PDA

View Full Version : เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๖๐


เถรี
08-01-2017, 18:20
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนรุ่นเก่าทำบุญแล้วไปพระนิพพานกันเร็ว ส่วนคนรุ่นใหม่ทำแล้วไปช้าเพราะมัวแต่ถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กกันอยู่...!"

เถรี
08-01-2017, 18:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันศุกร์ก็เท่ากับว่าเราทำบุญเปิดบ้านใหม่ แต่ทางบ้านวิริยบารมีเขาก็ทำบุญนะ วันอาทิตย์บ้านโน้นจะมีการทำบุญบ้านใหญ่ ก็คงลักษณะเดียวกัน จะเป็นการเปิดบ้านใหม่เหมือนกัน ใครคิดถึงด้านโน้นและอยากจะทำบุญกับทางสายพระวัดป่า ก็เชิญที่บ้านเก่าได้ วันอาทิตย์นี้ได้ยินว่าหลวงพ่อเมือง พลวฑฺโฒ วัดป่ามัชฌิมาวาส ท่านจะมา"

เถรี
08-01-2017, 18:28
ช่วงพิธีการขอขมา "ในโอกาสวันปีใหม่หลวงพ่อนิลท่านเมตตาเดินทางมาไกล นำพวกเราขอขมาพระและทำบุญเป็นปฐมฤกษ์ ก็ต้องขออนุโมทนาในความดีของท่านและทุกคน

สำหรับเรื่องบ้านเติมบุญนี้ สำเร็จขึ้นมาด้วยความตั้งใจของทุก ๆ คน ซึ่งนำโดย คุณต๋อง (ณัฐพล สุขวัฒนศิริ) และ ชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต โดย คุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา ร่วมกันวิ่งสู้ฟัด เพื่อจะให้ทันอาตมารับสังฆทานปีใหม่ แม้กระทั่งเมื่อคืนนี้นาทีสุดท้ายยังปรับเครื่องเสียงกันอยู่เลย

ประมาณสองอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา มีการประชุมเพื่อแจ้งค่าใช้จ่าย ตอนนั้นคณะกรรมการหน้าเหี่ยวมาก เพราะว่าจ่ายเกิน ไป ๗ แสนกว่าบาท แต่ปรากฏว่ามีคณะญาติโยมที่พร้อมใจกันปลดหนี้ให้บ้านนี้ สรุปว่าพวกเราปลดหนี้ให้คนอื่นไว้เยอะ พอถึงเวลาเป็นหนี้เองก็เลยมีคณะญาติโยมมาช่วยกันปลดหนี้ให้ โดยมีคณะมดงานตลอดจนชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิตเป็นฐานใหญ่

ในส่วนของบ้านนี้ก็ต้องบอกว่า อีกหลายท่านที่ช่วยอย่างเต็มกำลัง แต่ว่าบางทีพวกเราก็ไม่รู้กัน แม้กระทั่งชุดโต๊ะตู้เตียงที่ใช้งานตลอดจนรับสังฆทานนี้ ก็ได้รับมาจากพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านทำมาให้ ขนาดโต๊ะแม้กระทั่งเก้าอี้นั่งของอาตมา ท่านบอกว่าสั่งทำตามตัวเลขมงคล แต่อาตมาดูไม่ออก

พรมข้างหน้านี้ทั้ง ๔ ผืนนี้ได้รับมาจากท่านเจ้าคุณปิง (พระวิสุทธิศาสนวิเทศ) สรุปว่าที่นี่เป็นศูนย์รวมศรัทธา คนโน้นช่วยนิด คนนี้ช่วยหน่อย โดยเฉพาะพวกเราที่ทำบุญกันผ่านทางทั้งเว็บไซต์และเฟซบุ๊ก ซึ่งได้รับการประกาศชื่อบ้าง ไม่ได้รับการประกาศชื่อบ้าง อีกจำนวนหนึ่งที่ไปทำบุญที่วัดท่าขนุน ก็มีหลุดไปอยู่ทางนั้น ๒-๓ ซองที่บอกว่าทำบุญเกี่ยวกับบ้านเติมบุญ ต้องขออนุโมทนากับความดีของทุก ๆ ท่าน ที่พร้อมอกพร้อมใจกันมาทำให้อาตมาต้องเหนื่อยต่อไป..!

ในส่วนนี้ก็ถือว่าเราได้เห็นน้ำใจและความเสียสละของทุกคน ที่ได้กระทำความดีเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง เพราะว่าหลายท่านที่ไม่ได้ประกาศบอกกล่าวชื่อเสียงไป ก็ได้ทำงานมาตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่บางคนไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ข้าง ๆ เรามาทำงานใหญ่กันอยู่ที่ตรงนี้"

เถรี
08-01-2017, 18:31
"ในส่วนของการทำบุญในพระพุทธศาสนานั้นก็คือ ขอให้ได้ทำ ทำแล้วจะมีผลตอบแทนหรือไม่มีนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในส่วนนี้ถือว่า เรามีอุเบกขาในการสร้างบารมี ซึ่งเป็นส่วนที่ยากมาก เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วทำบุญก็ต้องการที่จะให้คนเห็น แต่ถ้าเราดูอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านเมื่อพระราชทานพระสมเด็จจิตรลดาให้กับข้าราชบริพาร ก็ตรัสว่าให้เอาทองมาปิดด้านหลังพระ

พลตำรวจเอกวศิฎฐ์ เดชกุญชร ตอนนั้นยังเป็นตำรวจเวรราชองครักษ์อยู่ ได้กราบทูลถามว่า "ถ้ามัวแต่ปิดทองอยู่หลังพระ แล้วเมื่อไรคนจะเห็น ?" พระองค์ท่านตรัสว่า "ถ้าเราปิดมากพอ ทองจะล้นออกมาข้างหน้าให้จนคนได้เห็นเอง" นี่คือลักษณะของการทำความดีแบบมีอุเบกขา"

เถรี
08-01-2017, 18:35
"การปฏิบัติธรรมในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ถ้าเรามีไม่มีอุเบกขา โอกาสที่จะก้าวหน้าก็เป็นไปโดยยาก ในเรื่องของการให้ทาน ถ้าเราไม่มีอุเบกขาในการให้ทาน ให้แล้วบางคนก็ยังตามไปตรวจว่า ของที่ทำไปท่านได้เอาไปใช้เอาไปฉันจริงหรือเปล่า ? นั่นคือลักษณะของการขาดอุเบกขาในการให้ทาน ทำแล้ว ให้คนอื่นไปแล้ว แต่ยังไม่ขาดจากใจตัวเอง ยังยึด ยังเกาะอยู่ โอกาสที่จะติดอยู่แค่กามาวจรภูมิก็มีมาก

ในการรักษาศีล เมื่อเราล่วงละเมิดศีลโดยไม่ได้เจตนา ถ้าเรามีอุเบกขา ก็คือปล่อยวาง แล้วตั้งหน้าตั้งตาชำระศีลให้บริสุทธิ์ใหม่ แต่ถ้าหากเราไม่มีอุเบกขา เราก็จะไปเศร้าหมองอยู่ตรงนั้นว่า เรารักษาศีลมาได้ตั้งนานแล้ว ไม่น่าที่จะบกพร่อง ลักษณะอย่างนั้น ถ้าเราตายตอนนั้น สภาพจิตเศร้าหมองจะนำเราไปลงอบายภูมิ

ส่วนในเรื่องของการภาวนานั้น สมาธิทุกระดับจะมีตัวอุเบกขาอยู่เสมอ ตั้งแต่อุเบกขาของปฐมฌาน อุเบกขาของฌานที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ตัวที่ ๕ นี่ชัดเจนที่สุดเลย ก็คือเหลือแต่อารมณ์อุเบกขาล้วน ๆ เรียกว่า ปัญจมฌาน สำหรับบุคคลที่มาสายพระโพธิสัตว์จะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้ ฉะนั้น...ถ้าเราขาดตัวอุเบกขา ซึ่งปนอยู่ในเอกัคตารมณ์ ก็คืออารมณ์ที่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว เราก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงสมาธิภาวนาในแต่ละระดับได้อย่างแท้จริง

ส่วนอุเบกขานั้นในวิปัสสนาญาณนั้น ก็คือการเลิกการปรุงแต่ง ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจไม่นำมาคิด สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส เมื่อใจไม่คิด ความดีความชั่วก็ไม่เกิด กุศลกรรมและอกุศลกรรมไม่เกิด ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เกิดเพราะขาดการปรุงแต่ง คำว่า "ไม่เกิด" ก็คือ "ดับ" นิโรธคือความดับก็ปรากฏขึ้น โอกาสที่เราจะเข้าถึงพระนิพพานจึงจะมีได้"

เถรี
08-01-2017, 18:36
"พวกเราที่ร่วมใจกันเสริมสร้างขึ้นมาจนมีบ้านเติมบุญหลังนี้ ก็ขอให้พวกเรายึดหลักตรงนี้ว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ให้ทำลักษณะเดียวกันกับการที่เราสร้างบ้านนี้ขึ้นมา ก็คือ ทำแบบปิดทองหลังพระ ทำแบบมีอุเบกขาในอารมณ์ ทำแล้วก็แล้วกัน ขอให้ได้ทำเท่านั้น

ท้ายสุดนี้ในช่วงปีใหม่ ๒๕๖๐ อาตมภาพในฐานะส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย ขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ เป็นประธาน มีบารมีของครูบาอาจารย์ทุก ๆ ท่านทุก ๆ องค์เป็นที่สุด ขอได้โปรดดลบันดาลให้ญาติโยมทั้งหลาย เป็นผู้ประสบแต่ความสุขความเจริญ มีความปรารถนาที่สมหวังจงทุกประการ ขอให้อยู่รอดปลอดภัยในทุกสถานการณ์ แม้ประสงค์จำนงหมายสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัยแล้วไซร้ ขอให้ความปรารถนาของทุกท่าน จงสำเร็จสัมฤทธิ์ผลทุกประการด้วยเทอญ"

เถรี
08-01-2017, 18:55
ถาม : ทศชาตินั้น เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าท่านเล่าไว้ทีละเรื่อง ไม่ได้ลำดับก่อนหรือหลัง ข้อนี้ถูกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถูกครับ...!

ถาม : ทศชาตินั้น แม้มีหลายกองบารมีที่ทรงบำเพ็ญในพระชาตินั้น กองที่โดดเด่นที่สุดในแต่ละชาตินั้น โยมเข้าใจว่ามิใช่ปรมัตถบารมีเสียทั้งหมด ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช่ครับ...!

เถรี
08-01-2017, 18:57
ถาม : แม้เราจะทรงกุศลสูงสุดเมื่อก่อนหลับได้ เมื่อในขณะที่จิตฝันฟุ้งอยู่นั้นเกิดเสียชีวิตไปในระหว่างหลับ เราจะมีคติใดเป็นที่ไปได้บ้างครับ ?
ตอบ : อยากจะให้ "ส้นตีน" ก่อนครับ...! ถ้าทรงสมาธิได้จะไปฝันฟุ้งอะไรเล่า ?

เถรี
08-01-2017, 19:08
ถาม : โยมเล็งเห็นว่าแม้ของอันเกิดแต่อธิษฐานทั้งหลาย ของอันเป็นสิ่งธาตุวิเศษทั้งหลาย ของอันเป็นทิพย์ทั้งหลาย ก็ย่อมมีอันตรธานไปได้ ไม่เว้นแม้แต่พระจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อกาลเวลาหนึ่งนั้นมาถึง เมื่อเหตุผลและปัจจัยเพื่อการกำหนดอยู่ ตั้งอยู่ ดำรงอยู่ของสมมตินั้น ได้แปรเปลี่ยนไปอันตรงกันข้ามกับจิตเมื่อยังมีอวิชชาแล้วไซร้ ย่อมเป็นสิ่งเที่ยงแท้ต่อภพน้อยภพใหญ่ในสังสารวัฏ อย่างไม่มีโอกาสที่จะสิ้นสุดยุติกันลงได้โดยไม่ต้องสงสัย ความคิดนี้เป็นทิฏฐุปาทานหรือไม่ ?
ตอบ : ตราบใดที่ยังเข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้า ทุกคนย่อมมีทิฏฐุปาทานทั้งนั้น ต่อให้ไปจำคำพูดวิลิศมาหราของพระอริยเจ้ามาก็ไม่ใช่ของเอ็ง...!

เถรี
08-01-2017, 19:22
ถาม : วันนี้ผมฟังเทปธรรมะจากหลวงพ่อวัดท่าซุง เรื่องเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผมฟังแล้วคิดตามที่หลวงพ่อสอนก็เห็นไปตามความจริงที่หลวงพ่อพูดทั้งหมด เช่น บางครั้งจิตและร่างกายก็มีสุข มีทุกข์แล้วก็ไม่สุขไม่ทุกข์ สลับไปสลับมาเป็นธรรมดา พอคิดแบบนี้ผมรู้สึกว่าอารมณ์เบาทันที เหมือนปล่อยวางได้ระดับหนึ่ง แล้วผมก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เหมือนแบบว่า ที่แท้ธรรมะก็เป็นแบบนี้ ไม่ยากอย่างที่คิด

หลังจากนั้นผมก็พิจารณาคำสั่งสอนของหลวงพ่อ และคำสั่งสอนของพระท่านอื่น ๆ แล้วสรุปได้ว่า ถ้าเราไม่รับกิเลสเข้ามาในจิต ด้วยการมีสติหรือรู้สึกตัวตลอดเวลา กิเลสก็ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราตัดเหตุที่จะเกิดความทุกข์ทิ้ง แปลว่าผลความทุกข์ก็จะไม่เกิดแน่นอน แต่ทว่าผมรู้สึกตลอดว่ากิเลสยังวนรอบ ๆ จิตผมอยู่ แต่ผมไม่ได้ให้ความสนใจ ไม่รับเข้ามาในจิต หรือพูดเป็นภาษาง่าย ๆ ว่า "ช่างมัน" แล้วนอกเหนือจากนั้น ปัจจุบันผมรู้สึกว่าจิตผมเร็วมาก แบบเห็นเหตุเห็นผลชัดเจนขึ้น และพยายามมองทุกอย่างให้เป็นเป็นธรรมดาได้ง่ายขึ้น

จากสิ่งที่ผมเล่ามา นี่คืออารมณ์ของสังขารุเปกขาญาณหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยังไม่ใช่สังขารุเปกขาญาณ คือ ความสามารถในการหยุดการปรุงแต่งทั้งหมดจนกิเลสเกิดไม่ได้ โปรดระมัดระวังเป็นที่สุด ไม่ใช่เฉพาะผู้ถาม หมายถึงพวกเราทุกคนด้วย ความรู้แค่หางอึ่งของพวกเรา พอเวลาคลำไปเจออะไรนิดหนึ่ง ก็อ๋อ...ความรู้ของพระพุทธเจ้าก็แค่นี้เอง เหมือนกับเอาหิ่งห้อยไปเทียบกับดวงอาทิตย์ แล้วก็บอกว่าดวงอาทิตย์สว่างแค่นี้ โปรดระมัดระวังว่าจะกลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยไปโดยไม่รู้ตัว

คนเราเข้าถึงธรรมตรงจุดไหน ก็มักจะคิดว่าตรงนั้นดีแล้ว ใช่แล้ว ถูกแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะดีแค่นั้น ใช่แค่นั้น ถูกแค่นั้น เมื่อก้าวเข้าไปสู่ความละเอียดมากกว่านั้น สิ่งที่ใช่กว่านั้น ดีกว่านั้น ถูกกว่านั้นก็จะมีอีก แล้วเราก็จะไปยึดตรงนั้นอีก ว่าตรงนี้ใช่แล้ว ดีแล้ว ถูกแล้วอีก เพราะฉะนั้น...โปรดระมัดระวังหน่อย แม้แต่การใช้คำพูดหรือความคิดของเรา ก็อาจจะปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว

เถรี
08-01-2017, 19:59
ถาม : จากที่ผมเล่ามาทำให้ผมมั่นใจว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ยาก ทุกคนสามารถทำได้ถ้าตั้งใจจริง บวกกับก่อนหน้านี้เคยทำสมาธิแล้วได้ฌานสมาบัติ แต่ก็เสื่อมไป แต่ว่ารสชาติของฌานสมาบัติยังอยู่ในใจผมไม่หายไปไหนเลย ปัจจุบันก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจ เพื่อจะทรงฌานสมาบัติเพื่อความสุขของผม

แต่ทว่าตัวผมอายุยังแค่ ๒๐ ก็ยังอยากดูหนัง อยากมีแฟน เล่นเกม เหมือนปุถุชนปกติ แล้วเวลาผมเล่นเกม ผมก็เอาความรู้ทางพระพุทธศาสนามาปรับใช้ในการเล่นเกม เช่น เวลาเล่นเกมผมก็เอาสติ สมาธิ ปัญญา ควบคุมให้จิตผมโฟกัสกับการเล่นเกมและเอาตัวปัญญา หาวิธีที่จะชนะคู่ต่อสู้ เลยอยากถามหลวงพ่อครับว่า การที่ผมเอากำลัง สติ สมาธิ ปัญญา และความรู้ของพระศาสนามาพลิกแพลงใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเช่นเล่นเกมตามที่กล่าวมา เป็นลักษณะฌานใช้งาน หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : กำลังจะหานรกใส่ตัว..! เอาของราคาประมาณไม่ได้มาใช้แค่สลึงเดียว แถมยังคิดว่าตัวเองใช้ได้ไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย

สติ สมาธิ ปัญญา ท่านให้ใช้ไปในกายของตน รู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง แล้วก็ลด ละ เลิก ในการยึดเกาะร่างกายนี้ เมื่อเลิกยึดเกาะร่างกายนี้ ก็ไม่ยึดเกาะร่างกายคนอื่น เมื่อไม่ยึดเกาะกระทั่งร่างกายของตนเองและร่างกายของคนอื่น ก็ไม่เกาะยึดในโลกนี้ด้วย แหม...แล้วก็บอกมาอย่างดีเลยว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณแล้ว...!

เถรี
08-01-2017, 20:11
ถาม : การที่จะเก่งในการเข้าออกฌานต่าง ๆ ได้ ต้องจำอารมณ์ฌานระดับต่าง ๆ ให้แม่น แล้วก็นึกจะเข้าฌานนี้ฌานนั้นใช่หรือเปล่าครับ ? ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อช่วยอธิบายทีครับ
ตอบ : ไม่ใช่ เป็นการเข้าสู่ฌานนั้น ๆ และออกจากฌานนั้น ๆ ได้ทุกเวลาที่ต้องการ เกิดจากการซักซ้อมอย่างแท้จริง ไม่ใช่จำเอามาพูด

เถรี
08-01-2017, 20:25
ถาม : ผมมีความสนใจเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ เลยสงสัยว่าพระโพธิสัตว์บางชาติท่านทำบุญกับพระพุทธศาสนาอย่างมาก มีความดีมาก แต่บางชาติท่านดันไม่เคารพพระพุทธเจ้า ยกตัวอย่างเช่น โตไทยพราหมณ์เกิดในยุคพุทธกาล แต่ดันไปลบหลู่พระพุทธเจ้า พอท่านตายแล้วไปเป็นสุนัข จากสุนัขก็ดิ่งลงอเวจีเลย ผมเลยคิดว่าท่านต้องโดนอกุศลธรรมอะไรบางอย่างครอบงำจิต ผมเลยอยากทราบว่าพอจะมีวิธีหรือธรรมอะไรไหมครับ ที่จะทำให้พระโพธิสัตว์ท่าน เกิดสลับไปสลับมาระหว่างสวรรค์ พรหม และมนุษย์ ?
ตอบ : ยังไม่มีใครทำได้ เพราะพระโพธิสัตว์ไม่ใช่พระอริยเจ้า ยังมีโอกาสลงนรกร้อยเปอร์เซ็นต์

เถรี
08-01-2017, 20:26
ถาม : กระผมได้เช่าผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามมาจากบ้านสายลม แต่มีกังวลอยู่หน่อยหนึ่งคือ กระผมพับผ้ายันต์ใส่กระเป๋าสตางค์ โดยกระเป๋าสตางค์นั้นใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหน้าและกระผมไม่ได้นั่งทับ กระผมทำแบบนี้จะผิดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่ได้นั่งทับก็ยังไม่ผิด แต่ถ้าจะให้ดีก็เลี่ยมแขวนคอ หรือพับใส่กระเป๋าเสื้อจะดีกว่า

เถรี
08-01-2017, 20:31
ถาม : มีหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือศพที่ตายผิดธรรมชาติ เช่น รถชนตาย ถูกทำร้ายตาย นอนหลับตาย จมน้ำตาย ตายไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น ควรจะวางกำลังใจอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดโทษกับผู้ที่ทำการพิมพ์ลายนิ้วมือศพ และควรใช้พระเครื่องวัตถุมงคลอะไรติดตัวครับ ?
ตอบ : ควรจะวางกำลังใจอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดโทษ ? น่าจะถามว่า ควรจะวางกำลังใจอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์มากกว่า ให้วางกำลังใจว่า "เดี๋ยวกูก็ตายเหมือนมึงแล้ว ตอนนี้มึงอย่าเพิ่งมายุ่งกับกูก็แล้วกัน...!" ส่วนพระเครื่องมั่นใจอะไรก็ใช้อย่างนั้นแหละ

เถรี
08-01-2017, 20:35
ถาม : หากเราต้องสอบเก็บคะแนน เพื่อนำคะแนนไปยื่นแข่งขันสมัครเข้าทำงานหรือเรียนต่อ เราสามารถใช้ฤกษ์ยามของฤกษ์พรหมประสิทธิ์ เพื่อเลือกวันไปสอบได้หรือเปล่าครับ ? และควรเลือกฤกษ์ที่เป็นชัยโชคใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เลือกฤกษ์อะไรก็ได้ ถ้าไม่อ่านหนังสือก็สอบตกพอกัน...!

ถาม : ในเรื่องของดวงไทย การสอบแข่งขันจะดีก็ต่อเมื่อดาวพฤหัสบดีอยู่ในตำแหน่งที่ดีและให้คุณแก่บุคคล แต่ดาวจะอยู่ในลักษณะให้คุณแต่เพียงช่วงเดียว หากพ้นกำหนดนั้นไปแล้ว จะมีวิธีอื่นที่ช่วยเรื่องการสอบแข่งขันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยึดติดอะไรมากไปก็เป็นโทษมากกว่าประโยชน์ ผู้รู้ท่านบอกว่า ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน เพราะฉะนั้น...อะไรที่เขาบอกว่าไม่ได้ ถ้าเราจะเอาเสียอย่างก็ได้เองแหละ

เถรี
08-01-2017, 20:36
ถาม : ในการทำงาน ทั้งรับราชการและทำงานบริษัทเอกชน หากต้องการแข่งขันเพื่อจะได้รับเลือกให้ได้เลื่อนตำแหน่งในอนาคต เช่น ๑ ปีหน้า เป็นต้น ควรทำอะไรและทำบุญแบบไหนจึงจะได้ผลดีครับ ?
ตอบ : เรื่องบุญเก็บไว้ก่อน ทุ่มเทกับงานให้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็น่าจะได้แล้ว

เถรี
08-01-2017, 20:38
ถาม : หากเราจะนำภาพพระมาจำเริญด้วยไฟ จำเป็นต้องเตรียมเครื่องบูชาใด ๆ หรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : จุดธูปเทียนบอกกล่าวขอขมาให้เรียบร้อยแล้วค่อยทำ และอย่าทะลึ่งถ่ายคลิปไว้ เพราะโอกาสติดคุกมีสูง..!

ถาม : และสามารถนำผงขี้เถ้าไปหล่อหรือปั้นพระต่อได้หรือไม่เจ้าคะ ?
ตอบ : ได้

เถรี
08-01-2017, 20:41
ถาม : หนูเป็นคนที่ปีติน้ำตาไหลได้ง่าย โดยเฉพาะเวลาเห็นรูปพระ คราวนี้เวลาที่หนูพิจารณาธรรมตามที่หลวงพ่อสอน ยังไม่ทันจะถึงไหนก็น้ำตาไหลทำให้ไม่ได้พิจารณาต่อ จึงขอเรียนถามว่าหนูควรจะแก้ไขหรือวางกำลังใจอย่างไรจึงจะเหมาะสมคะ ?
ตอบ : ร้องไห้ไปพิจารณาไป เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ตัวปีติต้องปล่อยให้ขึ้นเต็มที่จึงจะก้าวข้ามไปได้ ถ้ามัวแต่กลัวมัวแต่อายอยู่ ก็ไม่ต้องไปไหนเสียที ฉะนั้น...มีวิธีเดียวคือปล่อยให้เต็มที่ไปเลย หมดเมื่อไรก็เลิกไปเอง

เถรี
08-01-2017, 20:44
ถาม : ตะกรุดมหาสะท้อนของหลวงพ่อเล็ก มีผลกับคนที่ยืมเงินเราไปแล้วไม่คืนไหมครับ ?
ตอบ : ก็น่าจะมีนะ คือเขาไม่คืนเลย เพราะสะท้อนกลับไปหาเขาตลอดเวลา...!

