวนการคิดมีการสร้างสรรค์งาน
เด็กเมื่อวานซืน
13-02-2010, 08:10
:4672615: ตอนนี้นรินทร์กำลังคิดหนักครับท่านผู้ชม!
เพราะกำลังคิดจะอัพเกรดโปรแกรม จาก 'แฟน ๗.๐'มาเป็น 'ภรรยา ๑.๐'
ในปีหน้าครับ แฮ่!:6f428754:
หมั่นนึกถึงคำสอนของหลวงพี่ฯ ประโยคที่ว่า " ทุกข์นั้นมีค่ายิ่งกว่าเพชรยิ่งกว่าทอง " ผมว่าช่วยได้นะครับ
ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสครับ
เด็กเมื่อวานซืน
13-02-2010, 21:14
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/PC262112.jpg
ชอบมากครับ ว่าแต่ตัวจรวดที่เขาเอาไว้เติมก๊าซนี่ ผมไม่แน่ใจว่าหายไปไหนหรือเปล่าครับ เพราะดูในรูปไม่เห็นมี(ผมมองเห็นแต่แท่นที่น่าจะเป็นตัวเติมก๊าซน่ะครับ)
ไว้วันหลังเผื่อผมมีโอกาสไปภูเก็ตจะลองแวะไปอุดหนุนครับ :msn_smileys-12:
ปิยะบุตร
13-02-2010, 22:54
http://en.tackfilm.se/?id=1263483103078RA85
ดูให้รู้ว่ามันคือ "มายา" ครับ
:6f428754:สุดยอดเลยท่านพี่!!!
ทำไปได้ แต่ดีนะพี่ผมชอบ
วาโยรัตนะ
13-02-2010, 23:01
:6f428754:สุดยอดเลยท่านพี่!!!
ทำไปได้ แต่ดีนะพี่ผมชอบ
อวตารว่าแน่แล้ว แต่เจอ The Hero เรื่องนี้แล้วจอดเลย
ปิยะบุตร
13-02-2010, 23:10
อาวาตารว่าแน่แล้ว แต่เจอ The Hero เรื่องนี้แล้วจอเลย
รอฉายรอบพิเศษ อำนวยการสร้างโดย
ท่านพี่ทิดรัตน์ แห่งแดนภูเก็ต:onion_wink:
วาโยรัตนะ
13-02-2010, 23:20
มันเป็นไวรัสครับป้า :17f0f3b0: พูดแล้วเครียด..อยากกินน้ำจรวด...:onion_emoticons-22:
ป.ล. "อ้าว"..จรวดหายหรือครับ ? สงสัยว่าเป็นลาง(จะเจ๊ง) แฮ่ ๆ ล้อเล่นครับท่านพี่ :70bff581:
มีแต่จรวดของผมเอาหรือเปล่าละ ? เขากินกันที่รสชาติ ผมเองก็ตักเต็มที่ ไม่เห็นเจ๊งมีแต่ลูกค้าชอบใจ ติดใจ
วาโยรัตนะ
13-02-2010, 23:58
ชอบมากครับ ว่าแต่ตัวจรวดที่เขาเอาไว้เติมก๊าซนี่ ผมไม่แน่ใจว่าหายไปไหนหรือเปล่าครับ เพราะดูในรูปไม่เห็นมี(ผมมองเห็นแต่แท่นที่น่าจะเป็นตัวเติมก๊าซน่ะครับ)
ไว้วันหลังเผื่อผมมีโอกาสไปภูเก็ตจะลองแวะไปอุดหนุนครับ :msn_smileys-12:
สูตรของผมไม่ใช้ก๊าซครับ เพราะนี้คือสูตรโบราณจริง ๆ
ก๊าซดื่มมาก ๆ ไม่ดีต่อสุขภาพและขายแพงมากครับ ๑๐ บาทขาดตัวต่อแก้ว พูดถูกใจฟรี สาว ๆ ฟรี แต่ถ้าเป็นรุ่นป้าเม้าท์ แก้วละ ๑๐๐ บาท ไม่แถมหลอด จะเอาหลอดคิดค่าหลอด ๕๐ บาท:onion_eiei::70bff581::onion_emoticons-26:
วาโยรัตนะ
14-02-2010, 00:03
ได้ยินจากพี่ทิดรัตน์ว่า อาจจะมีการนำน้ำอัดลมโบราณนี้ ไปเปิดให้ทุกท่านได้ลิ้มลองกันที่วัดท่าขนุน คงต้องเอาใจช่วยพี่ทิดรัตน์กันหน่อย ของพี่แกดีจริง ๆ ครับ :msn_smileys-15:
:msn_smilies-11:ส่งเครื่องบิน มาช่วยขนไปหน่อยนะครับ:af48944b:
เด็กเมื่อวานซืน
14-02-2010, 00:17
พูดถูกใจฟรี สาว ๆ ฟรี แต่ถ้าเป็นรุ่นป้าเม้าท์ แก้วละ ๑๐๐ บาท ไม่แถมหลอด จะเอาหลอดคิดค่าหลอด ๕๐ บาท:onion_eiei::70bff581::onion_emoticons-26:
ลูกผู้ชายตัวจริง
:onion_wink::msn_smileys-15::fea27916::1894c7a1::70bff581:
:msn_smilies-11:ส่งเครื่องบิน มาช่วยขนไปหน่อยนะครับ:af48944b:
มีแต่เรือดำน้ำ โอเคไหมจ๊ะ วัดท่าขนุนอยู่ริมน้ำ น่าจะสะดวกกว่าเครื่องบินจ้ะ:54bd3bbb:
วาโยรัตนะ
14-02-2010, 07:22
อยากกินน้ำจรวด >__<
จ่ายเงินมาก่อนเลยท่านสุรจิตร
วาโยรัตนะ
14-02-2010, 20:00
"การจุดประทีปครั้งแรกในชีวิต"
ก่อนอื่นกระผมขอยกเนื้อเรื่องของอานิสงส์ในการจุดประทีปถวายเป็นพุทธบูชาของพระอนุรุทธเถระ ดังมีเนื้อเรื่องตามประวัติดังต่อไปนี้
ในอดีตชาติของพระอนุรุทธเถระนั้น ได้สั่งสมบุญบารมี บำเพ็ญบุญญาธิการในพระพุทธเจ้าทั้งหลายตั้งแต่ปางก่อน
สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เขาเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวยมีทรัพย์มหาศาล ได้ไปวิหารฟังธรรมของพระพุทธเจ้า พบเห็นพระศาสดาทรงแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่ง ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านจักษุทิพย์ (ตาทิพย์)
ก็บังเกิดความปรารถนาเป็นเช่นนั้นบ้าง จึงทำมหาทานตลอด ๗ วัน แด่พระศาสดาและหมู่ภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป
สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธะ เขาถวายประทีป(โคมไฟ) ตะเกียงน้ำมัน ๑,๐๐๐ ดวง แด่พระศาสดาซึ่งเข้าฌาน(อาการจิตแน่วแน่สงบจากกิเลส)อยู่ที่ควงไม้ ไฟลุกโพลงอยู่ตลอด ๓ วันแล้วดับไปเอง
สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว เขาเป็นผู้ร่ำรวย อยู่ในนครพาราณสี ได้สร้างพระเจดีย์ทององค์ใหญ่สักการะแด่พระศาสดา แล้วถือถาดโคมไฟบรรจุด้วยน้ำมัน วางไว้บนศีรษะเดินเวียนรอบพระเจดีย์ บูชาแด่พระศาสดาตลอดทั้งคืน
สมัยที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้าอุบัติ เขาได้เกิดในตระกูลคนยากจนเข็ญใจ ณ นครพาราณสี มีชื่อว่า อันนภาระ เลี้ยงชีพอยู่ได้ด้วยการรับจ้างทำงานต่าง ๆ มีอยู่วันหนึ่ง เขากับภรรยาได้พบเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า อุปริฏฐะ บิณฑบาตอยู่ในเมือง ทั้งสองบังเกิดความเคารพเลื่อมใสยิ่งนัก จึงสละอาหารของตนที่เตรียมไว้กิน ใส่บาตรถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าหมดสิ้น ไม่เหลือเก็บไว้เลย เขาและภรรยา ไม่เพียงแต่ไม่หิว กลับรู้สึกอิ่มสุข ด้วยมีปีติแห่งบุญเป็นอาหาร
ในชาติสุดท้ายนั้น ได้เกิดเป็นเจ้าชายในศากยวงศ์ เป็นพระโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ พระอนุชาของพระเจ้าสุทโธทนะ(พระเจ้าอาของเจ้าชายสิทธัตถะ) พระประยูรญาติขนานนามให้ว่า อนุรุทธะ
เจ้าชายอนุรุทธะเป็นผู้พรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ(รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส อันน่ารื่นรมย์ใจ) ทั้งหญิงฟ้อนรำและขับร้อง มีดนตรีบรรเลงให้รื่นเริงบันเทิงใจทุกค่ำเช้า อยู่ในปราสาท ๓ หลังที่เหมาะแก่ ๓ ฤดู เสวยสุขดุจดังเป็นเทวดา แม้แต่อาหารที่เสวยก็ไม่เคยขาดพร่อง มีให้เสวยตลอดเวลา เตรียมไว้เสมอในถาดทองคำ
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระมารดาของเจ้าชายอนุรุทธะทรงดำริขึ้นมาว่า
"บุตรของเราอะไร ๆ ก็มีพรั่งพร้อมไปหมด จึงยังไม่รู้จักกับ "การไม่มี" ฉะนั้น..เราจะต้อง สอนเขา ให้รู้จักการไม่มีเสียบ้าง"
จึงเอาถาดทองเปล่าใบหนึ่ง มาปิดฝาครอบไว้ แล้วให้คนนำไปให้แก่เจ้าชายอนุรุทธะ เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ชีวิต พบกับความขาดแคลนเอาไว้บ้าง จะได้อดทนและเข้มแข็ง ในกาลภายหน้า
วาโยรัตนะ
14-02-2010, 20:02
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงผนวช แล้วบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศากยกุมารทั้งหลายพากันบวชตามพระศาสดา เจ้าชายอนุรุทธะไม่ยินดีในการครองเรือน อันมีการงานไม่หมดสิ้น ที่สุดของการงานไม่ปรากฏ จึงให้เจ้าชายมหานามะซึ่งเป็นเชษฐภาดา(พี่ชาย) อยู่ปกครองบ้านเมือง ส่วนตนเองขอออกบวชดีกว่า
ดังนั้นจึงได้บวชพร้อมกันกับพระเจ้าภัททิยะ เจ้าชายอานนท์ เจ้าชายภัคคุ เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายเทวทัต โดยให้อุบาลีซึ่งเป็นภูษามาลา(ช่างแต่งผม) ได้บวชก่อน เพื่อลดความถือตัวของความเป็นเชื้อสายกษัตริย์ให้เสื่อมคลายลง
บวชแล้วก็ในพรรษานั้นนั่นเอง ภิกษุอนุรุทธะก็สามารถบำเพ็ญเพียรจนได้ทิพยจักษุ (ตาทิพย์) แสวงหาแต่ผ้าบังสุกุล(ผ้าที่เขาทิ้งแล้ว) นำมาซักย้อมเอง แล้วนุ่งห่ม เป็นผู้มีสติ มักน้อย(ปรารถนาน้อย) สันโดษ(ยินดีตามแต่ฐานะของตน) ไม่มีความขัดเคืองใจ ยินดีในวิเวก(สงัดจากกิเลส) ปรารภความเพียรอยู่เป็นนิตย์
ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วิหารปาจีนวังสทายวัน ในแคว้นเจตีย์ กระทำสมณธรรม(ธรรมของผู้สงบระงับกิเลส )อยู่ที่นั่น โดยได้ตรึกตรองด้วยใจว่า
"ธรรมนี้ ๑. เป็นธรรมของผู้มักน้อย มิใช่ของผู้มักมาก ๒. เป็นธรรมของผู้สันโดษ มิใช่ของผู้ไม่สันโดษ ๓. เป็นธรรมของผู้สงัด มิใช่ของผู้ยินดีคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ๔. เป็นธรรมของผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของผู้เกียจคร้าน ๕. เป็นธรรมของผู้มีสติตั้งมั่น มิใช่เป็นของผู้มีสติหลงลืม ๖. เป็นธรรมของผู้มีจิตมั่นคง มิใช่ของผู้มีจิตไม่มั่นคง ๗. เป็นธรรมของผู้มีปัญญา มิใช่ของผู้มีปัญญาทราม"
ภิกษุอนุรุทธะตรึกตรองได้ ๗ ข้อนี้ ก็เกิดปริวิตก(คิดโดยทั่วทุกด้าน)ว่า
"ธรรมะนี้เราพิจารณาถึงที่สุดแล้วหรือยัง"
ขณะนั้นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้วาระจิตในความปริวิตกของพระอนุรุทธะ จึงเสด็จมาโปรดเสริมให้ว่า
"ดูก่อน..อนุรุทธะ เธอจงตรึกตรองในข้อที่ ๘ ว่า ธรรมะนี้เป็นธรรมของผู้ชอบใจในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า ยินดีในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า มิใช่ของผู้ชอบใจในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า ยินดีในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า"
ในเวลาใดที่เธอตรึกตรองถึงมหาปุริสวิตก(ความนึกคิดของมหาบุรุษ) ๘ ประการนี้ ในเวลานั้นเธอจะหวังได้ทีเดียวว่า เธอจะเป็นผู้มีปกติได้ตามความปรารถนาได้โดย ไม่ยากไม่ลำบากในฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
พระอนุรุทธะยินดียิ่งในพระธรรมนั้น ปฏิบัติตามคำสอนของพระศาสดาด้วยความไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนักก็กระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ได้บรรลุวิชชา ๓ ( ๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ = รู้ระลึกชาติได้ ๒. จุตูปปาตญาณ = รู้การเกิดและดับของสัตว์โลกได้ ๓. อาสวักขยญาณ = รู้ความหมดสิ้นไปของกิเลสตนได้) เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย
วาโยรัตนะ
14-02-2010, 20:03
ในเวลาต่อมา พระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมนี้ประทับอยู่ท่ามกลางหมู่สงฆ์ ที่พระเชตวันมหาวิหาร ทรงแต่งตั้งพระอนุรุทธเถระไว้ในตำแหน่ง ผู้มีจักษุทิพย์เป็นเลิศกว่าภิกษุสาวกทั้งหลาย
แม้จะเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่พระอนุรุทธเถระก็ยังคงปฏิบัติตนเคร่งครัดในเรื่องการนอน ท่านได้ประกาศว่า
"เราถือการไม่เอนกายนอนเป็นวัตร(ข้อปฏิบัติ) เป็นเวลาถึง ๕๕ ปีมาแล้ว เรากำจัด ความง่วงเหงา หาวนอนมาแล้ว เป็นเวลา ๒๕ ปี"
ครั้นถึงคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ด้วยความที่ท่านเป็นผู้มีตาทิพย์ ภิกษุทั้งหลายจึงถามท่านว่า
"บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือยัง"
พระอนุรุทธเถระจึงตอบเป็นลำดับให้รู้
"ลมหายใจออกและหายใจเข้า มิได้มีแก่พระศาสดาแล้ว แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน ทรงกำลังทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ คือเสด็จออกจากฌาน ๔ แล้วจึงจะเสด็จปรินิพพาน ด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน จิต(ความคิด)และเจตสิก(อารมณ์อาการของจิต) ทั้งหลาย จะไม่มีอีกต่อไป ชาติสงสาร(การเวียนว่ายตายเกิด)สิ้นไปแล้ว บัดนี้การเกิดในภพใหม่ มิได้มี"
แม้ถึงกาละสุดท้ายของพระเถระนี้ ท่านก็ได้นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ(คือ ดับทั้งกิเลสสิ้น แล้วดับทั้งชีวิตร่างกายขันธ์ ๕ ด้วย ไม่มีการกลับมาเกิดร่างใหม่อีก) ภายใต้พุ่มกอไผ่ที่ใกล้บ้านเวฬุวคาม ในแคว้นวัชชี
(พระไตรปิฎก เล่ม ๗ ข้อ ๓๓๗
พระไตรปิฎก เล่ม ๒๓ ข้อ ๑๒๐
พระไตรปิฎก เล่ม ๒๖ ข้อ ๓๙๓
พระไตรปิฎก เล่ม ๓๒ ข้อ ๖
อรรถกถาแปลเล่ม ๕๓ หน้า ๑๕๕
อรรถกถาแปลเล่ม ๗๐ หน้า ๕๔๖)
- สารอโศก อันดับที่ ๒๗๒ เดือน มิถุนายน ๒๕๔๗ -
วาโยรัตนะ
14-02-2010, 20:20
นับเป็นบุญของกระผมที่ได้ อ่านและระลึกนึกถึง อานิสงส์ของการจุดประทีปถวายเป็นพุทธบูชาพระบรมสารีริกธาตุและพระรัตนตรัย และโชคดีที่ได้เจอสถานที่และครูบาอาจารย์อีกท่าน ที่ท่านเมตตาชี้แนะ
ขออานิสงส์ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้จุดประทีปถวายเป็นพุทธบูชา ขอให้อานิสงส์แห่งการถวายประทีปเป็นพุทธบูชาดังนี้
๑. ย่อมเป็นผู้รู้คุณของพระรัตนตรัย ทำให้มีศรัทธามั่นคง
๒. เป็นผู้มีความเคารพ มีสัมมาคารวะ
๓. เป็นผู้มีดวงตาสดใส สวยงาม มองได้ไกล ดวงตาบริสุทธิ์บริบูรณ์
๔. ทำให้เป็นผู้มีทิพยจักษุ (ตาทิพย์)
๕. มีผิวพรรณผ่องใส มีจิตใจสดชื่นเบิกบาน
๖. มีรัศมีกายสว่างไสว มีสติสัมปชัญญะ ไม่ประมาทในชีวิต
๗. ทำให้มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีปฏิภาณว่องไว แตกฉานในสรรพวิชชาทั้งทางโลก และทางธรรม
๘. ย่อมไม่ไปเกิดในทุคติ
๙. ย่อมได้ดวงตาเห็นธรรม เห็นชัดเจนกิเลสตน บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย
จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เทอญ.
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/prateep.jpg
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/prateep2.jpg
วาโยรัตนะ
15-02-2010, 11:22
"มงคล ๓๘ ประการ"
จากประสบการณ์ในชีวิตทั้งก่อนบวชและหลังบวช กระผมเองก็ตั้งใจว่าจะนำมาเล่าสู่กันฟัง.."ฝนที่ตกทางโน้นหนาวถึงคนทางนี้" ก็ว่ากันไปตามทำนอง บทเพลงของพี่เบิร์ด ธงชัย ตั้งใจว่าจะให้ครบทั้ง ๓๘ ประการเลยครับ กำลังเรียบเรียงต้นฉบับอยู่ครับ สำนักพิมพ์ใดสนใจ ติดต่อได้เลยครับ
มงคลที่ ๑
อเสวนา จ พาลานํ (การไม่คบคนพาล)
จากคำคมในวงสุราที่ว่า "คบคนดีกินถั่ว คบคนชั่วกินเหล้า คบทั้งคนดีและคนชั่ว ก็จะได้กินถั่วแกล้มเหล้า" สรุปแล้ว อย่าไปกินมันเลยครับ สุราหรือว่าเหล้า ขนาดสุนัขมันยังไม่กินเลย.....:55318906:
และจากคำพังเพยที่ว่า "คบคนพาลพาลไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล" ครั้งหนึ่งกระผมเคยกราบเรียนสอบถามเรื่องการคบคนตอนนั่งรถไปวัดท่าซุงกับหลวงพ่อว่า
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับ กระผมดูแลเงินทำบุญก้อนหนึ่งอยู่ครับ (เงินนะครับไม่ใช่อย่างอื่น:55318906:) ซึ่งทางญาติโยมตั้งใจร่วมบุญมาเพื่อทำงานบุญงานหนึ่ง แต่กระผมเองเห็นความไม่ชอบมาพากลของคณะบางคณะ แล้วกระผมกลัวว่าเงินเหล่านั้นจะสูญหายไปโดยมิชอบ กระผมควรจะจัดการอย่างไรดีครับหลวงพ่อ (ในใจตั้งใจว่า ถ้าทำงานนั้นไม่สำเร็จก็จะเอาเงินนั้นมาถวายหลวงพ่อแทน เพื่อให้หลวงพ่อนำไปใช้ในกิจการงานใดก็ได้ให้เกิดประโยชน์ในงานพระพุทธศาสนา)
หลวงพ่อ : คนเขาร่วมบุญมา เขาตั้งใจเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ต้องทำไปตามวัตถุประสงค์นั้น จะเอาไปใช้เพื่อการอื่นมิได้ ถ้าไม่อย่างนั้นมีโทษเท่ากับย้ายพระเจดีย์ หรือคุณจะลอง?
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : :onion_emoticons-17:
หลวงพ่อ : อีกเรื่องหนึ่งคือ "เรื่องการคบคน" จะไปศรัทธาใครก็ตาม จะคบใครก็ตาม ให้ดูไปนาน ๆ แล้วคุณจะเห็นหางมันโผล่ ดูให้ดีว่าเป็นหางประเภทไหน ถ้าเป็นหางเหี้...ก็อย่าไปคบกับมัน..ผมเจอมาเยอะแล้ว แรก ๆ ก็มาแบบวัตถุประสงค์ดีทั้งนั้น นาน ๆ ไปหางก็โผล่ เจอโลกธรรม ๘ เข้าไปหางมันจะโผล่ จำเอาไว้นะ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ขอรับหลวงพ่อ:875328cc:
ท่านว่าลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ
๑.คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท และมิจฉาทิฎฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ
๒.พูดชั่ว คือคำพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
๓.ทำชั่ว คือทำอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริตเช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ฉุดคร่าอนาจาร ประพฤติผิดในกาม
รูปแบบของคนพาล มีข้อควรสังเกตคือ
๑. ชอบแนะนำไปในทางที่ผิด หรือที่ไม่ควรแนะนำ อาทิเช่น แนะนำให้ไปเล่นการพนัน ให้ไปลักขโมย ให้กินยาบ้า ให้เสพยา ชวนไปฉุดคร่าอนาจาร เป็นต้น เหล่านี้ถือว่าเป็นพาล
๒. ชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระ อาทิเช่น ไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนให้เรียบร้อย แต่กลับชอบจะไปก้าวก่ายยุ่งกับหน้าที่การงานของผู้อื่น หรือไปจับผิดเพื่อนร่วมงาน แกล้ง ยุยง นินทาว่าร้ายกันและกันเป็นต้น
๓. ชอบทำผิดโดยเห็นสิ่งผิดเป็นของดี อาทิเช่น การสูบยาจะได้เป็นฮีโร่ เห็นคนที่ซื่อสัตย์เป็นคนโง่ไม่กินตามน้ำ ชอบรับสินบน ทุจริตในหน้าที่ หรือช่วยพวกพ้องให้พ้นจากความผิดเป็นต้น
๔. จะโกรธเคืองเมื่อพูดเตือน อาทิเช่น การเตือนเรื่องการเที่ยวเตร่ เตือนเรื่องการดื่มเหล้า กลับบ้านดึก เตือนเรื่องการคบเพื่อนเป็นต้น คนพวกนี้จะโกรธเมื่อได้รับการตักเตือน และไม่รับฟัง
๕. ไม่มีระเบียบวินัย อาทิเช่น ไม่เข้าคิวตามลำดับก่อนหลัง แต่ชอบแซงคิวอย่างหน้าด้าน ๆ ทิ้งขยะลงคลอง หรือข้างทาง ไม่เคารพกฎหมายของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่นเป็นต้น
อย่าคบมิตร ที่พาล สันดานชั่ว
จะพาตัว เน่าดิบ จนฉิบหาย
แม้ความคิด ชั่วช้า อย่ากล้ำกราย
เป็นมิตรร้าย ภายใน ทุกข์ใจครัน
วาโยรัตนะ
16-02-2010, 06:28
มงคลที่ ๒
ปณฺฑิตานญฺ จ เสวนา (การคบหาสมาคมกับนักปราชญ์)
บัณฑิต หมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย) มีลักษณะดังนี้คือ
๑. เป็นคนคิดดี คือ การไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ มีความกตัญญูรู้คุณ เป็นต้น
๒. เป็นคนพูดดี คือ มีวจีสุจริต พูดจริง ทำจริงไม่โกหก ไม่พูดหยาบ ถากถาง นินทาว่าร้าย
๓. เป็นคนทำดี คือ ทำอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำทานเป็นปกตินิสัย อยู่ในศีลในธรรม ทำสมาธิภาวนา
รูปแบบของบัณฑิต มีข้อควรสังเกต คือ
๑. ชอบชักนำในทางที่ถูกที่ควร อาทิเช่น การชักนำให้เลิกทำในสิ่งที่ผิด ตักเตือนให้ทำความดี อย่างเช่น ให้เลิกเล่นการพนัน เป็นต้น
๒. ชอบทำในสิ่งที่เป็นธุระ อาทิเช่น การทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง และใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ ไม่ก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่น เว้นแต่จะได้รับการร้องขอ
๓. ชอบทำและแนะนำสิ่งที่ถูกที่ควร อาทิเช่น การพูดและทำอย่างตรงไปตรงมา แนะนำการทำทานที่ถูกต้อง ทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
๔. รับฟังดี ไม่โกรธ อาทิเช่น เมื่อมีคนมาว่ากล่าวก็ไม่ถือโทษ หรือโกรธ หรือทำอวดดี แต่จะรับฟังแล้วนำไปพิจารณาโดยยุติธรรม แล้วนำมาแก้ไขปรับปรุง
๕. รู้ระเบียบกฏกติกามรรยาทที่ดี อาทิเช่น การรักษาระเบียบวินัยขององค์กร เพื่อให้หมู่คณะมีความเป็นระเบียบ และการดำเนินงานไม่สับสน หรือการรักษาความสะอาด ปฏิบัติ และเคารพกฎ ของสถานที่ ไม่ทำตามอำเภอใจ
หลวงพ่อท่านพยายามสนับสนุนอย่างเต็มที่ ให้พระทุกรูป เด็กวัดทุกคน ได้มีการศึกษาเล่าเรียน อย่างน้อยต้องสอบนักธรรมตรีให้ได้ ทางวัดมีการจัดการเรียนการสอนให้ หรือ ส่งไปเรียนในสำนักเรียนในเมืองหรือที่กรุงเทพฯ วัดอื่น ๆ แถบใกล้เคียงแทบจะไม่มีวัดใดมีความพร้อมในเรื่องนี้เลย
ใครต้องการเทศน์ ใครต้องการอาสาทำงานต่าง ๆ ขอเพียงให้ใจกล้าหน้าด้าน (:70bff581: ผมว่าผมหน้าด้านที่สุด) กล้ากราบเรียนแจ้งความประสงค์ต่อท่าน หากเป็นเรื่องที่ดีหลวงพ่อท่านสนับสนุนเสมอ แต่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำนะครับ ท่านพยายามบ่มเพาะความเป็นบัณฑิตให้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องได้จากห้องเรียนเสมอไป "วิชาความรู้มีอยู่ทุกที่ อยู่ที่คุณเอาใจใส่ไขว่คว้าได้แค่ไหน"
ควรคบหา บัณฑิต เป็นมิตรไว้
จะช่วยให้ พ้นทุกข์ สบสุขสันต์
ความคิดดี เลิศล้ำ ยิ่งสำคัญ
ควรคบกัน อย่าเขว ทุกเวลา
วาโยรัตนะ
18-02-2010, 11:37
มงคลที่ ๓
ปูชา จ ปูชนียานํ (การบูชาบุคคลที่ควรบูชา)
การบูชา คือการแสดงความเคารพบุคคลที่เรานับถือ ยกย่อง เลื่อมใสในบุคคลคนนั้น ซึ่งการบูชาแบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ
๑. อามิสบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของเช่น การนำเงินให้พ่อแม่ไว้ใช้จ่าย หรือมอบทรัพย์สินให้พ่อแม่หรือการนำดอกไม้ ธูปเทียนไปบูชาพระก็ถือเป็นอามิสบูชาเป็นต้น
๒.ปฏิบัติบูชา คือการบูชาด้วยการเจริญสมาธิภาวนา การฝึกจิตให้ไม่ฟุ้งซ่าน เห็นความจริงในความเป็นไปของโลกเป็นต้น
บุคคลที่ควรบูชา มีดังนี้คือ
๑.พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า
๒.พระสงฆ์
๓.พระมหากษัตริย์ผู้ตั้งอยู่ในทศพิศราชธรรม
๔.บิดามารดาและผู้มีพระคุณ
๕.ครูอาจารย์ ที่มีความรู้ดี มีความสามารถและประพฤติดี
๖.อุปัชฌาย์หรือผู้บังคับบัญชาที่มีความประพฤติดี ตั้งอยู่ในธรรม
สำหรับเรื่องนี้เรามีตัวอย่างและแบบอย่าง ก็คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล็ก ท่านนำผมและทิดโมช นั่งรถจากวัดท่าขนุนทองผาภูมิไปวัดท่าซุง เพื่อไปกราบพระศพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษี ท่านบอกว่า "คนอื่นเขาอาจจะไม่ทำ แต่ผมทำ เพราะผมถือเป็นเรื่องที่สำคัญคือต้องมากราบรายงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษี ว่าปีนี้มีพระอยู่ร่วมพรรษากี่รูป" แล้วก็เดินทางกลับวัดท่าขนุน รวมระยะทางกว่าเจ็ดร้อยกิโลเมตร:5c745924::154218d4: แค่นั่งรถเดินทางไปกลับก็เหนื่อยแล้ว และสิ่งที่เราเห็นอยู่เป็นประจำทุกเดือนคือ การทำบุญถวายหลวงปู่สาย ตลอดจนครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่หลวงพ่อเคยปรนนิบัติรับใช้ อย่างที่เรา ๆ ท่านได้รับฟังเรื่องราวจากหลวงพ่อและที่ท่านได้สั่งสอนพวกเราเสมอมา
ควรบูชา ไตรรัตน์ ขัตติเยศร์
ผู้วิเศษ ก่อเกื้อ เหนือเกศา
ครูอาจารย์ เจดีย์ ที่สักการ์
ด้วยบุปผา ปฏิบัติ สวัสดิ์การ
วาโยรัตนะ
18-02-2010, 11:57
มงคลที่ ๔
ปฏิรูปเทสวาโส จ (การอยู่ในถิ่นอันสมควร)
เป็นเมืองกรุง ทุ่งนา หรือป่าใหญ่
ทางมา-ไป ครบครัน ธัญญาหาร
มีคนดี ที่ศึกษา พยาบาล
ปลอดภัยพาล ควรอยู่กิน ถิ่นนั้นแล
ถิ่นอันสมควรควรประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม ๔ อย่างได้แก่
๑.อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึง อยู่แล้วสบาย เช่นสะอาด เดินทางไปมาสะดวก อากาศดี เป็นแหล่งชุมชน ไม่มีแหล่งอบายมุข เป็นต้น
๒.อาหารเป็นที่สบาย หมายถึง อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ เช่นมีแหล่งอาหารที่สามารถจัดซื้อหามาได้ง่าย เป็นต้น
๓.บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึง ที่ที่มีคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี ถ้อยทีถ้อยอาศัย มีศีลธรรม ไม่มีโจร นักเลง หรือใกล้แหล่งอิทธิพล เป็นต้น
๔.ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึง มีที่พึ่งด้านธรรมะ มีที่ฟังธรรมเช่น มีวัดอยู่ในละแวกนั้น มีโรงเรียน หรือแหล่งศึกษาหาความรู้ เป็นต้น
ในร่มเงาของพระพุทธศาสนาถือเป็น "การอยู่ในถิ่นอันสมควร" สมควรทั้งในรูปแบบของพระสงฆ์และฆราวาส
"อาวาสเป็นที่สบาย" วัดท่าขนุนเป็นสถานที่อันสงบเงียบ และได้รับการดูแลปรับปรุงให้เป็นสถานที่ร่มเย็น ด้วยความดูแลเอาใจใส่ นำโดยหลวงพ่อและพระลูกวัดทุกท่าน งานทุกอย่างที่พวกผมกระทำได้ทำไปแล้วตอนที่บวช และงานทุกอย่างที่กำลังดำเนินการโดยพระภิกษุทุกรูปในขณะนี้ เป็นงานเพื่อพระพุทธศาสนา เป็นไปเพื่อความสงบ เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรม
"อาหารเป็นที่สบายและบุคคลเป็นที่สบาย" ด้วยความศรัทธาของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด แต่รวมอยู่ในร่มเงาแห่งพระพุทธศานา ภาพชินตาตอนที่ออกบิณฑบาต ทำให้รู้สึกประทับใจทุกครั้งที่หวนนึกไปถึง อาหารกินที่อาจจะดูไม่เลิศหรูเหมือนอาหารของคนเมือง แต่ในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการและคุณค่าทางจิตใจแล้ว ไม่อาจจะตีมูลค่าออกมาได้ "ยอดฟักทองผัดน้ำมันหอย" กระผมเพิ่งเคยได้กินครั้งแรกก็ตอนบวชนี้แหละครับ สมุนไพรล้วน ๆ ดีต่อสุขภาพ (:onion_sadd::onion_emoticons-01: ใครแย่งมีเหนี่ยว)
กินอะไรก็อิ่มไปหมด อิ่มใจอิ่มบุญ เห็นญาติโยมรักในการทำบุญแล้วดีใจครับ...คนมอญ คนพม่า คนไทยในชนบท เขากราบพระแทบเท้า ถึงพื้นจะเปียกจะแฉะ เขาก็กราบด้วยความศรัทธาด้วยความเคารพจริง ๆ
"ธรรมะเป็นที่สบาย" ถึงหลวงพ่อท่านจะมีภารกิจ มีงานมากมาย แต่ท่านให้ความสำคัญในเรื่องการสั่งสอนเสมอ หลังทำวัตรเย็นถือเป็นโอกาสทองที่จะเก็บเกี่ยวความรู้จากท่าน ในวันพระถ้าหลวงพ่อท่านอยู่วัด นอกจากญาติโยมทุกท่านที่มาทำบุญที่วัด พระเณรทุกรูปก็ได้ฟังธรรมจากท่านเช่นกัน
สรุปใครจะบวชก็รีบสมัครเลยครับ
วาโยรัตนะ
18-02-2010, 23:29
มงคลที่ ๕
ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา (เคยทำบุญมาแต่ก่อน)
สำหรับข้อนี้ คำสั่งสอนของหลวงพ่อ ที่กระผมจำขึ้นใจก็คือ
สมมติว่าถ้านรกสวรรค์ไม่มี ชาติหน้าไม่มี คุณตั้งใจทำความดีก็เสมอตัว
แต่ถ้านรกมี สวรรค์มี ชาติหน้ามี คุณตั้งใจทำความดีคุณก็กำไร
ถ้านรกสวรรค์ไม่มี ชาติหน้าไม่มี คุณทำชั่ว คุณก็เสมอตัว
แต่ถ้านรกมี สวรรค์มี ชาติหน้ามี คุณทำชั่ว คุณก็ขาดทุน
เพราะฉะนั้น..คุณก็เลือกเอาด้วยปัญญาของคุณเองว่า คุณจะเอาเสมอตัวกับกำไรดี หรือ ว่าเสมอตัวกับขาดทุนดี
เลือกเอา ๒ ประตู
และประโยคที่ว่า "การจะได้เกิดมาเป็นมุนษย์ สมบูรณ์ด้วยอาการ ๓๒ นั้นก็ยาก ได้เกิดแล้วมาพบพระพุทธศาสนานั้นก็ยาก พบพระพุทธศาสนาแล้วจะได้ปฏิบัติ จะได้ฟังธรรมก็แสนยาก......"