เถรี
08-01-2017, 20:46
ถาม : ถ้าเราเห็นสตรีนางหนึ่งสวยเป็นที่ถูกใจและรักขึ้นมา อยากถามว่าความรู้สึกถูกใจและความรักนั้นเป็นอาการของเจตสิกที่ปรุงแต่งขึ้นมาใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ยิ่งกว่าใช่อีก..!

เถรี
08-01-2017, 20:48
ถาม : หากเรามีกรรมเกี่ยวกับการสร้างบ้านหรืออาคารต่าง ๆ ทำให้สร้างบ้านไม่สำเร็จ การสร้างเป็นไปอย่างล่าช้า และโดนโกงในการก่อสร้าง เช่น ใช้สีคุณภาพต่ำ เป็นต้น จะสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการใดครับ ?
ตอบ : ทำสัญญาระบุทุกอย่างให้ชัดเจน ถ้าหากส่งงานไม่ได้ตามกำหนดจะต้องปรับวันละเท่าไร ใส่ลงไปให้ชัดเลย

เถรี
08-01-2017, 20:55
ถาม : หากเรามีกรรมเกี่ยวกับรถยนต์ อันทำให้รถเราถูกเฉี่ยวชนอยู่เสมอ แม้จะจอดไว้เฉย ๆ ทำให้รถมีรอยตำหนิอยู่รอบคัน และไม่สามารถหาผู้ที่เฉี่ยวชนได้ ผลกรรมนี้เกิดจากอะไร ? และสามารถแก้ไขได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ในอดีตให้สิ่งที่ใช้แล้วแก่คนอื่นเสมอ ถึงเวลาตัวเองเลยใช้ของใหม่ไม่ได้ ถ้าจะแก้ไขก็ให้ทำในลักษณะที่หาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้อื่นหรือมอบถวายพระไป ถ้าเกิดใหม่ก็จะได้ของใหม่ ๆ กับเขาบ้าง

เถรี
08-01-2017, 21:05
ถาม : ผมได้เคยบวชพระเป็นเวลาประมาน ๑๓ วัน และก่อนจะสึกออกมาได้ทำการปลงอาบัติครั้งหนึ่ง แต่เมื่อสึกออกมาแล้วทบทวนศีลดู ก็มีความกังวลใจอยู่ว่า อาจจะต้องอาบัติสังฆาทิเสส ในข้อพูดเกี้ยวพาราสีสตรี เนื่องจากในระหว่างบวชมีการโทรศัพท์พูดคุยกับแฟนอยู่เป็นประจำ เนื้อหามีใจความเช่น สึกออกไปแล้วจะไปเที่ยวกัน จึงขอกราบเรียนถามว่า หากผมต้องอาบัติแล้วสึกออกมา ตายไปจะต้องตกนรกเลยหรือยังมีโอกาสไปเกิดในสุคติภูมิครับ ?
ตอบ : ถ้าหากจิตใจเศร้าหมอง กังวลอยู่แต่เรื่องนี้ก็ไม่รอด ถ้าเป็นไปได้ให้บวชกลับเข้าไปใหม่ แล้วแก้อาบัติเสียก่อน

ถาม : ผมยังมีโอกาสปฏิบัติเพื่อมรรคผลอยู่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าไปแก้ให้เสร็จ จะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำเสียที ไม่อย่างนั้นก็กังวลอยู่นั่นแหละ

เถรี
08-01-2017, 21:11
ถาม : เวลาที่ผมจับภาพพระขณะลืมตา คือทำกิจกรรมต่าง ๆ ไป แล้วจับภาพพระไปด้วย ผมจะเห็นภาพพระชัดเจน แต่พอตอนที่จะหลับตาเพื่อทำสมาธิอย่างจริงจังแบบคนอื่น ภาพพระที่ผมจับได้ตอนหลับตากลับเป็นแค่เงาลาง ๆ แค่มองเป็นรูปเป็นร่างพระพุทธรูป ไม่สว่าง ไม่ชัดเจน จะทำอย่างไรให้ภาพพระในขณะที่หลับตาทำสมาธิสว่างสดใสชัดเจนเหมือนตอนที่ลืมตาทำกิจกรรมต่าง ๆ ไป แล้วจับภาพพระไปด้วย ?
ตอบ : รู้อยู่ว่าลืมตาชัดแล้วดันทะลึ่งไปหลับตา พอหลับตาก็ดันไม่รู้อีกว่าทำไมไม่ชัด กลับไปสังเกตเสียใหม่ว่า ตอนเวลาเราลืมตาทำงาน กำลังใจของเราไม่ได้ปักมั่นจนเกินไป แต่ตอนหลับตา เราตั้งหน้าตั้งตาจะไปเอาความชัดเจน จนใจกลายเป็นฟุ้งซ่านไป ไม่นิ่งเหมือนกับตอนลืมตา ก็แค่ทำใจให้เหมือนกับตอนลืมตาก็จบแล้ว

เถรี
08-01-2017, 21:14
ถาม : การที่ผมอยากมีคู่ครองไว้เป็นเพื่อนคู่ชีวิต โดยที่ผมไม่ชอบเรื่องการมีเซ็กซ์ ความหลงตัวนี้ จะปราบมันอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ตายแล้วไปเกิดใหม่ซะ...! ไม่ได้ต้องการมีเซ็กซ์แล้วจะมีคู่ครองไปทำเกลืออะไร...!

ถาม : การที่ผมไม่ชอบเรื่องการมีเซ็กซ์ มันเป็นกิเลสซ้อนกิเลสที่ปราบยากกว่ากิเลสของคนอื่น ๆ มันมาสองชั้นแบบนี้ เริ่มแก้จากตรงไหนก่อนดีครับ ?
ตอบ : เข้าสมาธิให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ แล้วพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงในร่างกายของเราว่ามีสภาพอย่างไร ตัวเราเป็นอย่างไรคนอื่นก็เป็นอย่างนั้น ถ้าหากเห็นความจริงหมดแล้วยังอยากมีอีกก็แสดงว่าเก่งเกินกว่าพระพุทธเจ้า..!

เถรี
08-01-2017, 21:22
ถาม : ถ้าผมมั่นคงในการภาวนาและเจริญพระกรรมฐาน และถือศีล ๘ ทุกวันพระ ทำสังฆทานและมีศีล ๕ เป็นปกติ อย่างนี้จะเปลี่ยนดวงชะตาของผมที่อาภัพคู่ครอง ชีวิตนี้ทำอย่างอื่นไม่ดีเลย ต้องบวชพระอย่างเดียว ให้ชีวิตฆราวาสของผมดีขึ้น และมีชีวิตที่เป็นปกติเหมือนคนทั่วไปได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : รู้ได้อย่างไรวะ ? ใครบอก ? วิธีที่ดีที่สุดคือแก้สันดานตัวเองซะ...! ไม่รู้หรอกหรือว่าสันดานตัวเองทำให้ผู้หญิงไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่ใช่ไปแก้ไขในเรื่องอื่น

เหมือนอีกคนที่อาตมารู้จัก เจ้านั่นหน้าตาก็ดี ฐานะก็ดี แต่หาผู้หญิงเป็นคู่ไม่ได้สักคน ตอนหลังอาตมาถึงรู้ว่า นิสัยอย่างเขาชาตินี้ก็หาไม่ได้หรอก เพราะเขาชอบใครก็เอารถไปจอดเทียบแล้วก็บอกว่า "ขึ้นมา จะไปส่ง...!" เป็นเราจะไปกับเขาไหม ?

เถรี
08-01-2017, 21:28
ถาม : ความคิดสงสารสัตว์น้อยใหญ่ที่วนเกิดเวียนตายอยู่ในวัฏสงสารจนตัวเองยังอยากอยู่เพื่อคอยสงเคราะห์สรรพสัตว์ที่ยังไม่รู้ ยังทุกข์อีกมากมายต่อไป นี่คือผมหลงผิดไปใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้หลงผิดอย่างเดียว หลงไกลมากเลย แสดงว่าสงสารทุกชีวิตแต่ลืมสงสารตัวเอง...!

ถาม : รู้สึกเสียดายในสิ่งดี ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงทำเพื่อสรรพสัตว์ กลัวว่าจะหายไป กลัวว่าจะไม่มีผู้สืบทอดต่อ ก็เลยอยากสืบทอดต่อในสิ่งดี ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านทำเพื่อสัตว์ทั้งหลายต่อไป ความรู้สึกนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่ควรจะทำต่อไป แต่อาตมาไม่ไปด้วยแล้ว..!

ถาม : พุทธภูมิบารมีแค่ระดับผมมีอีกเยอะแยะ ใคร ๆ ก็ทำได้ไม่ยาก ผมเข้าใจถูกแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถูกแล้วครับ เอ็งเป็นแค่เศษฝุ่นในจักรวาลเท่านั้นแหละ

ถาม : หลายครั้งที่ผ่านมาในการตั้งใจลาพุทธภูมิของผม เมื่อตั้งใจจะลา ใจของผมชอบไปโผล่อยู่ตรงหน้าสมเด็จองค์ปฐม พอเห็นพระพักตร์ของพระองค์ท่านยิ้มให้ กำลังใจที่ตั้งใจว่าจะลาก็พังหมดทันที จะลาครั้งใดพอพระองค์ท่านเสด็จมา ผมก็ใจอ่อนลาไม่ได้ทุกที อย่างนี้จะทำอย่างไรให้ผมลาพุทธภูมิได้สำเร็จเด็ดขาดได้ครับ ?
ตอบ : ชีวิตนี้คงทำอะไรให้สำเร็จไม่ได้สักเรื่องหรอก เพราะไม่เด็ดขาดสักเรื่อง ถึงเวลาก็ใจอ่อนทุกที

ถาม : เป็นไปได้ไหมครับ ที่จะโดนพระบนพระนิพพานด่าว่าเอา ? พอดีว่าผมโดนหลายทีเลยชักสงสัยแล้วครับ ?
ตอบ : อย่าเอากิเลสตัวเองไปรวมกับพระท่าน ที่ท่านด่าเพราะว่า กาย วาจา ใจ ของคุณยังห่วยแตก..!

เถรี
08-01-2017, 21:32
ถาม : วันนี้ผมเอากับข้าวเพลไปถวายวัดหนึ่งที่ภาคใต้ ซึ่งถวายเป็นประจำ ปกติผมจะไปเป็นหมู่คณะใหญ่ วันนี้มาคนเดียว ปรากฏว่าแม่ครัวที่วัดด่า บอกว่า "ช่วงนี้ที่วัดพระฉันเจ เอากลับไปให้หมดเลยนะ" ผมคิดว่ามาถึงวัดแล้วควรได้ถวายพระ แต่แม่ครัวไม่ยอม บอกว่า "ไม่เอา...เอาไปทิ้งให้หมด" ผมเลยเอากับข้าวนั้นให้คนงานในวัดแทน ไม่ทราบว่า ผมเป็นหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับเพราะมาถึงวัดแล้วไม่ได้ถวายพระ ?
ตอบ : คราวหน้าไม่ต้องไปถึงปักษ์ใต้ ไปแค่วัดท่าขนุนก็พอ...! ต่อไปก็อย่าได้ไปวัดนั้นอีก ความจริงไม่ใช่ความผิดของพระท่าน แต่เป็นความโง่ของแม่ครัว จำเอาไว้ว่า ตราบใดที่พระยังไม่ได้รับและอนุโมทนา ของที่เอาไปถวายพระยังเป็นของเราอยู่ เพราะฉะนั้น...ในเมื่อเป็นของเรา จะให้ใครก็อยู่ที่เราเอง

เถรี
08-01-2017, 21:41
ถาม : ถ้าเราบนอะไรกับองค์ในหลวง เราควรจะแก้บนด้วยอะไรดีครับ ?
ตอบ : แก้บนด้วยการทำโครงการให้ได้สี่พันกว่าโครงการในชีวิตแบบพระองค์ท่าน...!

ถาม : อาหารที่ท่านชอบคืออะไรครับ ? จะได้บูชาท่านได้ถูกครับ
ตอบ : น่าจะต้องไปถามในวังนะ...!

ถาม : การบูชาในหลวงรัชกาลที่ ๙ มีอานิสงส์ประการใดครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าบูชาแบบไหน ถ้าบูชาสักแต่ว่ากราบ สักแต่ว่าไหว้ ก็ไม่ค่อยได้อะไร แต่ถ้าพระองค์ท่านมีพระราชดำรัสหรือปฏิปทาแบบใด แล้ว เราพยายามทำตามนั้น เราก็จะได้อานิสงส์แบบนั้น

ถาม : สำหรับบุคคลที่เคารพรักในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตั้งใจกราบไหว้บูชาท่าน แต่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ อานิสงส์นี้เป็นปัจจัยให้เขาเข้าถึงสวรรค์ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเขายึดหลักธรรมคำสอนของพระองค์ท่านไปปฏิบัติหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ยึดโอกาสพลาดก็มีสูง

เถรี
08-01-2017, 21:45
ถาม : หากเราเปิดบัญชีเพื่องานบุญรับสมัครบัตรเอทีเอ็ม เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน ทุก ๆ ปีทางธนาคารจะหักค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็ม ในส่วนค่าธรรมเนียมนี้เราต้องเติมกลับเข้าไปในบัญชีหรือไม่ครับ ?
ตอบ : สมควรต้องเติมเข้าไป เพราะคนเขาโอนเงินมาทำบุญ ไม่ได้โอนเงินมาเป็นค่าบัตร

ถาม : ถ้าไม่เติมจะโดนโทษเรื่องย้ายเจดีย์ไหมคะ ?
ตอบ : โดนโทษเรื่องขโมยเงินสงฆ์ หนักกว่าย้ายเจดีย์หลายเท่า..!

เถรี
10-01-2017, 09:13
หลายคนยังสับสนในชีวิตอยู่ ส่วนใหญ่เป็นคำถามที่คิดว่า คาดว่า จะเป็นอย่างนั้นแล้วก็ถามขึ้นมา ประเภทภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว หลับแล้วไปฝันฟุ้งซ่านเลยกลัวตกนรก ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวหลับไปจะไม่ฝัน มีโอกาสอย่างเดียวคือเห็นนิมิตบอกเหตุเท่านั้น

ส่วนใหญ่คำถามมักจะไปในทางฟุ้งซ่านหรืออวดตัวเอง ขอบอกกับญาติโยมที่ตั้งคำถามในเว็บวัดท่าขนุนว่าไม่ต้องอวดตัวเอง อาตมาไม่เคยสนับสนุน มีแต่กระทืบซ้ำ...! บางสิ่งบางอย่างเป็นการเข้าใจผิดของเรา แล้วไประบุว่าหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามีแค่นี้ ใช่แค่นี้ ถูกแค่นี้ ขอเตือนย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าอันตรายมาก เพราะถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นลักษณะนั้นจะปิดมรรคปิดผลของตัวเองไปเลย พอหาเงินได้ ๓๐๐ บาทเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำ แล้วไปบอกว่าคุณทักษิณมีเงินเท่ากับตัวเอง ลองคิดดูว่าใช่ไหม ?

เถรี
10-01-2017, 09:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนมีนาคมอาตมาจะไปงานวางศิลาฤกษ์ที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ของหลวงพ่อนิล อยู่ที่จังหวัดสกลนคร ถ้าจำไม่ผิดก็วันที่ ๑๒ มีนาคม ถ้าใครจะไปร่วมบุญก็ทำตัวให้ว่างแต่เนิ่น ๆ อาตมาจะขี่เครื่องบินไป แหม...นึกว่าจะชวนไปด้วย

เพียงแต่จะบอกว่า ถ้าพวกเราจะไปก็เคลียร์งานกันแต่เนิ่น ๆ ไปช่วยกันสร้างสถานที่ ซึ่งจะเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในพระพุทธศาสนา เอาไว้ให้เพื่อนพ้องน้องพี่ของเราได้อาศัยเป็นเนื้อนาบุญกันอีกแห่งหนึ่ง แล้วปลายปีช่วงกฐินปลดหนี้ วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๐ ไปพบกันที่นั่นอีกหนึ่งครั้ง แปลว่าถ้าใครไปปีนี้อย่างน้อยต้องไป ๒ ครั้ง หลังจากนั้นก็อย่าทิ้งเลย แวะเวียนผ่านไปก็เข้าไปดูความก้าวหน้ากันบ้าง"

เถรี
10-01-2017, 15:22
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกำลังศึกษาหาความรู้ในพระพุทธศาสนา ท่านข้องใจว่าทานบารมีเต็มอย่างไร ? จึงกราบทูลถามพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าต่อให้เอาของมาเต็มทั้งโลก ถ้าคนยังไม่พอใจก็ไม่เต็ม เพราะฉะนั้นมีอยู่อย่างเดียวก็คือต้องเต็มที่ใจตัวเอง ถ้ากำลังใจของเราเต็มเมื่อไร บารมีก็เต็มเมื่อนั้น เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องยกสังฆทานถวาย ๕ ครั้ง ๑๐ ครั้ง ถ้าเรารู้อยู่ว่าจะทำบุญสักเท่าไรก็ทำไปทีเดียวเลย เพราะบุญนั้นแค่คิดจะทำก็ได้แล้ว"

เถรี
10-01-2017, 15:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องน้ำท่วมที่อาตมาเคยบอกไว้นานแล้ว มาช้าไปหน่อยหนึ่ง ตอนนี้ท่วมรอบสอง...หนักกว่าเดิม แต่อาตมาก็ยังยืนยันว่านี่แค่น้ำจิ้ม ส่วนอาหารจานหลักจะมาเมื่อไร...ให้รอดูไป ไม่รู้ว่าปีนี้หรือปีหน้า บางทีแผ่นดินสกปรกมาก ก็ต้องให้แม่คงคาช่วยล้างออกไปบ้าง

พวกเราก็ภาวนาคาถาควบกับขุนแผนเกราะเพชรไปก็แล้วกัน ท่านสั่งเอาไว้ว่าถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะปลอดภัย ของทุกอย่างเป็นของนอกกาย ถ้าชีวิตรอดก็สามารถหาใหม่ได้ ตามที่ท่านบอกเอาไว้ว่า เรื่องของภัยพิบัติเกิดจากกรรมใหญ่ที่คนสร้างเอาไว้รวมกัน ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ แม้ว่าจะชะลอให้ช้าลงบ้าง แต่ท้ายที่สุดก็ยังเกิดอยู่ดี

ในส่วนนี้ก็ต้องบอกว่าพยายามช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปตามกำลังของตน เดี๋ยวอาตมาก็จะไปแจ้งท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ให้ท่านเป็นหัวแรงรับบริจาคช่วยน้ำท่วมปักษ์ใต้ แล้วทางวัดท่าขนุนก็จะเปิดคลังไปช่วย ตัวเองหมดไม่เป็นไร ให้คนลำบากเขาอยู่ได้ก่อน"

เถรี
10-01-2017, 15:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "บรรดาหนุ่ม ๆ ที่จะสมัครบวชพระถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ นี่ถือว่าเป็นวาระสุดท้ายแล้ว รีบสมัครด่วนเลย ต่อไปโครงการประเภททำอะไรเพื่อทดแทนพระองค์ท่านก็คงจะไม่มีอีกแล้ว ใครที่บวชแล้วจะบวชอีกก็ยินดีรับ ส่วนใครที่ยังไม่เคยบวชถวายพระองค์ท่าน ขอแค่ ๙ วัน เชื่อเถอะ...ไม่ถึงตายหรอก..!"

เถรี
10-01-2017, 15:43
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของรถตู้เป็นการแก้ไขปัญหาการขนส่งโดยมองเห็นช่องว่างของ บขส. และรถทัวร์ที่วิ่งช้า ก็เลยเกิดการขนส่งแบบรถตู้ขึ้นมา แต่ความผิดพลาดทั้งปวงนั้น จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าอยู่ที่รัฐบาล เพราะว่าการขนส่งที่ปลอดภัยที่สุดคือการขนส่งทางราง ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งบุคคลหรือว่าสินค้า

ฉะนั้น...ควรที่จะลงทุนในเรื่องของรถไฟ แต่กลับไม่ค่อยมีใครขยับกัน พอมีรัฐบาลที่เขามีวิสัยทัศน์ จะสร้างการขนส่งทางรางโดยเฉพาะรถไฟฟ้าความเร็วสูง ก็ปรากฏว่าบุคคลที่มีอคติและวิสัยทัศน์คับแคบก็บอกว่า ควรที่จะทำให้ถนนลูกรังหมดไปเสียก่อน บุคคลนี้จะเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ไปอีกนานแสนนาน เพราะกล่าวอมตะวาจาที่โง่สุด ๆ ออกมา หลังจากนี้พอถึงเวลาจะไปลงทุน ก็กลายเป็นว่ามีแต่แพงขึ้นไปตามระยะและเวลา

แบบเดียวกับสนามบินหนองงูเห่า เริ่มเจรจาจะสร้างสนามบินหนองงูเห่ากันตั้งแต่สมัยอาตมายังเรียนชั้นประถมอยู่เลย ตอนนั้นราคาสูงมากคือ ๕ พันล้านบาท สมัยนี้ ๕ พันล้านบาทไม่พอให้เขาเสียบซอกฟัน แล้วสนามบินสุวรรณภูมิก็มาเสร็จลงในระดับราคาเป็นแสน ๆ ล้าน ก็เพราะมีการเตะสกัดกันมาทุกรูปแบบ"

เถรี
10-01-2017, 15:45
"แต่สมัยก่อนนั้นเป็นเพราะว่า เพื่อนบ้านกลัวเราจะก้าวหน้ากว่า พอถึงเวลามีข่าวว่าจะสร้างสนามบิน ก็จะมาติดสินบนนักการเมือง เพื่อให้ยกเลิกโครงการนี้ ทำให้เราก้าวหน้าไม่ทันใคร

อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องการขุดคอคอดกระ จากจำนวนเงินระดับพันล้าน ตอนนี้ถ้าลงทุนน่าจะเป็นระดับล้าน ๆ แล้ว แต่ถ้าลงทุนแล้วจะคุ้มค่ามาก เพียงแต่ว่าแหลมมลายูทางด้านล่างนี้แทบจะโดนทิ้งไปเลย เพราะทุกคนก็จะมาผ่านทางคอคอดกระแทน เนื่องจากประหยัดระยะเวลาไปได้เป็นเดือน ที่มีการกล่าวกันว่า ถ้าขุดแล้วจะทำให้แบ่งแยกดินแดน เป็นความคิดของพวกปัญญานิ่ม มีกะโหลกเอาไว้คั่นใบหูเท่านั้น ไม่ได้มีไว้ใส่สมอง...!

ถ้ากลัวจะเป็นการแบ่งแยกดินแดน คุณทำเสร็จแล้วก็ทำถนนสัก ๑๒ เลนวิ่งข้ามไปข้ามมา ๗-๘ สาย แล้วก็มุดลอดใต้ดินอีกสัก ๘ อุโมงค์ จะไปแยกดินแดนอีท่าไหน เพียงแต่ว่าผลประโยชน์ทั้งหลายเหล่านี้ ถึงเวลาแล้วไม่ตกถึงมือเขา ไปตกถึงคนอื่นก็ต้องมีการขัดขวางกัน"

เถรี
10-01-2017, 15:47
"รัฐบาลก่อนโน้นตั้งใจจะลงทุนก็เตะสกัดกันสุดชีวิต บอกว่าจะต้องเป็นหนี้ไป ๗ ชั่วโคตร ปรากฏว่าพอรัฐบาลใหม่ลงทุนหนักกว่า ไม่เห็นมีใครมาโวยวายว่าเป็นหนี้...