ถือได้ว่าเราท่าน ๆ เป็นผู้มีบุญ ขึ้นชื่อว่าบุญนั้น มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ
๑. ทำให้กาย วาจา และใจ สะอาดได้
๒. นำมาซึ่งความสุข
๓. ติดตามไปได้ หมายถึงบุญจะติดตัวเราไปได้ตลอดจนถึงชาติหน้า
๔. เป็นของเฉพาะตน หมายถึงขอยืม หรือแบ่งกันไม่ได้ ทำเองได้เอง
๕. เป็นที่มาของโภคทรัพย์ทั้งหลาย คือว่าผลของบุญจะบันดาลให้เกิดขึ้นได้เองโดยไม่ได้หวังผล
๖. ให้มนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ และนิพพานสมบัติแก่เราได้ หมายถึงความสมบูรณ์ตั้งแต่ทางโลก จนถึงนิพพานได้เลย
๗. เป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งนิพพาน ก็คือเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บรรลุถึงนิพพานได้เร็วขึ้นเมื่อปฏิบัติ
๘. เป็นเกราะป้องกันภัยในวัฏสงสาร หมายถึงในวงจรการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือที่เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิดนั้น บุญจะคุ้มครองให้ผู้นั้นเกิดในที่ดี อยู่อย่างมีความสุข หรือตายอย่างไม่ทรมาน ขึ้นอยู่กับกำลังบุญที่สร้างสมมา
การทำบุญนั้นมีหลายวิธี แต่พอสรุปได้สั้น ๆ ดังนี้คือ
๑.การทำทาน
๒.การรักษาศีล
๓.การเจริญภาวนา
กุศลบุญ คุณล้ำ เคยทำไว้
จะส่งให้ สวยเด่น เช่นดวงแข
ทั้งทรัพย์ยศ ไมตรี มีเย็นแด
เพราะกระแส บุญเลิศ ประเสริฐจริง
เรื่องของธรรมะเป็นสากล ใครก็ตามที่เห็นตัวทุกข์ ก็เห็นธรรมเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้ารีบปฏิบัติให้ต่อเนื่อง ไปอารมณ์ก็จะทรงตัว ก็จะได้เลย ส่วนใหญ่พวกเราจะเห็นเป็นพัก ๆ ถ้าทุกข์มาก ๆ ขึ้นมาก็กำลังใจดีหน่อย พอความทุกข์เลยไปก็เริ่มเละใหม่ ทำกันไม่ต่อเนื่อง
"การปฏิบัติทุกอย่างทั้งทางโลกทางธรรม ถ้าขาดการต่อเนื่องผลงานจะไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของทางธรรม ถ้าขาดการต่อเนื่องกำลังของ "อกุศลกรรม" แทรกได้เมื่อไรนี่ ตีคืนได้ยากแล้ว เหนื่อยสาหัสเลย"
สิ่งหนึ่งที่กระผมอธิษฐานเป็นประจำคือ "บุญไม่ว่าจะเล็กน้อย จะใหญ่หลวงประการใด ขอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสสร้างบุญนั้น ส่วนบาปจะเล็กจะน้อยประการใด ก็ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้เกี่ยวข้องใด ๆ เลย"
ป.ล. แถมครับ :onion_love:
วาโยรัตนะ
22-02-2010, 23:20
มงคลที่๖
อตฺตสมฺมาปณิธิ จ(การตั้งตนชอบ)
ต้องตั้งตน กายใจ ในทางถูก
เร่งฝังปลูก ตนไว้ ให้ถูกหลัก
เมื่อตัวตน ยังมี เป็นที่รัก
ควรพิทักษ์ ให้งาม ตามเวลา
"อัตตะ" หรือ "ตน" หมายถึง กายกับใจ (ไม่ใช่ตัวกูของกูนะครับ นั่นพ่อกู นี่พี่กู โน่นเมียกูในอดีตชาติ......:conion-05:)
การตั้งตนไว้ชอบคือ การวางตัวในการดำรงชีพหรือในชีวิตประจำวัน ได้อย่างถูกต้องและมั่นคง ดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย ด้วยความถูกต้องและสุจริต อยู่ในสัมมาอาชีพ มีแผนการที่จะไปให้ถึงจุดหมายนั้นด้วยความไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อม และมีความอดทนไม่ละทิ้งกลางคัน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนมีคุณภาพชีวิต
การตั้งตนไว้ชอบเป็นมงคล เพราะเป็นการสร้างความมั่นคง ความปลอดภัยแก่ตนเอง เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนอื่น มีความก้าวหน้า เป็นผู้ป้องกันภัยในอบายภูมิ และได้รับสมบัติ ๓ ประการคือ มนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ
วาโยรัตนะ
03-03-2010, 00:34
ขอคั่นรายการด้วยงานบุญในวันมาฆบูชาครับ
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/makabucha.jpg
"โยม...การจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ ขอให้โยมตั้งใจว่า ประทีปแต่ละดวงที่โยมจุดนั้น ขอบูชาซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมจนถึงพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่าประทีปที่โยมจุดแต่ละดวงนั้น โยมมุ่งมาดปรารถนาอะไร ด้วยอานิสงส์ในการตั้งจิตตั้งใจจุดประทีปบูชานี้ จะส่งผลให้โยมถึงสิ่งที่โยมมุ่งมาดปรารถนาโดยง่าย สถานที่ที่จะจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัยนั้นหาไม่ได้ง่าย ๆ เมื่อเจอแล้วจะได้มีโอกาสจุดถวายก็ไม่ได้ง่ายเช่นกัน ไม่ใช่แค่สักจุดส่งไปเรื่อยเปื่อย อันนั้นถือว่าใช้ไม่ได้"
ที่ไหนครับ ผมชอบชั้นวางครอบแก้วเชิงเทียน
วาโยรัตนะ
03-03-2010, 17:58
ที่ไหนครับ ผมชอบชั้นวางครอบแก้วเชิงเทียน
ภูเก็ตครับ
อภิทรัพย์
03-03-2010, 21:45
ตรงสำนักสงฆ์ แยกก่อนขึ้นไหว้พระใหญ่หรือเปล่าครับ?
ถ้าไปทางซ้ายจะขึ้นไปพระใหญ่ แยกไปทางขวา เลี้ยวซ้าย ตรงไป เลี้ยวซ้ายไปตามทางขึ้นเขา
เชิงเทียนคุ้น ๆ เหมือนเคยขึ้นไปกราบพระที่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์
วาโยรัตนะ
13-03-2010, 07:43
หลวงพี่: โยม.... การจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ให้โยมตั้งใจนะ.......
ทิดรัตน์-ทัดฤทธิ์: :154218d4:ปกติกระผมก็ท่องบทอิติปิโส บางครั้งก็คาถาเงินล้าน บางครั้งภาวนา "เตโช" บางครั้งก็คาถาต่าง ๆ ขอรับ แล้วจึงตั้งจิตอธิษฐานความประสงค์ในประทีปแต่ละดวงขอรับ ซึ่งแรก ๆ ก็ดีอยู่ขอรับ แต่จุดไปจุดมา งานนี้เห็นว่าคงจะใช้เวลาในการจุดไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง เห็นคนอื่นเขาจุดเสร็จก่อนผมตั้งนาน ทำไปทำมากระผมเลยรีบจุด...แล้วค่อยมาตั้งจิตอธิษฐานที่หลังขอรับ:5c745924:
หลวงพี่: ไม่ถูกนะโยม จำเอาไว้! ให้ตั้งจิตอธิษฐานให้มั่นคงก่อนประทีปดวงแรกให้ถวายเป็นสักการะบูชาต่อ "สมเด็จองค์ปฐม" แล้วให้โยมอธิฐานสั้น ๆ อย่างตั้งใจว่า "ข้าพเจ้าขอบูชาประทีปถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม ขออานิสงส์นี้จงเป็น.......แด่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ" ดวงต่อไปถวายต่อ "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน อนาคต" และไล่เรียงต่อไปจนถึงพระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์.....ไปเรื่อย จำเอาไว้ให้เสมอว่า เราจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุ ที่หลวงพี่ก็พูดไปโยมไปพิจารณาเอาเองนะ
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: ขอรับหลวงพี่:3070242c:
วาโยรัตนะ
08-04-2010, 20:01
....ที่หายไปนาน ไม่ได้หายไปไหนนะครับ กำลังหาข้อมูลในการปฏิบัติตามสภาวะปัจจุบันอยู่ครับ มีหลากหลายเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต....การเกิดมันเป็นทุกข์จริง ๆ เซ็ง!
วาโยรัตนะ
08-04-2010, 20:21
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา.......กระผมใช้เวลาในการจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ร่วมชั่วโมงกว่า ๆ แต่ละดวงประทีป แต่ละคำอธิษฐาน มันปักแน่นและดิ่งลงไปตามกำลังใจในขณะนั้น ความรู้สึกมันรวมตัวอยู่ มันฟู มันเห็นแต่ละกระบวนการผ่านไปอย่างชัดเจน......ภาพพระที่รู้สึกในแต่ละดวงประทีป เป็นไปตามสมาธิในการจุดประทีปดวงนั้น ๆ
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ขอรับ วันนี้กระผมรู้สึกว่าเหมือนได้จุดประทีปจริง ๆ ขอรับ ประทีปแต่ละดวงมีความหมาย มีความรู้สึกตามจิตที่อธิษฐานขอรับ
หลวงพี่: ดีมากโยม...สาธุ ๆ ที่ผ่านมามันเป็นแค่การซ้อม แต่คราวนี้โยมได้จุดประทีปจริง ๆ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ และแล้วมันก็ถึงเวลาของมัน ต้องแบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่าถูกต้อง ค่อย ๆ เรียนรู้ไป
ก่อนหน้านั้น หลวงพี่ท่านมีเรื่องกระซิบบอกกระผมว่า
"โยม พระบรมสารีริกธาตุที่โยมถวายมา ขนาดอาตมาแค่จะยกมือข้ามพระองค์ท่าน อาตมายังทำไม่ได้เลย เทวดาที่ดูแลท่านไม่ยอม แล้วพระบรมสารีริกธาตุหลาย ๆ พระองค์ท่านเปลี่ยนวรรณเป็นแก้วใสสวยงามมาก นี้แหละโยม พระพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่างเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก...สาธุ ๆ"
วาโยรัตนะ
09-04-2010, 06:51
หลวงพ่อเงินไหลมาเทมาและพระแก้วใสทรงเครื่องปางพระจักรพรรดิ์
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ขอรับ กระผมขอกราบอนุญาต ถวายพระแก้วใสทรงเครื่องปางพระจักรพรรดิ์ของวัดท่าซุง ขอหลวงพี่โปรดเมตตารับไว้ด้วยนะขอรับ
หลวงพี่:.............(เงียบ)
และแล้วเมื่อถึงวาระ
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ขอรับ กระผมนำพระมาถวายขอรับ
หลวงพี่: สาธุ ๆ เป็นไปตามที่โยมกล่าวไว้จริง ๆ นะ
ทัดฤทธิ์: สถานที่นี้ศักดิ์สิทธิ์ครับ เมื่อพูดอะไรออกไปกระผมเองก็มั่นใจในสิ่งที่กระผมพูดขอรับ ว่าสามารถทำได้ขอรับและกระผมขอถวายพระบรมสารีริกธาตุพระองค์หนึ่ง ซึ่งกระผมถือว่าเป็นของสำคัญยิ่งในชีวิตกระผม เพราะท่านเสด็จมาให้เห็นกับตาขอรับ
หลวงพี่:..........(เงียบ)
และแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ผ่านไป
หลวงพี่: โยมเป็นคนมีบุญนะ หลังจากที่โยมถวายพระแก้วใสมานั้น สถานที่นี้ก็บังเกิดเรื่องดี ๆ ขึ้นมาหลาย ๆ เรื่อง พระแก้วใสพระองค์นี้ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก แม้แต่เรื่องร้าย ๆ ในชีวิตของโยม ด้วยพระบารมีและอานิสงส์ในการถวายพระพุทธรูป ท่านยังคุ้มครองโยมชนิดที่เรียกว่ากลับจากเรื่องร้าย ๆ ให้กลายเป็นดี ชนิดที่เรียกว่าเส้นยาแดงผ่าแปด สาธุ ๆ บุญรักษาโยม บุญคือสิ่งสำคัญ จะเล็ก จะใหญ่ จะมาก จะน้อย ก็ขอให้หมั่นทำเอาไว้
และแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ผ่านไปอีกวาระ
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ขอรับ กระผมกราบขอความเมตตา กระผมขอถวายหลวงพ่อเงินไหลมาเทมาขอรับ ขอหลวงพี่โปรดรับไว้ด้วย
หลวงพี่: เมื่อไหร่หรือโยม
ทัดฤทธิ์: หลังงานเป่ายันต์เกราะเพชรขอรับ
หลวงพี่: สาธุ ๆ พุทโธ ๆ
และแล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็ผ่านไปวาระหนึ่ง
หลวงพี่: โยม...สมเด็จองค์ปฐมท่านเสด็จมาเมื่อคืน หลวงพ่อเงินไหลมานั้นแหละ ท่านมาปางบิณฑบาต สาธุ ๆ อาตมาได้รับนิมิตเมื่อคืนนี้ นี่แหละโยมพระพุทธบารมีของพระองค์ท่าน
ทัดฤทธิ์: สาธุ ๆ ขอรับ
วาโยรัตนะ
14-04-2010, 22:36
บุญมันส่งผลแต่ด้านดีเสมอ.......สาธุ ช่วงนี้บุญส่งผล แต่กระผมก็ไม่ประมาทเสมอเช่นกันขอรับ
วาโยรัตนะ
18-04-2010, 08:04
ความบังเอิญหรือพลั้งปากไป
เช้า ๆ บรรยากาศสดใส ขับรถคู่ใจพาคุณแม่ไปทานอาหารเช้า กำลังเพลิน ๆ จิตสบาย ๆ ปี๊น! ๆ ๆ ๆ เสียงแตรของรถเก๋งส่วนบุคคลคันงาม ขับมาด้วยความเร็ว แถมกดแตรไล่หลัง ทั้ง ๆ ที่ถนนก็ว่าง สามารถแซงไปได้สบาย ๆ
ทัดฤทธิ์: :8dcf9699:สงสัยซื้อใบขับขี่มา....ขับรถแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้หงายท้องอยู่ข้างทาง :1025c640:
และแล้วรถเก๋งคนงามนั้นก็ขับแซงขึ้นไป ไม่ถึงชั่วอึดใจ รถคันนั้นก็เสียหลัก แหกโค้งเล็ก ๆ กระโจนลงไปนอนตะแคงอยู่ในปลักโคลน
ทัดฤทธิ์: โอ้....เวรละสิ จิตคิดไป หรือบังเอิญหรือเปล่า...ถ้าคนขับตายขึ้นมาละซวยเลย
กระผมรีบจอดรถ แล้ววิ่งลงไปให้ช่วยเหลือ มองเข้าไปเห็นน้องผู้หญิง อ้าว..แถมรู้จักกันด้วย พยายามบอกให้ตั้งสติและปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วให้พยายามเปิดประตู โดยกระผมดึงประตูจากด้านนอกให้
ไม่นานก็มีผู้ร่วมทางอีกท่านสองเข้ามาช่วยกันอีกสองแรง โชคดีที่น้องสาวคนนั้นไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก แค่ตกใจขวัญหนีดีฝ่อไปนิดหน่อย จะกอดให้น้องเขาให้กำลังใจก็ทำไม่ได้ เพราะแม่มาด้วย :d16c4689: :b048a2d2::onion_eiei:
ยังสรุปไม่ได้ว่าบังเอิญหรือว่าอย่างไร แค่คิดเบา ๆ ไปก็เท่านั้นเอง
ชินเชาวน์
18-04-2010, 09:21
อยากให้พี่ลองคิดว่าผมเป็นเศรษฐีพันล้านดูบ้างครับ !!!
วาโยรัตนะ
18-04-2010, 10:23
อยากให้พี่ลองคิดว่าผมเป็นเศรษฐีพันล้านดูบ้างครับ !!!
ผมว่าจะคิดให้คุณมาก้มเก็บสบู่ที่บ้านผม.....ดีไหมครับ?:onion_eiei:
วาโยรัตนะ
18-04-2010, 18:25
สงกรานต์ที่ผ่านมา (ขอจองพื้นที่ไว้ก่อนครับ)
วาโยรัตนะ
23-04-2010, 18:34
ขออภัยหลาย ๆ ท่านครับกระผมติดงานอยู่ต่างจังหวัด งานนี้ก็ต้อง "ชดใช้กรรม" ไปตามระเบียบ ไม่รู้ไปติดหนี้กรรม "ฝรั่ง" ตั้งแต่ชาติปางไหน งานนี้ได้สภาวธรรมมากมาย การที่เราจะเรียกตัวเองว่า เป็น "นักดูนก" "นักนิยมไพร" หรือแม้แต่ "นักปฏิบัติธรรม" ก็เช่นกัน มันก็ต้องมองให้ละเอียด
ฝรั่งคนนี้เขาเรียกว่าเป็น นักดูนก แต่ไม่ชอบเดินป่า ไม่ชอบอากาศร้อน ไม่ชอบสะพายกล้องหรือข้าวของอื่น ๆ ของตัวเอง แต่ก็ถูกของเขานะครับ เพราะเขาบอกว่า เขาคือนักดูนก คือดูอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เอา ไม่เดิน ไม่แบก ไม่สะพาย ก็เลยกลายเป็นกรรมของผม อึดอัดกับสภาวะแบบนี้ แต่ก็พยายามจับภาพพระ ฝรั่งเองแจ้งรายละเอียดมาไม่ครบ ไม่ละเอียด เขาต้องการดู "นกแต้วแล้ว" แต่ไม่แจ้งมาในรายละเอียด ผมเองก็แก้ปัญหาโดย "ขอบารมีพระ" ในที่สุดก็ได้เจอนกแต้วแล้วจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้เขาได้มากนัก งานนี้เล่นเอาปวดหัวไปตามจังหวะชีวิตครับ
ดีค่ะ เจอนักท่องเที่ยวแบบนี้ พี่รัตน์จะได้ผอม ๆ :55318906:
วาโยรัตนะ
23-04-2010, 18:38
ดีค่ะ เจอนักท่องเที่ยวแบบนี้ พี่ัรัตน์จะได้ผอม ๆ :55318906:
ทุกวันนี้ก็ผอมแล้ว:onion_no:
วาโยรัตนะ
24-04-2010, 10:58
ดูนก ภาคสอง (บ่นไปตามเรื่อง)
คุณ ๆ รู้หรือเปล่าครับว่า กระผมแก้ปัญหาอย่างไร แขกได้ดูนกแต้วแล้วธรรมดาจริง ๆ คาตากันเลย แต่ผมก็ยังงงว่า สายตาฝรั่งไม่ดีเท่าสายตาคนไทยหรืออย่างไร นกยืดอกให้ถ่ายภาพ พี่แกยังมองไม่เห็น อธิบายตำแหน่งกันอยู่นานจน นกบินไปแล้ว......เวร! ผมเองไม่ใช่ผู้ที่ชำนาญการเป็นพิเศษอะไร อาศัย "ใจกล้า หน้าด้าน" เท่านั้นครับ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ กระผมขอบารมีพระท่านช่วยตลอด ในแต่ละพื้นที่ที่ทำงานก็พยายามจับภาพพระให้พอเบา ๆ เอาสบาย ๆ ในจิต ถือเป็นการทำกรรมฐานแบบลืมตาครับ แล้วก็อุทิศบุญถวายเทวดา และขอบารมีเทวดาท่าน ให้ท่านช่วยให้ท่านสงเคราะห์ งานนี้ตื่นตั้งแต่ตีสี่แทบทุกวัน เพราะต้องออกดูนก กันตั้งแต่เช้าตรู่ ตั้งแต่หกโมงเช้า ไล่ไปจนสิบเอ็ดนาฬิกา จึงตั้งใจทำกรรมฐานก่อนออกไปทำงานทุกครั้งครับ ส่วนวัตถุมงคลนั้น พกไปเต็มอัตราศึก เพราะไปอยู่ในพื้นที่ต่างศาสนา งานนี้ไม่ประมาทเป็นดีที่สุด หลังกรรมฐานทุกครั้งก็ ตั้งใจอุทิศให้ก็เหล่าเทวดาและความเป็นทิพย์ในบริเวณนั้น ๆ แต่เท่าที่กระผมเดินป่าเข้าไปในพื้นที่ต่าง ๆ มานั้น ต้องขอบอกว่า "บึงลับแล" เป็นสถานที่ ที่สัมผัสถึงความเป็นทิพย์ของเทวดา รุกขเทวดา ได้มากที่สุดเท่าที่กระผมเคยสัมผัสได้มา (อันนี้เป็นความคิดเป็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณครับ อย่าใช้ "ยานโตงเตง" แบบกระผม.....:l43841274qn5:)
เจอฝรั่งด่าเป็นชุดเหมือนกันครับ เวลาเขาไม่เห็นนกที่เขาต้องการ แต่วันไหนที่เขาเจอนก ที่เขาประทับใจ เขาก็ชม...เวร! ผมเองก็แทบจะประทับทรงหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน กะว่าจะทรง "นายขนมต้ม" ครับ นี้แหละครับ ด้วยความพยายามและด้วยการข่มจิตข่มใจด้วยธรรมะ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อย ๆ บรรเทาลงอย่างมีสติ
ผมพาลงเรือแคนนู ไปดูนกบริเวณ คลองสก ตั้งแต่เช้าตรู่ สองวัน ด้วยความสวยงามขอธรรมชาติยามเช้า สายน้ำไหลเอื่อย ๆ หมอกจาง ๆ และควัน ตัดกับทิวเขาหินปูนรูปทรงประหลาด เสียงนก เสียงชะนี ร้องกันระงม ธรรมชาติบ้านเราที่ยังดีก็มีอยู่ แต่น่าเสียดายที่เสียหายไปก็มาก............
"มีสติกับขาดสติ มันอยู่ห่างกันนิดเดียวเท่านั้นครับ" เท่าแต่ว่าเราจะเลือกอยู่ทางด้านไหนครับ:875328cc:
วาโยรัตนะ
27-04-2010, 07:26
อย่างหนึ่งที่กระผมมีความรู้สึกโดยความคิดเห็นส่วนตัว ขอย้ำว่าโดยความคิดเห็นส่วนตัวครับ ว่าในป่าหรือในพื้นที่ใดก็ตาม ที่บุคคลในพื้นที่นั้น ขาดความเคารพในพระรัตนตรัยแล้ว พื้นที่นั้นหาความเจริญทางจิตใจของผู้คนได้ยากจริง ๆ
วันที่ห้าของการดูนก ได้ผ่านไปที่วัดถ้ำวราราม เห็นความเจริญคืบหน้าของการปรับปรุงศาลาการเปรียญให้เป็นพระอุโบสถแล้ว ก็สร้างความชื่นใจเป็นยิ่งนัก บุญที่ทุกท่านได้ร่วมสร้าง ก่อร่างสร้างผลให้เห็นเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน เสียที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปดูภายใน ว่ามีการปรับปรุงไปถึงไหน......ฝรั่งเขารีบไปดูนก
งานนี้กระผมต้องยอมรับว่า กระผมขาดความชำนาญในเรื่องการหา "นกแต้วแล้วทุกชนิด" ขอย้ำว่า ฝรั่งท่านนี้เขาต้องการดู "นกแต้วแล้วทุกชนิด" ในโลกนี้มีนกแต้วแล้ว ๑๒ ชนิด ในประเทศไทยพบ ๖ ชนิด ในเขตพื้นที่ป่าใหญ่แห่ง เขาประ-บางคราม งานนี้เลยต้องขอคุยกับฝรั่งกันแบบเจอกันครึ่งทาง เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด
กระผมเองยอมจ่ายค่าแรงของกระผมในส่วนที่เหลือนับเป็นวันกันไปเลย เพื่อจะไปจ้างนักวิจัยที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ อุทยานแห่งชาติเขาประ-บางคราม อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ เพื่อให้ผู้ที่มีความชำนาญในพื้นที่และรู้ข้อมูลในเชิงลึก เป็นผู้พาแขกไปดูนกแทน ซึ่งนี่คือความรับผิดชอบของกระผม ที่ต้องสร้างความพึงพอใจให้กับแขกและด้วยความเข้าใจว่า เขาข้ามน้ำข้ามทะเลมา ก็เพื่อความประสงค์ในการถ่ายภาพนกชนิดนี้
งานนี้เงินค่าแรงส่วนของกระผมส่วนหนึ่ง ยังต้องจัดจ่ายเป็นสินน้ำใจในโครงการวิจัยนกแต้วแล้วท้องดำให้กับหัวหน้าอุทยานท่านด้วย ยังดีที่ยังมีการวิจัยนกประเภทนี้ เพื่อการอนุรักษ์และขยายพันธุ์
สุดท้ายทุกอย่างก็จบด้วยมิตรภาพที่ดีและตั้งอยู่บนความสุขของทุก ๆ คน นี้คือการแก้ปัญหาแบบมีสติและดีที่สุดแล้วที่กระผมทำได้ในงานนี้
เด็กเมื่อวานซืน
27-04-2010, 09:08
ฝรั่งคนนี้เขาเรียกว่าเป็น นักดูนก แต่ไม่ชอบเดินป่า ไม่ชอบอากาศร้อน ไม่ชอบสะพายกล้องหรือข้าวของอื่น ๆ ของตัวเอง แต่ก็ถูกของเขานะครับ เพราะเขาบอกว่า เขาคือนักดูนก คือดูอย่างเดียว อย่างอื่นไม่เอา ไม่เดิน ไม่แบก ไม่สะพาย ก็เลยกลายเป็นกรรมของผม
นึกถึงบทบาทของ "นายไข่" ในภาพยนตร์ "มหาลัยเหมืองแร่" ขึ้นมาเลยครับ
วาโยรัตนะ
27-04-2010, 10:59
นึกถึงบทบาทของ "นายไข่" ในภาพยนตร์ "มหาลัยเหมืองแร่" ขึ้นมาเลยครับ
มหาลัยเหมืองแร่ เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่ง ที่ถ่ายทอดให้เห็นความเป็น "ปักษ์ใต้" ในยุคการทำเหมืองแร่ดีบุกที่เฟื่องฟูที่สุด ภาพยนต์เรื่องนี้ทำให้เห็นความหมายของคำว่า "ฝนพังงา ฟ้าภูเก็ต" คือสิ่งที่ไว้ใจไม่ได้เลย ได้อย่างชัดเจน แต่ปัจจุบัน ภาพเหล่านี้กำลังจะหายไปครับ เพราะฝนก็มาไม่ถูกต้องตามฤดูกาลเหมือนแต่ก่อน ฟ้าใส ๆ ที่ภูเก็ตก็กำลังเปลี่ยนไป เพราะสภาพของสวนยางโดนแทนที่ด้วยหมู่บ้านและคฤหาสน์หลังโต ๆ ราคาแสนแพง ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด เพื่อรอขายเอากำไรจากชาวต่างชาติ ได้มาแต่เม็ดเงินที่ตกอยู่เฉพาะในกลุ่มนายทุน แต่สูญเสียอะไรต่อมิอะไรไปอีกหลายอย่าง ที่ยากจะหวนคืนได้
วาโยรัตนะ
27-04-2010, 15:50
:onion_no: กลายเป็นหนัง "ดรามา" ไปแล้ว..!