ฉะนั้น...เราจะเห็นว่าในเรื่องของการเมืองนั้นไม่ได้อยู่ที่ระบอบ จะเป็นเผด็จการหรือระบอบประชาธิปไตยก็ตาม สำคัญที่สุดก็คือต้องมีหลักธรรมเป็นเครื่องควบคุมระบอบนั้น ถ้าไม่มีหลักธรรมเป็นเครื่องควบคุมระบอบ ประชาธิปไตยก็กลายเป็นพวกมากลากไป ขณะเดียวกันเผด็จการก็จะกลายเป็นบ้าอำนาจ

ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าถึงไม่ได้ตรัสสรรเสริญระบอบการปกครองแบบไหนไว้เลย หากแต่มอบหลักธรรมไว้ให้กับระบบนั้น ๆ ถ้าเป็นระบอบกษัตริย์ก็ต้องมีทศพิธราชธรรม ถ้าเป็นระบอบสามัคคีธรรมก็ต้องมีอปริหานิยธรรม เป็นต้น ฉะนั้น...เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วธรรมาธิปไตยจึงจะเหมาะสมที่สุด"

เถรี
10-01-2017, 15:49
ถาม : ท่านปู่ท้าวมหาพรหมชินปัญชระสั่งหนูไว้ว่า ห้ามขุดคอคอดกระอย่างเด็ดขาด ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสั่งหนูไว้ หนูก็ต้องไปบอกรัฐบาล แต่อาตมาอยากให้ขุดวันนี้พรุ่งนี้เลย เพราะว่าขุดคอคอดกระเมื่อไร การลงทุนเกี่ยวกับน้ำมันของประเทศเราจะปรากฏขึ้นทันที

เถรี
10-01-2017, 17:17
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณชยาคมน์เป็นคนมีความสม่ำเสมอมาก เฉพาะเรื่องของบ้านเติมบุญนี้ทุ่มเทมาหลายเดือน ต้องบอกว่าทำงานหนักเกินกำลัง แต่ไม่เห็นยุบเลย สามารถรักษาน้ำหนักได้อย่างสม่ำเสมอมาก"

เถรี
10-01-2017, 17:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเดินทางไกลขึ้นบ้าง ? หรือว่าส่วนใหญ่ใกล้ขึ้น ? ปกติก็ไม่ค่อยได้อยู่กรุงเทพฯ กันอยู่แล้ว...ใช่ไหม ? อาตมาขอยืนยันว่าบ้านวิริยบารมีไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ นะ แต่อยู่ธนบุรี กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวง ธนบุรีเป็นเมืองหลวง แต่หลังจากที่ความเจริญไล่มาใกล้เคียงกัน เขาก็ยุบกรุงเทพฯ กับธนบุรีรวมกัน มีอยู่ระยะหนึ่งประมาณปีกว่า ๆ ใช้ชื่อว่านครหลวงกรุงเทพธนบุรี ปรากฏว่าชื่ออาจจะยาวไป ภายหลังเลยเปลี่ยนใหม่เป็นกรุงเทพมหานคร

ฉะนั้น...ถ้าใครเกิดทันรุ่นนครหลวงกรุงเทพธนบุรีก็โปรดทราบว่า แก่พอกับอาตมานี่แหละ ต้องรีบไม่รู้...ใช่ไหม ? ก่อนหน้านั้นเป็นจังหวัดธนบุรีกับกรุงเทพฯ ตอนนี้ความเจริญก้าวออกมาเรื่อย

เราอยู่นนทบุรีนะ ชายขอบเลยด้วย แต่ความรู้สึกก็ยังรู้สึกเหมือนกับอยู่กรุงเทพฯ เพราะว่า Central West gate อยู่เลยตรงนี้ไปหน่อย ๓ สถานีรถไฟเอง ใครยังไม่เคยไป West gate ก็ไปเที่ยวซะ เดินกันให้ขาลากไปเลย เสียดายว่าเขาไม่ให้พระเดินห้าง ไม่อย่างนั้นอาตมาจะลองไปเดินดู West gate คือประตูตะวันตก

แต่บ้านนี้สำหรับอาตมาแล้วใกล้ขึ้นเยอะเลย เพราะว่าจากตรงนี้ก็วิ่งออกทางเส้นบางบัวทอง ไปถึงเส้นตลิ่งชันสุพรรณบุรี ก็เลี้ยวซ้ายเข้าสี่แยกนพวงศ์ ไปไทรน้อย บางเลน กำแพงแสน พนมทวน ก็ถึงกาญจนบุรีแล้ว"

เถรี
10-01-2017, 17:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังรอดูว่าจะมีใครรู้จักของไหม ? ปรากฏว่าล้อมเดชจองทันทีเลย หลวงพ่อกลั่น วัดอินทราวาส ความจริงท่านดังเรื่องปลัดขิกมาก แต่พวกเราส่วนใหญ่แล้วรักเดียวใจเดียว ถึงเวลาเลยไม่รู้จักท่าน"

http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25803&d=1482832810

ปลัดขิก (ตัวครู) หลวงพ่อกลั่น วัดอินทราวาส

เถรี
10-01-2017, 18:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงอาตมาตั้งใจจะเอามีดหมอไปหลอมทำชนวนอีก แต่เสียดายของเพราะว่าหายากจริง ๆ แล้วที่หลอม ๆ ไปก็มีหลายด้ามที่ไม่ยอมละลาย ถ้าพวกเราดูในรายการจะเห็นว่า หลวงปู่หลวงพ่อหลายท่าน ต้องบอกว่าฝีมือก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่าเขาหรอก เพียงแต่ว่าขอขมาแล้วหลอม ท่านยอมก็ละลาย ส่วนบางท่านนี่หลอมให้ตายก็ไม่ละลาย"

เถรี
10-01-2017, 19:07
มีผู้เอาดอกบัวมาผิดประเภท พระอาจารย์กล่าวว่า "มาว่าเรื่องดอกบัวกันใหม่ บัวไทยมีบัวหลวง มีบัวสาย แล้วก็มีบัวผันบัวเผื่อน

บัวหลวงสีขาว คนไทยเรียก ปุณฑริก หรือ ปุณฑริกา บัวหลวงสีแดง คนไทยเราเรียกว่า ปัทมา

ตระกูลบัวสาย บัวสายสีขาว เรียกว่า โกมุท หรือ กมุท บัวสายสีแดง เรียกสัตตบุษย์ หรือ สัตตบรรณ

ตระกูลบัวผันบัวเผื่อน ถ้าสีเหลืองเรียกว่า จงกลนี ถ้าสีน้ำเงิน เรียก นิลุบล หรือ นิโลตบล เฮ้อ...เริ่มรู้แล้วใช่ไหมว่าอะไรเป็นอะไร ? พอแยกไม่ออกก็ไม่รู้ว่าคืออะไร...มั่วไปหมด"

เถรี
11-01-2017, 14:31
พระอาจารย์กล่าวถึงโยมที่มาถวายของขวัญปีใหม่ว่า "เฮียจั๊วเป็นนายช่างที่ทำมณฑปสามยอดในศาลา ๑๐๐ ปี ที่พวกเราเห็นสวยงามอลังการนั่นแหละ ต้องฝีมือระดับอายุ ๗๐-๘๐ อย่างนี้แหละ พวกเราจะเรียกปู่ก็ได้ แต่อาตมาเรียกเฮีย เพราะพี่ชายใหญ่ของอาตมาอายุ ๙๑ ปีแล้ว

ช่างชุดนี้สมัยในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังอยู่ ทรงขอไปซ่อมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เฮียเก็บแบบไว้หรือเปล่า ? อาตมากำลังมองที่อยู่ผืนหนึ่ง ราคาแพงไปหน่อย ๖๐ ล้านบาท แต่ถ้ามีใครเป็นเจ้าภาพอาตมาจะซื้อไว้ แต่อย่าจ่ายมาร้อยเดียวนะ ฆ่าตายเลย...! หมายถึงว่าเจ้าภาพจ่ายมา ๖๐ ล้านบาท อาตมาจะซื้อที่นั่นแหละ แล้วจะสร้างปราสาท ๙ ยอดแบบเมรุในหลวง จะเอาไว้ตั้งพระบรมสารีริกธาตุให้คนบูชา ได้แค่คิดเฉย ๆ ห้ามโมทนา เพราะยังไม่ได้ทำ..!

ตอนนี้ทางวัดท่าขนุนหุ้มทองพระเจดีย์อยู่ ให้เขาทำเป็นทองจังโกทางเหนือ ช่างที่ทำเป็นช่างที่หุ้มทองพระธาตุดอยสุเทพกับพระธาตุหริภุญไชย เขายืนยันบอกว่าเป็นหลังแรกของภาคกลาง เขาเลยคิดถูกหน่อย คิดแค่ ๙.๘ ล้านบาท"

เถรี
11-01-2017, 15:14
พูดถึงเรื่องถวายเม็ดเงิน "อยู่ ๆ คณะสงฆ์วัดท่าขนุนก็ช่วยกันถวายไป ๕ กิโลกรัม ไม่รู้เหมือนกันถวายได้อย่างไร ? เพราะเจ้าอาวาสไม่รู้เรื่อง แล้วก็อุตส่าห์ใช้คำว่าคณะสงฆ์วัดท่าขนุน ต้องบอกว่าแอบอ้างใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ...(รวมถวายไปหกกิโลกรัมแล้วครับ)... เป็นของวัดพุทธบริษัทกิโลกรัมหนึ่ง ไม่ต้องมาแหกตากู...!"

เถรี
11-01-2017, 15:15
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมอาจจะเดินทางลำบากขึ้น แต่อาตมาเดินทางสะดวกขึ้น เพราะว่าใกล้ขึ้นมามาก ขณะเดียวกันใครที่ออกจากกาญจนบุรีเพื่อจะมาที่นี่ ให้ไปนั่งรถตู้สายหมอชิต จะวิ่งผ่านที่นี่เลย แล้วรถตู้เขาก็บอกด้วยว่า ถ้าจะกลับก็จองตั๋วไว้แล้วโทรแจ้งด้วยว่าจะกลับวันไหน เขาจะแวะมารับ"

เถรี
11-01-2017, 15:21
พระอาจารย์กล่าวว่า "อยู่บ้านหลังนี้มีอะไรให้ตื่นเต้นตลอด คืนแรกที่นอนก็มีแท็กซี่ชนกันฝั่งตรงข้าม อาตมาก็เลยโผล่ไปดูหน่อยว่าโดนเพราะอะไร คาดว่ามีลูกค้าเรียกอยู่หน้าโรงแรมแล้วเบรกกะทันหัน รถตามหลังมาเลยเสยจนหมุนไปครึ่งรอบ

วันต่อมาก็มี "เด็กแว้น" แข่งรถกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงดังนี่สามารถทำลายไปถึงระดับเนื้อเยื่อ และอาจจะถึงดีเอ็นเอด้วย แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์เขาทดลองเอาน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมา มีผลึกรูปแบบหนึ่ง พอเอามาสวดมนต์เสกทำน้ำมนต์เสร็จแล้วก็แช่แข็ง ผลึกออกมาสวยงามกว่าอีก แต่พอไปเปิดเพลงร็อกเฮฟวี่เมทัลใส่ไป ปรากฏว่าผลึกกะรุ่งกะริ่งหมด แล้วคนฟังไปได้อย่างไร ? ขนาดน้ำยังรับไม่ได้เลย"

เถรี
11-01-2017, 15:24
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วัดท่าขนุนส่งสอบพระคู่สวด ๔ รูป จะได้มีใช้งานเป็นของเราเอง ไม่ต้องไปเสียเวลาไปยืมวัดอื่น รุ่นเก่า ๆ ที่มีใบขับขี่ (ตราตั้งพระคู่สวด) ก็ไปเป็นเจ้าอาวาสกันหมดแล้ว จะเป็นพระคู่สวดต้องมีหนังสือแต่งตั้ง จะเป็นพระอุปัชฌาย์ต้องสอบอย่างน้อย ๔ รอบ ถ้ารวมระดับอำเภอด้วยก็ ๕ รอบ

ตอนนี้อาตมากลายเป็นพระอุปัชฌาย์ใหม่ซึ่งเป็นที่นิยมมาก หลวงพ่อมณฑลมาถึง "บวชบ้างหรือยัง ? ผมจะเอาพระมาบวชด้วย" "หลวงพ่อมาช้าไปครับ ผมบวชไป ๔๐๐ กว่ารูปแล้ว...!"

เถรี
11-01-2017, 15:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มีแต่คนเห็นพระเจดีย์วัดท่าขนุนไม่ได้เห็นเมรุ เขาถามว่า "สร้างพระเจดีย์ทำไมไม่บอกกันบ้าง ?" อาตมาสร้างเมรุดันเห็นเป็นพระเจดีย์ไปได้...!

ขอแจ้งข่าวดีให้ทุกท่านทราบว่า จากที่ตั้งงบประมาณสร้างเมรุไว้ที่ ๑๕ ล้านบาท ตอนนี้จ่ายไป ๒๒ ล้านเศษแล้วยังไม่เสร็จดี เพราะว่าเทพื้นรอบแล้วก็ทำลานจอดรถเพิ่มไปอีกเกือบ ๒ ล้านบาท หลังจากนั้นก็ยังมีห้องกระจกที่ตั้งใจจะติดเครื่องปรับอากาศ เพื่อให้บรรดาแขกผู้ใหญ่ที่เขาไปร่วมงานจะได้มีที่สบาย ๆ ไว้นั่งหน่อย

เหตุที่สร้างเมรุหลังนี้ขึ้นมาก็เพราะทองผาภูมินั้นมีแขกผู้ใหญ่ไปมากันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นระดับรัฐมนตรี นายพล นายพัน ตลอดจนกระทั่งผู้บังคับบัญชาหน่วยงานต่าง ๆ ถึงเวลาไปเป็นเกียรติให้กับงาน แล้วปรากฏว่ามีแต่เมรุเล็ก ๆ สภาพโทรม ๆ ดูไม่ได้ ในเมื่อไม่มีใครทำ อาตมาก็เลยตัดสินใจทำเสียเอง ถึงเวลาญาติโยมมาเผาศพ จะได้ไม่ต้องไปอายแขกผู้ใหญ่ แล้วไม่ต้องกังวลว่าราคาจะแพง เพราะเผาให้ฟรี"

เถรี
11-01-2017, 19:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงอาตมามีพระราหูหลวงพ่อน้อย ยุคแรก เป็นขนาดใหญ่ แต่กลัวว่าถ้าลงกระทู้ไปแล้วคนจะตกใจ เพราะราคาแพง เป็นเรื่องแปลกว่าของเล็ก ๆ ติดตัวว่าแพงแล้ว ของใหญ่ ๆ ประเภทติดบ้านนี่กลับแพงกว่า

เรื่องของดวงตราราหู ถ้าเอาตามบันทึกประวัติศาสตร์ก็ต้องดูพระอภัยมณี ที่เจ้าย่องตอดเข้าไปจะเล่นงานนางละเวง มาเจอตราราหูเข้าเผ่นเลย ย่องตอดเป็นอสุรกายเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ไปเจอเทพอสูรอย่างราหูเข้าก็อยู่ไม่ได้หรอก รู้ว่าคนนี้เป็นเด็กเส้นของเจ้านาย เผ่นเลย...ไม่อยู่แล้ว

สรุปว่าอาตมาเล่าไปโยมก็ไม่รู้ เพราะว่าอ่านพระอภัยมณีกันไม่จบ...ใช่ไหม ? มีโคตรเพชรเม็ดเท่าหัวปลี โอ้...พระเจ้า เด็กสมัยหลังเขียน "หัวปลี" บอกว่าผิด ต้อง "หัวปี" ถึงจะถูก เออ...เอาเข้าไป อาตมาอ่านพระอภัยมณีจบเล่มใหญ่ตอนอยู่ชั้น ป. ๕ สมัยนั้นหนังสือเล่มไหนไม่มีชื่อเด็กชายเล็กยืมนี่ไม่มีหรอก อ่านทุกเล่ม อ่านจนบรรณารักษ์กลัว"

เถรี
11-01-2017, 20:13
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จพระสังฆราช (อยู่) วัดสระเกศ เป็นสุดยอดหมอดู เพราะเป็นหมอดูที่สามารถบอกได้เกินตำรา แบบเดียวกับหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก

สมเด็จพระสังฆราชญาโณทโยมหาเถระ วัดสระเกศ ท่านบอกว่าท่านจะตายวันนั้น เดือนนั้น ปีนั้น เวลาฟ้าร้องพอดี ตำรามีแบบนี้หรือวะ ? คนเขาบอกว่าท่านเก่งหมอดู ดูแม่นมาก มีหมอดูที่ไหนบอกได้ว่าวันนั้นเวลานั้นฟ้าจะร้อง ?

ตอนช่วงที่ท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะแล้ว อายุตั้ง ๙๐ พรรษาแล้ว อายุยืนมาก ตอนนั้นสมเด็จพระสังฆราชกิตติโสภณมหาเถระ เป็นสมเด็จพระสังฆราช ทำบุญฉลองอายุ ๗๒ พรรษา ถึงเวลาสวดมนต์เสร็จก็นั่งฉันวงเดียวกัน สมเด็จพระสังฆราชวัดสระเกศก็บอกว่า "เมื่อคืนผมตรวจดูตัวเอง ผมจะได้เลื่อนอีกขั้นหนึ่ง" ตัวเองเป็นสมเด็จพระราชาคณะสุพรรณบัตร เลื่อนอีกชั้นหนึ่งก็ต้องเป็นพระสังฆราชนะสิ..!

สมเด็จพระสังฆราช วัดเบญจฯ ก็เลยประชดว่า "เลื่อนเข้าโกศกระมัง ?" ว่าอย่างนั้น ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันสมเด็จพระสังฆราช วัดเบญจฯ อายุ ๗๒ ปีสิ้นพระชนม์ สมเด็จฯ วัดสระเกศ อายุ ๙๐ ปี เป็นสมเด็จพระสังฆราชอีก ๒ ปี ท่านแม่นเกินเหตุจริง ๆ"

เถรี
11-01-2017, 20:15
"แบบเดียวกับหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก กำนันเถาขึ้นเหนือหายไปเป็นเดือน ปกติกำนันเถาจะเป็นตัวป่วนประจำตำบลบางนมโค ตอนนั้นหลวงปู่ปานมรณภาพแล้ว ไม่มีใครปราบกำนันเถา เมียก็มาร้องห่มร้องไห้กับหลวงปู่จง เอาดอกไม้ธูปเทียนมาบอกว่า "หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยดูพี่เถาให้หน่อยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หายขึ้นเหนือไปเป็นเดือนแล้ว" ห่วงผัวตายหรือห่วงผัวจะได้สาวเหนือมาก็ไม่รู้ ?

หลวงปู่จงเปิดตำราพรหมชาติ แล้วอ่านว่า "สิทธิการิยะ พระท่านว่ากำนันเถาเอาเรือมาจอดที่หน้าบ้านแล้ว" แล้วท่านก็เอากระดาษคั่นไว้ เมียได้ยินดีใจ กราบลาได้กลับบ้านเลย รุ่งขึ้นเอาปิ่นโตมาถวายเพล บอกว่าพี่เถากลับมาเวลาที่หลวงพ่อบอกพอดี ส่วนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็แปลกใจ ตำราอะไรบอกได้ขนาดนี้ ?

หลวงปู่จงท่านเอากระดาษคั่นไว้ก็ไปเปิดดู กลายเป็นนาคสมพงษ์ตำราหาคู่ สรุปแล้วพระที่บอกเกินตำราได้นี่หายากนะ ไม่ต้องไปสงสัยว่าท่านรู้ได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าท่านอ่านตามตำรา ตอนเราไปอ่านไม่ยักจะมี"

เถรี
11-01-2017, 20:19
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในวรรณคดีเรื่องพระร่วง พระร่วงเอาชะลอมใส่น้ำ ความจริงพระร่วงมีวาจาสิทธิ์ อธิษฐานเอาตามแบบของพระโพธิสัตว์ แต่คนรุ่นหลังไม่เชื่อ เขาก็เลยว่าท่านสานชะลอมแล้วก็เอาชันยาเพื่อที่ให้ใส่น้ำได้ บอกว่า "จักไม้สานชะลอม รูปกลมกล่อม เอาชันยา จึ่งตักเอาน้ำมา สำเร็จได้ดังใจหมาย"

ใครสามารถเอาชันยาชะลอมแล้วใส่น้ำได้ อาตมายอมกราบงาม ๆ แต่ถ้าหากเอาชันยากระบุงนี้พอจะใส่ได้อยู่ ชะลอมตาใหญ่ขนาดนั้นแล้วจะไปยาอีท่าไหน ?

คนเราไม่เชื่อเรื่องบุญฤทธิ์ คิดอยู่อย่างเดียวว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็พยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมพระร่วงถึงได้เอาชะลอมตักน้ำได้ ความจริงท่านตั้งสัตยาธิษฐานเอา"

เถรี
12-01-2017, 16:11
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าหากมีโอกาสได้เห็นวัตถุมงคลของแท้แล้วจำได้ ต่อไปใครก็ปลอมหลอกเราไม่ได้ พวกที่เล่นวัตถุมงคลแล้วไม่มีอนาคต เพราะว่าไปดูของปลอมเสียตั้งแต่แรก กลายเป็นติดตากับของปลอม จึงดูไม่ออกว่าของจริงหน้าตาเป็นอย่างไร"

เถรี
12-01-2017, 17:18
พระอาจารย์กล่าวว่า "กระทู้คนมีเงินฯ (๙) จะมีของแปลก ๆ มาลงเยอะ บางอย่างก็แพงเหลือเชื่อ บางอย่างก็ราคาจับต้องได้ โดยเฉพาะพระปิดตาที่แกะจากไม้โพธิ์นิพพาน ไม้โพธิ์นิพพานก็คือกิ่งโพธิ์ที่ยื่นไปทางทิศตะวันออก แล้วหักตกลงมาเอง โบราณเขาถือว่าเทวดาให้ ส่วนใหญ่ก็เอามาแกะเป็นพระปิดตา

คราวนี้พระปิดตามีความเชื่ออยู่ ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือเป็นการปิดทวาร สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อีกอย่างหนึ่งเชื่อว่าเป็นท่านพระควัมปติที่เป็นเพื่อนของพระยสะเถระ ท่านพระควัมปตินี้เข้านิโรธสมาบัติประจำ แสดงสัญลักษณ์ของการเข้านิโรธสมาบัติด้วยการปิดตา พอออกจากนิโรธสมาบัติมา ใครทำบุญด้วยก็จะมีลาภมาก เขาก็เลยเรียกว่าพระปิดตามหาลาภ

โบราณาจารย์สมัยก่อนนิยมสร้างเป็นพระปิดตา ก็เพราะเน้นตรงว่าเป็นมหาอุดอย่างหนึ่ง เป็นมหาลาภอย่างหนึ่ง คนที่สร้างพระปิดตาด้วยไม้โพธิ์นิพพานที่ดังที่สุดก็คือ หลวงพ่อเบี้ย วัดโคกพระเจดีย์ จังหวัดนครปฐม เป็นรุ่นอาจารย์ของหลวงปู่บุญอีกที และหลวงพ่อโนรี วัดโพธิ์มอญ จังหวัดราชบุรี สองท่านนี้ชื่อเสียงเรื่องการสร้างพระปิดตาด้วยไม้โพธิ์นิพพานมาก ถ้าอยากเห็นพระของท่านก็เปิดดูในอินเตอร์เน็ต ยังพอหาดูได้อยู่ แต่ว่ามักจะเป็นของปลอม"

เถรี
12-01-2017, 17:20
"หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วนั้น ท่านไม่ได้สร้างพระปิดตาด้วยไม้โพธิ์นิพพาน แต่ท่านสร้างเป็นพระพุทธรูป แล้วก็บรรจุดวงวันเดือนปีเกิดของเจ้าของพระไว้ที่ฐาน ท่านสร้างเฉพาะทีละองค์ ที่ฐานก็จะบรรจุของมีค่าบางอย่างที่ถือว่าเคล็ดลับของความร่ำรวย แล้วก็มีดวงของเจ้าของพระเขียนลงบนแผ่นยันต์แล้วใส่เข้าไปด้วย อย่างนั้นเป็นของเฉพาะตัว ของใครของมัน ไม่มีใครเขาให้กัน

แต่ถ้าอย่างหลวงพ่อเบี้ย วัดโคกพระเจดีย์ กับหลวงพ่อโนรี วัดโพธิ์มอญ ท่านจะทำลักษณะทั่ว ๆ ไป ใครก็บูชาได้ สองสำนักนี้ถือว่าดังในเรื่องพระปิดตาไม้โพธิ์นิพพานมากที่สุด ส่วนสำนักอื่น ๆ ส่วนใหญ่เป็นปิดพระปิดตามหาอุตม์ อย่างเช่นของสายวัดเขาอ้อ ปัจจุบันนี้พวกบรรดาทหารที่ลงไปสามจังหวัดภาคใต้ ส่วนใหญ่จะหาพระปิดตาวัดเขาอ้อกัน เพราะเรื่องเหนียวนี่แน่นอนมาก"

เถรี
12-01-2017, 19:11
ถาม : เวลานอนรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา รู้สึกว่านอนไม่หลับ ?
ตอบ : อันนั้นไม่ใช่ไม่หลับ จริง ๆ แล้วร่างกายเราได้พักได้หลับแล้ว แต่สติตื่นอยู่ เราทำไม่รู้ไม่ชี้คิดว่าไม่หลับนั่นแหละดี เราจะภาวนาให้เยอะเลย นั่นเป็นอาการที่นักปฏิบัติบางคนทำมาทั้งชีวิตเพื่อหวังจะให้เข้าถึง เพราะสติต้องตื่นรู้ทั้งตื่นและหลับจึงจะสู้กิเลสได้ ไม่อย่างนั้นเวลาเราตื่นอยู่ เราประคับประคองรักษาตัวเองไม่ให้โดนกิเลสกินได้ แต่ถ้าเราหลับเมื่อไรสติคลายตัวออก กิเลสก็จะกินเอาตอนหลับ

ก็แปลว่าการปฏิบัติของเรานั้น จริง ๆ แล้วก้าวหน้าขึ้น เข้าไปถึงขั้นที่ตื่นกับหลับก็มีสติตื่นรู้แล้ว แต่เราดันไปอยากหลับ ถ้าถึงภาวะนั้นแล้วไม่จำเป็นต้องหลับ ร่างกายได้พักแล้ว เพียงแต่สติตื่นอยู่เท่านั้น บางทีได้ยินตัวเองกรนด้วย

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะรู้ลมหายใจอัตโนมัติ ไม่ต้องไปคุมหรอก มีอย่างเดียวคือประคับประคองรักษาเอาไว้ให้ได้ ต่อไปถ้าหากว่าหลุดไปจะเหนื่อย เหนื่อยเพราะกิเลสเข้ามาแล้วไม่ค่อยออกไปอีก

ถาม : แล้วตัวเบา ๆ ลอย ๆ เป็นฌานระดับไหนคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจตรงนั้นหรอก รู้แต่ว่ากิเลสกินเราไม่ได้ก็พอแล้ว ถ้ามัวแต่ไปสนใจว่าเป็นฌานระดับไหน ก็จะกลายเป็นฟุ้งซ่านไป

เถรี
12-01-2017, 19:16
ถาม : ถ้าฟุ้งซ่านจะวิปัสสนา พอฟุ้งไปฟุ้งมาก็คิดขึ้นมาว่า ข้างหน้าก็เป็นทางกว้าง ๆ ....(ไม่ชัด).... อารมณ์เลยตัดตายค่ะ ?
ตอบ : ถ้ารู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ปกติแล้วคิดถึงความดี หรือตัดสินใจตายได้ก็จบ

ถาม : แต่กำลังก็ตกลง ?
ตอบ : ก็ทำใหม่ ไปทำใหม่เดี๋ยวก็ได้เหมือนเดิม

ถาม : พยายามที่จะฟื้นแต่ก็ไม่ได้ค่ะ ไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอย่างไร ?
ตอบ : ย้อนทวนว่าเราคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร ถึงเวลาก็คิดแบบนั้น พูดแบบนั้น ทำแบบนั้นก็จะได้อีก

เถรี
12-01-2017, 19:21
ถาม : ปวารณาตัวว่าจะช่วยสังคมอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะทำความดีให้เกิดกับสังคมได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ไปยุ่งกับสังคมทำไม ? ถ้าเราเอาตัวเรารอดได้เมื่อไรคนอื่นเขาก็จะตามมาเอง ถึงเวลานั้นสังคมรอบข้างก็จะดีไปเอง แต่ถ้าเราเอาตัวไม่รอด เป็นตัวอย่างไม่ได้ คนอื่นเขาไม่ทำตาม สังคมก็บรรลัยอยู่เหมือนเดิม

ถาม : หนูคิดว่าคนทำผิดแล้วเราตักเตือนเขาก็น่าจะดี ?
ตอบ : คิดว่าเตือนแล้วเขาจะเชื่อไหม ?

ถาม : หรือควรจะคิดแค่เตือนตัวเอง ?
ตอบ : การที่เราจะตักเตือนคนอื่นเขาได้ เราต้องมีน้ำหนักเพียงพอ ถ้าน้ำหนักไม่พอเตือนให้ตายเขาก็ไม่ฟังเรา การจะทำให้น้ำหนักของตัวเองพอ ก็คือ ทำตัวเองให้เป็นที่น่าเชื่อถือก่อน ก็แปลว่าต้องเร่งการประพฤติปฏิบัติให้ดียิ่งกว่านี้

เถรี
12-01-2017, 19:24
ถาม : มีคนทำบุญแล้วคนที่รับเงินเอาไปทำอย่างอื่น อย่างเช่นจัดคอนเสิร์ต จะโดนโทษย้ายพระเจดีย์หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ตายเสียก่อนก็ไม่โดน

ถาม : ถ้าเกิดได้เงินมากกว่าเดิม แล้วเอาไปทำตามที่ตั้งใจไว้ละคะ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าถ้าไม่ตายเสียก่อนก็ไม่โดน ถ้าตายเสียก่อน ไม่ทันเอาเงินมาคืนเขาก็ซวยแน่ ๆ

เถรี
13-01-2017, 14:39
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอาตมายังเป็นวัยรุ่น วิ่งหาหลวงปู่หลวงพ่อไม่เคยท้อทางไกล เป็นเรื่องแปลกดีเหมือนกัน สุดเหนือสุดใต้ก็ไปหมด อาจจะเป็นเพราะว่ามีความบ้ามากกว่าคนอื่นก็เป็นได้"

เถรี
13-01-2017, 14:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิด ต่อให้เป็นเด็กเล็กขนาดไหนก็ตาม พอถึงเวลาก็แสดงออกอย่างชัดเจน ถ้าเห็นเป็นธรรมดาก็ไม่มีอะไรน่าตำหนิ แต่ถ้าสามารถพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าขึ้นได้ ก็จะเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ"

เถรี
13-01-2017, 14:40
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานก่อสร้างของวัดท่าขนุนอาจจะสะดุดหยุดยั้งลงนิดหนึ่ง เพราะว่าบรรดาช่างต่าง ๆ โดนระดมไปทำพระเมรุมาศถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙"

เถรี
13-01-2017, 15:37
พระอาจารย์กล่าวว่า "แถวนี้คนมีฤทธิ์เยอะนะ...! พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าแผ่นดินไหวเกิดจากสาเหตุ ๘ ประการด้วยกัน อย่างแรกก็คือลมกำเริบ สอง...ผู้มีฤทธิ์บันดาล สาม...พระโพธิสัตว์จุติลงสู่ครรภ์ สี่...พระโพธิสัตว์ประสูติ ห้า...พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ หก...พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา เจ็ด...พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร และแปด...พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน

อาตมาอยู่ที่นี่กลางคืนนอน ๆ อยู่ก็แผ่นดินไหว ผู้มีฤทธิ์บันดาลด้วย ๑๘ ล้อ..! วิ่งผ่านทีบ้านไหวทั้งหลังเลย

เราจะเห็นว่าสาเหตุของแผ่นดินไหว ๖ ประการนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ส่วนอีก ๒ ประการนั้นขึ้นอยู่กับว่าลมกำเริบ ก็คือภายในโลกของเราเป็นหินเดือด พอเดือดก็กลายเป็นไอขึ้นมา ไออากาศอันนี้ พอกันอัดมาก ๆ เข้าก็เหมือนกับหม้ออัดความดัน ไม่มีทางไปก็ต้องดันฝาหม้อให้เผยอขึ้นมา แต่นี่ไปดันแผ่นดินเข้า แผ่นดินขยับกลายเป็นปลาอานนท์ขยับตัว ของไทยเราว่าปลาอานนท์ ของกรีกว่าเป็นพญางู โลกเราเหมือนกับไข่ฟองหนึ่ง มีพญางูขนดล้อมรอบอยู่ ถึงเวลาพญางูขยับตัวก็แผ่นดินไหว แสดงว่างูตัวนี้ใหญ่มาก"

เถรี
13-01-2017, 15:40
"ผู้มีฤทธิ์บันดาลต้องดูตัวอย่างในสังคีติยวงศ์ การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราชอัญเชิญพระอุปคุตมาช่วยระวังป้องกัน เพราะว่าเกรงว่าพญามารจะมาทำลายงานสังคายนาพระธรรมวินัย

พอพระเจ้าอโศกมหาราชเห็นหุ่นของพระอุปคุตแล้วไม่เลื่อมใส เพราะองค์ท่านผอมกว่าอาตมาอีก หาความเลื่อมใสไม่ได้ ก็เลยแกล้งปล่อยช้างให้ไล่เหยียบ ปรากฏว่าพระอุปคุตหันมาตวาดทีเดียว ช้างยืนแข็งทื่อเป็นหินไปเลย แล้วพระอุปคุตก็แจ้งพระเจ้าอโศกมหาราชว่า ถ้าอยากเห็นฤทธิ์จริง ๆ ให้เอาน้ำมาขันหนึ่ง จะทำให้เกิดแผ่นดินไหว แล้วท่านคอยดูน้ำในขันที่กระเพื่อม

พระเจ้าอโศกมหาราชก็ฉลาดเกินไป บอกว่าถ้าเกิดบังเอิญแผ่นดินไหวเอง ? พระอุปคุตก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นอาตมาจะทำให้แผ่นดินไหวโดยที่น้ำกระเพื่อมแค่ครึ่งขัน ปรากฏว่าถึงเวลาบันดาลแล้ว แผ่นดินไหวน้ำกระเพื่อมแค่ครึ่งขันจริง ๆ พระเจ้าอโศกมหาราชถึงได้ยอมรับ สรุปว่าพระควรจะผอมหรือควรจะอ้วนดี ? ถ้าอ้วนก็เป็นกาลกิณี โบราณบอกว่า สัตว์ผอมฤๅษีพีเป็นกาลกิณี กินแค่มื้อสองมื้อจะอ้วนได้อย่างไร ?"

เถรี
13-01-2017, 15:42
โยมรับพระแล้วหล่น "แสดงว่าจะเจริญมาก เขาเรียกว่าพระร่วง คำว่า "ร่วง" โบราณแปลว่าสว่างรุ่งเรืองมาก อย่างที่บอกว่า "รุ้งร่วงธำมรงค์เรือนครุฑ กรรเจียกจอนจำหลักลายซ้ายขวา บรรจงทรงมหามงกุฎ ห้อยอุบะนฤมิตผิดมนุษย์ งามดังเทพบุตรในชั้นฟ้า" สังข์ทองแต่งตัวแล้ว ไม่เป็นเงาะแล้ว

แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าจำอะไรได้เยอะแยะขนาดนี้ เพราะฉะนั้น...ราชวงศ์พระร่วงก็คือพระผู้รุ่งเรืองมาก"

เถรี
13-01-2017, 15:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาเรียกพม่าว่า "ม่าน" แต่ว่าคนจีนโบราณเรียกคนที่มาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ว่า "ม่าน" เพราะฉะนั้นเบ้งเฮ็กเป็น "หม่านอ๋อง" เป็นไปได้ว่าเป็นได้ทั้งพม่าและเป็นได้ทั้งคนไทย แต่เขาบอกว่าเบ้งเฮ็กน่าจะเป็นคนไทยมากกว่า เพราะขี่ควายรบกับขงเบ้ง น่าจะเป็นต้นตระกูลของนายจันทร์หนวดเขี้ยว

ในส่วนที่ขงเบ้งต้องเครียดที่สุดก็คือเจอไสยศาสตร์ ลักษณะเสกหุ่นพยนต์ไปรบแทน ก็ดูแล้วน่าจะเป็นไสยศาสตร์ในพื้นภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรานี่แหละ โปรยเมล็ดถั่วเป็นทหาร ตัดกระดาษโยนไปเป็นทหาร ยังดีว่าได้ยอดฝีมือระดับขงเบ้งก็เลยแก้ตก เป็นคนอื่นก็สงสัยเหมือนกันจะแก้ได้ไหม ?

ตอนขุนแผนไปรบแค่ ๓๗ คน ยังเล่นงานเจ้าเมืองเชียงใหม่เสียท่าได้ ยกไป ๓๗ คน ถึงเวลาไปเสกหุ่นพยนต์เอา เวลาตั้งค่ายก็ประเภทเอาก้านอ้อมาตัดเสียบ ๆ "พอแม่ทัพจับซัดข้าวสารปร๋อ แขมอ้อก็กลับกลายเป็นไม้แก่น" ไม่เปลืองวัสดุดีนะ ก้านอ้อกลายเป็นเสาไม้จริงไปเลย"

เถรี
13-01-2017, 15:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "เล่าเรื่องเมืองลับแลได้ไหม ? มานึกถึงพวกคาถา มีอยู่อย่างหนึ่งเขาเรียกคาถาบังไพร รุ่นหลังพวกนายพรานถ้าเจอตรงจุดไหนที่ล่าสัตว์ได้ง่าย มีสัตว์ชุม เขาจะใช้คาถาบังไพรทำเอาไว้ ไม่ให้คนอื่นเห็นที่ตรงนั้น หรือเข้าไปในพื้นที่ตรงนั้นไม่ได้

พวกลับแลรุ่นแรก ๆ เกิดจากการที่เขาอพยพหลบหนีศึกสงคราม แล้วผู้รู้เขาใช้คาถาบังไพรปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ ไป ๆ มา ๆ พออยู่ข้างในนั้น สร้างคุณความดีมาก ๆ จะเป็นเทวดาก็ยังดีไม่พอ จะออกมาอยู่รวมกับมนุษย์เราก็ลำบาก ท้ายสุดก็ต้องกลายเป็นลับแลไป ที่เขาอายุยืนเพราะว่าเขาตั้งใจรักษาศีล ถ้าศีลดีจะอายุยืน

บังไพรแปลว่าปิดป่า ไม่ใช่บังภัยที่แปลว่ากันภัยอันตราย ถ้าหลงจะเข้าไปได้ แต่ถ้าตั้งใจจะไปจะหาไม่เจอ เรามานึกดูว่าคนรุ่นก่อน ๆ ถึงเวลาศึกเหนือใต้มาก็ลำบาก ต้องอพยพหอบลูกจูงหลานหนีภัยกัน ท่านที่มีวิชาความรู้ไม่อยากรบราฆ่าฟันกับใคร ค่อนข้างจะรักสงบ ก็ต้องหาทางรักษาคนของตัวเองเอาไว้ ก็ใช้วิชาบังไพรปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้เขาเข้าได้

ส่วนใหญ่ก็อย่างว่าแหละ ก็เหลือแต่พวกนายพรานสืบทอดกันมา แล้ววิชาก็เหลือน้อยลง เหลือแค่กันพื้นที่เอาไว้เท่านั้น"

เถรี
13-01-2017, 15:55
"สมัยอาตมาเด็ก ๆ จะมีพรานจิตร บ้านอยู่ทางด้านหนองรี - ลำอีซู พอถึงเวลาถ้าแกล่าสัตว์ตรงไหนได้บ่อย ๆ แกจะเสกใบไม้กำหนึ่งโปรยเอาไว้ คนอื่นไปล่าสัตว์ไม่ได้เลย เป็นวิชาที่แปลก ๆ ดี

พรานจิตรมีปืนแก๊ปคู่มือ แกเรียกว่า "อีทองแดง" แสดงว่าเป็นปืนผู้หญิง แกรอดตายเพราะอีทองแดงมาหลายทีแล้ว อีทองแดงเฮี้ยนขนาดพรานจิตรไปนั่งโป่ง เสือใหญ่เข้ามาจะหาทางขึ้นไปขบหัว ปืนกระบอกนี้ปลุกเจ้าของขึ้นมายิงเสือได้..!"

เถรี
13-01-2017, 15:59
พระอาจารย์เล่าว่า "คราวที่แล้วไปอังกฤษ ไปได้คำตอบที่ Stonehenge ที่เขาเถียงกันไม่รู้จักจบว่าคืออะไร ปรากฏว่ามีพรหมท่านหนึ่งมาบอกว่า เป็นวงกลมที่นักบวชโบราณใช้ทำพิธีเสริมบารมีให้กษัตริย์รบชนะ นักบวชพวกนั้นเขาเรียกว่า "ดรูอิด" เดี๋ยวไว้มีเวลาค่อยไปเขียนในบันทึกให้อ่านกัน"

เถรี
13-01-2017, 21:39
http://www.watthakhanun.com/webboard/attachment.php?attachmentid=25685&d=1480290248



พระอาจารย์กล่าวว่า "เรือใบไวกิ้งลำนี้ได้มาจากสถานทูตสวีเดน อาตมาเพิ่งจะเห็นราคาว่าลงผิด ราคาจริงเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาทไปตั้งเยอะ ป้ายยังติดอยู่เลย ในเมื่อลงไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท แล้วก็แล้วกัน ต้องชมว่าเขาเข้าใจทำ เล่นเอาเงินมาทำเป็นเรือทั้งลำ สถิตอยู่หน้าหิ้งพระมานานแล้ว กำลังรอดูอยู่ว่าจะไปอยู่บ้านไหน

ตามหลักฮวงจุ้ยของจีนแล้วแล้ว คำว่าเรือหมายถึงความเจริญ เพราะเรือจะต้องแล่นไปตลอดเวลา บ้านคนจีนเขาจะตั้งเรือเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญ สมัยก่อนตอนตรุษจีนหรือปีใหม่ อาตมาจะหาของขวัญให้ตัวเอง ไม่ต้องรอคนอื่นให้ หาซื้อเอง โดยเฉพาะบูชาวัตถุมงคล ตรุษจีนแต๊ะเอียออกมีสตางค์เยอะ มีโอกาสบูชาวัตถุมงคลที่เราชอบได้

ก่อนหน้านี้ตลาดวัตถุมงคลอยู่สนามหลวง แถว ๆ รอบ ๆ ศาลอาญา อีกส่วนหนึ่งก็มาอยู่ที่วัดราชนัดดา แต่ละที่ล้วนแล้วแต่มีเยอะแยะเต็มไปหมด คราวนี้ส่วนที่ล้นจากสนามหลวงไปอยู่ท่าพระจันทร์ ส่วนหนึ่งมาอยู่วัดราชนัดดา ตอนหลังสนามหลวงโดนปิด วัดราชนัดดาก็เลิก ก็เหลือแต่ตลาดพระท่าพระจันทร์ ส่วนที่เหลือก็ปรับตัวใหม่ ยกขึ้นห้างไปเลย

ตลาดพระท่าพระจันทร์ยุคแรกไม่ได้อยู่ท่าพระจันทร์ แต่อยู่ในวัดมหาธาตุเลย รุ่นเก่า ๆ เขาไปส่องพระกันอยู่กันแถว ๆ รอบ ๆ ต้นอโศก บรรดาพระนิสิต มจร.รุ่นแรก ๆ ก็เลยพลอยเป็นเซียนพระไปด้วย เดี๋ยวนี้อาตมาไป คนที่เขาดูแลการจราจรที่นั่นก็ยังจำได้ แกหาที่จอดให้ได้ทุกครั้ง เก่งมากเลย แล้วความจำอะไรจะดีขนาดนั้น รถมาทุกคันดูเหมือนว่าแกจะจำได้หมด ต้องบอกว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัว"

เถรี
13-01-2017, 21:41
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้ามีโยมถามปัญหาว่าภาวนาแล้วไม่หลับทำอย่างไรดี ? ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ต้องบอกว่าไม่ต้องทำอะไร การภาวนาแล้วไม่หลับมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือเข้าถึงปีติ สภาพจิตจะสว่างโพลง ไม่ง่วง ไม่เหนื่อย ถ้าลักษณะอย่างนั้นให้กำหนดเวลาว่าเราควรจะพักช่วงไหน ไม่อย่างนั้นแล้วบางทีก็โหมหนักข้ามวันข้ามคืน สภาพร่างกายรับไม่ไหว มีหลายคนสติแตกไปก็มี

ประการที่ ๒ คือสภาพจิตเริ่มเข้าสู่ปฐมฌานละเอียด จะรู้ลมหายใจเข้าออกเองโดยอัตโนมัติ ตอนนั้นสติจะตื่นอยู่ทั้ง ๆ ที่หลับ ถ้าลักษณะอย่างนั้นอย่าไปกังวล เรามีหน้าที่กำหนดรู้กำหนดภาวนาของเราไป ส่วนร่างกายจะหลับไม่หลับก็เรื่องของมัน เพราะว่าร่างกายนอนอยู่ก็ได้รับการพักผ่อนอยู่แล้ว เพียงแต่จิตตื่นอยู่แล้วเราไปคิดว่าไม่ได้หลับ บางคนพยายามไปบังคับให้ตัวเองหลับ ท้ายสุดก็กลายเป็นฟุ้งซ่านใหญ่โต"

เถรี
13-01-2017, 21:50
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ยังคงจะอยู่ในใจของชาวบ้านรุ่นเก่า ๆ ไปอีกนานแสนนาน แต่คราวนี้มีบางอย่างที่ต้องกล่าวถึง ถ้าเป็นอย่างสมัยพุทธกาลต้องถือว่ากล่าวตู่พระพุทธเจ้า ก็คือบรรดาเว็บหลายแห่งไปลงเอาไว้ว่า "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำบอกไว้ว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาเกิดเป็นรัชกาลที่ ๙" อาตมาอยู่กับหลวงพ่อมาทั้งชีวิต ไม่เคยได้ยินคำพูดของท่านอย่างนี้เลย

สิ่งที่หลวงพ่อท่านพูด ก็คือลักษณะที่พระพูด จะพอเหมาะ พอดี พอควร ต่อก็เกิน ตัดก็ขาด สมบูรณ์บริบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องเสือกมาทะลึ่งขยายความ...! เพราะมีแต่จะเป็นการดึงฟ้าต่ำหรืออิงสถาบัน กลายเป็นว่าครูบาอาจารย์พูดอย่างนั้นเป็นการประจบสถาบัน แต่ก็มีพวกแสนรู้ที่พยายามจะบรรยายขยายความ โดยคิดว่ากูรู้...ต้องใช่ แต่ไม่ได้ดูความเหมาะสมอะไรเลย ลูกศิษย์ประเภทนี้เขาเรียกว่าโง่แล้วขยัน...! ในทางทหารเขาบอกว่าให้ฆ่าทิ้งให้หมด

ทางทหารเขาแบ่งคนเป็น ๔ ประเภท ประเภทที่ ๑ ก็คือโง่แล้วขี้เกียจ ประเภทที่ ๒ โง่แล้วขยัน ประเภทที่ ๓ ฉลาดแล้วขี้เกียจ ประเภทที่ ๔ ฉลาดแล้วขยัน ท่านบอกว่าพวกฉลาดแล้วขยันให้ส่งไปแนวหน้า พวกนี้จะสร้างผลงานได้ดีมาก พวกโง่แล้วขี้เกียจให้ส่งไปอยู่กับพวกฉลาดแล้วขยัน พวกที่ฉลาดแล้วขยันจะลากไปได้เอง ส่วนพวกฉลาดแล้วขี้เกียจให้อยู่แนวหลัง คอยวางแผนส่งไปให้พวกฉลาดแล้วขยันนั้นทำ ส่วนพวกโง่แล้วขยันท่านว่าฆ่าทิ้งให้หมด มีแต่จะทำให้หน่วยงานพินาศย่อยยับในเวลาไม่นาน"

เถรี
13-01-2017, 21:53
"ฉะนั้น...พวกเราพึงสังวรไว้ว่า สิ่งที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านพูดนั้น พอดี พอควร พอเหมาะแล้ว ต่อก็เกิน ตัดก็ขาด สมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ในตัว ไม่ต้องเสือกขยายความโง่ด้วยการไปอวดฉลาด โดยการที่ไปฟันธง อาตมายืนยันว่าฟันไปก็ธงหัก...! เพราะถ้าคนพูดบอกเองว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แล้วตัวเองจะทำหน้าอย่างไร ? เพราะตัวเองก็ไม่ได้รู้เอง แต่ใช้วิธีตีความโดยการอนุมานเอา

หลายอย่างที่อาตมาพูดก็อยู่ในลักษณะเดียวกันว่า พอเหมาะพอดีในสถานการณ์แล้ว ไม่ต้องไปขยายความต่อ ถ้าใครโง่ฟังไม่เข้าใจก็ปล่อยให้โง่ต่อไป...! ตัวเองโง่แล้วอย่าดันไปขยัน เพราะว่าบางอย่างเป็นการกระทบสถาบัน อยู่ในลักษณะในการดึงฟ้าต่ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางการทหารถือว่าน่ารังเกียจมาก

แต่เท่าที่อาตมาสังเกตมา พวกโง่แล้วขยันนี่มีมากเป็นพิเศษ มักจะอวดรู้อวดฉลาดอยู่เสมอ แล้วก็ทำให้สถานการณ์ที่ดี ที่เหมาะ ที่ควร สวยงาม พอเหมาะ พอดี พังบรรลัยไปทุกครั้ง ตราบใดที่เรายังรู้ไม่จริง อย่าพยายามไปพูด ท่านที่รู้จริงท่านจะรู้ด้วยว่าควรพูดได้แค่ไหน ไม่ต้องไปไกลหรอก เว็บบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างเว็บพลังจิตนี่แหละ พวกแสนรู้มีเยอะเป็นพิเศษ...!"