:msn_smilies-15: ขออภัยขอรับ มันมีความรู้สึกร่วมไปกับบทภาพยนต์ "นายไข่" ในเรื่องมหาลัยเหมืองแร่ มากไปหน่อยขอรับว่าจะเขียนเรื่อง "ธรรมะของนกโพระดก" ก็กำลังเตรียมขอข้อมูลอยู่ขอรับ
เทวคันธี
27-04-2010, 17:19
:onion_yom:เอามงคลสูตรให้จบก่อนดีไหมพี่ อิอิอิ...
วาโยรัตนะ
27-04-2010, 22:26
:onion_yom:เอามงคลสูตรให้จบก่อนดีไหมพี่ อิอิอิ...
ถ้าจะเรียน "สูตรน้ำอัดลมโบราณ" เอาดอกไม้ธูปเทียนมาด้วยนะครับ พร้อม "โคโยตี้" มาเต้นแก้บนหนึ่งชุดใหญ่ครับ
เทวคันธี
28-04-2010, 09:09
เอาขุนแผนโคโยตี้ก็จะดีกว่านะครับท่านพี่...:onion_wink::70bff581:
วาโยรัตนะ
05-05-2010, 20:33
แทบทุกวันตอนเช้าก่อนแปดโมง ผมจะนำปิ่นโตรุ่นเก่าแบบสังกะสี ขับ "รถเครื่อง" (ภาษาท้องถิ่นของภูเก็ต ที่ใช้เรียกรถจักรยานยนต์) ขับออกจากบ้านไปคนเดียวบ้าง ถ้าโอกาสดีก็ไปทั้งครอบครัว แวะซื้ออาหารแล้วนำไปตักบาตรถวายหลวงพี่
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ครับ วันพระนี้น้ำมันตามประทีปพอหรือไม่ขอรับ
หลวงพี่ : เอาตามมีตามเกิดนะโยม
ทัดฤทธิ์: กระผมนำรูป หลวงพ่อเงินไหลมาไปลงในกระทู้แล้วขอรับ ขอบารมีท่านช่วยขอรับ ต่อไปเรื่องน้ำมันตามประทีป หลวงพี่จะได้เบาใจได้ขอรับ
หลวงพี่: บารมีองค์สมเด็จท่านช่วยอยู่แล้วโยม นั้นสิ! เวลาอาตมาไปเช็ดทำความสะอาดหรือไปกราบใกล้ ๆ พระองค์ท่าน อาตมารู้สึกอยู่...........
ทัดฤทธิ์: หลวงพ่อเล็กสอนพวกกระผมเสมอว่า ให้ช่วยกันทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา อย่ารอให้เป็นแต่หน้าที่ของพระของเณร เราเป็นฆราวาสก็ช่วยได้
หลวงพี่: สาธุ พุทโธ ๆ
วาโยรัตนะ
05-05-2010, 20:34
มันน่าจะเปลี่ยนเป็นชื่อ "เทวขันที" นะครับท่าน:onion_wink:
เทวคันธี
06-05-2010, 08:08
มันน่าจะเปลี่ยนเป็นชื่อ "เทวขันที" นะครับท่าน :onion_wink:
.....ขอบคุณที่แนะนำนะพี่...:onion_no::215ad82f:
เทวคันธี
06-05-2010, 08:16
อุตตรเถราปทานที่ ๖ (๕๕๖)
ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุตตรเถระ
[๑๔๖] พระผู้มีพระภาคสัมพุทธเจ้า
พระนามว่า สุเมธะ ทรงประกอบด้วยพระวร-
ลักษณะ ๓๒ ประการ ทรงพอพระทัยในความ
วิเวกเสด็จเข้าไปยังหิมวันตประเทศ
พระมุนี ผู้เป็นบุรุษสูงสุด ทรงประกอบ
ด้วยพระกรุณา ผู้เลิศ ครั้นถึงหิมวันตประเทศ
แล้ว ประทับนั่งขัดสมาธิ.
ในกาลครั้งนั้น ข้าพเจ้า เกิดเป็นวิทยาธร
สามารถแม้เหาะไปในอากาศได้ ถืออาวุธวิเศษ
เทวคันธี
06-05-2010, 08:19
คือตรีศูลอันคมฉกาจนัก ในเวลานั้น ข้าพเจ้า
กำลังเหาะท่องเที่ยวไปในอัมพร.
พระพุทธเจ้า ทรงยังป่าหิมวันต์ให้สว่าง
กระจ่างแจ้งอยู่ เสมือนกองไฟที่ลุกโพลงอยู่บน
ยอดภูเขา เสมือนแสงแห่งดวงจันทร์ที่กำลังเต็ม
ดวง หรือเสมือนต้นพญาสาละที่มีดอกกำลังบาน
เต็มต้นฉะนั้น.
จิตของข้าพเจ้าเลื่อมใส เพราะได้เห็น
พระพุทธเจ้า ผู้กำลังเสด็จออกมาจากป่า มีพระ-
พุทธรังสีกำลังซ่านออก ดุจดังแสงไฟที่กำลังเผา
ไหม้ป่าต้นอ้อฉะนั้น.
ข้าพเจ้าได้ถือเอาดอกไม้ ๓ ดอก คือ
ดอกทานตะวัน ดอกกรรณิการ์ และดอกเทว-
คันธีมาบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ.
เพราะอานุภาพของพระพุทธเจ้า ในขณะ
นั้น ดอกไม้ทั้งสามดอกของข้าพเจ้า ได้ทำขั้ว
ขึ้นเบื้องบน เอาดอกลงเบื้องล่าง ทำเป็นดังร่ม
บังเงาให้พระศาสดา.
เพราะกรรมที่ข้าพเจ้า ได้กระทำมาดี
แล้วนั้น ประกอบกับที่ข้าพเจ้าตั้งเจตนาไว้ดี
ฯลฯ
ที่มา พระไตรปิฎก ใน http://www.palungjit.com/tripitaka/d...hp?cat=7200285 ...
วาโยรัตนะ
17-05-2010, 06:25
วันเวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน นี้ก็ใกล้วัน วิสาขบูชา เข้ามาแล้วทุกขณะ กระผมตั้งกระทู้เชิญชวนมหาชนถวายน้ำมันตามประทีป แต่ในอีกมุมหนึ่งของประเทศไทย ขวดแก้วใส่น้ำมันก๊าซแถมบรรจุเศษผ้าแล้วจุดไฟลอยว่อนไปกลางอากาศไปตามแต่วัตถุประสงค์ของผู้ขว้าง มันช่างเป็นมุมที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง........
ย้อนกลับมาดูผลกระทบแล้วมันจะมีงานมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องหรือไม่......มันก็ต้องพยายามพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ดีจะได้มีเวลาภาวนาให้เยอะ ๆ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ พฤษภาคมจนถึง ๕ มิถุนายน เป็นเวลาเก้าวัน ที่จะได้ตั้งจิตตั้งใจในการตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ตลอดจนการปฏิบัติภาวนา ซึ่งกระผมเอง ก็กำลังวางแผนเรื่องของการปฏิบัติในช่วงเก้าวันนั้นควบคู่ไปด้วย หากกำลังใจมันเต็ม ก็ว่าจะถือศีลแปดเก้าวัน
ก็คงจะได้นำเขียนบอกกล่าวเล่าให้ฟังตามเรื่องตามราวต่อไปครับ
วาโยรัตนะ
26-05-2010, 22:08
สรุปยอดเงินทำบุญถวายน้ำมันตามประทีป ๒๘,๕๗๕.๔๔ บาทครับ
วันนี้กระผมได้สั่งซื้อ น้ำมันมะพร้าวตรากระต่ายขาวจำนวน ๔๗ ปี๊บ เรื่องที่น่าตกใจคือ ราคาปรับเป็น ๖๒๓ บาทต่อปี๊บ แต่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสบุญ ก็คือกระผมจะได้ร่วมทำบุญเพิ่มเติมอีกครับ
พรุ่งนี้กระผมต้องขนน้ำมันทั้งหมดขึ้นท้ายรถกระบะ นำไปถวายท่านบนเขา การเตรียมงาน หรือหากจะพูดถึงการตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุนั้น โดยเฉพาะวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาแล้ว ต้องมีการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการจัดเตรียมทำความสะอาดสถานที่ การทำความสะอาดโคมแก้วประทีปแต่ละดวง หลวงพี่ท่านสอนเสมอว่า
"แก้วที่สะอาดโยมจะเห็นว่า เวลาตามประทีปนั้น แสงจะนวลสว่างใสสะอาดตา สะอาดใจ สำคัญนะโยม ได้อานิสงส์มากด้วย" กระผมเลยถือโอกาส ถวายโคมแก้วจำนวน ๑ โหล ก็ขอทุกท่านร่วมโมทนาครับ
งานทุกอย่างหลวงพี่ท่านจะลงมือทำเอง จะมีลูกมือช่วยบ้างก็ตามแต่ว่าใครจะว่างขึ้นมาช่วย งานนี้เก้าคืน ก็ถือเป็นโอกาสพิเศษที่จะเร่งปฏิบัติภาวนา ช่วงนี้กระผมตื่นขึ้นไปปฏิบัติบนเขาตั้งแต่ตีสี่ สังเกตอารมณ์ใจหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า แต่ละวันที่ไปนั่งสมาธินั้น
วันไหนวันพระหลวงพี่ท่านตามประทีปครบทุกดวง อารมณ์ใจที่นั่งภาวนากลางศาลาที่ตามประทีปก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง วันไหนที่หลวงพี่ตามประทีปแค่รอบ ๆ พระประธานอารมณ์ในการภาวนาก็เป็นอีกแบบ
หลวงพี่ : "โยมนี่ถือว่ามายุคหลัง ๆ แล้ว เมื่อก่อนตอนทุ่มตรง หลวงพี่ต้องให้ญาติโยม ออกจากศาลาให้หมด ช่วงนั้นยุคบุกเบิก ความเป็นทิพย์ตรงนี้เขายังดุอยู่...แต่ถ้ากลางค่ำกลางคืนโยมจะขึ้นมาภาวนาก็มาได้ตามสะดวกเลยนะ มาเถอะถึงเวลาของโยมแล้ว ตั้งใจปฏิบัติได้แล้ว"
ทัดฤทธิ์: :d1eef220:
และแล้วคืนหนึ่ง ช่วงตีห้ากว่า ๆ ช่วงที่กำลังภาวนา "แบบเข้าด้ายเข้าเข็ม"
ซวบ! ซวบ! ซวบ! เสียงเหมือนฝีเท้าคนเดินแล้วก็หยุด ดังอยู่ในเขตแนวป่าทางด้านขวามือของผม ซึ่งปกติบางทีผมเกิดอารมณ์แบบอยากจะลองใจตัวเอง แทนที่จะนั่งหลับตา ผมก็ภาวนาแบบลืมตาแทน มองไปที่แนวต้นกล้วยป่า ซึ่งอยู่ข้าง ๆ แนวหน้าต่างบานใหญ่ ความมืดกับกอกล้วยกอใหญ่ แล้วอาบด้วยแสงจากดวงประทีปที่ส่องออกไป "โอ้...."มันพาจิตนาการกระเจิดกระเจิงไปต่อไหนถึงไหน "จิตที่ส่งออกแบบไร้สติ" อันนี้หลวงพ่อท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่าไม่ดี
แถมในใจยังคิดแบบขาดสติอีก "ออกมาสิ พ่อจะเป็นลมให้ดู" แต่แล้วก็ไม่เจออะไรสักที แต่วันนี้เจอเสียงฝีเท้าเข้าไป อารมณ์มันกระเจิงเลย ต้องรีบดึงกลับมาให้อยู่กับคำภาวนา เอาความนิ่งกับคำภาวนาเข้าข่ม อยู่ ๆ มันก็มีเสียง แกรก ๆ ดังขึ้นอีก แล้วก็เงียบไป
ช่วงไม่กี่คำภาวนา ก็มีเสียงเหมือนคนเอาอะไรเคาะถังพลาสติก......แทนที่จิตมันจะกระเจิงคราวนี้มันกับดิ่ง "ในใจก็คิดไปว่า ตายก็ตายวะ หมามันยังไม่กลัวผีเลย แถมคาบเอากระดูกผีมาแทะกินอีก อายหมาบ้างสิ" อยู่ ๆ ในจิตมันก็มีตัวสติขึ้นมาแบบไม่คาดคิด มันลำดับเหตุการณ์ออกหมด จนรู้แน่ว่า เป็นเสียงของพม่าที่เดินกรีดยางและเก็บน้ำยาง อยู่บริเวณใกล้แนวเขตศาลานั้นเอง
เล่ามาเนิ่นนาน อยู่ ๆ ระบบความคิดมันตัดลงแบบดื้อ ๆ เข้าไปสู่ความนิ่ง แถมจิตมันรู้ขั้นตอนด้วยว่ามันตัด ตอนนี้เป็นแบบนี้บ่อยมากครับ
"นิ่งเป็นตัด ขยับเป็นพิจารณา"
วาโยรัตนะ
27-05-2010, 20:06
วันกระผมได้นำน้ำมันจำนวน ๔๗ ปี๊บ ไปถวายหลวงพี่ท่านแล้ว ขนขึ้นท้ายรถกระบะ ๔ เที่ยว เล่นเอาเหนื่อย แต่อิ่มบุญครับ
พรุ่งนี้จะถ่ายภาพมาให้ทุกท่านร่วมโมทนาครับ
วันกระผมได้นำน้ำมันจำนวน ๔๗ ปี๊บ ไปถวายหลวงพี่ท่านแล้ว ขนขึ้นท้ายรถกระบะ ๔ เที่ยว เล่นเอาเหนื่อย แต่อิ่มบุญครับ
พรุ่งนี้จะถ่ายภาพมาให้ทุกท่านร่วมโมทนาครับ
ผ่านช่วงนี้ไปได้ ขอให้พี่รัตน์มีชีวิต จิตใจ และสติปัญญา รุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาลแจ่มใส เงินทองไหลมาไม่ขาดสายจากการที่ได้อานิสงส์ไปเติมน้ำมันนะครับ :onion_wink::onion_love:
วาโยรัตนะ
28-05-2010, 04:58
ขอบคุณมากครับ ทิดตู่ ช่วงนี้ต้องเร่งปฏิบัติขึ้นอีก งานทางโลกไม่ค่อยมี ก็ถือเอางานทางธรรมมาพิจารณาและภาวนาต่อไปครับ
วิระทาสีน่าเอ็นดู
28-05-2010, 18:53
อ่านเเล้วได้ข้อคิดธรรมเเละวิถีชีวิตของการบวชมากค่ะ อนุโมทนาในกุศลจิตอย่างยิ่ง
วาโยรัตนะ
31-05-2010, 05:48
รายงานการถวายน้ำมันตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/pateeb.jpg
ขอทุกท่านที่ร่วมทำบุญถวายน้ำมันตามประทีปและมหาชนทั้งหลายร่วมโมทนาสาธุอานิสงส์ครั้งนี้เทอญ
จากภาพ น้ำมันมะพร้าวตรากระต่าย จำนวน ๔๗ ปี๊บได้นำไปถวายเป็นที่เรียบร้อยก่อนวันวิสาขบูชา สังเกตโคมประทีปที่ได้ทำการล้างทำความสะอาดดูใสเป็นประกาย หลวงพี่ท่านค่อย ๆ แกะออกมาล้างทีละดวง แล้วประกอบขึ้นฉัตรใหม่ทั้งสี่ฉัตร
งานเริ่มกันตั้งแต่เช้าในวันวิสาขบูชา มีญาติโยมมาช่วยกันพับดอกบัวและร้อยอุบะ เพื่อใช้ประดับรอบ ๆ ฐานองค์พระและประดับฉัตรโคมประทีป เริ่มงานตั้งแต่เช้า มาเสร็จเอาก็เกือบ ๆ จะหกโมงเย็น
หลังจากนั้น หลวงพี่ก็เริ่มนำทุกท่านจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ
กระผมเองอธิษฐานให้ทุกท่านที่ร่วมบุญว่า
"ข้าพเจ้าขอตามประทีป บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม ขออานิสงส์นี้ส่งผลไปถึงผู้ร่วมบุญถวายน้ำมันตามประทีปทุกท่าน ขอให้มีความคล่องตัวทั้งทางธรรมและทางโลกอย่างอัศจรรย์ด้วยเทอญ"
วาโยรัตนะ
31-05-2010, 06:00
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/pateeb2.jpg
ภาพนี้ยังเป็นบรรยากาศในวันวิสาขบูชา และเห็นได้ว่า ญาติโยมต่างเสียสละมาร่วมแรงร่วมใจกัน ขอทุกท่านร่วมโมทนาด้วยเทอญ
หลวงพี่ : "โยมรัตน์ โยมเป็นตัวแทนของทุก ๆ คนที่ทำบุญถวายน้ำมันตามประทีปมานะ โยมต้องตั้งใจให้ดีเป็นสองเท่าของคนอื่น ทั้ง ๙ วันนี้ โยมจะไม่ขึ้นมาจุดประทีปแม้แค่วันเดียวก็ไม่ได้ ทำเป็นเล่นไม่ได้นะ อาตมาบอกแล้วว่า ประทีปนี้เกี่ยวกับไฟ แล้วนี่ยังเกี่ยวกับความศรัทธาเกี่ยวกับบุญที่คนอื่นจะได้อีก
โยมต้องตั้งจิตตั้งใจให้เต็มที่ แล้วต้องรายงานทุกท่านที่ร่วมบุญมาวันต่อวันด้วยนะ ถ่ายรูปไป แต่ละวันไม่เหมือนกันนะโยม เห็นหรือเปล่า วันแรกวันพระใหญ่ดอกไม้ยังสวย วันที่สองดอกไม้ก็สวยไม่เท่าวันแรก วันที่สามหรือวันที่สี่ ถ้าดอกไม้มันเฉาก็ต้องเอาออก แล้วอาตมาขอย้ำเรื่องการตามประทีปว่า ต้องตั้งจิตตั้งใจรวบรวมสมาธิใจการตามจุดประทีปทุกดวง อาตมาเห็นบางคนจุดประทีปมาหกปีแล้ว อาตมาถามว่าจุดประทีปอย่างไร ตอบไม่ได้สักคน ค่อย ๆ จุดไปทีละดวง เราไม่เอาจำนวนแต่เอาคุณภาพ"
ทัดฤทธิ์ : ขอรับหลวงพี่
วาโยรัตนะ
31-05-2010, 06:09
กระผมสังเกตอารมณ์ใจของตัวเอง ก่อนจะจุดประทีปเวลาตั้งจิตอธิษฐานก็อีกแบบหนึ่ง เวลาตามประทีปเสร็จ แล้วมาอธิษฐานอารมณ์ใจก็อีกแบบหนึ่ง แต่อารมณ์หนักแน่นที่สุดก็คือ ในขณะค่อย ๆ บรรจงจุดประทีปแต่ละดวงแล้วอธิษฐาน อารมณ์ในขณะนั้นหนักแน่นที่สุด
วันที่สองในการตามประทีป วันที่คนมาตามประทีปไม่เยอะ วันนี้อารมณ์ใจของกระผมจึงสงบมาก ค่อย ๆ บรรจงตามประทีปแต่ละดวง พร้อมอธิษฐานให้ทุกท่านที่ร่วมถวายน้ำมันตามประทีปให้ความเจริญรุ่งเรือง คล่องตัว ให้ถึงพระนิพพานทุกท่านเทอญ
หลังจากนั้นทุกท่านที่มาตามประทีปก็ร่วมนั่งสมาธิ
วาโยรัตนะ
31-05-2010, 06:53
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/pateeb3.jpg
ภาพของเช้าวันนี้ ตอน ๖.๑๐ น. จะเห็นได้ว่าประทีปบางดวงดับไปแล้ว แต่ยังมีประทีปอีกหลายดวงที่ยังติดอยู่ เช้า ๆ แบบนี้ หลวงพี่ท่านต้องนั่งจัดไส้ประทีปคือตัดเอาส่วนที่เผาไหม้ออกไปหรือไม่ บางดวงก็ต้องเปลี่ยนไส้ประทีปใหม่
วาโยรัตนะ
31-05-2010, 21:18
วันนี้วันที่สี่ในการตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ คนอื่น ๆ ที่มาตามประทีปใช้เวลาแค่ไม่ถึงสิบห้านาทีก็เสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งฉัตร
ส่วนตัวผม วันนี้ใช้เวลาไปร่วม ๑ ชั่วโมง สังเกตอารมณ์ใจของตัวเอง ประทีปดวงแรก ๆ จะเกี่ยวกับพุทธานุสติทั้งหมด ดวงแรกและแถวแรกทั้งแถว ถวายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม แถวที่สองถวายสมเด็จองค์ปัจจุบัน แถวที่สามถวาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์และพระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ยังไม่ทันจะหมดแถวที่สามดีเลย หันไปพวกตามประทีปเสร็จกันหมดแล้ว เหลือแต่หลวงพี่กับกระผม
จึงไม่แปลก สำหรับเรื่องที่หลวงพี่ท่านเล่าให้ฟังและกำชับกระผมมา การจุดประทีปหลาย ๆ ดวง ในขณะจิตนั้น หากจิตเป็นสมาธิคำอธิษฐานก็พรั่งพรูออกมา แต่หากจิตขาดสมาธิ นึกคำอธิฐานแค่สั้น ๆ ยังนึกไม่ออกเลย
ขอทุกท่านโมทนาการตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยในวันนี้ด้วยเทอญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ร่วมบุญถวายน้ำมันตามประทีปก็ขอให้ทุกท่านถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ
มีประทีปหลายดวง กระผมตั้งจิตถวายอานิสงส์แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล็ก ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงและอยู่เป็นที่พึ่งเป็นหลักชัยให้เราทั้งหลายในที่นี้ ด้วยความกตัญญูกตเวทีในพระคุณของท่าน
วาโยรัตนะ
01-06-2010, 06:52
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P5130602.jpg
วันนี้ผมก็ตื่นตีสี่เช่นเคย จะอิดออดบ้างก็เล็กน้อย จิตรู้ว่าตัวขี้เกียจ มันเริ่มต่อต้านทันที เสียงของหลวงพ่อก็ดังเป็นเครื่องเตือนให้รู้ ให้มีสติ จากเครื่องเล่นเอ็มพีสามที่เปิดฟังจนหลับไปแทบทุกคืน
เสร็จจากเสร็จภารกิจส่วนตัว ก็ขับรถจักรยานยนต์ขึ้นไปบนเขา สายลมเย็นที่กระทบช่วงเช้ามืด มันก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา มันในที่นี้ก็คือร่างกายครับอย่าคิดมาก (มันไม่ใช่โปเตโต้) พอไปถึง ก็เห็นหลวงพี่ท่านนั่งอยู่แล้วในศาลา แล้วท่านก็ค่อย ๆ ลุก ส่งยิ้มให้เล็กน้อยเป็นอันว่ารู้กันว่า "เชิญปฏิบัติตามสบายโยม" แล้วท่านก็เดินลงเขาเข้ากุฏิ ท่านคงลุกขึ้นมาภาวนาของท่านหรือไม่ท่านก็ภาวนาของท่านทั้งคืน อันนี้กระผมก็ไม่กล้าถาม
แสงประทีปนวลสว่าง และสัมผัสอบอุ่น หลังจากที่ขับรถฝ่าความเย็นของอากาศช่วงเช้ามืดขึ้นมา สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าและสวนยาง กลัวเพื่อน ๆ จะยืนรอขอส่วนบุญเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่เจอสักที ไม่พูดพล่ามทำเพลงให้เสียเวลา ค่อย ๆ ก้มลงบรรจงกราบขอบารมีพระ แสงประทีปส่องสว่าง หน้าองค์หลวงพ่อเงินไหลมาเทมาและพระแก้วใสทรงเครื่อง เห็นแล้วชื่นใจ ขอบารมีพระองค์ท่านสงเคราะห์ ขอให้มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ วันนี้จิตมันอยากจะเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นเดินจงกรมแทน เลยเดินจงกรมจนสว่าง ( แค่เกือบ ๆ ชั่วโมงเท่านั้นครับ แต่มันดูเท่เหมือนเดินทั้งคืน) เดินไปเดินมา เสียงเพลงทำนองไม่คุ้นหูก็ดังมาจากแนวต้นยางพาราพร้อมแสงไฟดวงเล็ก งานนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงต้องใส่เกียร์หมาวิ่งตับแลบไปแล้วครับ พม่ายุคนี้พัฒนาแล้ว กรีดยางไปยังไม่วายฟังเพลงพม่าไปด้วย เออ เอา ๆ ความสุขเล็ก ๆ ของเขาเราไม่เกี่ยว ภาวนาต่อไปดีกว่า
ประทีปในวันนี้ไม่มีดอกไม้ประดับเหมือนวันแรก มันสะท้อนให้เป็นสัจธรรมว่า ทุกอย่างมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ดวงประทีปที่จุดสว่างแล้วยังต้องดับไปตามเวลา
หลังจากนั้นก็กราบพระอุทิศส่วนกุศล คว้าไม้กวาดมากวาดพื้น แมลงเม่าตัวใหญ่บินมาเล่นแสงประทีป ทิ้งปีกไว้เกลื่อนพื้นศาลาไปหมด กวาดซ้ายมันไปขวา กวาดขวามันไปซ้ายตามแรงลมที่เหวี่ยงไม้กวาดออกไป เสร็จแล้วก็กราบลาพระรัตนตรัยอีกแล้วก็กลับลงจากเขามา
วาโยรัตนะ
02-06-2010, 09:50
รายงานการตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๓
เมื่อคืนที่ผ่านมา ช่วงแรกจิตมีความสงบดี แต่พอเข้าช่วงกลาง ๆ ฉัตร จิตก็ไม่สงบเท่าที่ควร จิตคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ก็พยายามกำหนดรู้ แล้วดึงกลับเข้ามาสู่สมาธิ ช่วงปลาย ๆ ของการตามประทีป จิตกลับเข้าสู่สมาธิอีกครั้ง ตัดความกังวลทุกเรื่องออกได้ ที่ผ่านไปแล้วให้ผ่านไป แต่ในขณะจิตนี้คือปัจจุบัน คำอธิษฐานก็พรั่งพรูออกมา โดยมีคำอธิษฐานที่ว่า
"ข้าพเจ้าขอตั้งจิต ตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ขออานิสงส์นี้ จงส่งผลให้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าทุก ๆ ประการ จงบังเกิดผลสำเร็จและสัมฤทธิ์ผลโดยง่ายดายและอัศจรรย์ด้วยเทอญ"
บังเกิดขึ้นในขณะจิตนั้น หลังจากนั้นในแต่ละดวงประทีป จิตก็ค่อย ๆ เข้าสมาธิหนักแน่นขึ้นมาลำดับ ตรงนี้ถ้าจะอธิบายตามที่ผมกระทำคือ ในขณะจุดประทีปผมกำหนดรู้ว่าจุดประทีปดวงนั้น ๆ แล้วตั้งจิตเข้าสมาธิแล้วก็อธิษฐานในดวงประทีปดวงนั้น ๆ
ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยที่จะสู้กับกิเลสภายในใจตัวเอง ขึ้นมาตามประทีปทุกวัน วันละชั่วโมง ความฟุ้งซ่านในแต่ละวันมันไม่เหมือนกัน กิเลสในแต่ละวันก็ไม่เหมือนกัน
วาโยรัตนะ
03-06-2010, 06:20
ขอทุกท่านร่วมโมทนาบุญ การตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ ด้วยเทอญ
วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่ก็ผ่านไปแล้วหกวัน ก็ใกล้ถึงวันอัฏฐมีบูชาแล้ว วันที่ ๖ ก็กำหนดให้มีการทำบุญเลี้ยงพระ ๙ รูปในตอนเช้า ถือเป็นการเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ในการตามประทีป ๙ วัน
วาโยรัตนะ
04-06-2010, 09:42
ขอทุกท่านร่วมโมทนาบุญ การตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๓ ด้วยเทอญ
วาโยรัตนะ
06-06-2010, 06:22
ขอทุกท่านร่วมโมทนาบุญ การตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ วันที่ ๔-๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ ด้วยเทอญ
วาโยรัตนะ
06-06-2010, 21:05
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/pateeb4.jpg
ภาพในวันอัฏฐมีบูชา งานนี้ก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกันตั้งแต่เช้า พับดอกบัวเสร็จ ก็ร้อยอุบะมาลัยกันต่อ กระผมเองได้มีโอกาสจัดดอกบัวรอบ ๆ องค์พระประธานและหน้าองค์หลวงพ่อเงินไหลมาเทมาและพระแก้วใสปางทรงเครื่องจักรพรรดิ สาธุ สาธุ สาธุ
วันนี้ งานทั้งหมดเสร็จก่อนเวลา หลังจากนั้น หลวงพี่ท่านก็นำทุกท่านตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ แสงสว่างเหลืองนวลไปทั้งศาลา
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/pateeb5.jpg
วาโยรัตนะ
06-06-2010, 21:15
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P6050721.jpg
"ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเป็นตัวแทนท่านผู้ร่วมถวายน้ำมันตามประทีปทุก ๆ ท่าน ขอตั้งจิตตามประทีป เพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลายและพระบรมสารีริกธาตุทั่วสากลพิภพ ขออานิสงส์ทั้งหมดนี้ในการตามประทีปเก้าวัน จงส่งผลให้ท่านผู้ร่วมบุญทั้งหลายและข้าพเจ้า มีความเจริญในการปฏิบัติทั้งทางธรรมและทางโลก ให้มีความคล่องตัวเป็นมหัศจรรย์ ให้คำอธิษฐานทุก ๆ คำ สัมฤทธิ์ผลอย่างง่ายดาย ให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ"
วาโยรัตนะ
06-06-2010, 21:29
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/pateeb6.jpg
วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๓
วันนี้ได้ร่วมกันทำบุญถวายพระเก้ารูป พร้อมทั้งตามประทีปอีกหนึ่งวันเป็นพิเศษ
และแล้ว
หลวงพี่ : โยมรัตน์ ให้โยมนำพระธาตุข้าวบิณฑ์กลับไปบูชาที่บ้านนะ ที่โยมคัดแยกมาเป็นพิเศษ
ทัดฤทธิ์: อย่างไรนะขอรับหลวงพี่ กระผมนำมาถวายหลวงพี่ตั้งสามวันแล้วขอรับ พอดีวันนี้หลวงพี่อาพาธ แล้วหลวงพี่จะไม่อาราธนา บรรจุในบาตรหลวงพ่อเงินไหลมาเทมาเพิ่มเติมหรือขอรับ
หลวงพี่ :หลวงพ่อท่านมาบอกว่า "ไม่ต้องบรรจุให้เต็ม" ที่โยมถวายมาตอนแรกก็เกินครึ่งบาตร แล้วที่โยมนำมาถวายเพิ่มครั้งที่สอง ก็บรรจุลงไปแล้วจนเกือบจะเต็มบาตร คราวนี้พอจะบรรจุเพิ่ม ท่านก็มาบอกว่า"ไม่ต้องบรรจุให้เต็ม ให้รอดูอะไรบางสิ่งบางอย่าง"
ทัดฤทธิ์: หลวงพ่อไหนขอรับ
หลวงพี่ : พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านมาบอกอาตมา (แล้วหลวงพี่ท่านก็ยิ้มอย่างมีความสุข)
ทัดฤทธิ์: สาธุ หลวงพ่อ! สาธุ สาธุ สาธุ (น้ำตาแทบไหล)
วาโยรัตนะ
11-06-2010, 06:24
ขอแจ้งข่าวครับ หลวงพี่ท่านตามประทีปต่อเนื่องจนถึงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๓ รวมแล้วเป็นเวลา ๑๖ วันจากน้ำมันที่ทุกท่านได้ร่วมถวาย
สรุป ว่าตามประทีปตั้งแต่วันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ผ่านถึงวันอัฏฐมีบูชา แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ จะไปสิ้นสุดในวันพระขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ รวมทั้งสิ้น ๑๖ วันครับ
ช่วงที่ผ่านมาฝนตกเยอะมาก แมลงเม่าทิ้งปีกเกลื่อนกลาดเต็มศาลาไปหมด งานนี้ต้องพึ่งเครื่องดูดฝุ่น พร้อมจัดแจงแปลงโฉมศาลา จัดข้าวจัดของใหม่ ศาลากว้างขึ้นว่าเดิมเยอะ
วาโยรัตนะ
22-06-2010, 19:50
สุข ๆ ดิบ ๆ
ก่อนเดินทางไปงานสืบชะตาของหลวงพ่อ งานนี้ป่วยชนิดที่เรียกว่า กินยาตอนเก้าโมงเช้า หลับเป็นตายมาตื่นเอาเกือบจะบ่ายสี่โมงเย็น ค่อย ๆ หอบสังขารจัดแจงข้าวของส่วนตัว แล้วเดินทางไปขึ้นรถโดยสารปรับอากาศ ภูเก็ต-กรุงเทพฯ จัดยาให้ตัวเองอีกชุดใหญ่ ทั้งยาแก้ไข้ ยาระงับอาการท้องเสียชนิดเฉียบพลัน.......ทุกข์ล้วน ๆ ไม่มีอย่างอื่นผสม ขึ้นรถได้ไม่กี่อึดใจก็หลับไปเพราะยาออกฤทธิ์
ถึงสายใต้ใหม่ตามกำหนดการที่วางเอาไว้
ไปถึงวัด เห็นหลวงพ่อเดินตรวจงาน ก็รีบเข้าไปกราบ เห็นหลวงพ่อแล้วใจมันชื้นขึ้นเยอะ
หลวงพ่อ : ทิดรัตน์ออกเดินทางตั้งแต่เมื่อไหร่
ทัดฤทธิ์: เมื่อวานขอรับหลวงพ่อ มารถทัวร์ขอรับ ลงสายใต้ใหม่แล้วก็เดินทางต่อกับคณะทิดตู่มาวัดเลยขอรับ
หลวงพ่อ: ไม่เหนื่อยแย่หรือ
เมตตาที่หลวงพ่อมีให้กระผมเสมอมา ทำให้รู้ตื้นตันใจยิ่งนัก
วันที่ ๑๙ ผมตื่นแต่เช้าตามปกติของผม คว้ากล้องส่องทางไกลไปสำรวจ "นก" รอบ ๆ ที่พัก เห็นระดับน้ำที่แม่น้ำลดลงไปเยอะ จนเห็นแนวพื้นทรายจึงตั้งใจลงไปเดินสำรวจตามแนวตลิ่งว่าจะเจอนกชนิดใดบ้าง
ยังไม่ทันจะตั้งตัวให้ดี มารู้ตัวอีกที่ร่วงลงไปนอนกับพื้นแล้ว แขนซ้ายฟาดกระทบบ่อซีเมนต์อย่างแรง ปวดร้าวไปถึงกระดองใจ เก็บอาการแทบไม่ไหว ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นมองไปที่ท้องแขน ทั้งเลือดทั้งรอยถลอกเป็นแนวยาว ค่อย ๆ กัดฟันพยุงตัวไปตรงแอ่งน้ำตื้น ๆ ค่อย ๆ เอามือวักน้ำ ล้างทำความสะอาดบาดแผล พลางคิดไปว่า "ท่านใดที่มาทวง งานนี้ถือว่าชดใช้ให้กันแล้วนะ" พิจารณาไปว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ค่อย ๆ เดินหน้าต่อ เห็นฝูงนกกระติ๊ดขี้หมู ค่อย ๆ จิกกินเมล็ดหญ้า พร้อม ๆ กับเสียงร้องของนกกระเต็นอกขาว ที่ดังออกมาจากแนวป่าทึบ เดินไปเดินมาได้ระยะหนึ่ง เห็นว่าสมควรแก่เวลา ที่ควรจะกลับไปเตรียมเนื้อเตรียมตัวไปวัดต่อไป
วาโยรัตนะ
22-06-2010, 20:25
งานก็ราบรื่นไปด้วยดีทุกประการ ข่าวคราวทางบ้านส่งมาเป็นระยะ ๆ เดี๋ยวลูกป่วย ภรรยาเปื่อย วัดดวงรีบเดินทางกลับออกจากวัดช่วงบ่ายสามโมงเย็นแต่สุดท้ายก็ไม่ทันทั้งรถทัวร์ และเครื่องบิน จึงต้องอาศัยหลบนอนบ้านคุณต้อมบางพูน เช้าวันที่ ๒๑ รีบออกไปจองตั๋วเครื่องบินตั้งแต่เช้า ขึ้นเครื่องตอนบ่ายสามโมงเย็น เครื่องออกจากดอนเมือง ได้ยี่สิบนาที กัปตันส่งเสียงแจ้งว่าเครื่องขัดข้อง ต้องบินกลับลงสนามบินดอนเมืองอีกครั้งเพื่อทำการตรวจสอบ งานนี้เล่นเอาอารมณ์กลัวตายของผู้โดยสารบนเครื่องวิ่งพล่านไปหมด ส่วนกระผมตายก็ตายวะ อาการป่วยมันเริ่มกำเริบอีกครั้งแล้ว มวนท้องไปหมด
ห้าโมงครึ่งหลังจากทีมช่างส่งสัญญาณว่าแก้ไขปัญหาได้แล้ว ก็ออกเดินทางต่อถึงภูเก็ตหนึ่งทุ่ม กลับถึงบ้านเกือบ ๆ สามทุ่ม อาบน้ำอาบท่า ตรวจดูลูก ๆ นอนกันหมดแล้ว จึงขึ้นไปกราบพระที่ห้องพระ จัดแจงกราบขอขมาพระรัตนตรัย ล้มหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย
ราวตีสามกว่า ๆ ฝันไปว่ามีเหตุไม่ค่อยดี จนต้องสะดุ้งตัวตื่นพร้อมเสียงโวยวายของภรรยาดังขึ้นมาจนถึงห้องพระ
พี่รัตน์ น้องเอยเป็นอะไรไม่รู้ ลงมาดูเร็ว พี่รัตน์...ลูกชัก !