เถรี
14-01-2017, 21:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่โยมเห็นครอบแก้วอยู่หลังตู้หนังสือนั่น ปกติอาตมาจะตั้งเบี้ยแก้อยู่ แต่วันงานนี้ต้องเอาเบี้ยแก้ไปเก็บก่อนเพราะแพง มีเบี้ยแก้ประหลาดอยากจะให้ดูกัน เป็นเบี้ยแก้ของหลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง ไม่มีใครคิดว่าท่านจะทำเบี้ยแก้พอกครั่ง อาตมามีอยู่ ๔ ตัว ยังตัดใจปล่อยไม่ได้ เป็นของทำจำเพาะ รุ่นเดียวแล้วเลิกเลย

สมัยก่อนตอนอยู่บ้านสายลม ท่านเจ้ากรมเสริมฯ เอามีดหมอดาบฟ้าฟื้นของหลวงพ่อวัดท่าซุง วางบูชาไว้หน้าหิ้งพระอย่างนี้แหละ อาตมาดูแล้วว่าท่านเจ้ากรมฯ ไว้ใจคนเกินไป ก็เลยเอาไปเก็บไว้บนหลังตู้แทน ปรากฏว่าวันนั้นท่านออกมาไหว้พระ ถามว่าเห็นมีดหมอของผมไหม ? เรียนท่านว่าอยู่บนหลังตู้ครับ พอท่านเห็นว่าต้องให้อาตมาช่วยเก็บให้ท่าน คราวหลังท่านก็เลยเก็บเอง ไม่ต้องเสียเวลาให้คนอื่นช่วยระวังแทน

คนเราถ้าไม่มีโอกาสก็ไม่ทำผิด ถ้ามีโอกาสแล้วกำลังใจสู้กิเลสไม่ได้ก็จะทำผิด เพราะฉะนั้น...อย่าเปิดโอกาสให้คนอื่นเขาได้ทำผิด เพราะจะกลายเป็นว่าเราสนับสนุนให้เขาทำชั่ว หลวงพ่อสมศรีท่านบอกว่า "อย่าขัดใคร อย่าทำตามใคร อย่าทำตามใจตัวเอง ให้ทำตามของคำสอนพระพุทธเจ้า"

เถรี
14-01-2017, 22:01
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนอาตมาถวายการรับใช้หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าอยู่หลายสิบรูป เนื่องจากว่าเป็นเด็กวัยรุ่นวิ่งคล่อง ๆ ท่านก็เรียกใช้ โดยเฉพาะว่าไม่กลัวพระ เด็กบางคนจะกลัวพระ อย่างหลวงพ่อวัน วัดภูผาเหล็ก (วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม) ท่านล่ำสันสูงใหญ่ เด็ก ๆ บางคนเห็นตกใจวิ่งหนีเลย ถ้าหากว่าเปรียบกันแบบชนิดที่ไม่เกรงใจ ก็คือคิดว่าองคุลีมาลเดินมา

สมัยของอาตมา เด็ก ๆ จะโดนขู่ว่าเดี๋ยวโดนพระธุดงค์จับไป พอพระธุดงค์ห่มผ้าจีวรสีกรักออกดำ ๆ เดินมา เด็ก ๆ วิ่งหนีหมดแหละ แต่อาตมาไม่กลัว ในเมื่อไม่กลัวก็เข้าไปถวายการรับใช้ท่าน ต้องการน้ำใช้ น้ำฉันอะไร เวลาท่านบอกก็ทำได้คล่องตัว ท่านจึงชอบใจ

ตอนแรกที่ยังไม่รู้ เห็นหม้อกรองน้ำมีผ้าโปร่งติดข้างบน แล้วข้างใต้ก็มีท่อน้ำไหลอยู่ ด้วยความที่ไม่รู้ ก็จัดการตักน้ำเสร็จก็เปิดให้ไหลลงทางด้านใต้ ท่านบอกว่า "ไม่ใช่..! กรองน้ำเสร็จแล้วให้เทกลับทางเดิมอีกทีหนึ่ง เป็นการกรองซ้ำ" แปลว่าให้เทออกทางปาก ไม่ให้เทออกทางก้น แต่คนโดยทั่ว ๆ ไปจะกรองครั้งเดียว ส่วนของพระสายวัดป่าท่านให้กรองซ้ำ ที่กรองน้ำเพื่อป้องกันพวกลูกน้ำอะไรติดเข้าไป แล้วจะเผลอฉันเข้าไปด้วย

อีกอย่างหนึ่งในป่านั้น พวกปลิงพวกทาก บางทีก็อยู่ในน้ำ อันตรายเหมือนกัน ไปรู้จักวิธีการล้างบาตร เช็ดบาตร ผึ่งบาตร ก็ตอนที่ท่านให้ทำถวายนั่นแหละ ตอนไปใหม่ ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก"

เถรี
14-01-2017, 22:05
"สมัยโน้นพอเห็นท่านปฏิบัติเคร่งครัด แล้วเรื่องปาฏิหาริย์บางอย่างท่านก็ทำเป็นปกติ จึงมีความรู้สึกว่า ถ้าเราบวชก็จะบวชกับพระสายวัดป่านี่แหละ มีโอกาสเจออยู่หลายรูป แต่ปรากฏว่าไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร พอหลวงปู่ฝั้นมรณภาพในปี ๒๕๒๐ อาตมารู้จักหลวงพ่อฤๅษีฯ ปี ๒๕๑๘ เหมือนกับว่าท่านส่งช่วงต่อกัน

ปี ๒๕๑๘ รู้จักหลวงพ่อฤๅษีฯ ก็เริ่มหันมาฝึกปฏิบัติทางสายวัดท่าซุง เพราะว่าสายวัดป่าเหมือนกับให้พวกเราหากินเอง ติดขัดตรงไหนแล้วค่อยไปถามท่าน แต่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนี่ท่านทำเตรียมไว้ให้แล้ว ตักใส่ปากอย่างเดียวเลย

พอวันที่ ๓ มกราคม ปี ๒๕๒๐ หลวงปู่ฝั้นมรณภาพ พระราชทานเพลิงเสร็จ ปี ๒๕๒๑ อาตมาก็ได้ฝึกมโนมยิทธิพอดี จากที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านไม่ได้เปิดฝึกมานานเป็นสิบ ๆ ปี พอเปิดฝึกมโนมยิทธิ อาตมาฝึกได้ก็เลยติดหนึบมาทางด้านนี้ ทางด้านโน้นก็นาน ๆ โผล่ไปกราบครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นหลวงปู่หลวงพ่อแต่ละท่านว่าอะไร เพราะว่าตอนช่วงนั้นนี่ส่วนใหญ่แต่ละท่านดังมากแล้ว พอดังมากบรรดาลูกศิษย์เข้าไปถวายการรับใช้ก็มีมาก

อาตมารู้จักหลวงพ่อวิริยังค์ตั้งแต่ท่านยังเป็นพระหนุ่ม ๆ อยู่ ตอนนี้ท่าน ๙๐ กว่าปีแล้ว ไปเจอกันครั้งสุดท้ายในงานทำบุญอายุ ๘๕ ปีหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ก็ไปกราบท่าน เรียนว่า "หลวงปู่...ผมบวชได้เท่านี้พรรษาแล้ว" ท่านก็ว่า "หรือ... ลูกเต้าเหล่าใครล่ะ ?" เรียนท่านว่า "ลูกแม่ฮวยครับ" ท่านก็ "อ๋อ" ท่านจำแม่ได้ อาตมาเป็นเด็กก็โตไปเรื่อย แต่ถ้าเอ่ยชื่อคนแก่ท่านจะจำได้ง่าย"

เถรี
14-01-2017, 22:08
"ตอนหลวงปู่อายุ ๗๐ กว่าจะ ๘๐ ยังเดินขึ้นเจดีย์เป็นว่าเล่นเลยนะ โอ้โฮ...แข็งแรงจริง ๆ ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านทันหลวงปู่มั่นตอนเป็นเณร อายุตอนนี้ ๙๐ กว่า ทันหลวงปู่มั่นตอนเป็นเณร

ท่านบอกว่าหลวงปู่มั่นเวลาแสดงธรรมเสียงท่านเบา ต้องตั้งใจเงี่ยหูฟังถึงจะได้ยิน คราวนี้บรรดาครูบาอาจารย์รุ่นใหญ่ขึ้นไปกราบเรียนปรึกษาข้อธรรม ขอความรู้เรื่องเกี่ยวกับอารมณ์ใจ ว่าติดขัดแบบโน้น ติดขัดแบบนี้ ต้องแก้ไขอย่างไร ? ท่านเองมีหน้าที่ต้มน้ำถวายพระเถระก็ต้มไป แล้วก็แอบฟัง เงี่ยหูฟังลอดกระดานอยู่ใต้ถุนกุฏิ ต้มน้ำอยู่ใต้ถุนกุฏิ ปรากฏว่าฟังเพลิน หันมาอีกทีหม้อพังไปแล้ว น้ำเดือดจนแห้งหม้อดินแตกไปเลย

โอ้โฮ...กลัวท่านว่าเสียจนกระทั่งบอกไม่ถูก แทบจะหอบบาตรหนีเลย เรียนถามว่าทำไมกลัวขนาดนั้น ? ท่านว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน สมัยก่อนกลัวพระมาก แต่ท่านจะไม่ดุถ้าเราไม่ทำผิดอะไร แต่ถ้าทำผิดท่านจะดุแบบไม่ไว้หน้า ก็คือจะดุให้จำตลอดชีวิตเลย แล้วท่านก็กลัวมาก บอกว่าแทบจะหอบบาตรหนี ท่านว่าอย่างนั้น ยังดีที่หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า เณรไปหาหม้อใหม่มา ไปขอหม้อโยมในหมู่บ้านมา ก็เลยไปบอกโยมว่าหลวงปู่มั่นขอหม้อต้มน้ำใบหนึ่ง โยมก็หาหม้อดินใหม่ให้ ได้มาค่อยยังชั่วหน่อย รู้สึกว่ารอดตาย มัวแต่เงี่ยหูฟังธรรมจนลืมงานตัวเอง

ตั้งใจฟังประสบการณ์ของครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ท่านบอกว่าเรื่องของจิตบางท่านโลดโผนพิสดารมาก ฟังจนเพลิน ลืมหมดทุกอย่าง บางท่านก็โชคดีนะ เจอครูบาอาจารย์ตั้งแต่เป็นเณรเล็ก ๆ บางท่านก็มาเจอเอาตอนแก่แล้ว"

เถรี
16-01-2017, 08:55
พระอาจารย์กล่าวว่า "อยู่ที่บ้านหลังใหม่นี้อย่าทำอะไรหลุด ๆ นะ กล้องวงจรปิดรอบบ้านทุกชั้นเลย โยมไม่รู้ตัวหรอกว่าออกทีวีไปตั้งนานแล้ว เก็บข้อมูลได้เดือนหนึ่งอีกด้วย ท่านที่เดินเข้าประตูรั้วมาก็ออกทีวีไปเรียบร้อยแล้ว ที่มุดไปดูซอกเล็กซอกน้อยรอบบ้าน ก็โดนถ่ายไปหมดแล้ว"

เถรี
16-01-2017, 08:57
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาซื้อเต็นท์ไว้ ๑๐๐ หลังตั้งหลายปีแล้ว นอกจากพวกที่ไปเรียนหนังสือและพวกที่ไปธุดงค์แล้ว ก็ไม่มีใครได้ใช้เลย เพราะว่าฤดูกาลที่พอจะกางเต็นท์ได้ก็หนาวเกินกว่าที่จะกาง ส่วนฤดูอื่นที่ไม่หนาวมาก ก็ฝนตกหรือไม่ก็แดดจัดเหลือเกิน สรุปว่าตั้งแต่ซื้อเต็นท์มา ๑๐๐ หลัง ยังไม่ได้ใช้งานจริง ๆ เลย

แรก ๆ ก็ว่าจะให้ผู้ปฏิบัติธรรมกางเต็นท์กันบนลานธรรม ไม่เป็นไร...พอรู้สึกว่าเต็นท์ใกล้เสื่อมสภาพก็จะบริจาคให้โรงเรียน เอาไว้ฝึกลูกเสือหรือเนตรนารี แล้วเราก็ซื้อชุดใหม่"

เถรี
16-01-2017, 09:53
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานซืนอาตมาไปเดินขึ้นเขาพุทธเจติยคีรีในวัดท่าขนุน ขำ "น้องกินจัง" ที่ตามไปด้วย ปกติหมาขึ้นเขาไม่เคยเหนื่อย แต่น้องกินจังหอบแฮ่ก ๆ เพราะว่าอ้วนมาก ไปไหนก็จะตาม ขึ้นเขาก็ตามไปหอบอยู่ข้างบน ท้ายสุดก็เลยต้องไปลาน้ำที่เขาถวายหลวงพ่อองค์ใหญ่ข้างบน มาเทให้กินไปขวดหนึ่ง

ระยะนี้อาตมาปีนขึ้นปีนลงดูเขาทำเมรุกับหุ้มทองพระเจดีย์ เคยขึ้นที่สูงบ่อย ๆ ก็ไม่กลัว ถ้าคนที่ไม่เคยมองลงมานี่จะรู้สึกหวิวเลย อีกไม่เกิน ๖ เดือนพระเจดีย์วัดท่าขนุนจะหุ้มทองเหลืองอร่าม ช่างชุดนี้ทำงานเร็วจริง ๆ ตอนนี้ช่วงบนลงมาถึงคอระฆังนี่หุ้มหมดแล้ว พอหุ้มองค์ระฆังเสร็จก็เหลือแต่ข้างล่างที่เป็นของง่าย เพราะว่าเป็นเหลี่ยม ๆ ตรงข้างบนที่เป็นโค้ง ๆ เขากำลังไล่ทำลงมาจวนจะหมดแล้ว

ถามเขาว่าทำไมไม่ทำข้างล่างก่อน ? เขาบอกว่าที่ต้องทำข้างบนก่อนเพื่อให้คนปิดทองเขาปิดไล่ตามมา แล้วก็ถอดนั่งร้านลงมาด้วย แสดงว่าเขาชำนาญงานกันจริง ๆ อาตมามักง่ายอยากเห็นงานเยอะ ๆ จะให้ทำข้างล่างก่อน เขาไปทำที่ยากก่อน ที่เหลือก็ง่ายแล้ว"

ถาม : ทองที่ปิดเป็นทองอะไรคะ ?
ตอบ : ทองคำเปลว ๑๐๐ % นี่แหละ แต่เขายืนยันว่าอยู่ได้ ๓๐-๔๐ ปี แต่ที่อาตมาเห็นที่พม่า ๒-๓ ปีเขาก็เปลี่ยนที เพราะว่าคนพม่าเขามีศรัทธามาก อยากทำบุญปิดทองพระเจดีย์ เขาก็ช่วยกันทำบ่อย ๆ ได้

เถรี
17-01-2017, 15:29
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาภูมิใจที่ยังคงความเป็นเด็กบ้านนอกได้เหมือนเดิม แค่ของหนักร้อยกว่ากิโลกรัมทำเป็นยกไม่ไหวกัน อาตมาก็เลยต้องยกเอง แสดงว่าคนสมัยก่อนได้เปรียบ เพราะว่าอยู่กับไร่กับนา ทำงานหนัก ค่อนข้างจะแข็งแรง เด็กรุ่นใหม่เล่นกีฬาเป็นพัก ๆ เข้าฟิตเนสเป็นพัก ๆ

คนไทยตอนนี้เป็นโรคอ้วนถึง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เดินมา ๑๐๐ คน จะมีคนอ้วน ๓๐ คน สาเหตุใหญ่ก็คือขี้เกียจออกแรง ปกติแล้วสภาพร่างกายของคนเราพออายุมากขึ้น บรรดากล้ามเนื้อเส้นเอ็นต่าง ๆ ก็เคลื่อนไหวยากขึ้น ดังนั้น...การทำภารกิจต่าง ๆ ก็ลำบากขึ้น สภาพร่างกายที่เจอแบบนี้มารุ่นแล้วรุ่นเล่า ก็ค่อย ๆ พัฒนาไป พอเริ่มอายุมากก็จะมีการสะสมไขมัน เผื่อว่าถ้าหาอะไรกินไม่ได้จะได้ไม่อดตาย อย่างน้อยก็มีไขมันไว้ละลายใช้งาน

แต่พอมาถึงยุคเรากลับไม่ใช่ ยุคของเรากินเกิน สะสมไขมัน นักวิจัยญี่ปุ่นเพิ่งจะทำวิจัยว่า ถ้ากินอาหารวันละมื้อหรือสองมื้อ โดยไม่กินให้อิ่ม แต่ละมื้อห้ามอิ่มนะ สักประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ที่ร่างกายต้องการ จะอายุยืนมาก ตอนนี้สังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมคนสูงอายุก็คือมีคนแก่มาก แต่เรื่องแบบนี้พระพุทธเจ้าสอนมา ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว พระเราก็ฉันมื้อเดียวบ้าง สองมื้อบ้าง ญาติโยมจะลองดูก็ได้ ถือศีลแปดเอาอานิสงส์ในการลดน้ำหนัก

เจตนาแบบนี้ใช่ไหม ? ถือศีลแปดตั้งใจลดน้ำหนัก ได้บุญด้วย หุ่นสวยด้วย ไม่อย่างนั้นหาเสื้อผ้าใส่ยาก คนไทยตัวเล็กแต่อ้วน เบอร์มาตรฐานใส่ของเขาไม่ได้ คนไทยที่ไม่อ้วนเวลาไปต่างประเทศต้องไปแผนกเสื้อผ้าเด็ก แต่คนไทยที่อ้วนก็ไม่ได้ตัวใหญ่ ตัวเล็กแต่อ้วนเลยไม่รู้จะเอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่ หาที่พอดีตัวไม่ได้จึงต้องตัดเอง"

เถรี
17-01-2017, 15:32
"เมื่อรู้ตัวแล้วก็ปรับปรุงหน่อย กินข้าวให้น้อยลง นอกมื้ออาหารก็ดื่มน้ำเยอะขึ้น ถ้าพวกเราเลิกนิสัยกินน้ำหวานอย่างเดียวก็สบายแล้ว ส่วนใหญ่ที่อ้วนก็เป็นเพราะน้ำหวาน น้ำอัดลม กาแฟ อะไรพวกนี้ โดยเฉพาะกาแฟบ้านเราไปใส่ครีมเทียม ครีมเทียมเป็นไขมันแท้ ๆ เลย เขาพ่นไขมันในอุณหภูมิสูง ตากแห้งเป็นผงออกมากลายเป็นคอฟฟี่เมต พอพวกเรากินกาแฟ ๑ แก้ว ใส่คอฟฟี่เมท ๒ ช้อน ก็เท่ากับกินน้ำมันไป ๒ ช้อน สงสัยว่าข้าวก็ไม่ค่อยกิน กินแต่กาแฟแล้วอ้วนได้อย่างไร ? ไม่ต้องสงสัยนะ อิ่มก็ไม่อิ่ม อ้วนอีกต่างหาก

บรรดาข้าวของพวกนี้มีโทษมากกว่าประโยชน์ กาแฟทำให้เป็นโรคหัวใจง่ายที่สุด ไม่ใช่โรคใจง่าย แต่เป็นโรคหัวใจได้ง่าย เพราะทันทีที่กินเข้าไปหัวใจจะเต้นเร็วขึ้นตามฤทธิ์กาแฟที่ไปกระตุ้น พอหมดฤทธิ์ก็เต้นช้าลง กินใหม่ก็เต้นเร็วอีก ตกลงว่าหาจังหวะมาตรฐานไม่ได้ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ไม่นานก็หัวใจพิการ อ้วนเพราะคอฟฟี่เมต แถมหัวใจพิการอีก เงินหมดอีก เดี๋ยวนี้เอสเพรสโซ่ปั่นแก้วละเท่าไร ? ๘๐ บาทซื้อได้ไหม ? ค่าแรงวันละ ๓๐๐ บาท กินกาแฟ ๓ แก้วก็เกือบจะไม่เหลือแล้ว"

เถรี
17-01-2017, 15:35
"บ้านเราอะไร ๆ ก็ลักลั่นประหลาด ๆ ค่าแรงกับค่าครองชีพไปกันไม่ได้ ปัจจุบันนี้ค่าแรงของอเมริกาทั่วไปตกชั่วโมงประมาณ ๑๐ ดอลลาร์ กินบิ๊กแม็กฯ อันหนึ่ง ๓ ดอลลาร์ โค้กอีก ๑ กระป๋อง ๙๙ เซนต์ ตีว่ามื้อหนึ่ง ๔ ดอลลาร์ ทำงานแค่ชั่วโมงเดียว กินอิ่มขนาดนั้นยังเหลือเงินตั้งครึ่ง บ้านเราค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เจอผัดกระเพราไปจานหนึ่งก็เกือบร้อยแล้ว แถมใส่ถั่วฝักยาวแทนหมูอีก ใส่ไปทำไมวะ ? ของเราค่าแรง ๓๐๐ บาท กินข้าว ๓ มื้อ หมดเกลี้ยง ฝรั่งทำงาน ๒ ชั่วโมงกิน ๓ มื้อก็ยังมีเหลือ บ้านเราค่าแรงกับค่าครองชีพจึงไปกันไม่ได้

ถามว่าทำไมเด็กไม่ค่อยอ่านหนังสือกัน ? เพราะว่าหนังสือราคาแพง แค่เล่มประมาณนี้เป็นร้อยบาทแล้ว ของฝรั่งเล่มหนา ๆ ประมาณนี้ ๓.๙๙ ดอลลาร์ ถ้าเขาทำงานหนึ่งชั่วโมง กินไป ๔ ดอลลาร์ ยังเหลือเงินไปซื้อหนังสือไว้อ่านอีก ถ้าอยากมีเงินเก็บก็ทำเพิ่มอีก ๑ ชั่วโมง บ้านเราหนังสือเล่มละ ๒๐๐ กว่าบาท ๓๐๐ บาททำงาน ๑ วัน ซื้อหนังสือได้ ๑ เล่ม ไม่ต้องกินข้าว แล้วจะให้เด็กที่ไหนจะอ่านหนังสือมากมายขนาดนั้น สู้เอาไปเติมโทรศัพท์เล่นเกมดีกว่า...!"

เถรี
17-01-2017, 15:37
"ถ้าถามว่าทำไมเราถึงอ้วน ? ไม่ต้องบอกหรอกว่าเรากินโน่นกินนี่ แต่เป็นเพราะว่าเรารักษาศีลไม่ได้ ไม่ใช่ศีล ๘ นะ ศีลทุกข้อเลย รักษาศีลทุกข้อไม่ได้ทำให้อ้วน เพราะว่ากำลังใจในการที่ห้ามปากตัวเองไม่ให้กิน กับกำลังใจที่ห้ามตัวเองไม่ให้ละเมิดศีล เป็นกำลังใจที่เท่ากัน ฉะนั้น...ใครที่ห้ามปากตัวเองไม่ได้ ถึงเวลามีโอกาสจะต้องละเมิดศีลแน่นอน เพราะว่าเท่ากับห้ามใจตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

ที่วัดท่าขนุนพอทำวัตรค่ำเสร็จ ญาติโยมจะถวายน้ำปานะ ไม่ต้องมาส่งให้เจ้าอาวาสหรอก เจ้าอาวาสท่านไม่ฉัน นั่งมองพระรูปอื่นท่านฉัน หลังเพลมาแล้วก็ฉันแต่น้ำเปล่า อย่างดีก็แค่น้ำชา ถ้าใครซื้อกาแฟมาให้จะจิบให้เขาคำหนึ่งแล้วส่งคืน บอกว่าไม่ต้องซื้อมาอีก ถ้าซื้อมาให้อีกจะด่า...!

ส่วนพวกเราเดินขึ้นบ้านมา อาตมาสังเกตนะ ถ้าไม่ใช่กาแฟก็ชาเขียว ชาไข่มุก ถือติดมือมาทุกคน แล้วจะไม่อ้วนได้อย่างไร บ่นเรื่องอ้วนทำไม ? บ่นเพราะเราอ้วน เพราะรักษาศีลไม่ได้ คนที่รักษาศีลไม่ได้เพราะกำลังสมาธิไม่พอ คนที่กำลังสมาธิไม่พอเพราะปัญญาไม่มี ไม่รู้ว่าสร้างสมาธิอย่างไร สรุปแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่เหลือสักอย่าง"

เถรี
17-01-2017, 15:43
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเด็ก ๆ เริ่มเข้า ป.๑ ขึ้นอำเภอคัดสำเนาทะเบียนบ้านเพื่อไปสมัครเรียน ปลัดอำเภอจะขอเงินบาทหนึ่ง ถามว่า "ทำอะไรครับ ?" "บูชาพระให้องค์หนึ่ง" ขึ้นอำเภอกี่ครั้งจะได้พระเท่านั้นองค์ เพราะว่าแต่ละอำเภอจะได้รับพระ ๒๕ พุทธศตวรรษที่สร้างฉลอง ๒,๕๐๐ ปีพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าญาติโยมคนไหนอยากได้ของดีราคาถูก คุณภาพคับแก้ว ก็พระรุ่นนี้แหละ เพราะว่าพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในยุคนั้น ได้รับนิมนต์มาทั่วประเทศ ไม่มากไม่มายแค่ ๑๐๘ รูปเท่านั้น

อาตมาเองก็เคยใช้ติดตัวประจำอยู่องค์หนึ่ง ก่อนบวชให้น้องผู้หญิงคนหนึ่งไปใช้แทน เพราะว่าเป็นห่วงเขา ไปทำงานกลางค่ำกลางคืนเดี๋ยวจะไม่ปลอดภัย"

เถรี
17-01-2017, 15:44
พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรที่ไม่คุ้นชิน เราก็จะรู้สึกไม่ถนัด บางคนต่อต้านไปเลย ไม่เป็นไร...เดี๋ยวมาอีกสักเดือนสองเดือน ก็จะคุ้นชินกับบ้านนี้ไปเอง อาตมาย้ายหิ้งพระ ๒ ครั้งแล้ว ย้ายห้องนอน ๕ ครั้งแล้ว เดี๋ยวก็หามุมที่เหมาะสมจนได้

พื้นที่ในสมัยนี้จะมีน้อยลงไปเรื่อย ๆ คำว่าน้อยไม่ใช่ว่าพื้นที่หดหายไปไหน แต่การถือครองจะเหลือแค่ไม่กี่คน เพราะว่าจะราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ แบบเดียวกับที่กะเหรี่ยงบอกว่า "ที่ดินปลูกไม่ได้" คือทำให้โตกว่าเดิมไม่ได้ เมื่อไร ๆ ก็มีแค่นั้นแหละ แต่คนเยอะขึ้นเรื่อย ๆ พื้นที่มีเท่าเดิม ก็ต้องแย่งชิงกัน

ฉะนั้น...พื้นที่เล็ก ๆ อย่างบ้านเติมบุญก็ต้องสร้างขึ้นข้างบนไป ๔ ชั้น ของเกาะฮ่องกงก็ร้อยกว่าชั้นเป็นอย่างน้อย ที่ฮ่องกงขยายไม่ได้เพราะเป็นเกาะ ต้องขึ้นข้างบนอย่างเดียว"

เถรี
17-01-2017, 20:52
พระอาจารย์กล่าวว่า "แพะของหลวงพ่ออ่ำนอกจากจะหายากแล้ว ยังแพงเป็นบ้า แม้กระทั่งแพะของหลวงพ่อลัด ที่เป็นลูกศิษย์ก็ยังหายากเลย"

เถรี
17-01-2017, 21:45
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความอยากสวยเป็นสัญชาตญาณที่อยู่ถึงในดีเอ็นเอ เราดูชนเผ่าเล็ก ๆ น้อย ๆ แถวอเมซอนหรือว่าแอฟริกา เขาก็รู้จักแต่งเนื้อแต่งตัวของเขา เอาขี้โคลนมาทาตัวบ้าง กรีดผิวบ้าง แต่งฟันบ้าง ทำอย่างไรก็ได้ที่รู้สึกว่าดูสวยขึ้น

บางคนก็ถักเปียเส้นเล็ก ๆ แล้วเอาโคลนพอก เขารู้สึกว่าสวย อาตมาดูแล้วก็สงสัยว่ารู้สึกว่าสวยตรงไหนวะ ? หาน้ำไม่ได้ก็บ้วนน้ำลายคลุกขี้ดินเป็นโคลนแล้วก็พอก แล้วก็มีการกรีดผิว ไม่ใช่สักนะ...แต่กรีดเลย กรีดผิวแล้วเอาขี้เถ้ายัด พอแผลหายก็กลายเป็นแผลคีลอยด์นูน ๆ เป็นแถว ๆ เขาว่าสวย อาตมาดูแล้วเหมือนเกล็ดมากกว่า แสดงว่าคงเห็นสัตว์บางประเภทมีเกล็ดแล้วสวย จึงอยากจะสวยแบบนั้นบ้าง

จะว่าไปแล้วก็คือการยึดติดในตัวกูของกูอย่างชัดเจนที่สุด ในเมื่อเป็นตัวกูของกูก็ต้องสวยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ว่าไปแล้วถ้ามีใครไปเผยแพร่ธรรมะทางด้านโน้น คงจะเป็นเรื่องอัศจรรย์ จากที่เขาไม่ได้พบไม่ได้เจออะไรเลย อยู่ ๆ ก็ได้ฟังธรรมขึ้นมา ถ้าเกิดพุทธิปัญญาขึ้นมานี่ก็อัศจรรย์เลยนะ คงจะหันมานับถือศาสนาพุทธกันหมด"

เถรี
17-01-2017, 21:46
ถาม : เขาทำกรรมอะไรหรือคะจึงไปเกิดอยู่ทางด้านนั้น ?
ตอบ : ส่วนใหญ่จะขาดทานบารมี พอขาดทานบารมีก็เกิดแต่ในที่ลำบากยากจน แล้วก็แปลก...ยิ่งลำบากลูกก็ยิ่งเยอะ เพราะเป็นสัญชาตญาณว่าจะต้องสืบพันธุ์ต่อไปให้ได้ ประเภทที่คลอด ๆ ออกมาก็จะต้องมีคนหนึ่งที่แกร่งมากกว่าปกติ จะต้องเอาตัวรอดไปจนได้

เถรี
19-01-2017, 18:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงปีใหม่อากาศที่วัดหนาวอยู่แค่ ๒ วัน อุณหภูมิอยู่ที่ ๑๕ องศาเซลเซียส พอโยมไปก็โดดพรวดขึ้นไปที่ ๒๒ องศาเซลเซียส เล่นเอาคนอยู่ที่นั่นเกือบตาย แต่ก็ดี...เพราะว่าถ้าหนาวมาก กลัวว่าผ้าห่มจะไม่พอ เพราะว่าผ้าห่มของทางวัดส่วนใหญ่เป็นแบบผืนบาง ที่โน่นใช้ผ้านวมไม่ได้ เนื่องจากว่าหน้าฝนยาวมาก ถ้าเป็นผ้านวมก็ขึ้นราหมด ต้องใช้ผ้าห่มแบบบาง ซึ่งไม่ได้ช่วยในเรื่องของความอบอุ่นสักเท่าไร"

เถรี
19-01-2017, 19:10
ถาม : (การปล่อยปลา)
ตอบ : อย่าไปซื้อที่เขาเตรียมไว้ให้เรา ให้ไปซื้อในตลาด การที่เราจะปล่อยชีวิตสัตว์ต้องเป็นสัตว์ที่เขาจะฆ่า ไม่ใช่เขาเตรียมไว้ให้เราปล่อย เขาเตรียมไว้ให้เราปล่อยได้แค่เมตตาบารมี ดีไม่ดีก็จะไปสนับสนุนให้เขาทรมานสัตว์ แต่ถ้าไปซื้อในตลาด เราไม่ซื้อเขาตายแน่ ประเภทนั้นอานิสงส์ได้เต็ม

ถาม : ควรซื้อจำนวนเท่าไรคะ ?
ตอบ : ได้เท่าไรก็เอาแค่นั้น ไม่จำเป็นต้องซื้อจนหมดเงิน เอาแค่ที่ตลาดเขามี ถ้าหากว่าหมดแล้วยังมีเงินเหลือก็ซื้อแม่ค้าไปปล่อยด้วย...!

พวกปลาในตลาดถ้าเราดูไม่เป็นบางทีก็ลำบาก อย่างพวกปลาช่อนส่วนใหญ่จะโดนเอาเข็มร้อยมาลัยจิ้มต้นคอ เขาจะทิ่มให้ปลาชา จะได้ไม่เคลื่อนไหวมาก ไม่อย่างนั้นปลาช่อนชอบกระโดด ถ้าเป็นกบก็มักจะโดนหักขาหลัง

คนอื่นได้ปล่อยตัวอะไรบ้างไม่รู้ อาตมาปล่อยตะกวดมาแล้ว เขาจับมัดมือไขว้หลังไว้ ไม่รู้ทำผิดคิดร้ายอะไรมากมายนัก ถ้าข้ามไปทางฝั่งลาวหรือทางฝั่งพม่า เขามักจะขายสัตว์เป็น ๆ ขายเป็นตัว ๆ เลย หมูไก่ก็มาเป็นตัวเลย เพราะฉะนั้น...พวกสัตว์ป่าถ้าไม่ใช่โดนยิงตายก็จะจับมาทั้งตัว โดยเฉพาะพวกตะกวด พวกแลน พอถึงเวลาก็มัดมือไขว้หลังนอนแอ้งแม้งอยู่ คลานไม่ได้ ได้แต่ทำตาปริบ ๆ พอเห็นก็ซื้อไปปล่อยก่อน ส่วนจะโดนจับมาอีกเมื่อไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อาตมากินไปเยอะแล้วก็ปล่อยเขาบ้าง สมัยที่อยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ บิณฑบาต ๗ วันจะต้องได้พวกตะกวดผัดกระเพรามา ๖ วัน ชาวบ้านเขาล่ากันเป็นปกติ

เถรี
19-01-2017, 19:49
ถาม : ขอถามเกี่ยวกับพระคาถาเมตตา พระอรหัง สุคโต ภควา นะ เมตตาจิต ?
ตอบ : ไม่ต้องถาม ภาวนาอย่างเดียว

ถาม : หลวงพ่อบอกว่า ต้องให้เข้าใจตัวพระคาถาด้วยไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : ทำให้ได้ผลก่อน เข้าใจไม่เข้าใจว่ากันทีหลัง จะไปรอให้เข้าใจก่อนแล้วชาตินี้จะได้ทำไหม ?

เถรี
19-01-2017, 20:53
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อเชาว์ วัดนากาญจน์ บอกว่าเด็กแว้นเป็นผู้มีพระคุณ พอเด็กแว้นบิดรถผ่านไป ญาติโยมก็ด่าตามหลัง หลวงพ่อเชาว์บอกว่า "อย่าไปด่าเขาเลยโยม เขาเป็นผู้มีพระคุณของอาตมา" โยมก็สงสัยว่าไปมีพระคุณกับหลวงพ่อได้อย่างไร "เดี๋ยวพอแหกโค้งตายไป เขาก็ให้ข้าสวด ข้าก็ได้เงิน..!" ต่อไปถ้าเห็นเด็กแว้นให้นึกไว้ว่าเป็นผู้มีพระคุณของพระทั่วประเทศ แหกโค้งใกล้วัดไหนก็เข้าวัดนั้น"

เถรี
19-01-2017, 20:56
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระที่บวชตอนอายุมากเขาก็เรียก หลวงปู่ หลวงตา พระบวชตอนอายุน้อยก็เรียกหลวงพี่ แต่หลวงพ่อนี่เรียกยากที่สุด

อาตมาเคยสงสัยว่าเขาเรียกหลวงพ่อกันตอนไหน นับอายุหรือ ? ท่านบอกว่าไม่ใช่ คนที่จะได้คำเรียกหลวงพ่อต้องเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอุปัชฌาย์เป็นเหมือนพ่อให้กำเนิดพระ ตั้งแต่ปีที่แล้วใครเรียกหลวงพ่ออาตมารับได้ ก่อนหน้านี้เรียกบางทีเขาเรียกก็รู้สึกแปลก ๆ"

เถรี
19-01-2017, 21:02
พระอาจารย์เล่าว่า "ก่อนลงมากรุงเทพฯ อาทิตย์หนึ่ง ไปงานทำบุญบ้านของโยมที่ข้างห้องสมุดเฉลิมราชกุมารี ทองผาภูมิ เขาบอกทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เดินเข้าไปเห็นบ้านมีรอยเจิมแล้ว ไหนบอกว่าขึ้นบ้านใหม่ ? พอเปิดประตูเข้าไปข้างใน อ้าว...หลวงพี่เสริฐ (พระครูสิทธิกิจจานุวัตร เจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า) ลูกศิษย์หลวงพ่อลำไย ท่านเป็นรุ่นพี่

ตอนฉันเพลก็นั่งคุยกัน "ตกลงว่าพี่เป็นเจ้าคณะตำบลแล้วใช่ไหม ?" ท่านบอกว่าใช่ "สรุปว่าพี่เป็นพระอุปัชฌาย์ก่อนผม ส่วนผมเป็นเจ้าคณะตำบลก่อนพี่" สลับกัน จริง ๆ แล้วหลวงพี่เสริฐอาวุโสมาก ๔๐ พรรษาแล้ว ทำไมไม่ค่อยขยับสักที ตอนนี้ยังเป็นเจ้าอาวาสอยู่เลย

ท่านก็ถามกลับว่า แล้วหลวงพ่อเล็กทำไมถึงเป็นช้าเหมือนกัน "ผมไม่ขอครับ" ก็แบบเดียวกัน ต่างคนต่างไม่ขอ รอจนผู้บังคับบัญชาทนรำคาญไม่ไหว ท่านก็ขอให้เอง พวกเราถือคติว่าถ้าให้ไปดิ้นรนขอก็ไม่เอา แต่ถ้าท่านให้เองก็เต็มใจรับไว้ เลยกลายเป็นไปช้าทั้งคู่ คนอื่นที่ดิ้นรนไขว่คว้าเขาแซงหน้าไปหมดแล้ว"

เถรี
19-01-2017, 21:06
"พวกเราสองคนนั่งหัวเราะอยู่ข้างหลัง การรักษาความสันโดษแบบพระไว้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด สันโดษที่ในหลวงทรงใช้คำว่า "พอเพียง" ยถาลาภสันโดษ...ยินดีตามที่ได้ ยถาพลสันโดษ...ยินดีตามกำลังตนที่หามาได้ ยถาสารุปปสันโดษ...ยินดีตามฐานะของตน คนอื่นจะขี่เบนซ์ขี่บีเอ็มก็ปล่อยเขาไป เราเองมีมอเตอร์ไซต์ก็ดีแล้ว คนมีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้าน จะใช้อะไรก็แล้วแต่เขา เราประเภทหัวเดือนท้ายเดือนไม่ค่อยจะชนกันแล้วไปทำแบบเขาก็แย่

หลายคนเป็นหนี้บัตรเครดิตหูตูบเลย เพราะไม่รู้จักสันโดษตัวนี้ ใบที่หนึ่งวงเงินเต็มก็เปิดใบที่สองรูดเงินมาโปะใบที่หนึ่ง เปิดใบที่สามรูดเงินมาโปะใบที่สอง เป็นดินพอกหางหมูไปเรื่อย เดี๋ยวก็ได้ตายคาบัตรเครดิต...!"

เถรี
21-01-2017, 15:41
ถาม : ......(ไม่ชัด)....หนูไม่รู้ว่าโดนหลอกหรือเปล่า เพราะเห็นตลอด ?
ตอบ : สภาพจิตของเราถ้าอยู่ในระดับอุปจารสมาธิก็จะรู้เห็นอะไรได้ง่าย ภาวนาให้สมาธิทรงตัวมากขึ้นหรือไม่ก็คลายสมาธิให้ต่ำลงก็ไม่เห็นแล้ว แต่ถ้าอยู่ตรงจุดนั้นก็จะเห็นไปเรื่อย

ถาม : แล้วหนูจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเพิ่มสมาธิขนาดไหน ?
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออกให้มากขึ้น อารมณ์สูงกว่านั้นนิดเดียวก็ไปแล้ว ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกว่าเพิ่มเท่าไร เพราะทันทีที่สูงกว่านั้นก็จะไม่เห็นอะไรแล้ว

ถาม : แสดงว่าเราก็ไม่ต้องใส่ใจ ?
ตอบ : ปกติการรู้เห็นเขาก็ไม่ให้ใส่ใจอยู่แล้ว ยกเว้นอยากรู้เฉพาะเรื่องอะไร

ถาม : แล้วการที่หนูเห็นภาพเป็นทิพย์ ?
ตอบ : การเห็นสภาพจิตต้องมีความเป็นทิพย์จึงเห็นได้ ทันทีที่เห็นสภาพจิตจะรายงานตัวเองว่าสิ่งนั้นคืออะไร คราวนี้ถ้าเราสนใจก็เก็บไว้ ถ้าไม่สนใจก็ปล่อยทิ้งไป ก็เท่านั้นเอง

เถรี
21-01-2017, 15:54
ถาม : (โดนไสยศาสตร์มา อยากให้ช่วยรักษา)
ตอบ : วันที่ ๑ เมษายน ที่วัดมีงานเป่ายันต์เกราะเพชร ไปเข้าพิธีที่นั่นนะ อาตมาก็ยังแปลกใจว่ามีข่าวไปได้อย่างไรว่าอาตมารักษาไสยศาสตร์เป็น ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรักษาใคร พวกที่เป็นแล้วหาย ๆ เป็นเพราะไปเข้าพิธียันต์เกราะเพชรที่วัดท่าขนุน แล้วงานเป่ายันต์เกราะเพชร ถ้าหากว่าพระหรือครูบาอาจารย์ท่านไม่สั่ง อาตมาก็ทำไม่ได้อีกต่างหาก ฉะนั้น...โยมโดนคุณไสย อาตมาก็ได้แต่นั่งมองคิดอยู่ว่า โยมโชคดีแท้ ทำไมกูไม่โดนสักที ?!

คราวหน้าใครเป็นก็ไปเข้าพิธีตอนเป่ายันต์ฯ ได้ ถ้าปกติแล้วมาให้อาตมารักษา อาตมาทำไม่เป็นหรอก ส่วนใหญ่เขาไปคิดว่าอาตมารักษาให้ได้ทุกเวลา หารู้ไม่ว่าอาตมาจะเก่งแค่ตอนมีงานเท่านั้น ถ้านอกงานบางทียังสู้โยมไม่ได้เลย

โยมจำนวนมากต้องบอกว่าไปแส่หาไสยศาสตร์ใส่ตัวเอง โดยการไปตามสำนักทรงบ้าง สำนักสักบ้าง พูดง่าย ๆ ว่าขาดความมั่นใจในตนเอง ไปหาเขาก็โดนเขาใช้ผีบ้าง ใช้ไสยศาสตร์บ้าง คุมเอาไว้ เจตนาของเขาก็คือใช้หาเงินให้เขาบ่อย ๆ โดยเฉพาะคนที่ไปรับขันธ์มาเรื่อย

การรับขันธ์แปลว่าเรายอมรับเขา เขาก็สามารถควบคุมเราได้ง่าย ถามว่าจะแก้ไขอย่างไร ? ก็เอาขันลอยน้ำไป ถ้าขันธ์ไม่อยู่ก็แก้ง่ายกว่า ถ้ายังอยู่ก็เหมือนมีแหล่งส่งพลังงานอยู่ตลอดเวลา จะแก้ไขยาก

เถรี
21-01-2017, 15:55
หลายคนก็ประเภทจิตอ่อน พอเขาทักว่ามีองค์ก็เชื่อ อาตมายืนยันว่าโยมแต่ละคนมีไม่ต่ำกว่า ๗ องค์ ๘ องค์ เพราะว่าทุกคนเกิดมาต้องมีเทวดาประจำตัวคอยรักษาทั้งนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนั้นถ้าไม่มีองค์จึงเป็นไปไม่ได้ แต่นอกจากเราไม่นึกถึงท่าน ไม่ขอให้ท่านช่วยแล้ว ยังไปรับของที่ไม่ดีเข้ามาอีก ในเมื่อเราเป็นคนรับเข้ามาเอง เทวดาก็รักษาไม่ได้ เหมือนกับเราเปิดประตูให้โจรเข้าบ้าน แล้วตำรวจที่ไหนจะมาป้องกันให้ได้ ในเมื่อเจ้าของบ้านไปรับโจรเข้ามาเอง

ฉะนั้น...ควรทำบุญทำกุศลอุทิศให้กับเทวดาประจำตัวบ้าง มีอะไรก็บอกกล่าวให้ท่านช่วยเหลือป้องกันให้กับเรา อุทิศให้เจ้าที่เจ้าทางที่รักษาบ้านเรือนของเรา มีอะไรไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็ขอให้ท่านสงเคราะห์ป้องกันให้ด้วย

เถรี
21-01-2017, 15:57
ส่วนอีกประเภทหนึ่งเป็นเพราะฮอร์โมนเริ่มพร่อง ก้าวเข้าสู่วัยทอง มีอาการประหลาด ๆ แทนที่จะไปให้หมอตรวจเพื่อเอาฮอร์โมนเสริมมากิน ก็ดันไปหาหมอผี ถูกตีความว่าโดนไสยศาสตร์มา สรุปแล้วเป็นพระอาจารย์เล็กนี่เครียด บางคนพาไปถึงวัดบอกว่าโดนไสยศาสตร์มา อาตมาบอกว่าไม่โดนอะไร เขาก็ไม่เชื่อ บอกช่วยรดน้ำมนต์ให้หน่อย เลยราดไปถังหนึ่งเต็ม ๆ เปียกมะลอกมะแลกไปเลย อยากจะให้ไปรดช่วงหน้าหนาวจริง ๆ...!