ตั้งสติได้ก็รีบคว้ากุญแจรถยนต์ รีบเอาลูกขึ้นรถ ปิดบ้านใส่กุญแจเรียบร้อย แล้วไปถึงโรงพยาบาลภายใน สิบห้านาที
หมอบอกน้องไข้สูงมาก ให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ตอนนี้อาการปกติแล้ว
โถ..แม่นางฟ้าของพ่อ ทุกข์นะลูก..ขันธ์ห้ามันทุกข์..!
ทุกข์ใดเล่าจะเท่าทุกข์ของพ่อแม่ ยามลูกเจ็บไข้ได้ป่วย
ทุกข์ใดเล่าจะเท่าทุกข์ของครูบาอาจารย์ ยามศิษย์หลงผิด เดินผิดทาง
วาโยรัตนะ
24-06-2010, 06:27
"ทุกข์คือสิ่งที่ควรกำหนดรู้ เมื่อกำหนดรู้แล้วก็วาง ไม่ใช่แบกเอาไว้" พลางคิดถึงคำสั่งสอนของหลวงพ่อไปด้วยอารมณ์ใจเบา ๆ จู่ ๆ ก็เห็นท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ในช่วงขณะจิต กระผมฝากท่านปู่ช่วยดูแลอาการไข้ต่าง ๆ ของครอบครัวกระผมด้วยขอรับ ท่านก็มาในลักษณะนั่งสมาธิแบบที่เราเห็นในหนังสือต่าง ๆ
อาการของน้องยังทรง ๆ ทรุด ๆไข้ขึ้น ๆ ลง ๆ จนหมอต้องปรับจากยากินมาให้ยาทางสายน้ำเกลือด้วย แต่ก็ถือว่าเป็นคนไข้ที่แต่งตัวแนวที่สุดเพราะน้องไม่ยอมใส่ชุดของทางโรงพยาบาล ใส่แต่เสื้อคอกระเช้าสีแสบตา จนคุณหมอถามว่า มีสีครบทุกวันตามสีเลยหรือเปล่า
เมื่อคืนไปนอนเฝ้าที่โรงพยาบาลก็กำหนดนอนภาวนาไปด้วย ช่วงนี้ฝันถึงแต่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เสียไปแล้ว จึงกำหนดอุทิศบุญไปให้
http://i113.photobucket.com/albums/n212/wonderisland/P6250851.jpg
หลวงปู่เล็กช่วยหนูด้วยเจ้าค่ะ
วาโยรัตนะ
25-06-2010, 14:33
กระผมวางแผนไว้อย่างดิบดี ไปสอบตัวแทนประกันชีวิต หวังว่าเมื่อได้ใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตมาแล้ว จะได้ทำประกันชีวิตให้ลูกและดูแลคนในครอบครัว แทนที่จะหวังให้คนอื่นดูแล เพราะมีประสบการณ์มาแล้ว ยังไม่ทันไร เหมือนจะโดนทดสอบกำลังใจ......ช่างออกโจทย์ได้โดนใจโดนจังหวะเสียเหลือเกิน.......เป็นเมื่อก่อนผมคงวางกำลังใจแบบวันนี้ไม่ได้ นี่ดีขึ้นกว่าเก่าตั้งเยอะแล้ว
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ขอรับ กระผมว่ากระผมวางกำลังใจดีแล้ว แต่อยู่ ๆ มีจิตตัวหนึ่งมันพุ่งขึ้นมาว่า "ทำดีตั้งเยอะตั้งแยะแล้วไม่เห็นจะได้ดีเลย เห็นหรือเปล่าลำบาก เดือดร้อนตลอด" (ยังพูดไม่ทันขาดคำ...)
หลวงพี่: โยม! ฝากไปบอกไอ้จิตดวงนั้นของโยมด้วยนะ ถ้าทำดีจริง ๆ ทำถึงจริง ๆ มันไม่วุ่นวายอย่างนี้หรอก ตัวช่วยมันจะเยอะกว่านี้ ฝากบอกมันด้วยว่าอย่ามาโอดโอย อย่างไรเสียตั้งใจปฏิบัติไปโยม อย่าไปท้อแท้ วิธีแก้ไขทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวโยม คือการปฏิบัติเท่านั้น ตัดภพตัดชาติให้ได้ จำเอาไว้นะโยม เราเป็นกำลังใจให้
วาโยรัตนะ
28-06-2010, 14:55
พอลูกหายออกจากโรงพยาบาล งานนี้งานเข้า คุณแม่ก็มาป่วยอีก....:fea27916::onion_emoticons-18: ต้องเตรียมตัวพาท่านไปรักษาที่หาดใหญ่ ดีที่ว่าใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่หมอนัดพอดี ก็ว่ากันไปครับ ผมเองบางครั้งก็วางกำลังใจได้ แต่บางครั้งก็เผลอคิดไปเหมือนกัน เผลอก็รู้ว่าเผลอ ดึงสติกลับมาพิจารณาใหม่ ก็เห็นทุกข์ทั้งนั้น ยิ่งมีขันธ์ห้าก็ยิ่งทุกข์ ไม่ว่าจากตัวเราเองหรือคนรอบข้าง
คิดไปอีกแบบหนึ่ง ก็มีทุกข์ล้วน ๆ มาแบบอาหารจานด่วน มาให้พิจารณาอยู่เบื้องหน้ากับคนใกล้ ๆ ตัว ตอนลูกไม่สบายก็ทุกข์ไปอีกแบบ มาแม่ไม่สบายก็ทุกข์ไปอีกแบบเช่นกัน ถึงรายละเอียดจะต่างกัน แต่มันก็ทุกข์ล้วน ๆ
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ขอรับ กระผมว่ากระผมวางกำลังใจดีแล้ว แต่อยู่ ๆ มีจิตตัวหนึ่งมันพุ่งขึ้นมาว่า "ทำดีตั้งเยอะตั้งแยะแล้วไม่เห็นจะได้ดีเลย เห็นหรือเปล่าลำบาก เดือดร้อนตลอด" (ยังพูดไม่ทันขาดคำ...)
หลวงพี่: โยม! ฝากไปบอกไอ้จิตดวงนั้นของโยมด้วยนะ ถ้าทำดีจริง ๆ ทำถึงจริง ๆ มันไม่วุ่นวายอย่างนี้หรอก
....ติดใจครับ ชอบมาก ๆ ไว้เตือนตนเองได้ดีมาก ๆ ครับ
....ขออนุโมทนา ขอบคุณครับ
วาโยรัตนะ
28-06-2010, 21:12
เรื่องการปฏิบัติกระผมเองก็ไม่ได้ทิ้ง เมื่อก่อน (นานมาแล้ว) เคยกราบเรียนขอความเมตตาหลวงพ่อ
ทัดฤทธิ์ :หลวงพ่อขอรับ กระผมเองว่ากระผมปฏิบัติแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น แล้วทำไม ไม่เห็นมันจะดีขึ้นหรือก้าวหน้าขึ้นเลยครับ
หลวงพ่อ :คุณแน่ใจหรือว่าคุณทำชนิดที่เรียกว่า "หัวไม่วางหางไม่เว้น" (เสียงหลวงพ่อดุ ๆ)
ถ้าคุณทำได้แบบนั้น จะหาคำว่าไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า ไม่ได้หรอก
หน้าที่ที่ผมต้องรีบทำตอนนี้ คือหันกลับมาตอกย้ำตัวเองก็คือ ทำ ทำ ทำ และ ทำต่อไป
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปทำบุญตักบาตรกับหลวงพี่ ที่สำนักสงฆ์จุดประทีป ช่วงเย็นก็ได้ตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุและทำสมาธิภาวนาอยู่นาน หลังจากนั้นก็ได้สนทนาธรรมกับท่าน
หลวงพี่:ลูกเป็นอย่างไรบ้างโยม ออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ ตั้งใจปฏิบัติไปนะโยม มีทุกข์ก็กำหนดรู้ว่าทุกข์ ดูมันให้เห็นแล้ววางลงให้ได้
เป็นประโยคไม่สั้นไม่ยาว ที่ท่านคอยเตือนสติอยู่เสมอ ๆ อีกเรื่องกระผมว่ากระผมก็โชคดี ถึงแม้นตอนนี้ ทางบ้านจะมีเรื่องวุ่นวาย แต่คนในบ้านต่างก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ถึงแม้นในบ้านจะมีผมปฏิบัติอยู่เป็นหลักแค่คนเดียว แต่ทุกคนก็ทำให้ผมมีเวลาในการไปปฏิบัติภาวนาหรือทำบุญทำทานเสมอ ในความมืดยังมีแสงสว่างเสมอ ๆ กาลเวลามันกำลังกลืนกินทุกอย่างไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยก็ยังดีที่ยังได้ปฏิบัติ
ตอนไปงานสืบชะตาหลวงพ่อ เจอแต่ "แฟนพันธุ์แท้" ของกระทู้นี้เข้ามาทักทาย
สาวไม่ค่อยขาวแต่ก็ไม่ค่อยสวย : ติดตามอ่านตลอดค่ะ
ทัดฤทธิ์: ครับ ๆ ขอบคุณมากครับ หวังว่าคงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
(ว่าจะขอค่าลิขสิทธิ์ก็ไม่กล้า เก็บแค่คนละบาท (ทองคำ) ก็รวยแล้ว)
ช่วงนี้บรรยากาศของเรื่องราวอาจจะออกแนว "ม่าม่า" ขออภัยครับ บรรยากาศอาจจะออกแนวละครเคล้าน้ำตาไปสักนิด แต่ก็ขอยืนยันว่า ทุกอย่างมันออกมาจากเรื่องจริง การปฏิบัติจริงทั้งนั้นและนี้ก็เป็นช่วงปัจจุบัน ซึ่งอีกไม่นานมันก็คงหมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นอดีต อันแสดงให้เห็นว่า "มันไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนอันใดเลย"
วาโยรัตนะ
29-06-2010, 06:24
วันนี้ ผ่านไปอีกวัน ตื่นมาปฏิบัติตั้งแต่ตีห้า ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีสี่ ถึงจะตื่นมาสายไปหนึ่งชั่วโมง ก็ยังดีที่ได้ปฏิบัติ เปิดเสียงชุมนุมเทวดา บูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีลแปดและสมาทานพระกรรมฐานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษี นั่งสมาธิเอาสมถกรรมฐานเป็นกำลัง เพื่อใช้กำลังเหล่านั้นในการทำวิปัสสนากรรมฐานในชีวิตประจำวันต่อไป ก็คือดู รัก โลภ โกรธ หลง ที่มันเข้ามาในแต่ละเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ดูมันตรง ๆ แล้วก็วาง (อันนี้คือสิ่งที่กระผมพยายามทำอยู่ครับ) ช่วงนี้ต้องหมั่นย้อนไปดูคำสั่งสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเล็ก เพื่อให้กำลังใจและรักษากำลังใจตัวเองครับ (ไม่อย่างนั้นเอาตัวไม่รอด)
สมถกรรมฐานเป็นการเพาะกำลังให้แข็งแรง
วิปัสสนากรรมฐานเหมือนกับอาวุธที่คมกล้า
เมื่อมีกำลังมีอาวุธแล้ว การจะตัดกิเลสก็เป็นเรื่องง่าย ในเมื่อเรารู้ว่า ทั้งสองอย่างต้องทำสลับกันไป แต่บางทีมันก็ยังไม่ไหว มันก็ยังรู้สึกว่าไปได้ไม่ดี ไม่คล่องตัวอาจจะเกิดจากอิริยาบถของเราที่มันซ้ำ ๆ อยู่กับที่ ไม่ใช่ว่านั่งก็นั่งมันอย่างเดียวไปตลอด ยืนก็ยืนมันอย่างเดียวไปตลอด เดินก็เดินมันอย่างเดียวไปตลอด
นอนก็นอนมันอย่างเดียวไปตลอด มีน้อยคนที่ทำอยู่อิริยาบถอย่างเดียว แล้วอารมณ์ใจจะตั้งมั่น
ให้เราเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เมื่อเราเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนอิริยาบถ มีสิ่งที่แปลกใหม่เข้ามา สภาพจิตก็จะไม่เบื่อหน่าย มันก็จะเริ่มปฏิบัติในอิริยาบถใหม่ หรือว่าเริ่มปฏิบัติในสถานที่ใหม่ เพื่อที่จะให้กำลังใจ ทรงตัวเท่ากับที่เราเคยทำมา หรือว่าอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เพราะว่ามันไม่ซ้ำซากจำเจแล้ว
แม้มันจะดีถึงที่สุดไม่ได้ ก็ให้มันดีในลักษณะของ
"พระโยคาวจร" คือ ผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น แม้จะไม่ได้เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์
ขึ้นชื่อว่าพระโยคาวจร ก็ยังไม่ขาดทุนมาก
ป.ล. คติเตือนใจ
พวกเราจะอยู่ในลักษณะ ทำทำ ทิ้งทิ้ง ไม่สม่ำเสมอ เปรียบเหมือนกับ การขุดบ่อน้ำเพื่อจะหาน้ำ พอขุดลงไปได้สักสองวาสามวา ยังไม่ถึงน้ำเสียที คนอื่นบอกตรงโน้นดีก็เปลี่ยนที่ไปขุดตรงโน้น
ขุดลงไปได้สักสองวาสามวา คนอื่นเขาบอกว่าตรงโน้นดี ก็เปลี่ยนที่ไปอีก
การที่เราขาดความจริงจังสม่ำเสมอ ในการทำกรรมฐาน ทำให้มันไม่เกิดผล ดังนั้น เมื่อมันไม่เกิดผล หรือว่าเกิดผลน้อย เหมือนกับขุดบ่อแล้วไม่ได้น้ำเสียที เราอาจจะท้อแล้วก็เลิกขุด
เพราะฉะนั้น เมื่อท่านทรงอารมณ์กรรมฐานได้แล้ว ทรงตัวได้แล้ว
ให้พยายามประคับประคองอารมณ์นั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ให้ยาวที่สุด เพื่อความเคยชินของกำลังใจ
วาโยรัตนะ
29-06-2010, 06:40
มีเรื่องแปลกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าหากเราดูสภาพเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เราจะเห็นว่าสารพัดความทุกข์ประเดประดังเข้ามารอบข้าง
สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว นี่เป็นโอกาสทองที่ดีที่สุด ที่เราจะได้พิจารณาให้เห็นอย่างชัดเจน แต่ที่อยากพูดก็คือว่า ทำไมพวกเราปล่อยให้โอกาสนี้ข้ามไปเฉย ๆ แล้วอีกนานเท่าไรเราถึงมีโอกาสอย่างนี้อีก ? เรียกว่า ไม่รู้จักพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ปล่อยให้วิกฤตยังคงเป็นวิกฤตอยู่ตามเดิม
ความทุกข์ที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น บีบคั้นมารอบข้าง ใครซึ่งที่ทำงานโดนไฟไหม้จะยิ่งรู้ชัด งานไม่มีทำ..ไม่รู้จะมีกินหรือเปล่า? ลำพังตัวเองยังไม่เท่าไร ถ้ามีครอบครัว ไหนจะลูก ไหนจะเมีย ไหนจะผัว ความทุกข์ประดังเข้ามาหนักยิ่งกว่าเดิม แต่เรากลับไม่ฉวยโอกาสนี้ในการพิจารณา จะว่าไปแล้วก็เกิดจากสติ สมาธิ ปัญญายังไม่ถึง ไม่เพียงพอที่จะมองเห็น เมื่อรู้แล้วให้ลองแบกโลกดูสักที ถ้าแบกไหวก็สบายไปเลย
มีฝรั่งเขาสงสัยว่าพระพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องความทุกข์ ความลำบาก ในเมื่อเรื่องความสุข ความสบายมีเยอะแยะกลับไม่สอน
ความสุขสบายนั้น อันดับแรก ทำลายความมุ่งมั่นของเราได้ง่ายที่สุด คิดจะทำนั่นคิดจะทำนี่ แต่ถ้าลำบากหน่อยแล้วทิ้ง เพราะเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นทุกข์ยากลำบาก ถ้าเราไม่ทำความสุขสบายก็รออยู่ กลายเป็นว่าความสุขความสบายกัดกร่อนปณิธานของตนเองไปจนหมด
ประการที่สอง ความสุขสบายทำให้คนยึดติดได้ง่าย ในเมื่อยึดติดได้ง่าย ในเรื่องของธรรมะที่จะให้ตัดให้ละ ถ้าใช้ความสุขมาเป็นการสอน ต้องเป็นบุคคลที่มีปัญญาขนาดไหนจึงจะมองเห็น
แม้กระทั่งพระองค์บรรลุมรรคผลแล้วยังไม่คิดจะสอนใคร เพราะเห็นว่าธรรมะของพระองค์ลึกซึ้งมาก ในเมื่อสอนถูกต้องตามวิธีการแล้ว ยังยากที่จะเข้าถึง แล้วถ้าไปสอนตรงกันข้าม โอกาสก็จะยิ่งน้อยไปอีก
ประการที่สาม เรื่องตรง ๆ เลย ถ้ามีความสุข ก็อยากเกิดอีก ในเมื่ออยากเกิดอีก โอกาสที่จะหลุดพ้นก็ไม่มี
เพราะฉะนั้น ใครเขาถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าสอนแต่เรื่องความทุกข์ ไม่สอนเรื่องความสุข ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่น่าเศร้าหมอง น่าหดหู่ บอกเขาไปให้ชัดเจนเลยว่า เกิดจากสาเหตุทั้งหลายเหล่านี้ แต่ถ้าท่านทำถึง ก้าวล่วงพ้นความทุกข์ได้เมื่อไร ความสุขที่แท้จริงก็จะมาเอง
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๓
อ่านแล้ว สะกิดใจอย่างรุนแรง วันนี้กระผมพยายามพลิกวิกฤตของกระผมเองให้เป็นโอกาสครับ
วาโยรัตนะ
01-07-2010, 09:31
"กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง" เป็นประโยคในเนื้อร้องของทำนองเพลง เพลงหนึ่ง แต่ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น กระผมเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า "กลับตัวได้ ให้เดินต่อไป ก็ต้องไปถึง"
แรกเริ่มเดิมที ผมเริ่มถูกทางคือเลือกที่จะเป็นผู้แสวงหาหนทางแห่งความหลุดพ้น ในพระพุทธศาสนา อันมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ แต่ผมหลงไปในวังวนของ อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่ถึงกับว่าไม่ได้ประโยชน์อย่างใดเลย ได้ประโยชน์มากหากพิจารณาให้เป็นข้อธรรม แต่ก็เหมือนเดินวนอยู่กับที่ ถ้าเปรียบเทียบให้เหมือนกับลักษณะของการเดินทาง อาจจะเรียกว่าได้ว่า "เดินอ้อม"
ย้อนกับมาในการสนทนาธรรมกับครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่าน ในที่นี้คงไม่พ้น "หลวงพี่" เพราะท่านอยู่ใกล้ผมที่สุด กรรมของท่านหรือว่าบุญของผม (เพื่อความบันเทิงในธรรม ขอกราบขอขมาขอรับ หากประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินประการใด)
ทัดฤทธิ์:หลวงพี่ขอรับ พวกน้อง ๆ ในกลุ่มของกระผมหลังจากแตกกระจัดกระจายออกจากกลุ่มปฏิบัติกลุ่มหนึ่งแล้ว เดี๋ยวนี้ทุกคนแทบจะไม่ได้เน้นในเรื่องของการปฏิบัติเลยขอรับ แต่เรื่องของ ทาน ศีล ทุกคนยังมั่นคงเช่นเดิมขอรับ
หลวงพี่ท่านยิ้มมุมปากน้อย ๆ แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง
หลวงพี่: ดีแล้วโยม พวกเขาได้ลืมของเก่า ๆ ที่ไปรับมาผิด ๆ.....เวลาคนเราอยู่กับอะไรที่ไม่ถูกหรือเคยชินกับอะไรนาน ๆ มันจะปรับตัวจากสิ่งเหล่านั้นได้ยาก ยิ่งรับมาผิด ๆ กว่าจะปรับปรุงให้ถูกได้มันยาก การเริ่มต้นที่ถูกที่ดีนั้น นับเป็นเรื่องสำคัญ อวิชชานี่มันเป็นตัวทดสอบที่สำคัญเลย ดีนะที่ยังกลับตัวกลับลำกันได้ทันเวลา ทำตามคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีนั่นละ ท่านสอนไว้ดีแล้ว
ทัดฤทธิ์:ขอรับ หลวงพี่ขอรับ กระผมมีเรื่องจะมากราบเรียนปรึกษาขอรับ กระผมได้รับโทรศัพท์จากญาติธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งถือเป็นศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน เขาบอกว่าทุกครั้งที่เขาถอดจิตไปหาครูบาอาจารย์ทุกครั้ง เขาเห็นกายทิพย์ของกระผมทุกครั้ง อยู่ตรงปากทางเข้า แต่เข้าไปหาครูบาอาจารย์ท่านนั้นไม่ได้ จนท่านชี้ให้เขาดูว่ากระผมอยู่ตรงนั้น และท่านพูดกับเขาว่า
"ดูโยมรัตน์สิ ถึงแม้นวันนี้จะยังมาหาอาตมาไม่ได้ มาหาอาตมาไม่ถึง แต่ก็ไม่ลดละในเรื่องของการปฏิบัติ เพราะ"อยาก" ตัวเดียวเท่านั้นที่ขวางเขาอยู่"
กระผมพยายามละความอยากลงแล้วขอรับหลวงพี่ และ "ท่าน" เองเคยบอกกับกระผมว่า "โยมรัตน์โยมทำได้ดีและเกือบจะดีมากแล้ว โยมละอยากลงได้ แต่โยมทรงกำลังใจแบบนี้ไว้ได้ไม่นานพอ" กระผมควรจะทำอย่างไรดีขอรับ
หลวงพี่:ทำต่อไป!