บางคนในบ้านตัวเองร้อนจนเหมือนกับไฟนรก แต่ละคนร้อนอกร้อนใจ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ไประบายอารมณ์กับเด็ก ๆ เวลาเด็กในบ้านไปเจอคนข้างนอกเขาพูดดี พูดเพราะด้วยก็ไปติดเขา ผู้ใหญ่ก็บอกว่าไปโดนเขาทำไสยศาสตร์ ความจริงแล้วไสยศาสตร์อยู่ในบ้านตัวเอง คือไปขับไล่ไสส่งเขาโดยไม่เจตนา ถ้าทำให้บ้านเย็นสงบลงได้ ทุกอย่างก็ดีขึ้น แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยพินิจพิจารณาว่าเป็นความผิดตัวเอง เที่ยวไปโทษอย่างอื่น

เถรี
21-01-2017, 15:58
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้รถตู้เฮงจริง ๆ ขับอยู่ดี ๆ ก็ไฟไหม้ให้วิ่งหนีกันอลหม่าน สมัยที่หลวงพ่อพระพรหมเวที วัดพระปฐมเจดีย์ ตอนนั้นท่านยังเป็นพระธรรมปริยัติเวที นั่งรถตู้ไป ควันขึ้นโขมง ท่านลงจากรถอย่างสง่ามาก เดินอย่างคนใจเย็นมากเลย ไปนั่งพักที่ป้ายรถเมล์ซึ่งอยู่ไม่ไกล ทางด้านนี้รถตู้ก็ไฟไหม้ไป เออ...พระผู้ใหญ่ท่านมีสติมากเลย เอ้อระเหยลอยชาย แทบจะจงกรม ยกหนอ...ย่างหนอ...เหยียบหนอ ดูแล้วท่านสมกับเป็นพระผู้ใหญ่จริง ๆ"

เถรี
21-01-2017, 16:00
"อย่างที่อาตมาบอกเมื่อวานว่า รถตู้เกิดมาจากช่องว่างในการขนส่งสาธารณะ จึงมาเสริมเต็มตรงจุดนั้นพอดี คราวนี้รถตู้จริง ๆ ก็ไม่มีปัญหาหรอก ปัญหาอยู่ที่รถตู้ไม่ได้ทำมาเป็นรถโดยสาร ในเมื่อไม่ได้ทำมาเป็นรถโดยสารทั่วไป ความปลอดภัยจึงมีน้อย

วันก่อนโยมส่งคลิปเข้ามาในไลน์ของวัด เห็นว่ามีลูกบอลดับเพลิง น่าใช้มาก ตรงไหนไฟติด โยนเข้าไปเถอะ พอไฟไหม้ก็ระเบิดตูมดับสนิทเลย ไหม้รถขนาดไหนก็ดับได้เพราะว่าตัดอากาศออกไปหมด แต่อาตมาสงสัยอยู่อย่างเดียวคือ ถ้ามีคนบาดเจ็บติดอยู่ตรงนั้น จะตายไปด้วย เพราะว่าไม่มีอากาศหายใจ พอผลักอากาศออกไปหมด ไม่มีออกซิเจนไฟก็ดับ แต่คนไม่มีออกซิเจน คนอาจจะดับไปด้วย ยกเว้นว่าเขาลากออกมาทัน

บ้านเราส่วนใหญ่ไม่ได้แก้ปัญหาแบบบูรณาการ คือไม่ได้มองภาพรวมแล้วแก้ไปพร้อม ๆ กัน แก้ทีละอย่างก็ลูบหน้าปะจมูกไปเรื่อย เราจะเห็นว่าขนาดรัฐบาลเผด็จการ สามารถใช้ ม.๔๔ สั่งงานได้ยังติดซ้ายติดขวาไปหมด เพราะว่ารถตู้ระบาดไปทั่วโลกแล้ว ไม่ใช่แค่ทั่วประเทศไทย"

เถรี
21-01-2017, 16:03
"ตอนนี้ปัญหาใหญ่ของเราก็คือ รายได้หลักของประเทศมาจากการท่องเที่ยว แต่รัฐบาลไปปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยเหวี่ยงแหรวมกันไปหมด ยึดรถทัวร์ไป ๒,๐๐๐ กว่าคัน เลยทำให้ไม่มีรถทัวร์ไปรับนักท่องเที่ยว ในเมื่อไม่มีรถทัวร์ไปรับนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวเข้าถึงพื้นที่ไม่ได้ คนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร หรือคนที่ขายบริการเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ก็ไม่มีงาน ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างมาก

แล้วรัฐบาลที่พยายามจะทำให้ชาวบ้านอยู่ดีกินดี แต่ไปห้ามรถตู้วิ่ง ก็มีคนอีกหลายพันคนไม่มีงานทำ ฉะนั้น...ถ้าหากว่าอาตมาเป็นพลเอกประยุทธ์ ก็คงจะเครียดจนหัวหงอกเหมือนกัน จับแพะชนแกะไปเรื่อย ไม่สามารถจะแก้ทีเดียวได้ทั้งหมด เพราะแก้ปัญหาหนึ่งก็ไปติดอีกปัญหาหนึ่ง จะสังเกตว่าคนเป็นนายกรัฐมนตรีบ้านเรา ขึ้นเป็นนายกฯ ไม่นานหรอก หน้าเหี่ยวไปตาม ๆ กัน เพราะว่าปัญหาของคนทั้งประเทศลงไปที่คน ๆ เดียว

ทัวร์ศูนย์เหรียญไม่ปราบก็ไม่ได้ แต่จะปราบประเภทปล่อยคนนี้ จับคนโน้น ก็ไม่เสมอภาคอีก พอจับไปทั้งหมด คนอื่นที่ทำมาหากินก็เฮงไปด้วย ก็ได้แต่รอว่าเมื่อไรจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วต่างประเทศเขายอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ช่วงนี้เป็นรัฐบาลเผด็จการ เขาจึงไม่ยอมค้าขายด้วย ไม่ยอมลงทุนด้วย พอกระแสการลงทุนจากข้างนอกไม่เข้ามา บ้านเราก็พลอยไม่กล้าลงทุน เพราะขาดความมั่นใจว่าลงทุนแล้วจะมีกำไรไหม หรือมีกำไรแต่คืนทุนช้า หรือไม่ก็ขาดทุนไปเลย

ในเมื่อไม่แน่ใจ คนในบ้านเราก็ไม่กล้าลงทุน ในเมื่อไม่กล้าลงทุน ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือ รัฐบาลแจกเงินไปเรื่อย ๆ การแจกเงินก็มีแต่จะพาให้ชาวบ้านเขาเสีย เพราะว่ารับเงินไปใช้เลย ไม่มีการต่อเติมเพิ่มเงินขึ้นมาอีก"

เถรี
21-01-2017, 16:04
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมายืนยันว่าควายเป็นสัตว์ที่ฉลาดมาก เพราะตั้งแต่เด็ก ๆ ก็คลุกคลีตีโมงกับควายมา เขารู้ภาษาทุกอย่าง สอนกันได้ จะให้เลี้ยวซ้าย จะให้เลี้ยวขวา ให้หยุดให้เดิน เขาเข้าใจหมด แล้วควายเป็นสัตว์ที่แข็งแรงมาก แต่ไม่คิดที่จะดื้อกับคน เพราะรู้ว่าคนเก่งกว่า นั่นเป็นความฉลาดของเขา

คนโบราณของเราเห็นวัวควายเป็นสัตว์ที่มีคุณ ถึงเวลาเว้นจากหน้านาหน้าไถ ก็พยายามบำรุงเลี้ยงเขาอย่างเต็มที่ เสียดายที่บ้านเราไม่ค่อยได้ใช้วัวควายแล้ว ทางด้านพม่ายังใช้เกวียนใช้รถม้ากันอยู่ เลี้ยงวัวเลี้ยงควายแต่ละตัวงามระดับพระโคบ้านเรา แต่พม่าไม่ค่อยมีควาย ส่วนใหญ่ควายถูกส่งมาขายเมืองไทยจนหมด อาตมาไปพม่าอยู่หลายปี เจอเกวียนเป็นหมื่นเล่ม แต่ส่วนใหญ่เทียมวัว ตั้งหลายปีเคยเจอเกวียนเทียมควายรวมกันแค่ ๔ เล่ม"

เถรี
21-01-2017, 16:42
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานอาตมาย้ายห้องนอนเป็นครั้งที่ ๕ เพราะว่าสองห้องแรกกลิ่นส้วมเข้าไปได้ จะว่ากลิ่นส้วมก็ไม่ใช่หรอก ต้องบอกว่ากลิ่นท่อน้ำทิ้ง เกิดจากพวกนิสัยดีที่อาบน้ำไปฉี่รดไปนั่นแหละ คราวนี้กลิ่นก็อยู่ข้างในไม่ไปไหน เพราะว่าแบคทีเรียกินอยู่ตลอดเวลา ไปนึกถึงพระครูแสงที่ให้เขาเช่าบ้าน กลับไปบ้านเช่าทีไรโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย เขาใช้อย่างเดียวไม่ได้รักษา แล้วบ้านเช่าคนที่จะดูแลรักษาให้ดีก็มีไม่กี่คนหรอก

อาตมาใช้รถคันที่แล้ว ๖ ปี คนมาเห็นยังบอกเหมือนใหม่อยู่เลย ใช้ของเขาก็ต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด เหมือนอย่างกับสังขารร่างกายของเรา ยืมโลกมาใช้ ในเมื่อยืมมา มารยาทในการยืมก็ต้องดูแลรักษาให้ดี ถึงเวลาจะได้คืนเขาไปในสภาพที่ดีที่สุด ไม่ใช่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไม่รักษา ปล่อยให้โรคกำเริบไป ถึงเวลาร่างกายแย่ขึ้นมาจะปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้เพราะว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว"

เถรี
21-01-2017, 16:43
"ไปนึกถึงพระโคธิกะที่ป่วยตลอดชีวิต แม้แต่ปฐมฌานก็ทรงไม่ได้ ท้ายสุดตัดสินใจว่าตายดีกว่า เอามีดโกนเชือดคอตาย กลายเป็นพระอรหันต์ไป พญามารตามหาทั่วทั้ง ๔ ทิศ ตอนแรกพญามารก็มาเยาะเย้ยพระพุทธเจ้าว่า "พระสาวกของพระสมณโคดมไม่หลุดพ้นจากมือของเรา" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปาปิมะ...ดูก่อนมารผู้มีบาป สาวกของเราพ้นจากมือของเธอแล้ว" พญามารไม่เชื่อ วิ่งไปหาทั้ง ๕ ทิศก็หาไม่เจอ ขึ้นฟ้าลงดิน หาในกลีบเมฆ ในมหาสมุทรทั่วไปหมด ไม่เชื่อว่าคนฆ่าตัวตายแล้วจะไปพระนิพพานได้

นั่นเป็นรายเดียวที่ปรากฏชัดที่สุด เพราะว่าเบื่อร่างกายจริง ๆ ป่วยมากจนไม่สามารถที่จะทรงฌานได้เพราะว่าร่างกายไม่ดี ในอรรถกถาท่านบอกว่า "เห็นฝุ่นฟุ้งไปในทิศทั้ง ๔" แสดงว่าพญามารวิ่งเร็วมาก ควานหาจนทั่ว ในสายตาชาวบ้านคงเห็นเหมือนกับพายุพัด"

เถรี
21-01-2017, 19:32
ถาม : เวทนาเกิดทางกายก็มี เวทนาเกิดทางใจก็มี เวทนาเกิดทั้งกายและใจก็มี ?
ตอบ : เวทนาทางกายก็คือความเจ็บปวดของร่างกาย เวทนาทางใจก็อย่างเช่นเสียใจ

ถาม : แล้วเวทนาทั้งทางกายและใจ ?
ตอบ : ก็บวกกันเข้าไปสิ

ถาม : พระอรหันต์มีแต่เวทนาทางกาย แต่ไม่มีเวทนาทางใจใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เหลืออยู่แค่นั้นแหละ ใจท่านเลิกปรุงแต่งไปนานแล้ว เหลือแต่อุเบกขาเวทนา ต้องเรียกว่าสังขารุเปกขาญาณ

เถรี
21-01-2017, 20:13
ถาม : เข้าปีชงครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นจะมีปัญหา ตูชงมาตั้งกี่ปีแล้ว ยิ่งชงก็ยิ่งรวย

ถาม : ทำกำลังใจอย่างไรครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่เราคิดดี พูดดี ทำดีหรือเปล่า ? ถ้าไปคิดว่าไม่ดีก็เท่ากับว่าเราไปแช่งตัวเอง

เถรี
21-01-2017, 20:16
ถาม : เป็นริดสีดวงทวารครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฝีคัณฑสูตร หาใบลำโพง รู้จักไหม ? เอาใบลำโพงมา ๕ ใบแล้วข้าวสุก ๑ กำมือ ตำเข้าด้วยกัน ผสมเข้ากันดีแล้วก็พอกตรงหัวฝีที่แตกแล้ว จะดูดหนองออกมาหมด

ถาม : ใบลำโพง ๕ กำ ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ...! บอกอยู่แหม็บ ๆ ว่า ๕ ใบกลายเป็น ๕ กำ เดี๋ยวก็ได้ตายกันบ้างหรอก

เถรี
22-01-2017, 20:36
พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่เราซื้อแต่ของร้าน 7 - Eleven ซื้อไปก็ช่วยแต่นายทุนมหาเศรษฐี เป็นการเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง ต้องใช้หนูกี่ตัวล่ะ ? ลองคิดดู...ต้องซื้อของร้านค้าทั่วไปถึงจะช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียน"

เถรี
22-01-2017, 20:50
ถาม : วันก่อนไปกราบหลวงพ่อวิชา แล้วลาว่าจะไปวัดท่าขนุนต่อ กราบเรียนว่าที่จริงจะไม่ไปวัดท่าขนุนก็ได้ แต่อยากไป หลวงพ่อวิชาท่านว่า "อ้อ...เป็นเรื่องของหัวใจ" ถ้าเราคิดถึงจะไปกราบพระ...ตรงที่ใจอยากไปเป็นเรื่องของขันธ์ห้าที่เราเอาจิตไปจับใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าเราต้องมีเครื่องยึดเกาะ ถ้าเราไม่มีเครื่องยึด เราก็ปล่อยไม่ได้ ถ้าไม่ได้จับอะไรไว้แล้วเราจะปล่อยอย่างไร ? อันดับแรกของเราต้องเกาะในสิ่งที่ถูกต้องก่อน เมื่อเกาะแล้วตอนช่วงหลังถึงเวลาก็จะปล่อยเอง

เถรี
23-01-2017, 22:03
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อหลายเดือนก่อนที่เตือนคนปักษ์ใต้ว่าน้ำจะท่วม อาตมายืนยันว่าที่ท่วมอยู่ตอนนี้ยังไม่หนักจริง บอกแค่นี้แหละ ไหน ๆ จะยุ่งกับเวรกรรมของชาวบ้านเขาแล้ว เพิ่มอีกนิดก็คงจะโดนไม่เท่าไร"

เถรี
23-01-2017, 22:27
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเดินทางมาบ้านเติมบุญนั้น ท่านใดเดินทางไกลขึ้นก็ถือว่าเป็นผู้เสียสละ ใช้ความอดทนพากเพียรมากกว่าคนอื่น ต้องบอกว่าเป็นการเร่งบารมีให้เต็มเร็วขึ้น ส่วนใครที่ใกล้ขึ้น โดยเฉพาะที่อยู่ข้างบ้านเลย อย่าเผลอเป็นใกล้เกลือกินด่าง มัวแต่นิ่งนอนใจ จะกลายเป็นกระต่ายนอนหลับให้เต่าแซงไปได้"

เถรี
23-01-2017, 22:43
ถาม : อ่านเจอในหนังสือ เขาบอกว่าจะเชิญท่านท้าวมหาราช ปุริมัญจะ ทิสัง ราชาฯ ต้องมีเทปหลวงพ่อฤๅษีเท่านั้นหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าสงสัยแล้วทำไมไม่ไปถามเขา

ถาม : เสียงพระรูปอื่นได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่ว่าเชิญด้วยความเคารพหรือเปล่า ? หลวงตาผ่องกับหลวงตานา เป็นหลวงตารุ่นเก่าของวัดท่าซุงเก่า อยู่มาตั้งแต่ก่อนหลวงพ่อฤๅษีจะไปอยู่วัดท่าซุง คราวนี้หลวงตาผ่องแก่วัด ก็เลยมีนิสัยประหลาด ๆ ไปด้วย พอเห็นหลวงพ่อฤๅษีท่านเชิญเทวดาด้วย ปุริมัญจะ ทิสัง ราชาฯ ท่านก็เลยเอาไปสวดเล่นบ้าง ตามประสาคนแก่นั่นแหละ เดินลงบันไดก็เลยตกบันไดลงมา ก็ยังนับว่าท่านท้าวมหาราชท่านเมตตาให้แค่ตกบันได

ตอนนั้นหลวงตาผ่องพักอยู่ที่ตึกทหารอากาศสงเคราะห์ ซึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสร้างขึ้นเป็นหลังแรก ๆ ที่นั่น โดยมีนาวาอากาศโทอาทร โรจนวิภาต (ยศในขณะนั้น) เป็นเจ้าภาพ ก็แค่ร่อนจากบันไดชั้นบนลงมาชั้นล่างเท่านั้น ไม่กี่สิบขั้น..! ท่านต้องการสอนให้รู้ว่าท้าวมหาราชไม่ใช่เพื่อนเอ็ง จะล้อเล่นอะไรก็ให้ไปเล่นอย่างอื่น

เถรี
23-01-2017, 22:46
ถาม : วัดที่มีแม่น้ำใกล้ ๆ มีสระใหญ่ ๆ อากาศจะชื้น ถ้าชื้นแล้วไม่สัปปายะหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : แต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกัน อากาศเป็นสัปปายะ หมายถึงที่สบายเฉพาะแต่ละคน บางคนก็ชอบที่แห้ง ที่หนาว บางคนก็ชอบที่ร้อน ที่ชื้น ต่างกัน ไม่ดีสำหรับเรา ไม่ได้แปลว่าไม่ดีสำหรับคนอื่น

เถรี
23-01-2017, 22:54
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้วันที่ ๗ มกราคม ปีใหม่ผ่านไป ๗ วัน มีบางครอบครัวซื้อมอเตอร์ไซค์เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกชาย ซึ่งได้จัดงานศพไปเรียบร้อยแล้ว วัยรุ่นมีมอเตอร์ไซค์ก็บิดกันกระจาย คิดถึงพ่อแม่เสียที่ไหน คิดเอาแต่ความสะใจของตัวเองอย่างเดียว ขาดความอบอุ่นก็เลยต้องเอาของพวกนี้มาอวดเพื่อน ต้องการให้เพื่อนยอมรับ

มีโยมคนหนึ่งอยู่ที่หนองคาย สมัยนั้นร้าน 7 - Eleven ยังไม่ดัง เปิดร้านโชห่วยขายของ ค่อนข้างจะมีฐานะดี ลูกชายสอบเข้าชั้นมัธยม ๔ ของโรงเรียนประจำจังหวัดได้ ขอรางวัลเป็นมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน พ่อแม่ก็รีบซื้อให้ ลูกชายกลับมาจากเล่นบอล ถึงบ้านเห็นมอเตอร์ไซค์ก็ดีอกดีใจ บิดปรื๊ดจะไปอวดเพื่อน ชนตูมอยู่ตรงสี่แยกหน้าบ้านนั่นแหละ..! สรุปก็คือนั่งบนมอเตอร์ไซค์ไม่ถึง ๓ นาทีก็ตายแล้ว พ่อแม่เป็นลมไปหลายตลบ ดันไปซื้อโลงติดล้อให้ลูกขับเอง"

เถรี
23-01-2017, 23:15
โยมมารับวัตถุมงคล "หนุมานทำอะไรก็สำเร็จ เพราะฉะนั้น...เราต้องทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง

หนุมานของหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน ดังเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เพราะท่านมีช่างจีน ฝีมือวิลิศมาหรามาก แกะหนุมานออกมางามสุด ๆ ถึงจะดูความขลังก็ให้ดูความสวยด้วย

หลวงปู่ปาน วัดบางกระสอบ ท่านเป็นระดับครูบาอาจารย์ ถึงเวลาต้องยกท่านขึ้นมาก่อน แต่ความดังสู้หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อดิ่งไม่ได้

สมัยก่อนหลวงปู่บุดดาถามว่าเป็นลูกศิษย์ใคร "ลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุงครับ" "อ้อ...สายหลวงพ่อปาน สมัยก่อนมีหลวงพ่อปาน ๓ องค์" กราบเรียนถามว่ามีองค์ไหนบ้าง ? "หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย มีลูกศิษย์ตั้งร้อย หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ก็ลูกศิษย์ตั้งร้อย" ร้อยของหลวงปู่นี่เยอะมาก อย่างที่สมัยก่อนอะไร ๆ ก็ลง ๕๐๐"

เถรี
23-01-2017, 23:33
พระอาจารย์กล่าวว่า "เสือสาลิกา ปกติเขาเอาไว้ในตลับสีผึ้ง"

ถาม : สีผึ้งเป็นเสน่ห์ แต่เสือไม่มีเสน่ห์ มีอำนาจ ไม่ใช่หรือครับ ?
ตอบ : คุณว่าเสือไม่มีเสน่ห์ ลองเอาเสือไปขังไว้สิ ใคร ๆ ก็อยากไปดู

ถาม : อย่างนี้นี่เอง ?
ตอบ : เสือน่ากลัว แต่มีเสน่ห์ในความน่ากลัว เขาอยากดูเพราะว่าเป็นสัตว์น่ากลัว ก็เลยเป็นมหาเสน่ห์และมหาอำนาจไปในตัว การสร้างวัตถุมงคลถ้าไม่เข้าถึงหัวใจจริง ๆ เราจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หรือว่าต้องทำอย่างไร ลองนึกดูสิว่าถ้าเอาเสือไปล่ามไว้หน้าบ้านเติมบุญ มีหวังคนรุมดูเป็นพัน

หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ท่านสร้างเสือแล้วเสกให้วิ่งเข้าป่าไปก่อน จึงค่อยเรียกกลับมา หลวงพ่อคงทำได้สำเร็จ ส่วนหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง เสกเสือวิ่งได้ หายเข้าป่าได้ แต่เรียกเท่าไรก็ไม่กลับ ท่านก็เลยหันไปทำสีผึ้งแทน ปรากฏว่าท่านดังกว่า

สีผึ้งเขียวมหาเสน่ห์ของท่านสุดยอดจริง ๆ สีผึ้งอันดับหนึ่งของประเทศไทยต้องหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ที่เหลือก็แล้วแต่ว่ามีประสบการณ์ของใคร

เถรี
23-01-2017, 23:39
ถาม : หลวงพ่ออ่ำ ท่านก็เป็นแบบนี้เช่นกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก ท่านก็เสกเสือวิ่งเข้าป่าได้ แต่เรียกไม่คืน ท่านก็เลยต้องไปทำแพะแทน ก็แปลว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านไม่ใช่ว่าทำได้แล้วจะสำเร็จกันหมด ท้ายสุดท่านก็ไปเจอสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเอง อย่างหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก ก็ไม่มีใครไปสู้ท่านเรื่องแพะมหาเสน่ห์ได้ จะเมตตา ค้าขาย โชคลาภ คงกระพัน ได้หมด

ถาม : เปิดมาดูกระทู้อีกที แพะหายไปหมดแล้ว ?
ตอบ : คุณรู้ไหมว่าทิดเก้า (สุรเตโช ผู้ดูแลเว็บวัดท่าขนุน) หาแพะหลวงพ่ออ่ำมาทั้งชีวิต แต่เขาไม่เคยถามผมเลย ตามหาแพะหลวงพ่ออ่ำมาทั้งชีวิต เขาไม่รู้หรอกว่าพระอาจารย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ มีเป็นคอกเลย..!

เถรี
24-01-2017, 19:31
พระอาจารย์กล่าวว่า "พยาบาลจริง ๆ ในยุคแรก ๆ เขาใช้แถบขาวแดงเป็นสัญลักษณ์ ใครเห็นแถบหน้าร้านตัดผมบ้าง ? นั่นแหละสัญลักษณ์ของพยาบาลแต่โบราณเลย เพราะสมัยก่อนร้านตัดผมต้องรักษาคนด้วย

ถามว่าสัญลักษณ์ขาวแดงมาจากไหน ? มาจากผ้าพันแผลเปื้อนเลือดกับผ้าพันแผลสะอาด ตอนหลังเปลี่ยนเป็นจันทร์เสี้ยวสีแดง แล้วเปลี่ยนเป็นกากบาดแดง กากบาดแดงก็คือกาชาด ชาดคือสีแดง โดยปกติตามสนธิสัญญานาโต ห้ามผู้ที่อยู่ในสงครามทำร้ายแพทย์ พยาบาล หรือทำลายอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งโรงพยาบาล"

เถรี
24-01-2017, 21:28
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่มีธนบัตรที่ด้านหลังเป็นรูปในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ตอนฉลองพระชนมายุ ๖๐ พรรษา เก็บไว้ให้ดี ๆ เป็นประวัติศาสตร์เลย

อาตมาโชคดีสร้างห้องสมุดถวายพระองค์ท่านตอน ๖๐ พรรษา สร้างพระใหญ่ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ๘๐ พรรษา สร้างหลวงพ่อหินเขียว ถวายในหลวง ๘๔ พรรษา ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีไม่ได้สร้างถาวรวัตถุ แต่ทำเป็นหนังสือสวดมนต์ถวายกุศลให้กับพระองค์ท่าน

เรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนใหญ่แล้วบุคคลที่ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ก็ดี พระเจ้าจักรพรรดิก็ดี จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีมา พระองค์ท่านถึงได้เป็นผู้นำของหมู่ชน"

เถรี
25-01-2017, 10:08
ถาม : พี่สาวอยากทราบว่าถ้าอยากขายที่ดินได้ ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ขายถูก ๆ ถ้าขายแพงก็ขายไม่ได้หรอก ลองไปบนพระวิสุทธิเทพดู ถ้าขายได้ก็ให้เราถือศีล ๘ พร้อมเจริญพระกรรมฐาน ๗ วัน จุดธูปกลางแจ้ง นึกถึงพระวิสุทธิเทพคือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

เถรี
25-01-2017, 21:51
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาหล่อหลวงพ่อเงินวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ที่วัดท่าขนุน เวลา ๑๒.๓๙ น. ใครจะไปบวชปฏิบัติธรรมก่อนก็ได้"

เถรี
25-01-2017, 22:03
ถาม : พระของพ่อมีเยอะ ผมขอแม่แล้วเอาพระของพ่อไปถวายวัด ?
ตอบ : พระของท่าน ทำแล้วก็นึกถึงให้ท่านมาโมทนา ก่อนทำก็จุดธูปบอกกล่าวท่านสักหน่อย เผื่อว่าท่านจะหวง

เถรี
25-01-2017, 22:52
ถาม : ถ้าของมีลิขสิทธิ์ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ามีลิขสิทธิ์ไม่ว่าจะได้มากี่ต่อก็ตาม ผิดทั้งนั้น

ถาม : สมมติว่าหนังสือจริง ๆ ของเล่มนั้นอยู่ในไอแพด ถ้าเราเข้าไปอ่าน ?
ตอบ : ต้องดูว่าเราเข้าไปแบบไหน ถ้าเขาคิดเงินแล้วเราเข้าไปอ่านโดยไม่จ่ายเงินก็ผิดทั้งนั้น ยกเว้นว่าเขาให้เราโหลดไปอ่านได้ ก็ไม่เป็นไร สมัยนี้เขาไม่น่าจะหวงแล้วนะ

เถรี
25-01-2017, 23:07
ถาม : บางครั้งนั่งสมาธิแล้วลมหายใจหาย ตามไม่เจอว่าหายไปไหน ?
ตอบ : จิตเริ่มเป็นสมาธิ เพียงแต่สภาพจิตหยาบไปหน่อยเลยตามไม่ทัน ให้สังเกตว่าจะหลุดตอนที่เราเผลอหลุดจากลมหายใจ ฉะนั้น...เอากำลังใจของเราเกาะลมหายใจให้ติด ๆ ไว้ จี้ติดชนิดไม่ปล่อยเลย ไม่อย่างนั้นก็จะหายอีก

ตามลมหายใจให้ได้ก่อน หลังจากนั้นพอสภาพจิตละเอียดขึ้น ต่อไปลมหายใจหายไป เราก็รู้ว่าหายไป แค่รับรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปดิ้นรนหายใจใหม่ แล้วก็อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น ตามดูไว้เฉย ๆ เรามีหน้าที่รู้ว่าตอนนี้ลมหายใจหายไป ตอนนี้คำภาวนาหายไป

เถรี
25-01-2017, 23:12
ถาม : นั่งสมาธิชอบง่วงค่ะ ?
ตอบ : แสดงว่าสมาธิเริ่มทรงตัว สมาธิทรงตัวก็จะเป็นปฐมฌานหยาบ ปกติถ้าสติขาดก็จะตัดหลับไปเลย ถ้าสติเรายังอยู่จะรู้สึกว่าง่วงมาก พยายามตามลมหายใจของเราให้ชิดกว่านั้น ถ้าก้าวข้ามไปได้ต่อจากนั้นก็จะไม่เป็นอีก

ถาม : เป็นแล้วไม่รู้สึกตัว ?
ตอบ : สมาธิกำลังดี ถ้าเริ่มดีจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่ายังไม่ดีเต็มที่ พอข้ามตรงนั้นไปได้ถึงจะดีจริง

ถาม : ควรภาวนาบทอะไร ?
ตอบ : อะไรก็ได้ คำภาวนาเป็นแค่เครื่องโยงให้ใจเป็นสมาธิเท่านั้น ฉะนั้น...อะไรที่ทำให้เป็นสมาธิใช้ได้ทั้งนั้น

เถรี
26-01-2017, 20:18
ถาม : บ้านเพื่อนอยู่อเมริกา ถ้าจะบวงสรวงต้องใช้เวลาของอเมริกาหรือของไทยครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาฉลาดก็จะรู้จักเลือกเองแหละ ถ้าโง่ก็ปล่อยให้โง่ต่อไป...! เวลาตรงกันข้ามกับไทย แล้วคุณจะบวงสรวงตอนกลางคืนของไทยใช่ไหม ? ถามแบบไม่ใช้หัวแม่ตีนคิด...!