ทัดฤทธิ์: :154218d4: อย่างไรนะขอรับหลวงพี่
หลวงพี่:ก็ทำต่อไปอย่างไร! เราบอกแล้วว่าจิตมีสภาพจำ ทุกครั้งที่โยมปฏิบัติมันก็เหมือนการหยอดกระปุกมันบันทึกเรื่องราวข้อมูลของมันไปเรื่อย เดี๋ยวมันเต็มของมันเองแหละ "จงทำต่อไป" แล้วไอ้เรื่องของตัวอยาก "ถ้ายังวางมันไม่ได้ ก็ดูมันเลย"
ให้รู้ว่าขณะจิตนั้นเรายังมีความอยาก มันเลยยังไปไม่ได้ มันเป็นเหตุเป็นผล ความอยากมันเกิดขึ้นได้ เดี๋ยวมันก็ดับลงได้เช่นกัน ดูให้มันเป็นวิปัสสนาญาณไปเลย
ดูให้มันเป็นไตรลักษณ์ไปเลย มันไม่เที่ยงหรอก เราหนีมันไม่ได้ เราก็ดูมันแทนเลย เดี๋ยวจิตมันเบื่อมันก็จะคลายลงเอง คราวนี้แหละ.......มีหน้าที่ทำก็ทำไป :msn_smileys-12:
ทัดฤทธิ์:ขอรับ
จดหมายเตือนใจ
"โยมรัตน์ อาตมาอยากให้โยมนิ่งให้มากกว่าที่เป็น ทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาง่ายเหมือนปอกกล้วย เมื่อถึงเวลาอะไร ๆ จะเปิดทางให้โยมเอง หลายต่อหลายครั้งที่โยมก้าวเข้ามาเกือบถึงอาตมาแล้ว แต่ความอยากที่มากไปจนกลายเป็นกิเลสที่เป็นฉากกั้นอยู่ จงจำไว้ว่าจะหาอาตมาไม่ยากหรอก ละความอยากในใจออกให้หมด เมื่อเวลาและกุศลผลบุญอำนวยโยมทั้งสองจะได้พบอาตมาเอง อย่าคิดมา "ทางลัด" เพราะมันจะมาไม่ถึงจริงและสิ่งที่เห็นมันจะเป็นแค่ภาพในใจที่โยมปรุงขึ้น"
วันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกัน เมื่อทุกอย่างพร้อม
เจริญพร
วาโยรัตนะ
02-07-2010, 10:52
หลวงพ่อสอนผมว่า
"ทุกข์เขาให้รับรู้แล้วปล่อยวาง ท่องเอาไว้ว่า "ทุกข์ได้ทุกข์ไป เดี๋ยวกูก็พ้นจากมึงแล้ว"
วาโยรัตนะ
08-07-2010, 06:27
นี้ก็ผ่านมาสามเดือนแล้วกับวิกฤตซึ่งถือได้ว่าหนักมากอีกครั้งหนึ่ง เท่าที่เคยเจอมา ดีที่ได้กำลังใจจากพระเดชพระคุณครูบาอาจารย์ ที่คอยเตือนสติและประคับประคองกำลังใจ วันนี้เท่าที่สังเกตอารมณ์ตัวเอง มันดีขึ้น รู้สึกตัวตั้งแต่ตีสี่ ตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้า ทำกรรมฐาน แต่ก็ไม่ประมาท ยิ่งเห็นว่ามันดี มันก็ต้องพยายามรักษาเอาไว้ เผลอเมื่อไหร่กลัวมันจะแย่ลงอีก
เรื่องของคาถา หลังจากกราบเรียนสอบถามครูบาอาจารย์ท่านแล้ว ท่านบอกว่าให้นำไปใช้ควบคู่กับคาถาเงินล้านของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษี คือคาถาขอลาภของหลวงพ่อซ่วน " ฮัดนิกุดกัดกา กากิกูสูจิ " กลั้นใจว่า ๙ จบ
ครูบาอาจารย์ท่านย้ำว่า ให้ทำด้วยความเคารพ หลวงปู่หลวงพ่อท่านผูกคาถามาดีแล้ว วันนี้กำลังใจดี ๆ เลยว่าไปหลายจบ:875328cc: อย่ามาเอากำลังใจแบบผมไปใช้นะครับ ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ไม่ต้องรอให้กำลังใจดีแล้วค่อยทำ ยิ่งกำลังใจแย่ ๆ ยิ่งต้องทำให้เยอะ ๆ เข้าไว้ก่อน วันนี้ผมถือว่า "พระท่านเมตตา" ให้มีสติรู้ตัวตื่นตีสี่มาปฏิบัติธรรม ได้ทำวัตรเช้าพร้อมเสียงหลวงพ่อเล็ก ที่อัดเอาไว้ตั้งแต่ตอนบวช ก็เหมือนได้ทำวัตรเช้ากับท่านจริง ๆ ตามเวลาที่วัดท่าขนุน อย่างน้อยที่สุดวันนี้ผมได้ทำความดีแล้ว
วาโยรัตนะ
09-07-2010, 06:20
หลังจากท่องคาถาขอลาภของหลวงพ่อซ่วน ด้วยความเคารพ ตอนกลางวันได้รับโทรศัพท์ ติดต่อให้ไปคุยเรื่องงานกับฝรั่ง เขายื่นข้อเสนอ พร้อมเงื่อนไขต่าง ๆ ให้กระผมไปทำงานด้วย แต่บริษัทยังไม่เปิดดำเนินการ กำลังอยู่ในขั้นตอนของการยื่นเรื่องทางเอกสาร งานนี้ก็ถือว่า "พระท่านเมตตา" สำเร็จไปแล้วครึ่งทาง เมื่อไหร่ที่เซ็นสัญญาว่าจ้างทำงาน เมื่อนั้นก็หมายความว่าสำเร็จสมดังประสงค์ กระผมเองก็พยายามทำกำลังใจไม่ให้ฟูจนเกินไป วางกำลังใจกลาง ๆ
ช่วงเช้าเมื่อวานหลังกลับมาจากส่งเด็ก ๆ ไปโรงเรียน วิตกกังวลอาการป่วยของคุณแม่จนปวดหัว พยายามข่มใจวางแล้วก็ยังไม่วายนำมาคิดจนฟุ้งซ่าน เดินหันซ้ายหันขวาเห็นเครื่องตัดหญ้า เลยคว้ามาตัดหญ้ารอบ ๆ บ้าน ในขณะทำงาน เอาใจพิจารณาจดจ่ออยู่กับงานแทน ภาวนาไปบ้าง พิจารณาไปบ้าง ว่าทำงานอยู่ เหนื่อยวะ ดูมันไปเรื่อย สุดท้ายมันวางที่ความฟุ้งซ่านไปได้..............แต่เล่นเอาลิ้นห้อยไปเลย
เช้าตรู่วันนี้ตื่นมาชงกาแฟ จิบพอให้ร่างกายมันตื่นตัว แล้วก็ทำวัตรเช้า สวดมนต์ นั่งสมาธิ เก็บสะสมไปเรื่อย
วาโยรัตนะ
10-07-2010, 17:53
"สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าทำเอง"
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นตามสภาวธรรม ไม่ว่าจะเกิดกับตัวกระผมเองหรือสมาชิกในครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังประโยชน์แท้จริงให้เห็นเสมอ คุณยายของภรรยากระผม ท่านแทบไม่ทำบุญทำทานอะไรเลย รวมไปถึงคุณแม่ยายของกระผมด้วย และที่สำคัญ คุณแม่ของกระผมเองด้วย ถ้าไม่ถึงกับว่า "ต้องบังคับ" กันจริง ๆ ทุกคนแทบจะไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เลย
แต่ก็เหมือนกับ "พระท่านเมตตา" คุณยายของภรรยาท่านป่วย คุณตาของภรรยา ท่านเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดมะเร็งตับ คุณแม่ผมท่านก็ป่วย แต่ท่านดื้อเรื่องกินยาเอามาก ๆ ผมเองก็:33c4b951:ถึงขั้นที่ว่า "เจ้อยากตาย" ฟุ้งไปบ้าง วางได้บ้างไปตามเรื่อง
มาคราวนี้คุณยายของภรรยากระผม ท่านฝันชนิดที่เรียกว่าท่าน กลัวขึ้นสมอง (กลัวตาย) ท่านเล่าว่า เมื่อคืนท่านฝันว่า "มีคนมากวักมือเรียกอยู่นอกบ้าน บอกให้ท่านออกมาคุยเรื่องหนี้สินที่ติดเขาเอาไว้ ให้มาคุยกันให้จบ ๆ กันไป ท่านก็ตอบไปว่า ท่านเองไม่เคยเป็นหนี้ใคร จึงไม่ยอมออกไป ส่วนทางโน้นก็โกรธมาก ดูน่ากลัว"
เห็นท่านซุบซิบ ๆ ปรึกษากันกับแม่ยายกระผม และคุณแม่ของกระผม แล้วทั้งสามท่านก็สุรปกันว่า เจ้ากรรมนายเวรคงจะมาทวง พร้อม ๆ กับแม่บ้านที่คุณแม่ผมจ้างมาทำงานบ้าน เขาเองออกแนวร่างทรง ก็ช่วยสรุปด้วยว่า เจ้ากรรมนายเวรมาทวงแถมยังบอกกับทุกคนว่า ในบรรดาคนป่วยทั้งสามคน เขาเองคิดว่า คุณยายท่านน่าเป็นห่วงที่สุด ให้ไปถามหลานเขยเอา เพราะเขารู้เรื่องนี้ดี
งานนี้ก็เข้าทางผม ก็เลยบอกกับทุกคนว่า ดีแล้วอย่างน้อยที่สุดเราจะได้รู้ตัว ยังมีเวลาที่จะได้ไปทำบุญ ไปปฏิบัติกัน ปกติผมชวนแต่ละคนก็อ้างโน่นอ้างนี่ บุญเท่านั้นแหละที่สำคัญขอให้เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย
พรุ่งนี้วันพระ ทุกคนก็ตกลงกันว่าจะไปทำบุญที่วัด ตอนเย็นก็จะไปร่วมตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ผมเองก็เรี่ยไรให้ร่วมบุญสร้างยอดฉัตรทองคำ ก็ถือว่างานนี้ก็ต้องประคับประคองกำลังใจกันไป ให้ตั้งมั่นอยู่ใน ทาน ศีล ภาวนา กันต่อไป ได้แค่นี้ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
วาโยรัตนะ
11-07-2010, 06:11
หลังจากทำวัตรเช้าติดต่อกันมาระยะหนึ่ง เมื่อวานหลังจากดูความเรียบร้อยของคนโน้นคนนี้แล้ว ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วย ก็ได้เวลาเข้านอน ขึ้นห้องพระ เปิดเสียงหลวงพ่อเล็ก สวดมนต์ทำวัตรเย็น ทำกรรมฐาน
ก่อนจะเอนตัวลงนอนนึกขึ้นได้ เรื่องคาถาขับมารของหลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย เดินลงมาจากห้องพระ เดินไปตรงกลางสวนมะพร้าว ยกมือพนม ตั้งจิตตั้งนะโมฯ สามจบ ขอบารมีพระรัตนตรัยและหลวงปู่ชุ่มเป็นที่สุด ว่าคาถา " ตะรังเม ยาจามิ " ว่าเสร็จก็โบกมือไปทีหนึ่ง จนครบ ๔ ทิศ ขนลุกซู่ซ่าไปหมด พร้อมอธิษฐานว่า "สิ่งใดที่เป็นมิจฉาทิฐิ ขอให้ออกไปจากพื้นที่นี้ ส่วนสิ่งใดที่เป็นสัมมาทิฐิก็ขอให้มาสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นพรหม เทวดาทั้งหลาย ขอให้พื้นที่นี้สงบร่มเย็นอยู่เย็นเป็นสุข มีแต่ความเจริญทั้งทางธรรมและทางโลก เหมือนดังชื่อบ้านที่ตั้งชื่อว่า บ้านเย็นศิริ (บุญ-ดวง)"
วาโยรัตนะ
11-07-2010, 21:30
เช้าวันนี้ได้ไปกันทั้งครอบครัว ไปทำบุญตักบาตรกับหลวงพี่ ตอนเพลก็ได้ทำทำบุญถวายเพลที่วัดในหาน ตอนเย็นทุกคนรวมตัวกันที่บ้าน เพื่อไปตามประทีปถวายพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุบนเขา
งานนี้มีสมาชิกเพิ่มเติมมาอีก คือคุณลุงกับคุณป้าของภรรยากระผม ทั้งสองคนไม่มีลูก จึงเลี้ยงหมาแทน รักเหมือนกับเป็นลูกจริง ๆ มันเพิ่งตายไปได้ไม่นาน ลุงเสียใจมาก ร้องไห้เป็นวัน ๆ ปกติท่านไม่เคยทำบุญอะไร ไปวัดยังไม่ไปเลย งานนี้พอหมาตาย ด้วยความรักผูกพันกัน จึงอยากทำบุญอุทิศให้ เลยเริ่มทำบุญ ไปวัด ตักบาตร ฟังธรรมอยู่ได้ช่วงหนึ่งแล้ว ทำไปทำมาก็กล่าวออกมากับปากตัวเองว่า "ตั้งแต่ไปทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระ รู้สึกว่าชีวิตและทุก ๆ อย่างในครอบครัวดีขึ้น" พอมารู้เรื่องของคุณยายเข้าไปอีก ก็ยิ่งเข้าใจว่าบุญเป็นเรื่องสำคัญ เลยขอตามไปจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุด้วย
งานนี้ก็เข้าทางผมอีกตามเคย ตามประทีปเสร็จ ก็นำทุกท่านบูชาพระรัตนตรัย ขอขมาพระรัตนตรัย บูชาพระบรมสารีริกธาตุ นั่งสมาธิทำกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศล
ภรรยาผมพูดให้ฟังว่า "ตั้งแต่ตามประทีปมาวันนี้ เป็นวันที่จิตสงบมากที่สุด"
สาธุ วันนี้คุ้มค่าจริง ๆ
วาโยรัตนะ
14-07-2010, 20:46
"วิปัสสนึก" (คิด)
หลวงพี่:ไหนโยมลองเล่าถึงวิปัสสนาของโยมหน่อยสิ ว่ามันเป็นอย่างไร?
ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่ ผมเองยังเคยเขียนลงในกระทู้ห้อง "หลวงพี่เล็ก" ที่เว็บพลังจิตเลยครับ
อย่างนี้ครับ ผมยกตัวอย่างเรื่องของเทียนหนึ่งแท่ง การที่เราจะจุดไฟให้ติดไส้เทียนได้เราก็ต้องมีไม้ขีดครับ ไม่อย่างนั้นไฟก็คงจะไม่สามารถติดได้ครับ นั่นคือเหตุที่ทำให้เกิดแสงสว่างเวลาเราตามเทียนครับ ส่วนเทียนที่สามารถติดไฟได้นั้นก็เพราะ เกิดการสันดาปของความร้อนกับอากาศ ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งไฟก็ไม่ติดครับ และที่เทียนติดได้นาน ๆ นั้น ก็เพราะมีน้ำตาเทียนเป็นเชื้อเพลิงซึ่งปกติมันเป็นของแข็ง แต่เมื่อโดนความร้อนมันจึงกลายเป็นของเหลว แล้ววิ่งขึ้นไปเป็นเชื้อเพลิงให้ไส้เทียนครับ ตอนนี้ก็คือสภาวะของการตั้งอยู่ครับ หลังจากนั้นเมื่อแท่งเทียนค่อยเล็กลงหรือหดลงเป็นถูกเผาไหม้จนหมด หลังจากนั้นไฟก็ดับครับ ทั้งหมดทำให้เห็นสภาวะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ครับ:l43841274qn5:
หลวงพี่:ท่านเงียบไปแล้วก็ยิ้มมุมปาก แล้วท่านก็ตอบมาว่า นั่นมันคือ "วิทยาศาสตร์ ไม่ใช่วิปัสสนา"
ทัดฤทธิ์: :l438412717dh8::a47173957fi0::7f5341cc::d1eef220::cebollita_onion-21::msn_smilies-02:ถ้าอย่างนั้นผมก็ปล่อย "โง่" ออกไปตัวเบ้อเร่อเลยสิขอรับหลวงพี่
หลวงพี่: :msn_smileys-16: วิปัสสนาญาณคือ สิ่งที่จิตไปรู้ มันเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ไม่มีการปรุงเอาไว้ก่อน ไม่มีการเตรียมเอาไว้ก่อน เกิด ดับ เกิด ดับ ของมันไปเรื่อย ๆ ที่เราเน้นให้เธอทำสมถกรรมฐานก็เพื่อเธอจะได้มีกำลัง ไม่อย่างนั้นจิตไม่มีกำลังก็ทำวิปัสสนาญาณได้ไม่ดี ดูมันไม่ขาด ของแบบนี้มันต่อเนื่องกัน สักแต่ดู สักแต่รู้อย่างมีสติเท่านั้นนะ ไม่ไปปรุงแต่งต่อ ที่เธอเล่ามาเมื่อกี้นั้น เธอรู้มันแบบโลก ๆ แบบนั้นมันเรียกวิทยาศาสตร์
สมถกรรมฐานจงทำอย่าให้ขาด มันสงบแล้ว อิ่มแล้ว ก็มาพิจารณาต่อไป เบา ๆ แค่รู้ แค่ดูอย่างมีสติ อย่าไปแทรกแซงใด ๆ ที่หลวงพี่สอนเธอเรื่องนี้ โดยที่เราไม่หยิบเรื่องอื่นให้เธอนั้น ก็เพราะเธอทำมามากแล้ว ดูอะไรต่อมิอะไรมากมายแล้ว คราวนี้ดูของในตัวเรานี้แหละ ดู รักโลภ โกรธ หลง ในตัวเรานี้แหละ ตัดภพ ตัดชาติให้ได้นะ
ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่:875328cc:
วาโยรัตนะ
15-07-2010, 06:55
หลวงพี่:เป็นอย่างไรบ้าง หายหน้าหายตาไปเลย
ทัดฤทธิ์: รถติดครับ ไปส่งลูกชายไปโรงเรียน ขากลับเวลามันเฉียดฉิวทุกทีขอรับ ถ้าวันไหนเอารถยนต์ไป ก็กลับมาใส่บาตรหลวงพี่ไม่ทันขอรับ
หลวงพี่:ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากหรอก ถ้าดูว่าพอจะทันก็แวะซื้อ แล้วไม่ต้องกลับไปใส่ปิ่นโตที่บ้าน มันวกไปวนมา ขึ้นมาเลย ถ้ามาได้ให้มานะ เราจะรอ บุญเพียงเล็กน้อยก็ขอให้ได้ทำ จงอย่าไปประมาทอะไรก็ตามที่เป็นบุญให้ขวนขวายทำเอาไว้ให้เยอะ ๆ
ทัดฤทธิ์::875328cc:ขอรับ หลวงพี่
หลวงพี่: ลูกโยมสงสัย ชาติที่แล้วชอบทำบุญด้วยข้าวเปล่ากับไข่เค็ม.....เอา ๆ รับไปเจ้าอาร์ม (หลังจากที่ท่านตักแบ่งไข่เค็มออกไปเพียงเล็กน้อย)
ทัดฤทธิ์น้อย: :55318906:ขอบคุณครับ (ของโปรดผมเลยครับ)
หลวงพี่: ฮ่า ๆ ๆ ๆ มีขอบคุณด้วย เอ่อ ดี ๆ
วาโยรัตนะ
15-07-2010, 09:13
ขอลาป่วยไปนอนโรงพยาบาล สักสองสามวันนะครับ ทนไข้ต่อไปไม่ไหวแล้วครับ
วาโยรัตนะ
16-07-2010, 14:17
"หลวงพ่อในนิมิต"
หลังจากทนป่วยอยู่จนบ่ายสองกว่า เพราะนัดคุยธุระเอาไว้ ช่วงเช้าก็นอนซมทั้งวัน เอ่อ ช่างมันเรื่องของมัน คุยธุระเสร็จ ขับรถมาโรงพยาบาล ตรงเข้ารายงานตัวกับหมอเสร็จ นอนนซมตรงโซฟา ไข้สูงเกือบ ๓๙ องศา รอห้องพัก มันช่างทดสอบกันทุกเวลา พอขึ้นเตียงได้ ฝ่ายการเงินโทรมาถามอีก
"คุณรัตน์ ทำประกันมานานหรือยัง พรุ่งนี้ต้องทำ ทีซี ตรวจโพรงจมูก ค่าใช้จ่ายประมาณ ๘,๐๐๐ บาทค่ะ"
เห็นอารมณ์โทสะตัวเองเดือดพล่านทันทีเลยตอบไปว่า
"ถ้าบริษัทประกันชีวิตไม่รับผิดชอบ เพราะนี้คือคำสั่งของหมอที่ท่านสั่งให้ตรวจ ผมจะไปวางระเบิดบริษัทประกันชีวิตเองแหละครับ ขอบคุณที่แจ้งให้ทราบ"
เก่งได้แต่ปาก หลังจากนั้นก็นอนซม เป็นลูกหมาโดนน้ำร้อนต่อไป อาราธนาพระมาเต็มคอ นอนภาวนาไป หลับตอนไหนไม่รู้ ฝันไปว่าอยู่ในพิธีอะไรสักอย่าง มีพระอยู่เต็มศาลา เสียงหลวงพี่โรจน์ ร้องเรียกหาทิดเทิด ให้มาคอยส่งของให้ เหมือนจะขึ้นไปแท่นบูชาอะไรทำนองนั้น เห็นหลวงพ่อท่านนั่งอยู่ด้านล่าง ส่วนตัวผมทำหน้าเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลความสะดวกในงาน (คล้าย ๆ งานสืบชะตา) เห็นหลวงพี่โรจน์ ท่านเรียกหาทิดเทิด แต่หาไม่เจอ ผมเลยไปทำหน้าที่แทน แล้วก็ลงมานั่งใกล้ ๆ หลวงพ่อ หลวงพ่อท่านหันมายิ้มให้ แล้วส่งกระดาษพร้อมคาถาในกระดาษใบนั้นให้กับมือ แล้วภาพก็ตัดไปจำอะไรต่อไม่ได้............หมดเวลาใช้อินเตอร์เน็ตของคนป่วยแล้วครับ วันนี้โดนไปหลายขนาน ตั้งแต่ฉีดสีเข้าเส้นเลือด เพื่อย้อมให้ภาพภายในอวัยวะต่าง ๆ สามารถอ่านได้อย่างชัดเจน ตอนฉีดสีมันร้อนเข้าไปในเส้นเลือด....เอา ๆ ชดใช้กันไปครับ
วาโยรัตนะ
16-07-2010, 17:10
หลังจากคุยกับคุณหมอแล้ว พรุ่งนี้ต้องเจออีกชุดใหญ่......:154218d4::5e565bcb:
ภรรยากับเจ้าอาร์มมาเยี่ยม เธอเล่าว่าเมื่อคืน ก็ฝันถึงหลวงพ่อเล็กเช่นกัน กระผมเองก็จำรายละเอียดได้ไม่มากนัก เอาไว้ผมจะถามถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ตอนเธอเล่าให้ฟังเมื่อเช้า ผมกำลังเตรียมตัวเตรียมใจเข้าห้องเอ็กซเรย์อยู่ครับ "ขันธ์ห้านี้ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ห้า" ท่องเอาไว้แล้ว
วาโยรัตนะ
17-07-2010, 09:03
"ต่อสู้กับจระเข้ยักษ์"
หลังจากที่ภรรยาผมเล่าให้ฟังถึงเรื่องความฝันว่า เมื่อคืนวาน เธอฝันเห็นว่า เราทั้งสามคน ผม เธอ และลูกชาย ได้ร่วมกันต่อสู้กับจระเข้ยักษ์ โรมรันต่อสู้กันอยู่นานจนจระเข้ตัวนั้นพ่ายแพ้ไป (จระเข้วันนั้นตายหรือเปล่า ผมลืมถาม) หลังจากนั้น เธอก็เดินไปตามทาง จนไปพบหลวงพ่อเล็ก ท่านกำลังนั่งทำงานอยู่ ตรวจเอกสารบางอย่าง พร้อมหันมายิ้มให้ ท่านก็พูดกับเธอว่า "เป็นอย่างไรกันบ้าง วันที่ ๕ นี้ ที่วัดมีงานสะเดาะเคราะห์นะ อย่าลืมบอกทิดรัตน์มันด้วย" แล้วท่านก็ยิ้ม
ผมเองก็ดีใจมาก ถึงภรรยากระผมเองจะไม่ค่อยได้มีโอกาสไปกราบท่านเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยหลวงพ่อก็เมตตาเป็นมิ่งขวัญกำลังใจให้ครอบครัวเรา ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายร่วมกัน เธอเองยังพูดว่า ขันธ์ห้านี้มันมีแต่ทุกข์ล้วน ๆ ไอ้เรื่องสุข มันก็สุขแบบโลก ๆ จะสู้สุขแบบทางธรรมหาได้ไม่ ผมเองก็ไม่รู้จะตีความฝันตรงนี้ออกเป็นความหมายว่าอย่างไร นอกเสียจากนี่คือ "สังฆานุสติ" ที่กระผมระลึกนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นที่พึ่งตลอด (บุญของผม) สาธุ
วาโยรัตนะ
17-07-2010, 20:00
วันนี้คุณหมอส่งกล้องเข้าไปตัดชิ้นเนื้อ ออกมาเพื่อพิสูจน์ดูว่าเป็นชิ้นเนื้อประเภทไหน (พอจะเอาไปทำลาบหรือก้อยได้หรือไม่) งานนี้โดนเต็ม ๆ กระผมก็ใจดีสู้เสือตลอด พอเห็นเข็มเท่านั้นเอง แทบจะเป็นลม แถมมีอาการแพ้ยาขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่ในชีวิตไม่เคยแพ้ยาอะไรมาก่อน เอาเชิญ...."เดี๋ยวกูก็พ้นจากมึงแล้ว"
งานนี้โดนจ่ายค่าส่วนต่าง ที่ประกันชีวิตรับผิดชอบไม่หมดไปอีกหมื่นกว่าบาท เอาเชิญ...."เดี๋ยวกูก็พ้นจากมึงแล้ว" หมอนัดฟังผลวันที่ ๒๔ นี้ จะเผาจริงหรือเผาหลอกก็งานนี้แหละครับ ที่บ้านต่างก็ไม่ค่อยจะสบายใจกันเท่าไหร่ ผมเองก็ได้แต่บอกว่า "อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ถือว่าชดใช้กันไป" กลับมาถึง บ้านอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย นึกอะไรไม่ค่อยออก เท่าที่นึกออกตอนนี้ ก็ว่าจะไปทำกรรมฐานต่อในห้องพระ สวดมนต์ ไหว้พระ กินยา แล้วก็นอน ถ้าตายลูกขอไปพระนิพพานที่เดียวเท่านั้นขอรับ...หลวงพ่อ
วาโยรัตนะ
19-07-2010, 12:15
หลวงพี่:เป็นอย่างไรบ้างโยม หายหน้าหายตาไปอีก
ทัดฤทธิ์:กระผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาลขอรับ
หลวงพี่:อือม์ สนุกสนานเลยนะโยม ก็ชดใช้ให้เขาไปนะ ถึงมือหมอแล้วก็หายห่วง อะไรที่รักษาได้ ก็รักษาให้มันจบ ๆ ไป อย่าไปกลัวเจ็บเลยโยม
คนเราถึงเวลาเขามาทวงคืนนะ ก็ต้องให้เขา อาตมาอยากจะบอกว่าให้ทำความเข้าใจในครอบครัวกันให้ดี อาตมาขอย้ำ "ทำดีนะได้ดีแน่นอน" แต่ก็ใช่ว่าผลกรรมจะไม่ส่งผล เวลาเจ้ากรรมนายเวรเขามาทวงก็ต้องให้เขา บุญที่โยมทำนะรอส่งผลอยู่ ปีนี้หนักหน่อยนะโยม อย่าลืมเรื่องการปฏิบัตินะ
ทัดฤทธิ์:ขอรับหลวงพี่ ตอนนอนที่โรงพยาบาลก็ฝันไป เห็นหลวงพ่อท่านครับ กระผมเองก็ยอมรับขอรับ มันทำใจได้เยอะ เห็นว่ามันเป็นธรรมดา ก็ชดใช้กันไป ไม่โอดโอยเหมือนเมื่อก่อนขอรับ กระผมว่ากระผมสู้ของกระผมเต็มที่แล้วขอรับ
หลวงพี่:ดีแล้วโยม บางคนโกรธพระโกรธเจ้าไปเลย แถว ๆ นี้ก็มี กลายเป็นมิจฉาทิฐิไปเลย หาว่าพระท่านไม่คุ้มครอง ที่ผ่านมานับชาติไม่ถ้วนเราไปทำอะไรไว้ ในเมื่อผลบุญเราอยากได้รับผลนั้นเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นผลกรรมเราก็ต้องรับเต็ม ๆ เหมือนกัน มันสมเหตุสมผลแล้วโยม ไม่ต้องห่วงหรอกโยมครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ดูแลอยู่ ทำต่อไปโยม ความดีทำมันต่อไป ยิ่งทุกข์ก็ต้องยิ่งทำ
ทัดฤทธิ์:ขอรับหลวงพี่
วาโยรัตนะ
19-07-2010, 16:01
:fea27916:"ยิ้มสู้"
คุณครู:สวัสดีค่ะ พ่อรัตน์ใช่หรือเปล่าคะ นี่คุณครูของเหมรุจน์คะ ตอนนี้น้องอยู่โรงพยาบาลค่ะ น้องคิ้วแตกต้องเย็บค่ะ คุณพ่อรีบมาด่วนได้หรือเปล่าคะ
ทัดฤทธิ์::fea27916: ครับ ๆ คุณครูผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ น้องไม่เป็นอะไรมากใช่หรือเปล่าครับ
(คิดในใจ เอา ยังดีที่เจ็บแค่คิ้วแตก ดีกว่าเป็นอย่างอื่นไปวะ)
ทัดฤทธิ์:ลูก เจ็บหรือเปล่า ซนมากเลยใช่ไหมนี่
ทัดฤทธิ์น้อย: :msn_smilies-15:หมากัดเจ็บกว่าพ่อ
ทัดฤทธิ์: เอา ๆ ฟาดเคราะห์ไปลูก
เด็กท้ายแถว
19-07-2010, 18:56
วันนี้คุยกับพี่รัตน์ผ่านทางเอ็มเอสเอ็น เฮียก็ถามอาหมวยแถวว่า "นี่ ลื้อไม่รู้อะไรเลยหรือ" หมวยแถวตอบด้วยใจอันใสซื่อ "มีเรื่องอะไรที่ต้องรู้หรืออาเฮีย"
พี่รัตน์บอกว่า"พี่กำลังจะตาย เอ็งไม่ได้รู้เรื่อง ไม่เล่าไม่บอก ไปอ่านเอาเองในเว็บ" เฮ้อ...ก็เฮียเขียนยาวและเยอะ อาหมวยก็เลยไม่(ค่อยจะ)ได้อ่าน จึงไม่รู้เรื่องอาเฮียเปื่อย
แต่ตอนนี้รู้แล้วก็คงส่งกำลังใจให้ได้แค่ว่า "ขอให้หมอวางยาสลบ อย่าได้ผ่าสดก็แล้วกัน" :onion_wink:
สายท่าขนุน
19-07-2010, 19:16
หลวงพี่: :msn_smileys-16: วิปัสสนาญาณคือ สิ่งที่จิตไปรู้ มันเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ไม่มีการปรุงเอาไว้ก่อน
...
สมถกรรมฐานจงทำอย่าให้ขาด มันสงบแล้ว อิ่มแล้ว ก็มาพิจารณาต่อไป เบา ๆ แค่รู้ แค่ดูอย่างมีสติ อย่าไปแทรกแซงใด ๆ ที่หลวงพี่สอนเธอเรื่องนี้ โดยที่เราไม่หยิบเรื่องอื่นให้เธอนั้น ก็เพราะเธอทำมามากแล้ว ดูอะไรต่อมิอะไรมากมายแล้ว คราวนี้ดูของในตัวเรานี้แหละ ดู รักโลภ โกรธ หลง ในตัวเรานี้แหละ ตัดภพ ตัดชาติให้ได้นะ
ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่:875328cc:
เมื่อวานเจอเพื่อน... เป็นลูกหลานหลวงพ่อฤๅษีนี่แหละ กราบครูบาอาจารย์ใกล้ ๆ พวกเราอยู่
...เธอเพิ่งมีอาการเป็นลม ล้มไปเฉย ๆ ไม่รู้ตัวล่วงหน้า แบบหมดสติ
ถึง ๓ ครั้งติดกัน เมื่อประมาณ ๑-๒ สัปดาห์ที่แล้ว จนเธอนึกว่าจะตายแน่แล้ว
...เธอเล่าให้ฟังว่า เพิ่งได้กราบหลวงพ่อโนรีเป็นครั้งแรกมา ท่านเมตตาทักหลายประโยค
"โชคดีนะ ที่เข้ามาทางธรรมได้" และว่า "จะไปนิพพานชาตินี้ ก็ไปได้นะ... พี่ น้อง เขาไปกันหมดแล้ว"
วาโยรัตนะ
19-07-2010, 20:29
:onion_wink: อาจจะเป็นของแถมจากทองผาภูมิหรือเปล่าครับเฮีย...
ตอนแรกผมก็นึกว่าตัวเองได้มาเหมือนกัน ไปถามหลวงพ่อดู แต่ก็ไม่ใช่เลยรอดตัวไป...:154218d4:
ข้อมูลลับ
หลวงพี่:ไอ้ที่โยมว่า โยมไปช่วยงานหลวงพี่เล็กท่านมา แล้วมันเหมือนกับมารเขาเข้ามาขวาง เลยทำให้โยมอยู่ในสภาพนี้ อาตมาก็ขอบอกว่า งานนั้นมันบุญล้วน ๆ ไม่เกี่ยวข้องกันกับเรื่องนี้หรอก บุญส่วนบุญ มันก็เหมือนกับกงล้อที่หมุนไป ช่วงนี้ไปตกตรงไหน ก็ตรงนั้นแหละที่ส่งผล บุญก็รอส่งผลอยู่ แต่ที่ส่งผลตอนนี้ มันตรงกันข้ามแล้วทำไมละ ก็เมื่อเราก่อเอาไว้เองทั้งนั้น
จงคิดใหม่นะ จงภูมิใจที่ยังมีโอกาสได้สร้างกุศล โดยเฉพาะการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ คำว่ากรรมไม่ส่งผลนั้น ไม่มีหรอกโยม แต่ถ้าเราทำความดีไว้เยอะ ๆ ไม่ประมาท กรรมไม่ดีมันก็ส่งผลได้ยาก แต่ไม่ใช่ไม่ส่งผลนะ :f449b82c:
ทัดฤทธิ์:ขอรับ
วาโยรัตนะ
21-07-2010, 18:39
"ไกลจากอีกฟากหนึ่งของโลก"
นับว่าเป็นวาสนาของโยมแล้ว
ที่ได้ลูกสาวที่น่ารัก และจักเป็นที่พึ่งได้ในยามแก่เฒ่า
เลี้ยงลูกให้ดี ดูแลเขาให้เต็มที่
นับว่าเป็นการก้าวไปอีกขั้นให้เรื่องครอบครัวของโยม
มีลูกชายคน ลูกสาวคนนับว่าสมบูรณ์แบบแล้ว
จงทำหน้าที่พ่อที่ดีให้กับลูก ๆ
อาตมาขออำนวยพรให้ลูกสาวของโยมเลี้ยงง่าย
และเป็นเด็กดีของพ่อและแม่
สู้ต่อไปนะโยม
อาตมายังคอยดูแลโยมอยู่
แม้อาจหายไปนาน ด้วยภาระทางศาสนา
แต่ก็ยังห่วงใยพวกโยมเสมอ
เจริญพร
วาโยรัตนะ
21-07-2010, 18:40
"ก่อนบวช" (ไกลจากอีกฟากหนึ่งของโลก ๒)
ถูกต้องแล้วโยม
การจะเป็นพระดี...มันยาก
วันนี้อาตมาอยากให้โยมใช้โอกาสที่ตัดสินใจละทางโลกนี้ให้เกิดประโยชน์
ศึกษาพระธรรมวินัย อย่าได้หวังฤทธิ์เดช หรือสิ่งใดใดในพระพุทธศาสนาเลย
หากทำไม่ได้ก็ให้สงบนิ่ง นิ่งและนิ่ง
ไหน ๆ โยมก็เลือกเส้นทางนี้แล้ว อาตมาก็อนุโมทนาแต่อยากให้ทำจริงจัง
ไม่ใช่เพราะอยากเพียงอย่างเดียว ความอยากมักให้โทษเสมอ
ชาติหนึ่งเราจะมีโอกาสไม่กี่ครั้งหรอกโยมที่จะได้บวช
บางคนครั้งเดียวในชีวิตด้วยซ้ำที่ทำตามพ่อแม่
อาตมาจะเป็นกำลังใจให้อีกแรง
ทำทุกวันให้สุข...สุข....สุข
เจริญพร
วาโยรัตนะ
21-07-2010, 18:48
"ไกลจากอีกฟากหนึ่งของโลก ๓"
โยมรู้.........ว่าอาตมาจะเทศน์โยมเรื่องอะไร
โยมวุ่นวายใจ สับสน รุ่มร้อน ขาดที่พึ่ง
ทุกอย่างมีทางออก แต่อย่าลงกับลูกกับเมียโยมเลย
มันจะเป็นจุดอ่อนให้ชีวิตลูก
ลูกสาวเห็นเหตุการณ์พ่อแม่ทะเลาะกัน
ภายในจะเกิดปมด้อยในใจ กลัวและอ่อนแอต่อโลก
อาตมาอยากให้โยมวางรากฐานครอบครัวให้แข็งแรง
โยมเองก็เป็นหัวหน้าครอบครัว กับคำพูดกระทบกระเทือนใจบางคำ
มันทำให้โยมตัดสินใจประเมินค่าเมียโยมได้แล้วหรือ
การหย่าร้างไม่ใช่ทางออก โยมก็เคยโดนกับตัวมาแล้ว
ชีวิตที่ขาดพ่ออยู่กับแม่ มันทรมานไหมโยม
การที่โยมร้อนได้ขนาดนี้
เพราะโยมกำลังหลงในรสของสัตว์ใหญ่ เลยทำให้แรง รุนแรงจนน่ากลัว
มันออกมาทางอารมณ์และกลิ่นอายแห่งความร้ายกาจแฝงมาเรื่อย ๆ
โยมเคยตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ว่าอย่างไร อาตมาไม่ว่า หากโยมทำไม่ได้
ตลอดชีวิตก็อย่าตั้งสัตย์เลยโยม มันมุสา
อาตมาคิดว่าการที่โยมไม่กินก็ดีกับตัวคนปฏิบัติ วัวควายก็คนชั่วนี่แหละ
โดนสาปกันมา ชดใช้กรรมกันไป เขามีชีวิตอยู่กันนานเท่าคนเรานี่แหละโยม
จนกว่าจะหมดกรรมกันไป
โยมลุ่มหลงในรสมาก มันก็ลงกับอารมณ์ ก็แล้วแต่ความศรัทธาของโยม
หน้าที่การงานก็ปล่อยมันไปตามเส้นทาง
โยมจะเห็นว่าอาตมาขาดการติดต่อโยมไปนาน คิดว่าเวลาจะทำให้โยม
ครองตน ครองคน ครองงานได้
โยมคงไม่ทำให้อาตมาผิดหวัง
โยม....ก็พร้อมแล้ว หมดวาระในวิมานของเขาไปแล้ว
เป็นหน้าที่ของโยมที่ต้องทำหน้าที่ ชดเชยและทดแทนตามสัญญา
เรื่องคดี ขึ้นอยู่ที่บุญ กรรมของโยม
ไปให้ใครดู อาตมาก็คิดว่าตามแต่ศรัทธา
ทุกอย่างอยู่ที่ศรัทธาเท่านั้น
ธุรกิจที่หวังแต่ผลประโยชน์จากคนอื่นเลี่ยงได้ก็อย่าทำเลย
มันไม่มีอะไรได้มาง่ายในชีวิตโยมอยู่แล้ว
บำเพ็ญเพียร ฝึกสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญาเถิดโยม แน่นอนที่สุด
อาตมาเป็นกำลังใจให้แม้โยมจะไม่ได้ติดต่อมา
และเราไม่ได้เจอกันหรือคุยกันเลย
โยมอาจเห็นอาตมาเป็นคนอื่นหรือลืมอาตมาไปแล้ว
เลี้ยงลูกลูกทั้งสองให้ดีอย่ารุนแรงทั้งทางกาย วาจา และใจ
กับคนในครอบครัวเลย วันสิ้นลมก็มีแต่คน ๓ คนนี้เท่านั้น
ที่จะอยู่เคียงข้างโยมจนหมดลมหายใจ
อาตมาจะดูแลโยมในจิตเสมอ แม้โยมจะยังมาไม่ถึงก็ตาม
อย่างไรอาตมาจะคอยโยมอยู่ที่ต้นทางเข้าป่าละเมาะ
หวังว่าอาตมาจะได้เห็นโยมมา สักครั้งก่อนที่อาตมาจะสิ้นลมเช่นกัน
เจริญพร
เด็กท้ายแถว
22-07-2010, 13:25
รออ่านเรื่องเฮียขึ้นเขียงอยู่นาน เมื่อไหร่จะเล่าเสียทีคะ ว่าคุณหมอแงะไขมันไปกี่ชั้น
วาโยรัตนะ
22-07-2010, 19:03
รออ่านเรื่องเฮียขึ้นเขียงอยู่นาน เมื่อไหร่จะเล่าเสียทีคะ ว่าคุณหมอแงะไขมันไปกี่ชั้น
ของคุณกี่ชั้น ของผมต้องเอามาหารสอง
เด็กท้ายแถว
22-07-2010, 23:04
ของคุณกี่ชั้น ของผมต้องเอามาหารสอง
:msn_smileys-16: ถ้าอย่างนั้นต้องมีรอยเย็บลายตะขาบถึงจะเหมือนกันขอรับ
วาโยรัตนะ
25-07-2010, 07:33
วันนี้ ๙.๐๐ น. ต้องเข้าห้องผ่าตัด งานนี้ต้องวางยาสลบ เตรียมตัวเตรียมใจเต็มที่แล้ว ยินดีคืนให้ทุกประการ
วาโยรัตนะ
28-07-2010, 12:28
"เหมือนตายไปแล้ว"
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกและครั้งใหญ่ที่สุด ที่ล้มหมอนนอนเสื่อเข้าโรงพยาบาล ก่อนผ่าตัดกับหลังผ่าตัด อารมณ์มันช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน เข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เก้าโมงเช้า กว่าจะได้เข้าห้องผ่าตัดก็บ่ายสองโมงเย็น นอนภาวนาไปบ้าง ฟุ้งไปบ้างแล้วแต่จะจิตมันเผลอไปขนาดไหน อดอาหาร อดน้ำ ตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา ใกล้ถึงเวลาเข้าห้องผ่าตัด ค่อย ๆ บรรจงถอดพระเครื่อง พร้อมพนมมืออธิษฐาน "ขอบารมีพระคุ้มครอง ตั้งใจว่า ท่านใดที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรในครั้งนี้ เราขออุทิศส่วนกุศลที่ทำมาดีแล้วตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ขอท่านจงโมทนาและขออโหสิกรรมต่อกัน นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
เวรเปลค่อย ๆ เข็นรถนำไปยังห้องผ่าตัด สภาพมันช่างดูน่าสังเวชใจ เหมือนตอนที่ "สัปเหร่อเข็นโลงเข้าเตาเผา"พอขึ้นบนเตียงผ่าตัดได้ไม่นาน คุณหมอก็มาบอกว่าไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวจะวางยาสลบ แค่ไม่กี่อึดใจที่กระผมนอนภาวนาอยู่ สติมันค่อย ๆ เลือนไป ทั้ง ๆ ที่พยายามจับคำภาวนาสู้เอาไว้
มารู้สึกตัวอีกที มองไปที่นาฬิกา ทุ่มกว่า ๆ แล้ว มีสายอะไรไม่รู้อยู่ในคอมันเจ็บไปหมด ร่างกายอ่อนกำลังจะขยับแขนก็ไม่มีแรง เพราะฤทธิ์ยาสลบ พยายามตั้งสติภาวนาเอาไว้ จนคุณหมอเดินมาเรียก "คุณรัตน์ คุณรัตน์ ฟื้นหรือยังคะ" กระผมค่อย ๆ ลืมตาพยักหน้าตอบรับ หลังจากนั้นก็เวรเปล ก็เข็นออกมาจากห้องผ่าตัด เสียงลูกกับภรรยาร้องเรียกอยู่ใกล้ ๆ
ในชีวิตไม่เคยเจ็บขนาดนี้มาก่อน มันแสบร้อนไปหมด ขอน้ำกิน พอดูดน้ำเข้าไป เลือดก็ไหลทางจมูกตลอด ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ทน พลางคิดในใจ "เราทำกรรมกับใครไว้ตอนไหนก็ตาม ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันทรมานขนาดไหน เราขออโหสิกรรม เราไม่ขอโกรธแค้นใด ๆ เราขอชดใช้ให้ด้วยความเต็มใจ"
หายใจทางจมูกไม่ได้ต้องหายใจทางปากแทนมันทรมานมาก ใจก็คิดไปเมื่อสมัยตอนกระผมยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็ชอบตกปลาไปตามประสาเด็กชาวเกาะ มันเหมือนปลาที่เราปลดจากเบ็ดแล้วยังไม่ตาย ยังกระเสือกกระสนดิ้นรนหายใจอยู่ นอนก็ไม่หลับแทบทั้งคืนเพราะมันเจ็บ ค่อย ๆ จิบน้ำ อมเอาไว้ทีละนิดให้มันหายคอแห้ง
เด็กท้ายแถว
28-07-2010, 13:44
ขอให้อาการดีวันดีคืนนะคะ กายทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์
วาโยรัตนะ
28-07-2010, 20:15
เจอค่ารักษาพยาบาลไปแสนกว่าบาท ประกันสุขภาพที่ทำกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของคนไทย รับผิดชอบเพียงเล็กน้อย งานนี้ได้ใบบุญคุณแม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ ผมเองยังคงมีการผิดหวังอย่างแรงกับประกันชีวิตที่ทำไว้
วันเข้าพรรษาปีที่แล้วกระผมบวชอยู่ที่วัดท่าขนุน เห็นผู้คนมากมายต่างมาร่วมบุญงานเข้าพรรษา แต่ปีนี้ภาพมันช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกินต้อง
มานอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล และแล้ว "แม่" ก็เป็นที่พึ่งของกระผมอีกครั้ง บุญคุณในชาตินี้คงไม่สามารถทดแทนได้หมด ผมออกจากโรงพยาบาลด้วยความชอกช้ำใจเป็นที่สุดในเรื่อง ๆ หนึ่ง แต่พอถึงบ้าน ห้าโมงเย็นก็กระเสือกกระสนขึ้นไปตามประทีป เจอหลวงพี่ท่าน ก็ก้มกราบด้วยความดีใจ
หลวงพี่: เป็นอย่างไรบ้าง เรียบร้อยดีหรือเปล่า
ทัดฤทธิ์:เรียบร้อยดีขอรับ
หลังจากนั้น หลวงพี่ท่านก็เริ่มตามประทีป ระหว่างกระผมกับท่านก็เกิดความเงียบขึ้น ระหว่างที่ท่านตามประทีปเป็นอันว่ารู้กันว่า "ห้ามรบกวน" ผมจึงค่อย ๆ ตั้งจิตเป็นสมาธิ นั่งสมาธิในระหว่างที่ท่านตามประทีป ไม่นานเท่าไหร่นัก ก็มีญาติโยมขึ้นมาตามประทีป เมื่อตามประทีปจนครบทุกดวงก็อุทิศส่วนกุศล แล้วเข้าไปกราบลาหลวงพี่
หลวงพี่:ไปพักผ่อนก่อนเถอะไป พุทโธ ๆ
ทัดฤทธิ์: ขอรับ
กลับมารับประทานยาเรียบร้อย เข้าห้องพระ กราบพระสวดมนต์ แล้วก็รีบเข้านอน ที่นอนที่สบายที่สุดของผมคือตรงหน้าโต๊ะหมู่บูชา มองภาพพระวิสุทธิเทพเรซิ่นใส ที่ผมซ่อนดวงไฟไว้ด้านหลัง ให้เห็นเป็นภาพกสิณแสงสว่าง ใจมันมีสุขขึ้นมาจับใจ แต่ก็ยังไม่วายฟุ้งออกไป คิดสับสนวุ่นวายไปหมด หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ก็คงเป็นเพราะฤทธิ์ยา
วาโยรัตนะ
28-07-2010, 20:24
เช้าวันนี้คุณซัน (ลูกเจ้าคุณนรฯ)โทรมาหา
ลูกเจ้าคุณนรฯ: เป็นอย่างไรบ้างพี่ ผมเพิ่งเห็นสายของพี่ที่โทรเข้าแต่ผมไม่ได้รับ
ทัดฤทธิ์: อ๋อ ไม่เป็นอะไรมาก ตอนนั้นจะเข้าห้องผ่าตัด เลยโทรฝากงานกฐินวัดท่าขนุนให้ช่วยดูแล เผื่อพี่เป็นอะไรไป
คุยกันอยู่นาน สรุปความได้ว่า "พี่ ผมผ่าหัวเข่าเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เป็นทีของพี่บ้างกระมังครับ" เห็นทีจะใช่อย่างที่คุณซันว่า
ลูกเจ้าคุณนรฯ: เอา ๆ พี่พักผ่อนก่อนดีกว่า ผมไม่กวนแล้ว หายไว ๆ นะพี่ สู้ ๆ
ทัดฤทธิ์: ขอบใจมาก ซัน
วาโยรัตนะ
29-07-2010, 08:42
วันนี้อารมณ์มันตัดหมด ไม่รู้ว่าจะบ่นอะไรและจะบ่นไปทำไม อย่างไรเสียก็ต้องรีบตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป ล้มแล้วก็ต้องรีบลุก เพราะยังมีอีกหลายชีวิตที่อยู่ในความรับผิดชอบของผม ถ้ายังไม่ตายจากกัน ก็ต้องดูแลให้กำลังใจซึ่งกันและกันต่อไป
วาโยรัตนะ
31-07-2010, 20:00
หลังจากผ่าตัดมาแล้ว ช่วงนี้จะเรียกว่า "ระยะพักฟื้นตัว" ก็เห็นจะได้อยู่ ร่างกายมันไม่เข้ารูปเข้ารอย เหมือนเก่าเท่าไหร่นัก ยังมีลิ่มเลือดออกมาเป็นระยะ ๆ อันนี้ยังพอสู้ไหว แต่ในเรื่องกำลังใจนั้น คราวนี้มันมีสองฝ่ายต่อสู้กันอยู่ข้างใน
"ใจหนึ่งมันสู้แบบถวายชีวิต ตายเป็นตาย เหมือนหมาจนตรอก" แต่อีก "ใจหนึ่งหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงและกำลัง พร้อมจะยกธงแพ้ตลอดเวลา" มันมาให้เห็นทุกวัน และเกือบจะทุกเวลา แล้วแต่ฝ่ายไหนเท่านั้นเอง ที่จะสามารถยึดพื้นที่ได้ในแต่ละช่วงขณะจิต
กระผมส่งจดหมายข้ามฟากไปแดนไกล อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการบอกกล่าวเล่าเหตุให้ครูบาอาจารย์ท่านฟัง ตั้งแต่ก่อนเข้ารักษาตัวและหลังทำการรักษาตัว มันมีประโยคหนึ่งที่ผมเขียนบอกท่านว่า "ถ้าจะให้ผมร้องไห้ออกมาตอนนี้ ผมร้องไม่ออก แต่กระผมจะพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่"
เมื่อคืนก่อนนอน ก็ว่าจะทำกรรมฐาน แต่ก็สู้ฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปไม่ไหว มันอ่อนแรง ใช่ว่าจะนอนหลับ มันหลับตื่น ๆ เปิดเสียงธรรมของหลวงปู่หลวงพ่อท่านฟัง ให้เกิดกำลังสู้ มารู้สึกตัวอีกทีตอนตีสาม เคลิ้ม ๆ กึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นภาพพระวิสุทธิเทพ ท่านลอยมาขาวสว่าง จนตัวผมเล็กเป็นอณูไปเลย ได้สติว่า "ลุกขึ้นมาทำกรรมฐานเถอะ นอนไปก็เท่านั้น" ค่อย ๆ คลานไปหน้าโต๊ะหมู่บูชา กราบพระสวดมนต์ แล้วทำกรรมฐาน จนตีสี่ครึ่ง เห็นร่างกายมันเริ่มอ่อนแรงลงอีก ก็เลยนอนทำกรรมฐานจนหลับไป รู้สึกอีกครั้ง ในนิมิต เห็นหลวงพ่อเล็ก ท่านกำลังสอนกระผมอยู่ ท่านเอากระดาษขึ้นมาพร้อมวาดรูปลงไปในกระดาษใบนั้น พร้อมกับสอนว่า
"โครงสร้างของรูปอะไรก็แล้วแต่ สำคัญที่สุดก็คือเส้นหลัก ๆ ที่เราวาดลงไปก่อน จะเป็นรูปอะไร สวยงามขนาดไหน มันต้องให้ความสำคัญที่เส้นหลัก ๆ ก่อนเสมอ เหมือนกับการทำสมาธิ ทำกรรมฐาน ให้เราให้ความสำคัญตั้งแต่พื้นฐานขึ้นไปเสมอ ๆ "
วาโยรัตนะ
02-08-2010, 21:38
สองวันนี้ กำลังใจดีขึ้นมาก หลังจากได้ร่วมปฏิบัติกรรมฐาน ตามเสียงถ่ายทอดสดจากบ้านอนุสาวรีย์ กระผมก็กำหนดรู้ตลอดว่ากำลังใจดีขึ้น แต่ไม่ประมาท และอาจจะเป็นเรื่องอัศจรรย์สำหรับใครบางคนหรือหลาย ๆ คน โดยเฉพาะที่ยังลังเลสงสัยในเรื่องของผลการปฏิบัติ
หลวงพ่อท่านเคยสอนว่า "ให้จับภาพพระแล้วอาราธนาขอบารมีท่าน เคลื่อนภาพพระไปตรงบริเวณที่เรามีความเจ็บป่วยอยู่ในร่างกาย แล้วขอพระฉัพพรรณรังสีของพระองค์ท่าน ให้สว่างคลุมตรงจุดหรือบริเวณนั้น เพื่อเป็นการรักษา"
กระผมก็ทำเช่นนั้น วันแรกหลังจากทำกรรมฐาน โดยใช้ภาพพระอย่างที่หลวงพ่อท่านสอน ปรากฏว่า รูจมูกด้านซ้ายที่ผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไป ซึ่งปกติช่วงนี้รู้สึกว่าทึบและตัน กลับกลายเป็นหายใจได้ปกติ โล่งสบาย อาการเจ็บน้อยลง
วันที่สอง หายใจได้เป็นปกติทั้งสองข้าง อาการเจ็บแทบไม่มีเลย ลิ่มเลือดน้อยลงไปกว่าเก่าเยอะมาก ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้น มีกำลังมากขึ้น
สาธุ สาธุ สาธุ
วาโยรัตนะ
05-08-2010, 23:16
"สื่อกลางทางสว่าง"
สองสามวันนี้ผมสังเกต ภรรยา เธอมีอาการแปลก ๆ และด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจกระผม มันจะต้องมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์เกิดขึ้นแน่ ๆ
วันพระแรม ๘ ค่ำที่ผ่านมา
หลวงพี่ :เอา! ใครจะอธิษฐานต่อหน้าพระบรมสารีริกธาตุ ก็อธิษฐานเลยนะ
เอาเชิญ (หลวงพี่ท่านย้ำอยู่สามวาระ แต่กระผมก็ยังนั่งเฉยอยู่) เจอของดี เจอทางสว่างแล้วก็จะเลือกเอานะโยมเส็ง
แล้วท่านก็หันมาทางผมอีกครั้ง ด้วยอาการที่ท่านเฉลย บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้กระผมตาสว่าง
หลวงพี่: วันนี้เราตั้งใจตามประทีปหนึ่งพันดวง บูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ เราเลยบอกให้เธอตั้งจิตอธิษฐานขอในสิ่งที่เธอติดขัดอยู่
ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่
แล้วผมก็ตรงไปกราบพระ งานนี้มีกระผมคนเดียวที่ตั้งจิตอธิษฐานบารมี
หลวงพี่:เป็นอย่างไรบ้าง อธิษฐานเสร็จแล้ว
ทัดฤทธิ์: เบาเลยครับหลวงพี่ อารมณ์ใจโล่งสบาย เหมือนได้กำหนดเป้าหมายในชีวิตอีกครั้ง
หลวงพี่: อือม์ สาธุ สาธุ สาธุ
หลังจากกลับมาถึงบ้านด้วยอารมณ์ใจที่เบาสบาย มาเจอภรรยาผมใส่หัวโขนหน้ายักษ์ พายุฝีปากโหมกระหน่ำแบบ "summer sell" กระผมไม่โต้คารมอะไรมากนักเท่าแต่บอกให้เธอมีสติ แล้วก็รีบชิ่ง ไปปาดเหงื่อในห้องพระ พลางคิดว่า "อะไรวะ มันออกข้อสอบกันชนิดที่เรียกว่า ก้าวต่อก้าวเลยหรือ" แล้วก็วางอารมณ์ทิ้งไป ปฏิบัติ สวดมนต์ไหว้พระแล้วเข้านอนตามปกติ
วาโยรัตนะ
05-08-2010, 23:25
วันพุธ กระผมนำข้าวไปถวายท่านตามปกติ
ทัดฤทธิ์:หลวงพี่ครับ เมื่อคืน เขาเล่นผมไม่ได้เขาเล่นภรรยาผมแทนครับ
หลวงพี่:ธรรมดาโยม เขาใช้เครื่องมือทุกอย่างแหละ ดูไป รู้ไป พิจารณาไป
มาคืนนี้เหตุการณ์สด ๆ อยู่ ๆ เธอก็มีอาการร้องไห้ ผิดปกติ เวลาเดินก็เหมือนไม่ใช่ตัวเธอเอง ผมเตรียมใจไว้แล้ว พอเข้าไปในห้อง เอาแล้วตูเจออีกแล้ว
"พี่รัตน์ เอ๋ขอพระหน่อย เอ๋รู้สึกไม่ค่อยดี" สีหน้าแววตาเปลี่ยนไปหมด ผมเองก็อารธนาบารมีพระท่านเป็นที่พึ่งทันที วางกำลังใจ เอาวะ มาคุยกันให้รู้เรื่อง พอผมถอดพระสมเด็จองค์ปฐม สวมคอให้ เธอก็กรี๊ดออกมาลั่นบ้าน
ทัดฤทธิ์: เอาเธอเป็นใครว่ามา เธอต้องการอะไรว่ามา เรายินดีช่วยหากไม่ผิดศีลและไม่เป็นการต้องทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในความยากลำบาก
เราหนาว เราจะมาอยู่กับเอ๋ เราจะมาบำเพ็ญบารมี เอ๋เป็นคนดี เราต้องการเอ๋
ทัดฤทธิ์: เดี๋ยว เธอต้องเข้าใจนะว่า เธอกำลังทำอะไรอยู่ และการที่เธอบอกเธอเป็นเทพหรือเทวดา เธอต้องมีธรรมะ ธรรมะของเธอตอนนี้ เธอกำลังทำให้เจ้าของร่างทุกข์ทรมานอยู่ เธอว่ามันถูกแล้วหรือ
เราจะมาอยู่กับเอ๋ เราจะมาบำเพ็ญบารมี ท่านอย่าทำอะไรเราเลย ท่านไม่อนุญาตหรือ
ทัดฤทธิ์:เราไม่สามารถอนุญาติได้หรอก เพราะเราและภรรยาเราต่างมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย พระรัตนตรัยต่างหากเป็นเจ้าของชีวิตเราเธอจะมาทึกทักเอาแบบนี้ไม่ได้ เธอไม่เห็นหรือว่าร่างกายนี้สกปรก
เราต้องการร่างนี้บำเพ็ญบารมี
ทัดฤทธิ์:แล้วเธอคิดว่าเธอจะมีความสุขหรือ ความสุขที่แท้จริงคือการยังเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ อีกหรือ เราขออาราธนาบารมีพระประทับเหนือเศียรเหนือเกล้าเรา ถ้าเธอเห็น ก็ขอให้เธอจงรู้เถิดว่า พระองค์ท่านเท่านั้นที่ทรงชี้ทางสว่างจากการเวียนว่ายตายเกิด อันคือพระนิพพาน เราคงไม่สามารถคุยอะไรกับเธอได้มากกว่านี้ หากเธอยังดื้อดึง แต่หากเธอต้องการไปที่สว่าง ก็ขอเธอจงตามแสงแห่งพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระองค์ท่านไปเถิด พระองค์ท่านทรงพระเมตตาแด่สัตว์ทั้งหลายโดยเท่าเทียมกัน
............(เงียบ) เราหนาว เราต้องการบำเพ็ญบารมี
ทัดฤทธิ์: หากเป็นแบบนี้เราก็คงจำเป็นจะต้องขอบารมี ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ จากพระขรรค์โสฬสเล่มนี้ ซึ่งเราไม่ต้องการทำเช่นนี้ เราต้องการให้เธอ พยายามนึกถึงธรรมะ ของพระพุทธองค์ เพื่อเธอจะได้ไปสู่ภพภูมิอันสว่าง
อย่า เรากลัวแล้ว เรากลัวแล้ว อย่า
ทัดฤทธิ์: ถ้าอย่างนั้นเธอจงตอบเรามาตรง ๆ ว่าไม่ใช่เทพหรือเทวดาใช่หรือไม่
.ใช่ เราไม่ใช่ เราเคยสัญญากับเอ๋ไว้ ว่าเราจะไม่พรากจากกันมานานแล้ว
ทัดฤทธิ์: นั้นหาใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะคือการผูกภพผูกชาติผูกเวรผูกกรรม อย่างไรเสียเราขอให้เธอจงตัดสัญญานั้นเสียเถิด แล้วไปสู่ภพภูมิตามแนวทางของเธอที่เธอได้สร้างเอาไว้ ทั้งกุศล และอกุศล ขอเธอจงน้อมจิตตามแสงพระฉัพพรรณรังสีแห่งพระองค์ท่านไป นับแต่นี้เป็นต้นไป สิ่งที่เธอทั้งสองก่อผูกเอาไว้ ได้มลายหายสิ้นไปหมดแล้วด้วยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภพชาติระหว่างเธอทั้งสองได้ขาดลงแล้ว ขอเธอจงอโหสิกรรมที่ต่างเคยก่อกันมา และขอเธอจงโมทนาบุญที่เราและภรรยาได้บำเพ็ญมาดีแล้วด้วยเทอญ
วาโยรัตนะ
07-08-2010, 05:50
ท้ายสุด สุดท้าย เธอก็ยอมออกจากร่าง แต่ไปไหนอย่างไรกระผมไม่ทราบ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เธอจะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น หากเธอสามารถระลึกนึกถึง พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่ขอรับ เมื่อคืนเกิดเหตุการณ์ขึ้นขอรับ
หลวงพี่: มันเป็นสภาวธรรม พุทโธ ๆ เอาไว้
วาโยรัตนะ
08-08-2010, 22:02
"เพราะความที่เรียกว่า ไม่รู้แต่ยังอวดรู้"
หลวงพี่: วันนี้เราได้คุย อะไรหลาย ๆ อย่างกับโยมแอ๋ว โยมจำเรื่องที่โยมไปอัญเชิญพระธาตุ ที่ผิดวิธีจากถ้ำได้หรือเปล่า โยมแอ๋วบอกกับหลวงพี่ว่า เทวดาเหล่านั้นท่านยังไม่ยอมอยู่ โยมแอ๋วมีความคล่องตัวสูง วันนี้เขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่ กระผมเองก็ทราบดี ด้วยความที่กระผมไม่รู้ก็ดีหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ตอนนั้นกระผมได้ถวายหลวงพ่อ กะว่าจะให้หลวงพ่อท่านได้แจกจ่ายญาติโยมที่มาทำบุญ จะได้นำไปบูชา จนหลวงพ่อท่านบอกว่า "พระธาตุที่คุณรัตน์เอามานั้น ขโมยเทวดามา" ถึงสองครั้ง กระผมถึงได้หยุดพิจารณาว่า การที่เรากระทำไปนั้น มันถูกต้อง สมควร หรือว่าเราเพียงแค่เชื่อคนอื่น ด้วยความไม่รู้ ไม่รอบคอบ เห็นเขาบอก ว่าได้ ว่าดี ก็เชื่อโดยขาดการพิจารณา กระผมเองนำไปบรรจุในองค์พระที่สร้างที่กระบี่ไปเยอะแล้วขอรับ ยังเหลือที่บ้านอีกเล็กน้อย เรื่องจะแจกจ่ายผู้อื่นกระผมคิดมาก เพราะให้ไปแล้วถ้าเขาไม่เห็นคุณค่า หรือไม่บูชา เดี๋ยวจะเกิดโทษ มากกว่าบุญ กระผมจึงไม่กล้าให้ใครขอรับหลวงพี่
หลวงพี่: อือม์ อวิชชาคือความไม่รู้ หรือรู้ไม่จริง ในสังคมปัจจุบันนี้มีเยอะมาก ดีนะที่อัญเชิญมามีเทวดาท่านดูแล ถ้าเป็นอย่างอื่นดูแลเห็นท่าโยมจะเดือดร้อน
ทัดฤทธิ์:กระผมวางเฉยกับเรื่องความอยากรู้อยากเห็น และอยากครอบครอง ลงไปได้เยอะมากครับหลวงพี่ ด้วยความที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ผ่าน ๆ ทำมากระผมต้องเดือดเนื้อร้อนใจมาหลายเรื่อง กระผมเองก็มีเรื่องจะรบกวนหลวงพี่ขอรับ แต่ก็ขอกราบขอความเมตตาหลวงพี่ด้วยขอรับ คือกระผมจะนำเอาพระธาตุชุดที่ไปอัญเชิญมา มาถวายและประดิษฐานที่นี่ขอรับ หลวงพี่จะว่าอย่างไรขอรับ
หลวงพี่:เอาเชิญ ๆ เราตั้งใจตามประทีปบูชาแน่นอน และก็ดีสำหรับโยม เพราะโยมก็ขึ้นมาตามประทีปประจำอยู่แล้ว จุดธูปบอกกล่าวท่านเทวดาที่ดูแลพระธาตุเหล่านั้นขอขมาท่าน ว่าเราเองทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จำคำขอขมาของหลวงพ่อฤๅษีได้หรือเปล่า ท่านผูกไว้ดีมาก ๆ ที่ว่า "ที่รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี" นี่แหละคนสมัยนี้ มันไม่รู้ยังอวดฉลาดกันอีก เอา ๆ เจริญพร ๆ
"เหมือนตายไปแล้ว"
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกและครั้งใหญ่ที่สุด ที่ล้มหมอนนอนเสื่อเข้าโรงพยาบาล ก่อนผ่าตัดกับหลังผ่าตัด อารมณ์มันช่างแตกต่างกันเสียเหลือเกิน เข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เก้าโมงเช้า กว่าจะได้เข้าห้องผ่าตัดก็บ่ายสองโมงเย็น นอนภาวนาไปบ้าง ฟุ้งไปบ้างแล้วแต่จะจิตมันเผลอไปขนาดไหน อดอาหาร อดน้ำ ตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา ใกล้ถึงเวลาเข้าห้องผ่าตัด ค่อย ๆ บรรจงถอดพระเครื่อง พร้อมพนมมืออธิษฐาน "ขอบารมีพระคุ้มครอง ตั้งใจว่า ท่านใดที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรในครั้งนี้ เราขออุทิศส่วนกุศลที่ทำมาดีแล้วตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน ขอท่านจงโมทนาและขออโหสิกรรมต่อกัน นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป"
เวรเปลค่อย ๆ เข็นรถนำไปยังห้องผ่าตัด สภาพมันช่างดูน่าสังเวชใจ เหมือนตอนที่ "สัปเหร่อเข็นโลงเข้าเตาเผา"พอขึ้นบนเตียงผ่าตัดได้ไม่นาน คุณหมอก็มาบอกว่าไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวจะวางยาสลบ แค่ไม่กี่อึดใจที่กระผมนอนภาวนาอยู่ สติมันค่อย ๆ เลือนไป ทั้ง ๆ ที่พยายามจับคำภาวนาสู้เอาไว้
มารู้สึกตัวอีกที มองไปที่นาฬิกา ทุ่มกว่า ๆ แล้ว มีสายอะไรไม่รู้อยู่ในคอมันเจ็บไปหมด ร่างกายอ่อนกำลังจะขยับแขนก็ไม่มีแรง เพราะฤทธิ์ยาสลบ พยายามตั้งสติภาวนาเอาไว้ จนคุณหมอเดินมาเรียก "คุณรัตน์ คุณรัตน์ ฟื้นหรือยังคะ" กระผมค่อย ๆ ลืมตาพยักหน้าตอบรับ หลังจากนั้นก็เวรเปล ก็เข็นออกมาจากห้องผ่าตัด เสียงลูกกับภรรยาร้องเรียกอยู่ใกล้ ๆ
ในชีวิตไม่เคยเจ็บขนาดนี้มาก่อน มันแสบร้อนไปหมด ขอน้ำกิน พอดูดน้ำเข้าไป เลือดก็ไหลทางจมูกตลอด ไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ทน พลางคิดในใจ "เราทำกรรมกับใครไว้ตอนไหนก็ตาม ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันทรมานขนาดไหน เราขออโหสิกรรม เราไม่ขอโกรธแค้นใด ๆ เราขอชดใช้ให้ด้วยความเต็มใจ"
หายใจทางจมูกไม่ได้ต้องหายใจทางปากแทนมันทรมานมาก ใจก็คิดไปเมื่อสมัยตอนกระผมยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็ชอบตกปลาไปตามประสาเด็กชาวเกาะ มันเหมือนปลาที่เราปลดจากเบ็ดแล้วยังไม่ตาย ยังกระเสือกกระสนดิ้นรนหายใจอยู่ นอนก็ไม่หลับแทบทั้งคืนเพราะมันเจ็บ ค่อย ๆ จิบน้ำ อมเอาไว้ทีละนิดให้มันหายคอแห้ง
ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ เหตุการณ์ผ่านมาแล้วนับว่าโชคดีค่ะ ยายนุ้ยเคยเจออารมณ์แบบนี้มาแล้วเช่นกัน เข้าใจค่ะ สู้ ๆ ต่อไปนะคะ
ตอนนั้นยายนุ้ยรู้ซึ้งถึงคำว่า แม้แต่ลูกและสามีที่ว่ารักนักรักหนา ก็ไม่อาจช่วยอะไรเราได้เลย สุดท้ายหากเราจะต้องตาย ณ ขณะนั้น เราคงต้องตายคนเดียว แล้วอารมณ์สลดสังเวชก็เกิดขึ้น จับลมหายใจภาวนา พุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ...แล้วแต่แพทย์จะจัดการต่อไปตามวิถีทาง
แต่ในที่สุดก็ยังรอดมาได้ค่ะ ฮิฮิ..เลยต้องมานั่งชดใช้กรรมกันต่อไป
วาโยรัตนะ
17-08-2010, 09:08
"คนทั่วไป"
ทัดฤทธิ์:หลวงพี่ครับ มีคนมาปรึกษากระผมว่า เขาจะล้างแค้นให้พี่ชายของเขา ที่ถูกฆาตกรรม ผมเลยต้องคุยปรับเปลี่ยนทัศนะคติของเขาอยู่นานเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ การให้พิจารณาว่านั้น คือกรรมที่คู่กรณีได้ก่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุญ ที่ถือว่าเป็นของวิเศษ ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ยังไม่วายย้อนถามกระผมว่า "บุญที่ให้ไปแล้วทุกคนจะได้เท่า ๆ กันหรือ"
หลวงพี่:อย่างนี้แหละโยม คนประเภทแบบนี้มีมากมายเสียเหลือเกินในเขตพระพุทธศาสนาของเรา ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น น่าสงสาร น่าเวทนาเป็นที่สุด สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
อย่างโยมมาใส่บาตรอาตมาวันนี้....เทวดาท่านมาให้พรนะ มันช่างต่างกับคนที่ยังไม่รู้อีกมากมายเลยโยม
ทัดฤทธิ์:สาธุขอรับหลวงพี่ อย่างที่กระผมให้คำปรึกษาแบบนี้ เรียกว่ากระผมไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านหรือเปล่าขอรับ
หลวงพี่:เปล่าหรอกโยม แบบนี้เราถือว่า เราให้ธรรมะ เป็นธรรมทาน ให้เขาเห็นว่ามันคืออะไร บาป บุญ คุณ โทษ และสัจธรรมมันมีมาคู่โลกเรามานานแล้ว.......เราให้เขาแล้ว เราก็วาง ถือว่าที่เหลือเป็นเรื่องของเขา บุญเป็นของเรา จะเล็กจะน้อยก็เก็บสะสมไป
วาโยรัตนะ
28-08-2010, 21:29
"ขอขมาชุดใหญ่"
หลวงพี่: โยมรัตน์ เรามีเรื่องจะบอก ให้โยมทำบายศรีมาขอขมาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ตลอดจนเหล่าเทวดาที่ดูแลรักษาพระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกสารีริกธาตุ พระธาตุ พระอรหันตธาตุ ทำบายศรีมาสองชุดนะ ไม่เข้าใจอะไรให้ปรึกษาโยมแอ๋ว อะไร ๆ ที่ปิดทางโยมในการปฏิบัติอยู่จะได้เปิด จะได้สว่างเสียที ถึงเวลาแล้ว.......สนุกสนานเลยนะโยม ไอ้ความไม่รู้คราวนี้ส่งผลหลายปีเลยนะโยม ไปขโมยมามันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ
ทัดฤทธิ์: ขอรับหลวงพี่ บายศรีขอขมา ปกติกระผมไม่เคยได้ยินนะขอรับ เดี๋ยวกระผมจะรีบไปจัดการขอรับ
หลวงพี่: ดีแล้วอย่างได้นิ่งนอนใจ............นี่เราบอกแล้วนะ
ทัดฤทธิ์:ขอรับหลวงพี่ กราบนมัสการลาขอรับหลวงพี่
หลวงพี่: เอา ๆ เดินทางปลอดภัย มีสติทำงาน เอาพุทโธ ๆ
ทัดฤทธิ์:พี่แอ๋ว บายศรีขอขมาผมไม่เคยได้ยินนะพี่ ผมรู้จักแต่พานธูปเทียนแพขอขมาครับ แล้วรู้สึกว่าต้องทำสองชุด พานแรกขอขมาพระรัตนตรัยและเทวดาที่ดูแลรักษาพระบรมสารีริกธาตุถวายที่สำนักสงฆ์ พานที่สองขอขมาพระรัตนตรัยและเทวดาที่ดูแลรักษาพระบรมสารีริกธาตุที่บ้านครับ
พี่แอ๋ว:แบบนั้นแหละถูกแล้ว นี้หลวงพี่ท่านบอกเธอแล้วหรือ
ทัดฤทธิ์:ครับพี่ ผมไปร้านทำบายศรีมาแล้ว แต่ไม่แน่ใจเลยโทรมาสอบถามพี่อีกครั้งเพื่อความถูกต้อง
พี่แอ๋ว:รีบจัดการเสียนะ อย่าให้เกินเดือนสิบ วันสารทไทยนะ
ทัดฤทธิ์:ผมว่าจะขอขมาวันพระใหญ่สิบห้าค่ำนี้แหละครับพี่
พี่แอ๋ว:สาธุ ๆ ขอโมทนาด้วย
วาโยรัตนะ
28-08-2010, 21:38
ทุกเช้าหลังจากไปส่งลูกที่โรงเรียน ผมจะขับรถกลับมาบ้านอีกครั้ง เพื่อนำอาหารไปใส่บาตรหลวงพี่ ลุ้นกันแทบทุกวัน รถก็ติดขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ท่านก็เมตตารับอาหารทุกครั้งถึงจะไปสายบ้าง
หลวงพี่:โยม พระบรมสารีริกธาตุทั้งหมด รวมถึงพระปัจเจกสารีริกธาตุ พระธาตุ พระอรหันต์ธาตุ ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์มาก ถ้าโยมประดิษฐานไว้ในห้องพระ แล้วหากโยมเป็นคนที่มีความคล่องตัวในฌานมาก ๆ จะดีมาก แต่นี้โยมมันตรงกันข้ามเลย ......(ท่านยิ้ม ๆ)
ทัดฤทธิ์: หลวงพี่! กระผมขอถามอะไรตรง ๆ นะครับ (ท่านพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าเหมือนจะรู้ว่ากระผมจะถามอะไร) ที่ผ่านมาก่อนกระผมจะไปบวชและอยู่จำพรรษากับหลวงพ่อเล็ก ก่อนหน้านั้นกรรมฐานหรืออะไรที่ผมรู้สึกว่าผมรู้ ผมคล่อง แท้จริงแล้วผิดเกือบหมดเลยใช่หรือไม่ขอรับ
หลวงพี่ :อือม์ เกือบจะผิดทั้งหมด เกือบ ๆ นะ ไอ้ที่ถูกก็มีอยู่ โยมมีบุญ หลุดออกมาจากวงจรแห่งอวิชชาตรงนั้นมาได้ ก็ถือว่าได้รับบทเรียนมาเยอะมาก จะได้โตเป็นผู้ใหญ่ในการปฏิบัติเสียที ยังมีคนหลงทางอีกเยอะโยมเพราะความอยากได้ อยากมี อยากรู้อยากเห็นจนขาดเหตุผล และโดยเฉพาะโลกธรรมแปดที่มันเป็นบ่วงร้อยรัดบุคคลเหล่านั้นเอาไว้ มันน่าสงสารจริง ๆ
อะไร ๆ ที่ปิดโยมอยู่เหมือนที่ครูบาอาจารย์ของโยมเคยบอกโยมไว้ว่าเมื่อถึงเวลาทุกอย่างมันจะเปิดออก ตามที่โยมเคยเล่าให้อาตมาฟัง ไม่ต้องห่วงหรอก ทำไป ปฏิบัติไป เดี๋ยวหลวงพ่อเล็กท่านเปิดทางให้โยมเองแหละ ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาเราอยู่ ท่านดูแลเราตลอดนั้นแหละโยม โชคดี ความดีไม่ทิ้งใครหรอกโยม
ทัดฤทธิ์:สาธุ กราบแทบเท้าขอบพระคุณมากขอรับหลวงพี่ ปีนี้ถ้าผมไม่ได้ความเมตตาจากหลวงพี่ ผมเองก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร
หลวงพี่: เอา ๆ ไปทำงาน เดี๋ยวจะสาย
วาโยรัตนะ
30-08-2010, 22:28
วันพระที่ผ่านมาหลังจากตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผมก็ทำการขอขมาด้วยพานธูปเทียนแพ ทั้งที่สำนักสงฆ์และที่บ้าน
วันถัดมาหลังจากตักบาตรถวายข้าวหลวงพี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านค่อยบรรจงเอาผ้าปิดบาตรที่รับอาหาร เป็นอันว่ารู้กันว่าท่านมีเรื่องจะคุยด้วย
หลวงพี่:โยม! รู้หรือเปล่าว่าเมื่อคืนเทวดาท่านเสด็จมากันมาก มากจริง ๆ ล้วนแล้วแต่ทรงฤทธานุภาพมาก ๆ ใครได้มโน ฯ ก็ลองย้อนไปดูนะ แต่อาตมาขอบอกว่าแทบจะเห็นด้วยตาเนื้อเลยเชียว ท่านมากันเยอะจริง ๆ ท่านรับคำขอขมา ดีแล้วโยมอะไร ๆ จะได้เป็นไปอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
ทัดฤทธิ์: สาธุ ที่บ้านกระผมก็เริ่มด้วยเทปเสียงบวงสรวงชุมนุมเทวดาของหลวงพ่อ ตามด้วยบูชาพระรัตนตรัย สมาทานศีลแปด และถวายพานธูปเทียนแพขอขมาพระรัตนตรัย และเหล่าเทวดาทั้งหลายที่ดูแลรักษาประทีป
รู้สึกโล่งเลยขอรับ สบายใจ ที่ผ่านมากระผมก็รู้ว่าผิดมาตลอด จะไปโทษใครก็ไม่ได้ ต้องโทษตัวเองนั่นละครับ อยากได้บุญ แต่ไม่รู้ว่าได้อย่างอื่นแถมมาด้วย
หลวงพี่: เอาคราวนี้รู้ก็เป็นบทเรียนที่ดีแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติต่อไป
วาโยรัตนะ
03-09-2010, 19:31
มาป่วยเป็น "อีสุกอีใส" เอาตอนแก่ มันน่าอายเด็กจริง ๆ ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของของเรา ไม่ใช่เราจริง ๆ ดอกบัวหน้าบ้าน บานอยู่สามดอก ว่าพรุ่งนี้จะนำไปถวายพระรัตนตรัยที่สำนักสงฆ์ กลัวว่าจะเอาอีสุกอีใสไปติดหลวงพี่หรือเปล่าก็ไม่รู้ วันนี้รู้สึกเหนื่อย ๆ มันคันในลูกตา แต่ไม่รู้จะเกาอย่างไร เมื่อเช้าตื่นมานั่งสมาธิ มันช่างสงบดีแท้ คิดถึงหลวงพ่อ ตกตอนเย็นก็มีสายโทรเข้ามาจากคุณซัน ว่า
"พี่รัตน์หลวงพ่อถามถึง มีญาติโยมเขาต้องการมารับพระอุปคุตเนื้อชุบทองที่บ้านอนุสาวรีย์หลายท่าน"
งานเข้า! กระผมต้องกราบแทบเท้าขอขมาหลวงพ่อ และทุก ๆ ท่านด้วย ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปจริง ๆ นึกถึงแต่งานกฐินที่วัดท่าขนุน คิดไปว่าหลาย ๆ ท่านคงไปรับที่นั่นและบางส่วนก็คงขอรับที่บ้านอนุสาวรีย์ ต้องกราบขออภัยอย่างยิ่งอีกครั้งขอรับ:875328cc:
วาโยรัตนะ
04-09-2010, 19:20
วันนี้ไข้มันหลบอยู่ข้างใน มันปวดเมื่อยชนิดที่เรียกว่า นอนซมอย่างเดียว ตื่นมาดูนาฬิกา ก็ถึงเวลาถ่ายทอดเสียงหลวงพ่อสอนกรรมฐาน รีบอาบน้ำ อือม์! มันหนาวเข้ากระดูกเลยเชียว
เมื่อเช้ากระผมเจอบุคคลที่หลวงพี่กล่าวถึงเสมอ ๆ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เจอบุคคลท่านนี้ตัวเป็น ๆ
หลวงพี่ :เอาโยมรัตน์ติดขัดเรื่องปฏิบัติอะไรก็สอบถามกันเอาเองนะ
ทัดฤทธิ์ : ขอรับหลวงพี่......ผมดีใจที่ได้เจอพี่นะ หลวงพี่ท่านพูดถึงพี่ให้ผมฟัง ผมหันไปหาพี่ชายท่านนั้น พลางเห็นสีหน้าพี่แกตกใจเล็กน้อย
พี่ชาย: โอ้โห เอาอย่างนี้เลยหรือท่าน
หลวงพี่:อาตมาแค่บ่นถึงโยมให้โยมรัตน์เขาฟัง....ท่านพูดพลางยิ้ม
การสนทนาธรรมระหว่าง หลวงพี่กับพี่ชายท่านนั้น ช่างเป็นบรรยากาศที่กระผมบรรยายไม่ถูก ได้แต่ฟังและปล่อยให้จิตมันเก็บเอาประโยชน์ในธรรมนั้น "แบบดิบ ๆ" มาเท่านั้น ถ้าคิดตามมันฟังแทบไม่รู้เรื่อง จนเสียงโทรศัพท์ของแม่บ้าน (ภรรยา) โทรมาตามให้ช่วยไปดูลูกเพราะป่วยเป็นอีสุกอีใสเช่นกัน
กราบลาหลวงพี่และพี่ชายท่านนั้นรีบลงมาบ้าน จัดข้าวปลาอาหารให้ลูก กินยา แล้วก็นอนหลับเพราะฤทธิ์ยา จนตื่นมาเมื่อตอนเกือบ ๆ หกโมง
วาโยรัตนะ
08-09-2010, 07:01
กระผมมีประสบการณ์สด ๆ ร้อน ๆ จะมาเล่าให้ฟังเรื่องของ "บุญสังฆทาน"
สืบเนื่องจากมีญาติผู้ใหญ่ทางภรรยาท่านป่วยหนักเป็นตายเท่ากันอยู่ กระผมก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากเท่าแต่ปลอบใจว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาโลก ให้ทำใจกันไว้ อย่างน้อยที่สุด เรายังได้ดูแลท่านที่บ้าน ไม่ต้องให้ไปนอนโดนหมอเจาะใส่สายอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ในเมื่อหมอเองก็บอกว่าหมดทางรักษาแล้ว
ช่วงเช้าของวันฝนตก หลังจากได้ตักบาตรถวายอาหารหลวงพี่แล้ว ก็เรียนเรื่องนี้ให้ท่านทราบ อย่างน้อยที่สุดก็ขออานิสงส์ในบุญนี้อุทิศให้คนป่วย หลวงพี่ท่านรับทราบแล้วท่านก็บอกกับกระผมว่า
หลวงพี่:จำที่หลวงพ่อฤๅษี ท่านสอนเรื่องบุญสังฆทานได้หรือเปล่า? บุญสังฆทานนี้อานิสงส์ใหญ่มากนะ หากท่านมีโอกาสได้ทำก่อนสิ้นใจสักครั้งก็จะดีมากนะ โยมไปนิมนต์พระ ๕ รูป ให้ไปรับฉันเพลและรับสังฆทานที่บ้านสิ ให้คนป่วยได้ทำบุญ ได้เห็นผ้าเหลือง วิธีนี้แหละที่หลวงพ่อฤๅษีท่านแนะนำลูกหลานเอาไว้
ทัดฤทธิ์:ขอรับหลวงพี่ กระผมจะรีบนำไปจัดการขอรับ
หลังจากนั้นวันถัดมาก็ได้นิมนต์พระ ๕ รูป มาฉันเพลพร้อมรับสังฆทาน มีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร ซึ่งคุณตาท่านก็อิ่มบุญและดูท่านมีความสุขในบุญนั้น
เมื่อวานตอนทุ่มเศษ ๆ ท่านได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ ทุกคนต่างร้องห่มร้องไห้เป็นธรรมดา ผมเองก็ได้แต่คอยปลอบใจ หลังจากนั้นก็เดินออกมาจัดโทรติดต่อเรื่องฉีดยาศพและหีบศพ เสียงโวยวายก็ดังขึ้น ฟังไม่ได้ใจความเพราะผมอยู่ห่างพอสมควร รีบเดินจ้ำ เข้าไปดู ที่ไหนได้ วิญญาณคุณตาสื่อผ่านภรรยาผม ซึ่งตอนนี้ผมเองก็พยายามควบคุมสติ และดูว่าที่เป็นอยู่นี้ มันใช่ตาจริง ๆ หรือเปล่าที่สื่อกันอยู่ ท่านก็บอกว่าทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง ท่านไปสบาย ขอบใจรัตน์มากที่บอกให้เชิญพระมารับสังฆทาน ท่านไปสบาย ให้ทุกคนรักกันปรองดองกันสามัคคีกัน แล้วท่านก็ไป
พอภรรยาผมได้สติผมเลยถามว่า เมื่อครู่ คุณเห็นอะไรบ้าง เธอก็บอกว่า เห็นตั้งแต่แรกแล้วว่า กายทิพย์ของตาพยายามจะคว้าร่างของตนเอง แต่ทำไม่ได้ เลยพุ่งมาที่เธอทางด้านหลังแล้วเธอก็ไม่ได้สติเลย
วันนี้ผมก็ไปตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุตามปกติ ได้กราบเรียนแจ้งข่าวให้หลวงพี่ท่านทราบ ท่านก็บอกว่าดีแล้ว บุญสังฆทานเป็นเนื้อนาบุญช่วยได้มากเลย
วาโยรัตนะ
13-09-2010, 22:52
เห็นภาพหลวงพี่เทิดท่านขึ้นแสดงธรรมโปรดญาติโยมแล้ว น้ำตาแทบไหล
เห็นหลวงพี่บอยท่านกลับมาบวชอีกครั้ง ในช่วงพรรษานี้ น้ำตาแทบไหล
เห็นตัวเองอยู่ในเป็นฆราวาสแล้ว น้ำตาแทบไหล....
กระผมไม่ขอเกิดอีกแล้ว
วาโยรัตนะ
27-09-2010, 14:17
นี่ก็เกือบ ๆ จะครบสัญญาทำงานกับชาวต่างชาติแล้ว..... แล้วอะไรละ?...:l43841274qn5:อ๋อ (ถามเองตอบเองก็ได้) กับคำถามว่า ที่ผ่านมาผมทนได้อย่างไร? หลาย ๆ คนถามผม ผมก็ได้แต่ยิ้ม :8dcf9699: แล้วตอบว่า "ถ้าด่ามา ผมก็ด่ากลับทันที (โดยเฉพาะเรื่องอะไร ๆ ที่ไม่ถูกต้อง)"
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือ กระผมพยายามเอาธรรมะที่ปฏิบัติอยู่ มาใช้กับชีวิตจริงให้มากที่สุด ปีที่แล้วกระผมบวชเข้าพรรษา ระยะเวลาก็สามเดือนเหมือนกัน ตอนแรกมันก็อยู่ในสภาวะว่า "สึกก่อนดีหรือเปล่า :l43841274qn5: สามเดือนมันนานนะ" แต่ก็ผ่านมาได้แบบภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต ความกดดันมันคนละแบบกัน จะเรียกว่า "กดดันในธรรม" มีหวังหัวแตก :e111de78: มันกดดันก็แต่เฉพาะคนไม่อยู่ในธรรมเท่านั้น สำหรับคนที่อยู่ในธรรม "ธรรมย่อมรักษา"
ส่วนงานนี้ก็ระยะเวลาเท่า ๆ กับปีที่แล้ว คือสามเดือน แต่เป็นสามเดือนที่ผมต้องพิจารณาเอาข้อธรรมต่าง ๆ มาใช้ เพราะผมคือคนกลาง ระหว่างฝรั่งกับผู้รับเหมางานต่าง ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปทางซ้ายหรือทางขวา ก็มีแต่อุปสรรคทั้งนั้น เพราะฉะนั้นผมจึงต้องวางตัวเป็นกลางให้มากที่สุด "ฝรั่งที่ดูถูกคนไทยเยอะแยะไป:215ad82f:" ผมต้องใช้คำนี้ตามสภาวะความเป็นจริง แต่ที่ดี ๆ ก็มีอยู่มาก ส่วนคนไทยเราที่จ้องจะฟันอย่างเดียวเพราะเห็นเป็นฝรั่ง ก็มากมายเหลือจะคณานับ :msn_smileys-09:
"วาง" คำเดียวสั้น ๆ แต่มีความหมาย นี่คือคาถาที่หลวงพี่ท่านบอก "ว่าทำให้ได้นะโยม" จะสู้หรือจะหนีมันก็อยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น อย่าหลอกตัวเองเหมือนการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาก่อนหน้าจะไปอยู่กับหลวงพี่เล็กท่าน อย่าหลอกตัวเอง อย่าปรุงแต่ง เท่านี้เองโยม ทำได้นะ :onion_yom:
วาโยรัตนะ
07-10-2010, 15:00
"ตาฝาดไปหรือเปล่า"
ผมจำได้ว่า ผมได้ไปเกาะแก้วพิสดารที่ภูเก็ตอยู่ห้าครั้ง หลังจากครั้งแรก ผมจะแอบไปหารอยพระพุทธบาทที่หน้าเกาะเสมอ เพราะผมเห็นจริง ๆ ว่ามีรอยพระพุทธบาทอยู่บนหินอีกรอยหนึ่ง ชัดเจนเหมือนรอยพระพุทธบาทที่ท้ายเกาะ ที่ต้องไปสักการะทุกครั้งที่มาเกาะแก้วพิสดาร ผมยืนยันได้ นอนยันก็ได้ว่าผมเห็นจริง ๆ และได้กราบสักการะด้วย แต่อยู่ที่หน้าเกาะ ตรงใกล้ ๆ พระใหญ่ รอยพระบาทหันไปทางทิศตะวันออก หรือผมจะตาฝาด เพราะหลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลยเดินหาก็ไม่เจอ
วาโยรัตนะ
15-10-2010, 13:39
สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านเตือน
ก่อนหน้านี้มีสหายธรรมท่านหนึ่ง ส่งพระบรมสารีริกธาตุให้กระผมทางไปรษณีย์ กระผมรู้ตัวก่อนหน้านั้น เพราะ......? อย่าคิดว่ากระผมมีความวิเศษใด ๆ เลยนะครับ เพราะคนที่ส่งมาเขาโทรมาแจ้งให้ทราบครับ
งานนี้เล่นเอาผมเหงื่อกาฬตกเหมือนกัน เพราะเมื่อเดือนที่แล้วเพิ่งจะจัดพานขอขมาพระรัตนตรัยไปเอง ก็เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของความไม่รู้นี้แหละครับ
หลวงพ่อเคยสอนเกี่ยวกับเรื่องความไม่รู้นี้ว่า มันก็เหมือนแก้วน้ำที่ใส่ยาพิษ (ชนิดรุนแรงนะครับ จะได้เข้าใจกันง่าย ๆ ครับ) แก้วแรกใส่ยาพิษเต็มแก้วเลย (เป็นยาพิษแบบไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสนะครับ ประเภทหยดเดียว ก็เที่ยวได้ แต่ไปเที่ยวภพอื่นนะครับ ขอย้ำเพื่อความเข้าใจ)
แก้วที่สองใส่แค่หยดเดียวเท่านั้น สรุปไม่ว่าจะหยิบแก้วไหนมากิน ก็ตายทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นแก้วแรกหรือแก้วที่สอง ก็อุปมาเหมือน "อกุศลกรรม" ต่อให้เราไม่ตั้งใจทำก็ได้รับผลกรรมนั้น ๆ หรือตั้งใจทำก็ได้รับผลกรรมนั้น ๆ "กุศลกรรม" ก็เช่นเดียวกัน แค่ประสบพบเจอด้วยความบังเอิญ แล้วร่วมบุญก็ได้รับผลบุญนั้น หากตั้งใจทำกุศลก็ได้รับผลของกุศลนั้น
มีหลายคนเคยสนทนาธรรมกับผมในเรื่องเหล่านี้ว่า "มันอยู่ที่ใจพี่ มันอยู่ที่เจตนา" เอา:8dcf9699: เอากันเข้าไป ผมเลยต้องแจ้งไปว่า เจตนาดีแต่วิธีการไม่ถูกต้องครับ สอบถามครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่า "นั้นแหละ เขาเรียกว่ารู้...แต่รู้ไม่หมด หลาย ๆ คนเป็นอย่างนี้ น่าสงสารพวกเขานะโยม"
วาโยรัตนะ
16-10-2010, 17:12
วันนี้วันพระ กระผมตั้งใจขึ้นไปตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยและพระบรมสารีริกธาตุ ก็ขอทุกท่านร่วมโมทนาบุญนี้ด้วยเทอญ ย้อนไปเรื่องพระบรมสารีริกธาตุ ก็มีเรื่องแปลกเป็นอัศจรรย์อยู่ก็คือ ผมเองตั้งใจจะปฏิเสธสหายธรรมท่านนั้นไปว่าไม่ขอรับ แต่มันพูดไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ในใจคิดไปแล้ว แต่พูดไปไม่ออก หลังจากรู้วันที่พระบรมสารีริกธาตุจะเสด็จมาถึง ก่อนหน้านั้นสามวันนั่งสมาธิได้ดีมาก ๆ หลังจากประดิษฐาน (ถวายหลวงพี่) ในเครื่องแก้วอัญเชิญประทับหน้าพระประธาน พร้อมตามประทีปบูชา วันนั้นและหลังไปอีกสามวัน นั่งสมาธิได้ดีมาก ๆ อารมณ์อิทธิบาท ๔ มันทรงตัวมาก ๆ
ทิดฤทธิ์:หลวงพี่ขอรับ ช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาก่อนสาม หลังสาม จากวันที่พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาถึง กระผมนั่งสมาธิได้ดีมากเลยขอรับ
หลวงพี่:แล้วโยมคิดว่าเป็นเพราะเหตุใดหรือ
ทัดฤทธิ์:กระผมไม่อาจจะทราบได้ขอรับ แต่ถ้าเข้าข้างแต่ขอตอบว่าเป็นเพราะ พุทธบารมีขององค์พระบรมสารีริกธาตุขอรับ
หลวงพี่:คิดได้อย่างนั้นก็ดีแล้ว "พุทโธอัปปมาโณ"
วาโยรัตนะ
27-10-2010, 22:43
"ยังไม่ตายและไม่ได้หายไปไหน"
กับบททดสอบที่ยากขึ้นทุกวัน จนต้องปรับเครื่องใหม่อยู่เรื่อย ๆ อือม์.....จะรอดหรือเปล่า....ความทุกข์ยังวนเวียนเข้ามาทุกวัน คำสอนของหลวงพ่อเล็กก็ยังก้องอยู่ในหู "บอกมันเอาไว้ว่า ทุกข์ได้ก็ทุกข์ไป อีกไม่นานกูก็พ้นจากมึงแล้ว"
เมื่อไม่กี่วันก่อนได้คุยกับสหายธรรมท่านหนึ่ง "นี่คุณจะลาตายแล้วหรือ ?" ก็เลยตอบไปว่า "เปล่าครับพี่แต่ผมเตรียมตัวไว้ทุกวินาทีครับ" อารมณ์แบบนี้มันก็เกิดของมันทุกวัน ในหนึ่งวินาทีผมคิดว่า "ความตายมันคือส่วนหนึ่งของชีวิต" แต่ในมุมตรงกันข้าม ยังมีอีกหลายคนหลายท่านที่ยังคิดว่าชีวิตนี้เที่ยงแท้แน่นอน ความตายเป็นเรื่องไกลตัว ในมุมหนึ่งที่ทุกท่านในสถานที่นี้ ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นก็ยังมีอีกหลายผู้หลายคน สร้างภพสร้างชาติที่ไม่รู้สิ้นสุดออกไปอีกนานแสนนาน
ยังดีวะ วันนี้ยังได้ทำความดี ดีกว่าหายใจเข้าหายใจออกฟรี ๆ แม้แต่ลมหายใจก็มีต้นทุน
สายท่าขนุน
28-10-2010, 12:21
...แม้แต่ลมหายใจก็มีต้นทุน
แพงด้วย !!!
...แลกกับการเสี่ยงเกิดใหม่:onion_emoticons-17:
ต้องระวังประหยัดต้นทุนทุกลมหายใจให้ดีเชียว:onion_wink:
วาโยรัตนะ
10-11-2010, 20:55
วันนี้ได้โทรศัพท์ไปคุยกับคุณซัน (ลูกเจ้าคุณนรฯ )
ลูกเจ้าคุณนรฯ :พี่เป็นอย่างไรบ้าง (ตายหรือยังมีชีวิตอยู่)
ทัดฤทธิ์: สบายดี...แต่เหนื่อยว่ะ จบสัญญากับบริษัทเก่า แล้วก็มาเริ่มงานกับบริษัทใหม่ทันที ที่เดิมตั้งกำลังไว้สามเดือนก็ผ่านมาได้ ส่วนที่ใหม่นี้ ตกลงระบุกันในสัญญาหกเดือน แต่ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้ายันสองทุ่มไม่มีวันหยุด ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า อยากจะทดสอบกำลังใจตัวเองดูเหมือนกัน ว่าจะเอาชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า
ลูกเจ้าคุณนรฯ:พี่! ผมลืมเล่าให้พี่ฟัง ตอนงานกฐินวัดท่าขนุนปีนี้ ชาวบ้านร้านตลาด พวกเชื้อสายมอญ กะเหรี่ยง พม่า ร่วมทำบุญกฐินกับหลวงพ่อกันอย่างหนาแน่น หลวงพ่อท่านก็เมตตาแจกพระอุปคุตเถระเนื้อทองเหลืองชุบทองอย่างทั่วถึง ผมดูแล้วมีความสุขมากเลยพี่ ดูพวกเขาเหล่านั้นศรัทธาในบารมีหลวงปู่พระอุปคุตเถระมาก ๆ เลยพี่
ทัดฤทธิ์:ขอบใจที่เล่ามา ผมได้ฟังก็ดีใจ ถึงจะผ่าจมูกอีกข้างก็ยอม
ลูกเจ้าคุณนรฯ::55318906:เอา ๆ ผมก็ว่าเหมือนกัน ถึงจะผ่าขาอีกข้างก็ยอม
ทัดฤทธิ์:ของผมจมูกข้างซ้าย
ลูกเจ้าคุณนรฯ:ของผมก็ขาซ้ายพี่
ทัดฤทธิ์:โอ้...เพราะเราเกิดมาคู่กัน.....ก๊าก ๆ ๆ ๆ
"ตู๊ด ๆ ๆ ๆ และแล้วมันก็ปิดเครื่องหนีทันที":onion_sadd:
วาโยรัตนะ
15-11-2010, 18:20
เรากำลังสู้กับอะไร
เวลาช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก จบจากงานที่เก่า ด้วยสภาพที่ทนเอาชนะใจตัวเองมาได้ ทำงานจนครบ ๓ เดือนตามสัญญา ถือเป็นชัยชนะเล็ก ๆ ที่กระผมมีความภูมิใจไม่น้อย เพราะทุกวันมันมีการทดสอบอารมณ์อยู่ตลอด "ออกเถอะ,อย่าไปสนใจอะไรเลย,ออกดีกว่าสบายกว่า,อิสระเสรีเหนืออื่นใด" ธรรมะที่เล่าเรียนมาจากการบวชเรียนในพรรษาที่แล้ว กระผมได้นำมาใช้ ควบคู่กับการปฏิบัติและการใช้ชีวิตประจำวัน คาถาสั้น ๆ แต่ได้ใจความ "ทน" ทนดูว่า "ระหว่างกระผมกับกิเลสอะไรมันจะหน้าด้านกว่ากัน"
ผมหลงอารมณ์ไปหลายครั้ง แต่ก็เอาสติพิจารณาย้อนกลับมาดู เหตุการณ์ต่าง ๆ ในแต่ละวัน สรุปได้ว่า ผมสู้กับตัวเอง ผมไม่ได้สู้กับคนอื่นเลย แต่เมื่อก่อนผมหลงผิดคิดว่าสู้กับคนอื่นตลอดเวลา ผมหาความสุขตามอัตภาพของตัวกระผมเองไม่เจอ ผมไปทุกข์กับเรื่องของคนอื่น ไปทุกข์กับเหตุการณ์ที่คนอื่นกระทำ หลังจากใช้คาถา "ทน" มาได้ระยะหนึ่ง คราวนี้ กระผมก็รู้จักกับคาถาสั้น ๆอีกบทว่า "วาง" อะไรจะผ่านเข้ามามากมายขนาดไหน สุดท้ายจบงานในแต่ละวันผมก็ "วาง" อือม์...ไม่ได้วางแบบควาย ๆ นะครับ วางแบบมีสติรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
วาโยรัตนะ
28-11-2010, 13:46
"ฝัน ผี"
ความฝันคงเป็นเรื่องธรรมดาที่เรา ๆ ท่าน ๆ เคยมีประสบการณ์พบเจอกันเป็นปกติ ทั้งฝันดีและฝันร้าย
ผมเองไม่ค่อยฝันเหมือนกับชาวบ้านเขามากเท่าไหร่ แต่เวลาฝันร้ายผมจะมีเรื่องประจำ ๆ ของผม เล่นเอาตื่นมาทีไรเป็นต้องนั่งถอนหายใจทุกครั้ง "ตู..ฝันไปว่ะ!"
มุกเด็ด ๆ ที่เจอประจำ ก็คือ ปกติผมเป็นคนวิ่งเร็ว...เอาเป็นว่า ขอให้เชื่อว่าผมวิ่งเร็ว (ด้วยเหตุผลกลไกอะไรอย่าไปสนใจมันเลยครับ เรื่องมันยาว) แต่ฝันร้ายของผมก็คือ ผมมักจะฝันเห็นก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ กลิ้งมาแต่ไกล ด้วยความที่รู้ตัวว่า ตัวเองวิ่งเร็ว...พลางคิดว่า "แหม...ไม่ได้กินผมหรอก" แต่ภาพในฝันทุกครั้งที่เริ่มออกตัววิ่งหนี จากคนที่วิ่งเร็วกลับกลายเป็นวิ่งแบบ "slow-motion" ทุกครั้ง จนหินก้อนนั้นกลิ้งจนจะมาถึงตัว แล้วผมก็ตื่นด้วยอารมณ์ทั้งกลัว ทั้งผิดหวัง ทั้งเหนื่อย ทุกครั้ง อตีดชาติไปทำอะไรไว้ก็ไม่รู้...เซ็ง
หลังจากปฏิบัติธรรมมาได้ระยะหนึ่ง ความฝันแบบนั้นก็หายไป ส่วนเรื่องผี ๆ ก็มีฝันบ้าง ตามปกติ ผมไม่ใช่คนกลัวผี แต่ก็ไม่ค่อยอยากจะเจอก็เท่านั้นเอง อาจจะเรียกว่า เกรงใจกันก็ได้:l438412717dh8:
สองวันที่ผ่านมา ด้วยงานใหม่ที่ทำก็กินเวลาในแต่ละวันแบบแสนยาวนาน ดีที่มี "ที่อยู่" ที่อยู่ของผมก็คือคำภาวนา เก็บเรื่อย ถามว่าเหนื่อยหรือเปล่า ทำงานทุกอย่างย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา รักษากายบ้างตามอัตภาพ แต่รักษาใจเอาไว้ในทุกขณะอันนี้ดีที่สุด
"กลับมาล้มตัวลงนอน กอดหมอนน้ำตาพรั่งพรู" มุกนะครับของยืมเขามาใช้ เอาเป็นว่า กราบพระเสร็จ พอหัวถึงหมอน ภาวนาได้ไม่กี่คู่ก็หลับโลดเป็นปกติ
วาโยรัตนะ
28-11-2010, 14:06
ช่วงใกล้รุ่ง ประมาณตีสามกว่า ๆ เห็นจะได้ ผมก็ฝันไป ว่านั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์ของเพื่อน เข้ากันไปตามทางเล็ก ๆ ในป่าตอนกลางคืน สวนยางสลับกับป่าใหญ่มันมืดได้ใจเลยทีเดียว ใจมันก็กลัว ๆ เพราะทั้งมืดและเปลี่ยว ผมมองไปรอบ ๆ ทาง พลางมองขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้น! ผมเห็นก็เป็นเงาดำ เป็นร่างคนเป็นเงาดำ ๆ แขวนอยู่บนกิ่งมะม่วงใหญ่ อย่างกับในภาพยนตร์สยองขวัญแนวหนังไทย
เพ่งมองไป อ้าว"พระ" ท่านผูกคอตาย จึงร้องบอกเพื่อน "เฮ้ย มึงดูนั่นสิ! คนผูกคนตาย" ไม่ทันขาดคำ รถจักรยานยนต์ที่เรานั่งก็ขับผ่านไปด้วยความเร็ว ผมเองยังหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่คราวนี้ งานเข้า..ศพนั้น กระโดดลงมาแล้ววิ่งตามพวกผมทันที "ผี!" แค่สิ้นเสียงอุทานออกไป ผีตนนั้นกระโดดแค่สองครั้งก็เข้ามาใกล้จนถึงตัวผมแล้ว.......จากความฝันมันก็กลายเป็นเหมือนเรื่องจริง ผมสังเกตจิตตอนนั้น มันมีสองอารมณ์ อารมณ์แรกกลัวมาก อารมณ์ที่สองเห็นเป็นธรรมดา แต่ก็ยังกลัวอยู่แต่ไม่มาก ตอนนั้นมันเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น งานนี้ใจมันสู้ เลยถามไปว่า
"เธอจะเอาอะไร มีอะไรให้เราช่วยหรือไม่" ไม่มีเสียงตอบใด ๆ กลับมา ผีตนนั้นยังอยู่ ภาพเพื่อนในความฝันหายไปนานแล้ว (อย่าให้นึกออกว่าเป็นเพื่อนคนไหนนะครับ) งานนี้ "ตัวต่อตัว" ผมกับผี
"เอาแบบนี้ บุญอะไรที่เราทำมาดีแล้ว เราขออุทิศให้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ขอเธอจงโมทนาบุญนี้นะ" เงียบไม่มีคำตอบใด ๆ และยังจ้องผมอยู่เป็นปกติ
งานนี้ผมเลยเริ่มได้ใจ "เอาแบบนี้ สามตัวงวดนี้ออกอะไร บอกผมได้หรือเปล่า" เงียบ...และก็จ้องหน้าผมเป็นปกติ
งานนี้อารมณ์มันเริ่มเดือดแล้วครับ "เอายัง...ไม่ไปอีก อะไรวะ..เอา..มา มาเจอกันซึ่ง ๆ หน้าเลย" ผมเลยตื่น แต่อารมณ์มันต่อเนื่อง มองไปรอบ ๆ ห้องก็ไม่เจอผีสักตนหนึ่ง แต่มันยังรับรู้อยู่ถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างชัดเจน ผมเลยพูดออกไปว่า
"เอาท่านผีที่เคารพ ผมเป็นลูกหลานหลวงปู่ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำนะ อย่ามาแกล้งกันแบบนี้ ผมไม่ชอบ บุญก็ไม่เอา อะไรก็ไม่เอา ที่สำคัญหวยก็ไม่ให้ อุตสาห์มาหากันทั้งทีแล้ว...เอาเป็นว่า ผมจะนอนแล้วนะ ผมเหนื่อย พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า ขอตัวนอนก่อนนะ"
แล้วผมก็ล้มตัวลงนอนจนเช้า ตื่นมาก็คิดทบทวนแล้วยังนั่งหัวเราะ "อะไรวะนี่ กูบ้าไปหรือเปล่าวะ" แต่งานนี้มันภูมิใจลึก ๆ ๕๕๕๕๕ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน จะลุกไปปัสสาวะก็ยังไม่กล้าเลย!
วาโยรัตนะ
08-12-2010, 17:34
งานทางธรรมให้นำงานทางโลก
ความคิดของผมก็คือ "จะทำอย่างไรให้มีความสุขทางธรรมในขณะทำงานทางโลก"
พูดไปก็ยังแทบจะเอาตัวไม่รอดเลย โดนการเมืองภายในบริษัท ชนิดที่ว่าคนอื่นเห็นแล้วยังหนาวแทน ก็ต้องตอบว่า ๕๕๕๕๕ ! มันก็เป็นไปตามธรรมดาของโลก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นธรรมดา ไม่เป็นไร ตราบใดที่โลกนี้ยังมี "มาม่า" แล้วก็มีเวลาให้ได้ "ภาวนา" แค่นี้ผมก็มีความสุขตามอัตภาพแล้วครับ
วาโยรัตนะ
13-12-2010, 12:17
"คุณเชื่อหรือไม่"
มีครูบาอาจารย์ของกระผมท่านหนึ่ง ท่านโดนทำร้าย แต่ท่านกลับยืนให้เขาต่อย โดนเต็ม ๆ ทุกหมัด แต่ท่านไม่สะทกสะท้าน ไม่ตอบโต้ ทุกหมัดที่ชายผู้นั้นต่อยมา ท่านรับโดยไม่หลบใด ๆ ทั้งสิ้น มีแต่ยืนภาวนาอยู่เป็นปกติ........
แล้วชายคนนั้นก็เป็นบ้าอยู่จนถึงทุกวันนี้ สอบถามครูบาอาจารย์ท่าน ท่านก็เมตตาตอบว่า "เมื่อไร ที่เขามาขอขมา เมื่อนั้นเขาก็จะดีขึ้น" ท่านถือเป็นการชดใช้ตามวิบากที่ท่านต้องรับ
แล้วถ้าหากเป็นตัวกระผมเอง คงจะสวนตั้งแต่หมัดแรกแล้วครับ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจและยังทำไม่ได้ ผมเคยเห็นแผ่นหลังของหลวงพ่อ หลังจากที่ท่านเรียกหมอจับเส้นมานวดให้ ปกติหลวงพ่อท่านเป็นคนผิวออกขาว แต่ที่ผมเห็นแผ่นหลังของท่าน หลังจากที่หมอจับเส้นนวดเสร็จ ตอนนั้นมันทั้งแดงและทั้งเขียว กระผมเองยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเจ็บขนาดไหน แต่ยังเห็นท่านตรวจงานด้วยอาการปกติ พอท่านเล่าให้ฟังว่า "กายส่วนกาย จิตส่วนจิต" จึงพอเข้าใจได้บ้าง ตอนช่วงกระผมเข้ารับการรักษา แค่เห็นเข็มฉีดยาที่หมอพยายามจะเอาปลายเข็มงอ ๆ เป็นรูปแบบพิเศษ สอดเข้าไปเพื่อจะฉีดยาในรูจมูกกระผม ตอนนั้นลมแทบจับ มันกลัวชนิดที่เรียกถ้าคุมสติไม่ดี มีหวังหมอก็หมอเถอะ โดนผมต่อยแน่
วาโยรัตนะ
14-12-2010, 08:59
".....ที่นครศรีธรรมราช"
ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า จุดนี้เป็นอีกจุดหนึ่งซึ่งพระท่านนิยมไปปลีกวิเวกภาวนาหาความสงบในธรรม เป็นดินแดนที่มีความเร้นลับอยู่มากมาย เรื่องของประหลาด ๆ ก็เช่นกัน มีให้เห็นเป็นอยู่ธรรมดาในสถานที่นี้ แต่การเดินทางก็ยากลำบากพอสมควร สมน้ำสมเนื้อกับการจะไปแสวงหาความสงบ
ผมเองยังไม่เคยไป หากแต่เคยกราบเรียนขอความเมตตาจากครูบาอาจารย์ท่าน ท่านก็ตอบว่า "เมื่อถึงวาระ เมื่อถึงเวลาอันควร ก็จะได้ไป เท่าแต่ตอนนี้ตั้งใจทำความดีไปตามปกติ ให้ขยันงานทางธรรม ให้มีคุณธรรมในงานทางโลก"
วาโยรัตนะ
21-12-2010, 14:39
ระหว่างมันกับเราใครจะหน้าด้านกว่ากัน..!
งานที่ผมทำอยู่......ผมอยากจะลาออกแทบทุกวัน แต่ก็ยังจำคำที่หลวงพ่อท่านสอนได้ว่า "ดูมันไป ระหว่างมันกับเราใครจะหน้าด้านกว่ากัน"
เจ้าอารมณ์ที่มันบอก "จะทนไม่ได้แล้ว จะบ้าแล้ว ออกเถอะ" ผมกำลังดูมันอยู่ว่า มันจะดิ้นพล่านขนาดไหน เห็นสภาวะทางโลกของทุกคน ที่ต่างต้องดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ทำทุกวิถีทางให้เงินมาในสังคมแห่งเมืองท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่ "หาดป่าตอง" แล้วต้องบอกว่า น่าสงสารทุกคน รวมถึงตัวผมเองด้วย มันผิด.....ผิดมาตั้งแต่เกิดแล้ว..!
วาโยรัตนะ
21-12-2010, 21:59
วางกำลังใจผิด
หลวงพี่: เป็นอย่างไรบ้างโยม หายหน้าหายตาไปเลย
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: เวลามันไม่ลงตัวขอรับ หลวงพี่ ผมส่งเด็ก ๆ ไปโรงเรียนแล้ว ก็ไปทำงานต่อเลย รู้สึกว่าตัวเองห่างจากความดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ขอรับ
งานที่ทำก็สุด ๆ ขอรับ กระผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทนผ่านหกเดือนนี้ได้หรือเปล่าขอรับ บางวันที่มันฟุ้งมาก ๆ แทบอยากจะถอดเสื้อบริษัททิ้ง แล้วก็ขับรถกลับบ้านเลยขอรับ ไม่ทำมันแล้ว
:e111de78::e111de78::e111de78:
กระผมก็มีสตินึกได้เสมอขอรับ แต่บางวันมันเอาไม่อยู่จริง ๆ ปลีกไปภาวนาก็แล้ว เดินจงกรมก็แล้ว เห็นการเอาเปรียบกัน เห็นความไม่เป็นธรรม........เอาง่าย ๆ คือมันไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจขอรับ มันมีดวงจิตสองดวงต่อสู้กันตลอดขอรับ ฝั่งหนึ่งก็บอกให้ "ทน" อีกฝั่งก็บอกว่า "ทนไปทำไมวะ"
หลวงพี่: อาตมารู้แล้วว่าเพราะอะไร
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์::baa60776:
หลวงพี่ :เพราะว่าโยมวางกำลังใจไปผิด โยมวางกำลังใจไปรอ ว่าเมื่อไรเขาจะเสร็จงาน เมื่อไรเขาจะหยุดพักเท่ากับว่ากำลังใจของโยมไปผูกอยู่กับเวลา แทนที่โยมจะปล่อยวางว่า เราส่งเขาถึงที่แล้วที่เหลือเป็นงานของเขา เมื่อไรเขาเสร็จงานเราก็มีหน้าที่พาเขาไปจุดอื่นต่อไป ระหว่างการรอนั้นแทนที่โยมจะอยู่กับตัวโยมเอง หางานให้จิตทำโยมกับปล่อยจิตออกไปฟุ้งซ่าน อาตมาเลยบอกว่าโยมวางกำลังใจไปผิด
วาโยรัตนะ
07-01-2011, 00:22
ตายน้ำตื้น ขออภัยครับ กำลังสร้างอารมณ์ในการเขียน "เหงา ๆ เบื่อและรัก"
วาโยรัตนะ
07-01-2011, 19:02
ตายน้ำตื้น เรื่องจริงผ่านชีวิต
หลังจากอยู่ในอารมณ์ที่ต้องยอมรับว่า "เก็บกด" ในเรื่องของงานที่ทำ ตอนที่ลาออกความรู้สึกมันเหมือน เรายกภูเขาออกจากอก ในมุมมองของคนอื่น ๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาคิดถึงการลาออกของผมในครั้งนี้อย่างไร แต่เท่าที่ทราบมีสองพวก
พวกแรกบอกว่า
"พี่รัตน์ลุยแม่งก่อนออกแทนพวกผมด้วย" ในใจผมมันมีภาพมากมายแบบโหดร้าย ๆ ถ้าพวกรัสเซียไม่อยู่ในสภาพบอบช้ำด้วย เขาซ้าย หน้าแข้งขวา มันก็ต้องคลานเข่ามากราบขอขมาผม........คิดไปนะครับ ผมแค่ดูว่าจิตมันปรุงแต่งไปในทางเลวร้ายถึงขนาดนั้นเลยหรือ
อีกพวกหนึ่งบอกว่า
พี่รัตน์เป็นคนสอนพวกผมเองไม่ใช่หรือพี่ :onion_no: ว่าให้ "ทน" ให้ทำใจ ให้หาความสุขตามอัตภาพ ให้มีสติ ให้มีสมาธิ แล้วนี่ พี่รัตน์เปิดตูดแผ่นแนบไปก่อนเลย แมนรับบ่ได้:e111de78:
":a03cbf1e:น้อง ๆ ทุกคนขอให้เคารพการตัดสินใจของพี่นะ พี่ออกแบบผู้ใหญ่ ๆ มีอะไรเราก็คุยกับเขาว่าเรารับไม่ได้ไม่ไหวแล้ว อย่าเอาอย่างพี่นะ พี่มีทางไป (ถนนหน้าบริษัท) พี่เชื่อว่าพวกเธอทำได้ การออกของพี่คงจะสะเทือนวงการอยู่ไม่น้อย พูดพลางหันหน้าไปแสยะยิ้ม แบบมาดพระเอกในหนังฮ่องกง (กูจะไปกินเกลือต่อไป):a03cbf1e::e111de78:"
หลังจากวันลาออก
เวลาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหรือมีเสียงเตือนว่ามีข้อความส่งมา จิตมันผวาและสะดุ้ง ใจเต้นแรงไม่เป็นปกติ เพราะตอนทำงาน ถึงจะเป็นวันหยุด บริษัทห้ามปิดเครื่อง ถ้าโทรมาต้องไปทำงาน ต้องไปทันที ห้ามเถียง ห้ามลา ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม ส่วนเรื่องวันหยุดอย่าไปหวังว่าจะได้รู้ล่วงหน้า จะรู้ว่าได้หยุดก็ต่อเมื่อไม่มีข้อความส่งมาว่า ให้ไปรับ jop order ประมาณตอนสองทุ่มของทุกคืน บางที่มีหลอก ลืมส่งข้อความมาให้ แต่......มีงานนะจ๊ะ:e111de78: อาการแบบนี้เป็นอยู่สองวัน เหมือนจะบ้า......มาดีขึ้นก็หลังจากปรึกษาหลวงพี่ (พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ สาธุ สาธุ สาธุ)
วาโยรัตนะ
07-01-2011, 20:06
ขอคั่นรายการด้วยฝันเมื่อคืนที่ผ่านมาครับ
ในสภาพของรถทัวร์คันหนึ่ง (เหมือนรถทัวร์ที่มารับพระจากวัดท่าขนุนไปตัวเมืองจังหวัดกาญจนบุรี ตอนงานเจ้าคณะจังหวัด ตอนที่กระผมยังบวชอยู่)
ในรถมีพระหลาย ๆ องค์นั่งอยู่ หนึ่งในนั้นมีตัวเองอยู่บวชเป็นพระ
พระองค์หนึ่ง กล่าวกับกระผมว่า :หลวงพี่ ๆ หลวงพี่รัตน์ ดูหลวงพี่......นั้นสิ ทำเป็นเท่ห์ ทำรู้มากผมไม่ชอบเลย ไม่ค่อยถูกกันกับผมเลย
กระผมก็ได้แต่หันไปมอง ก็พระเพื่อนกันทั้งนั้น ไม่ทันจะหันกลับ พระคู่กรณีทั้งสองฝ่ายก็เริ่มมีปากเสียงกัน สุดท้ายกระผมก็ทนไม่ได้
"หลวงพี่ ๆ หลวงพี่หยุดทะเลาะกันได้หรือเปล่า เวลาของกระผมที่จะบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามันน้อยเสียเหลือเกินหลวงพี่ ขอพวกเราอยู่กันอย่างสงบ สามัคคีกันได้หรือเปล่าหลวงพี่ อย่างน้อยก็นึกว่าสงเคราะห์พระบวชได้ไม่นานอย่างกระผม"
เป็นฝันที่แปลกมาก แต่มันรู้สึกคุ้นมาก ๆ เช่นกัน
วาโยรัตนะ
07-01-2011, 20:35
ตายน้ำตื้น (ตอนที่สอง)
คืนแรกของวันแรกที่ออกจากงาน กระผมเข้าไปวัดฉลอง เพื่อนั่งสมาธิขอบารมี พระรัตนตรัย หลวงพ่อแช่มวัดฉลองเป็นที่พึ่งสงบสติความฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานาในจิตใจ กำลังเคลิ้ม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
"พี่หนูอยากลาออกพี่ หนูไม่ไหวแล้ว...............ต่าง ๆ นานา สารพัด" เสียงและข้อความมันบ่งบอกถึงความทุกข์ของผู้กล่าวอยู่มาก น่าสงสาร แค่นี้หรือชีวิตคนเรา สุข ๆ เหงา ๆ เศร้า ๆ อะไรของมันวะ
สรุป "พี่ช่วยได้เท่านี้แหละ ไปคิดเองนะ คุณต้องตัดสินใจด้วยตัวคุณเอง" (น้องที่อยู่คนละแผนก แต่เคยเป็นลูกน้องเก่าผมมาก่อน) :e111de78:
วันที่สองของคนตกงาน :onion_sadd: (เฮ้ย ๆ ออกอย่างสง่างามโว้ย) วันนี้ฟุ้งหนักกว่าวันแรก ใจมันกระเจิง มันเป็นบ้าอะไรของมันก็ไม่รู้ มันวิตกกังวล หนัก ๆ ไม่สบายตัว ไม่ได้การณ์แล้ว เห็นทีจะเสียทีแก่ข้าศึก
ตกเย็นวันนั้น ตั้งใจขึ้นไปกราบหลวงพี่อย่างน้อยที่สุด ไปให้ถึงท่านก่อน ก่อนที่มันจะฟุ้งหนักไปกว่านี้ พอไปถึงประตูศาล เห็นประตูปิดใส่กลอนจากด้านในอยู่ ก็รู้ตามปกติ ท่านกำลังตามประทีปบูชาพระรัตนตรัยตามกิจวัตรประจำวันของท่าน
กระผมตั้งใจเดินจงกรมตามถนนหน้าศาลาที่ลาดชัน เพราะเป็นทางขึ้นเนินเขา.......ฆ่าเวลา รอหลวงพี่ท่านเมตตาเปิดประตูให้ แรกก็เดินไปเดินมา หลัง ๆ เริ่มสงบ แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเดินจงกรมหน่อย ตั้งใจอยู่กับความสงบนั้น จนรู้สึกผ่อนคลาย จิตสบาย มันโล่งหายใจหายคอสะดวก พยายามจับความรู้สึกนั้นแบบสบาย ๆ ขอบารมีพระ
"ขอให้ลูกรู้คำตอบด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า ว่าทำไมการเดินจงกรมในครั้งนี้ ถึงได้สงบระงับยิ่งนัก" เสียงตอบมาในใจตัวเองว่า
"เพราะเธออยู่ในที่อันสงบ จิตของเธอจึงสงบ"
วาโยรัตนะ
19-01-2011, 17:11
ผ่านหลาย ๆ อย่างมาแบบ.........เหนื่อยจริง ๆ ! จิตตกไปหลายวันครับ แต่ก็พยายามรู้ตัวเองตลอด ผ่านปีใหม่มาแล้วก็ยังทรง ๆ อยู่ไม่ดีขึ้น ไม่ตกลงไปมากกว่านี้ ชีวิตนี้มันเห็นทุกข์มากขึ้นเรื่อย ๆ จริง
มีแขกมาเยี่ยมบ้าน ช่วงปลายปีที่ผ่านมาครับ เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสตระเวนไปกับคณะนั้น...แต่น่ากลัวมากครับ เพราะท่าน ๆ พากันไปเล่นตระเวนล่อข้าศึกกันแถว ๆ สนามรบเก่า ตั้งแต่ภูเก็ตยังเป็นเมืองถลาง สมัย ท่านย่ามุข ย่าจันทร์ รบกับพวกพม่า ได้ข่าวมาว่ามีผู้เสียสละ นอนหมดเรี่ยวแรงไปเลยครับ.....๕๕๕๕๕
ผมทราบข่าวจากการโทรไปพูดคุยสอบถามสารทุกข์สุกดิบกับทิดตู่มาว่า
พี่ !:4672615: ผมรายงานหลวงพ่อไปแล้วนะพี่ ว่าพี่ทิดรัตน์จะไปเป็น "เจดีย์" ดีเจหรือนักจัดรายการวิทยุ แล้วหลวงพ่อท่านก็ตอบผมมาว่า
"อะไรนะ ขนาดหนังสือมันยังเขียนผิด ๆ ถูก ๆ อยู่เลย มันจะไหวหรือ"
:onion_no::onion_emoticons-17::e111de78:
ถือว่าเป็นเรื่องกดดันอย่างยิ่งสำหรับผม กดดันว่าต้องทำให้ดี ต้องทำให้ได้ หลวงพี่เอท่านบอกว่า "คนเราต้องมีเอกลักษณ์ ถือว่าการเขียนหนังสือผิด ๆ เป็นเอกลักษณ์ของทิดรัตน์ก็แล้วกัน"
:e111de78::conion-05::l438412717dh8::fea27916:
จบข่าว:onion_smileys06:
vBulletin® v3.8.11, Copyright ©2000-2025, vBulletin Solutions Inc.