เถรี
26-01-2017, 20:25
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราพอพัฒนามาเป็นสังคมเมือง ความแหลมคมของประสาทรับรู้ก็หายไปมาก ประสาทตา หู จมูก ลิ้น กายนี่รับชัดยังแทบจะไม่รู้เรื่องเลย อาตมาตอนเป็นทหารเขาฝึกให้ใช้สัมผัสด้วยประสาททั้ง ๕

แปลกใจมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว ออกไปธุดงค์ด้วยกัน อาตมาก็ไม่ค่อยสบายเพราะมาลาเรียกำเริบ บรรดาลูกศิษย์ก็จัดการกางกลด ทำความสะอาดสถานที่ อาตมาเองก็รับหน้าที่ไปตักน้ำ เพราะว่าถ้าให้คนอื่นกรองน้ำเดี๋ยวไม่สะอาด อาตมาเคยถวายการรับใช้หลวงปู่หลวงพ่อสายธรรมยุติจะรู้วิธีกรองน้ำ เมื่อกรองน้ำมาได้บาตรหนึ่ง

ขากลับเจอท่อนไม้ที่น้ำพัดมา ขนาดน่าจะทำฟืนได้ทั้งคืนทั้งวัน ยาวสัก ๔ เมตร โตสักโอบหนึ่งได้ ก็เลยแบกมาด้วย พอมาถึงมหาเคกับสมุห์กอล์ฟก็ประกบหัวท้าย อาตมาบอกว่า "ไปเอาคนมาอีก" ท่านก็ไม่ฟัง พอรับไปเท่านั้น...หนักจนหัวทิ่มทั้งคู่เลย"

เถรี
26-01-2017, 20:28
"ส่วนที่เล่าแล้วหัวเราะไม่ออกก็คือ ตอนนั้นอาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษี จะยกเสาปูน ๕ นิ้วที่วางเกะกะไปเก็บ เป็นเสาคอนกรีตยาว ๕ เมตร แต่โคนเสาเขาทำเป็นตีนช้าง อาตมาเห็นว่าโคนเสาน่าจะหนัก ก็เลยแบกโคนเสายกขึ้นไหล่ สมุห์กอล์ฟช่วยแบกปลาย พอนับ ๑ ถึง ๓ อาตมาลุกพรวดขึ้น ทางด้านท้ายก็ยุบฮวบ หันไปอีกทีสมุห์กอล์ฟโดนทับคอพับไปแล้ว ต้องรีบวางทางด้านโคนลง แล้วไปยกทางด้านปลายออกให้ท่าน

สมุห์กอล์ฟบอกว่า "ไอ้คนใกล้ตายคิดได้เยอะขนาดนี้เลยหรือ ? ผมไปคิดว่าหลวงพ่ออยู่ด้านที่ใหญ่กว่า หนักกว่า ถ้าหลวงพ่อโดนทับไปด้วยแล้วใครจะมาช่วยผม" สรุปแล้วเด็กรุ่นหลังนี่ไม่ได้เรื่องเลย จึงบอกว่า "เดี๋ยวคุณแก่เท่าผมแล้วจะแข็งแรงเองแหละ..!"

นึกถึงว่าแม้แต่จับกังสมัยนี้ ที่เขาเลิกแบกกระสอบข้าวสารกระสอบละ ๑๐๐ กิโลกรัม เหลือแค่กระสอบละ ๕๐ กิโลกรัม ก็ยังสงสัยอยู่ว่าสมรรถภาพเสื่อมลงไปหรือเปล่า ?"

เถรี
26-01-2017, 20:59
"เมื่อครู่นี้ที่บอกว่าการเสื่อมสมรรถภาพของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตอนสมัยเป็นทหารเขาให้พิสูจน์ทราบด้วยประสาททั้ง ๕ โดยให้เข้าฐานฝึกตอนเที่ยงคืน มืดตื้อเลย ฐานแต่ละฐานก็จะมีวัตถุให้ทดสอบ จะใช้คลำ จะใช้ดู จะใช้ดม จะใช้ชิมอย่างไรก็ได้ แต่ต้องบอกให้ได้ว่าวัตถุนั้นคืออะไร ถ้าบอกผิดก็โดนสั่งซ่อม ก็คือโดนลงโทษอยู่ตรงนั้นแหละ จะวิดพื้น ๕๐ ครั้ง นั่งกระโดด ๕๐ ครั้งก็ว่าไป ใครผิดซ้ำซากก็โดนเป็นร้อย ๆ

ปรากฏว่าวัตถุ ๘ อย่าง อาตมาบอกผิดอย่างเดียวเพราะไม่เคยใช้ เป็นโลชั่นทาตัว อาตมาไม่รู้จัก ได้กลิ่นแล้วนึกว่าครีมใส่ผม เพราะว่าสมัยก่อนรู้จักแต่ครีมใส่ผม จึงตอบว่าครีมใส่ผม โดนวิดพื้นไป ๕๐ ครั้ง นอกนั้นบอกถูกหมด แต่สงสารเพื่อนหลายคน มีอยู่คนหนึ่ง เวลาเขามองดู อะไรโปะเป็นก้อนอยู่บนกระดาษ ตอนเที่ยงคืนนะ มืดตื้อเลย ครูฝึกเขาบอกว่า "มึงลองดมดูสิ" พอดมเสร็จเพื่อนก็ตอบว่า "พุทรากวนครับ" "มึงแน่ใจนะ ?" "แน่ใจครับ" "ถ้าอย่างนั้นมึงลองชิมดูหน่อย" ชิมแล้วเพื่อนก็ยังตอบว่า "พุทรากวนครับ"

สรุปว่าโดนวิดพื้นเป็นร้อย ขี้วัวแท้ ๆ เห็นเป็นพุทรากวนไปได้...! พอไปอีกฐานหนึ่งเพื่อนดมแล้วตอบว่า "น้ำส้มสายชูครับ" "มึงลองชิมดู" เพื่อนก็ยังตอบว่า "น้ำส้มสายชูครับ" สองครั้งสามครั้งก็ยังตอบว่าน้ำส้มสายชูครับ อาตมาดมครั้งแรกก็บอกว่า "เยี่ยวครับ" จบเลย ดมไปได้อย่างไรว่าเป็นน้ำส้มสายชู เพื่อนคนนี้ต้องบอกว่าหล่อติดอันดับของรุ่นเลยนะ เจองานนั้นเข้าไปหมดหล่อเลย ชิมทั้งขี้วัว ชิมทั้งฉี่"

เถรี
31-01-2017, 09:32
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าเล่าเรื่องตอนเป็นทหารแล้วเขาฝึกให้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ตอนนั้นการฝึกทุกอย่างหนักมาก ตื่นตี ๕ คิดว่าไม่หนัก...ใช่ไหม ? แต่ตื่นตี ๕ แล้วต้องเข้าห้องน้ำห้องส้วม ล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัว ไปจัดแถว เกิน ๓ นาทีเมื่อไรโดนซ่อมอาน คำว่า "ซ่อม" ก็คือทำให้ดีขึ้น ฉะนั้น...ถ้าวันนี้เวลาไม่ดีพอก็ต้องทำให้ดีขึ้น วิธีซ่อมก็คือการลงโทษ

หลังจากนั้นก็วิ่งออกกำลังกาย ต่ำสุด ๗ กิโลเมตรต่อครั้ง สูงสุดเคยถึง ๒๔ กิโลเมตร พูดง่าย ๆ ว่าถ้าครูฝึกหมั่นไส้ก็ได้วิ่งเยอะหน่อย โดยเฉพาะถ้าเป็นสิบเอกโสภณ อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพ่อคุณท่านถึงได้วิ่งอึดขนาดนั้น หุ่นเหมือนกับคุณชยาคมน์นี่แหละ นึกออกไหม ? ถ้าหมู่โสภณพาวิ่งนี่...เจ้าประคุณเถอะ ไม่ถึง ๒ ชั่วโมงไม่ต้องไปถามเลยว่าแกจะหยุดไหม ที่อัศจรรย์ก็คือแกวิ่งได้ทั้งขึ้นหน้าและถอยหลัง พอถึงเวลาแกจะตรวจแถวพวกเราว่าวิ่งพร้อมเพรียงกันหรือเปล่า แกก็วิ่งถอยหลัง วิ่งไปมองไป

จนกระทั่งประมาณ ๖ โมงเช้าเป็นอย่างเร็ว ก็จะได้มาเล่นกายบริหาร หลังจากนั้น ๐๗.๓๐ น.ก็จะปล่อยให้ไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ใครไม่ได้ทำก็ทำเสียตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็ไปเข้าโรงเลี้ยง กินให้เสร็จก่อน ๘ โมง แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้กินหรอก โดนแกล้งอยู่ในนั้นแหละ ประเภทหิวจนไส้จะขาดเพราะวิ่งมาตั้งหลายชั่วโมง ถึงเวลาให้กินตามจังหวะนกหวีด เป่าปรี๊ด ตัก...ปรี๊ด เข้าปาก...ปรี๊ด เอาช้อนลง...ปรี๊ด...เคี้ยว...ปรี๊ด...หยุด บางทีข้าวคำหนึ่งกินอยู่ ๑๐ กว่านาที เคยลองดูบ้างไหม ?

บางทีเขาก็เห็นว่าท่ากินแบบนั้นง่ายเกินไปก็ให้มุดไปใต้โต๊ะ แล้วก็ตักอาหารบนโต๊ะนั้นแหละมากินให้ได้ ก็ต้องควานหากันไปเถอะ"

เถรี
31-01-2017, 09:34
"พอ ๘ โมงเช้ามาจัดแถวเคารพธงชาติ เสร็จแล้วก็ไปฝึกกันท่าอาวุธหรือแถวชิดกันต่อ ถามว่าฝึกถึงตอนไหน ? โดยปกติแล้วก็เที่ยง หลังจากนั้นก็ฝึกเดินแถวสวนสนามด้วยความพร้อมเพรียงไปยังโรงเลี้ยง มีเวลากินถึงบ่ายโมง แต่ปรากฏว่าบางวันเขาให้เดินสวนสนามไปถึงเที่ยง ๕๐ นาทีแล้วยังไม่ได้กินเลย ถ้าเจอครูฝึกอายุมาก ๆ หน่อยที่เขาเรียกกันว่า "จ่าแก่ ๆ" ก็จะได้กินเร็วหน่อย เพราะว่าส่วนใหญ่พวกเราตอนนั้น ก็จะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูก ๆ ของจ่า ถ้าหากว่ากินเร็วหน่อยก็ได้พักนิดหนึ่ง

บ่ายโมงเริ่มฝึก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกระเบียบแถว ฝึกแถวชิด ฝึกท่าอาวุธ ฝึกยุทธวิธีในการรบ แล้วเลิกตอนไหน ? เลิก ๕ โมงเย็นเป่านกหวีดรวมพล แต่ไม่ได้ปล่อยนะ เลิกการฝึกไปวิ่งต่อ วิ่งไป กายบริหารไป กว่าจะได้พักไปอาบน้ำก็มืดค่ำ แล้วการอาบน้ำก็ไม่เหมือนสมัยนี้หรอก ส่วนใหญ่พอเป่านกหวีดปรี๊ดแรกเริ่มอาบ ปรี๊ดที่ ๒ ต้องเลิก บางทีปรี๊ดแรกกับปรี๊ดที่ ๒ ก็ติดกันเลย บางคนนี่ฟอกสบู่ลายพร้อยไปทั้งตัว ก็ต้องวิ่งออกไปทั้งอย่างนั้นแหละ

อาตมาเองหลายครั้งแล้ว ที่ต้องเอาผ้าขาวม้าจุ่มน้ำแล้ววิ่งตามไปให้เพื่อนเช็ดตัว"

เถรี
31-01-2017, 09:37
"ทุ่มครึ่งเข้าห้องเรียน เรียนภาคทฤษฎี สามทุ่มเลิกเรียน เป่านกหวีด มีเวลา ๑๕ นาทีขัดเครื่องหมาย ขัดรองเท้าทุกอย่างให้เงาวับ ๓ ทุ่ม ๑๕ นาทีเป่านกหวีดนอน ๔ ทุ่มเป่านกหวีดตื่น ไปฝึกยุทธวิธีการรบเวลากลางคืน แล้วแต่ว่าครูฝึกจะเมตตา เลิกตีสองบ้างตีสามบ้าง ตีห้าตื่นใหม่

ฉะนั้น...ใครคิดว่าไม่หนักก็ลองดู อาตมาพูดก็เพราะว่าพอมาฝึกปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกว่าง่ายมาก เพราะว่าก่อนหน้านี้ก็ฝึกหนักแบบที่เล่ามานั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนจากการฝึกทางกายมาเป็นการฝึกทางใจเท่านั้น ญาติโยมลองเอากำหนดเวลาที่อาตมาพูดนี่ ไปลองฝึกตัวเองดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

รู้แต่ว่าอาทิตย์แรกไม่ได้เข้าส้วมเลย ของทุกอย่างที่กินลงไปย่อยเกลี้ยงไม่มีอะไรเหลือ แต่ละวันเหงื่อไหลเป็นปีบ กินน้ำลงไปแทบจะไม่มีโอกาสออกมาเป็นปัสสาวะเลย เพราะฉะนั้น...อาหารที่ชอบที่สุดก็คือปลาเค็ม ถ้าวันไหนมีปลาเค็มนี่กินกันลืมตายเลย เพราะว่าร่างกายขาดเกลือมาก

ส่วนขนมมีให้อาทิตย์ละ ๑ ครั้งเฉพาะวันพุธ แล้วไม่ได้กินหรอก เพราะส่วนใหญ่วันพุธ จ.ส.อ.วิทยา นุชแผน ครูฝึกที่โหดที่สุดจะเป็นคนคุม แกตั้งใจมาเล่นพวกเราโดยเฉพาะ ส่วนมากให้เวลากินแค่ ๑ นาที พวกเราก็เลยจ้วงขนมกันก่อน ข้าวช่างหัวมันเถอะ วันหลังค่อยว่ากัน ที่ขำที่สุดคือหมู่โสภณ แกอ้วนแล้วทำไมวิ่งได้อึดขนาดนั้น ที่อัศจรรย์คือวิ่งขนาดนั้นแต่ไม่ผอม กล้ามเนื้อแข็งเป็นหินเลย แสดงว่าถ้าเลิกวิ่งเมื่อไรจะใหญ่กว่านั้นอย่างน้อย ๓ เท่า..!"

เถรี
31-01-2017, 09:39
"ตรงจุดนั้นทำให้อาตมาเข้าใจคำว่า ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ เพราะหลังจากที่ได้รับการฝึกโหดมาแล้ว อะไร ๆ ก็ง่ายไปหมด โดยเฉพาะเมื่อเวลาสมรรถภาพร่างกายดี ๆ จะได้รับการคัดตัวไปเรียนหลักสูตรพิเศษต่าง ๆ เพิ่มเติม พวกนี้สังเกตง่าย เป็นหน่วยรบพิเศษหมวกแดง หมวกเบเร่ต์แดง หลักสูตรจู่โจมหรือที่เรียกกันว่าแรงเยอร์ ฝึกจบมีเครื่องหมายเสือคาบดาบติดหน้าอกให้

หลักสูตรการทำลายใต้น้ำ ถึงเวลาก็ได้ตราฉลามโต้คลื่น แต่ขอโทษเถอะ ตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นของอาตมา ทหารบกส่งไป ๔๔ รุ่น...ตกเรียบ เพราะไม่ได้ฝึกมาโดยตรงแบบของทหารเรือเขา ของเราประเภทเด็กดอยแล้วจะให้ไปลงน้ำ อย่างอื่นพอได้ แต่พวกใต้น้ำนี่สู้เขาไม่ได้

ทหารเรือเวลาคัดตัว เขาต้องมีการวัดความจุปอดว่าหายใจได้มากน้อยเท่าไร แต่ทหารบกไม่มี พอไม่มีนี่สภาพร่างกายอึดมากแค่ไหนพอไปเจอกันเดี่ยว ๆ ใต้น้ำก็สู้เขาไม่ได้"

เถรี
31-01-2017, 09:44
"พวกด่านใต้น้ำก็มีให้ใช้น็อตขนาด ๖ หุนยาวประมาณ ๕ นิ้วหรือ ๖ นิ้ว เกลียวตลอด ๒ ตัว กลั้นหายใจแล้วดำลงไปไขให้สุดด้วยมือเปล่า ใต้น้ำกว่าจะควานหารูน็อตเจอ กว่าจะไขเข้าไปได้ เพื่อนที่ตกเพราะว่าฉลาดน้อยไปหน่อย พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อคลำไปเจออันแรก ไขเข้าไปได้หน่อย คลำเจออันที่ ๒ ก็ไขไปหน่อย แล้วใช้ ๒ มือหมุนพร้อมกัน ถ้าใช้มือเดียวไม่ทันแน่นอน แต่เขาไขตัวหนึ่งสุดแล้วค่อยไปไขอีกตัวหนึ่ง ก็เลยไม่ทัน

ถ้าหากว่าฉุกเฉินหมดท่าจริง ๆ เขาให้เป่าลมหายใจออกจากปากให้แรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ แล้วงับกลับเข้าไปใหม่ ช่วงที่เราเป่าออกมา น้ำตรงหน้าจะเป็นช่องว่างอยู่วูบหนึ่ง เราสามารถที่จะดึงเอาลมหายใจเก่ากลับเข้าไปแล้วอยู่ต่อได้อีกหน่อย เทคนิคแบบนี้พวกเราคงไม่ได้ใช้กันหรอก

บางทีถ้าฝึกดำน้ำลึกก็หลงน้ำ ว่ายไป ๆ ไม่รู้ด้านไหนบนด้านไหนล่าง เพราะว่าร่างกายโดนแรงอัดของน้ำ บีบเอาไนโตรเจนเข้าไปในเส้นเลือดมากก็จะเริ่มมึนงง สมองไม่ค่อยทำงาน...จะหลงน้ำ ถ้าคนช่างสังเกตก็ดูพวกปลา พวกสาหร่าย ถ้าคนไม่ช่างสังเกต มีทางเดียวคือพ่นลมหายใจออกมาแล้วตามฟองอากาศขึ้นมา ไม่อย่างนั้นแล้วหลงว่ายลึกไปเรื่อย ท้ายสุดหมดอากาศก็ตาย

ตอนช่วงนั้นที่ชอบใจที่สุดคือคำภาวนาเหนียวแน่นมาก เป็นการฝึกการภาวนาโดยการเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ ตอนแรกไม่รู้หรอก ตอนหลังจึงจะเข้าใจว่าเป็นการฝึกฌานใช้งาน เพียงแต่รู้อยู่อย่างเดียวว่า ทำให้เหนื่อยช้าและอดทนมากกว่าเพื่อน ทำให้ต้องโดนเพื่อนถีบให้ร่วง โดนเท่าไรก็ไม่ยอมลง เพื่อนก็จะโดนไปเรื่อย เพราะครูฝึกเขาต้องการให้ล้มลงให้หมด"

เถรี
31-01-2017, 21:30
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำว่า "เชย" อยู่มาสามชั่วอายุคนแล้ว ยังไม่หายไปไหนเลย

คำว่า "เชย" มาจากลุงเชย ในเรื่องสามเกลอของ ป.อินทรปาลิต เป็นเศรษฐีบ้านนอกอยู่ปากน้ำโพ มาทำอะไรเฉิ่ม ๆ ในกรุงเทพฯ จนกระทั่งเวลาที่คนอื่นทำอะไรน่าขายหน้า เขาก็เรียกว่า "ลุงเชย" เรียกไปเรียกมาจากคำว่า "ลุงเชย" ก็เหลือแค่ "เชย" คำเดียว ใครจะไปนึกว่านิยายเรื่องหนึ่งสามารถทำให้กำเนิดสำนวนอมตะได้"

เถรี
31-01-2017, 22:37
ถาม : ในความเป็นจริงเด็กไม่ต้องรอให้เป็นผู้ใหญ่ ก็เข้าใจความรู้ต่าง ๆ ได้ ?
ตอบ : ถ้าพวกตายแล้วเกิดใหม่เลยจะเข้าใจ แต่ถ้าประเภทตายแล้วไปรับบุญข้างบน หรือลงข้างล่างเสียนาน จะไม่ค่อยเข้าใจหรอกจึง ต้องเริ่มต้นใหม่ เพราะลืมของเก่า

ถาม : คนที่อยู่ในชาติเดียวกันมักจะบอกว่า...(ไม่ชัด)...?
ตอบ : อัจฉริยะส่วนใหญ่ตายแล้วเกิดใหม่ทันที จึงได้ของเก่ามาด้วย

เถรี
31-01-2017, 22:41
ถาม : พวกสัตว์ในเทพนิยายนับว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานไหมคะ ?
ตอบ : ทางบ้านเราจัดเป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ จัดอยู่ในภูมิของเทวดาชั้นต่ำ อาศัยอยู่ตีนเขาพระสุเมรุ

ถาม : เกี่ยวกับว่าตัวเขาใหญ่ด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ในความเป็นทิพย์ตัวใหญ่แค่ไหนก็รับได้

ถาม : ทำไมคนโบราณเขาไม่กลัวสัตว์ขนาดใหญ่ ?
ตอบ : คนโบราณเห็นสัตว์เป็นอาหาร ยิ่งใหญ่ยิ่งดี กินได้นาน จะไปกลัวอะไร มีแต่ดีใจ ไม่เห็นหรือว่าสมัยก่อนล่าปลาวาฬด้วยหอก มีแค่หอกกับเชือก ไล่ทิ่มไล่แทงกันเป็นวัน กว่าที่เหยื่อจะตาย

ไปนึกถึงเด็กมอญแถวทองผาภูมิ แถวบ้านเราผู้ใหญ่เห็นงูจงอางยังวิ่งหนี ส่วนเด็กมอญแถวทองผาภูมิเห็นงูจงอางก็วิ่งใส่ งูต้องหนีสุดชีวิตเลย พวกนี้ก็รู้นะ ถ้าเขามองเห็นว่าเป็นอาหารก็ต้องหนีสุดชีวิตแหละ แต่ถ้ามองเห็นว่าเป็นสัตว์น่ากลัว ทำร้ายเราได้ ก็กลายเป็นว่าเราต้องหนีแทน อาตมาเคยเห็นเด็กไม่ถึงสิบขวบสองคนไล่ตีงูจงอาง ยาวเกือบสี่เมตร งูนั่นต้องหนีสุดชีวิตเลยแต่ก็ไม่รอด โดนเอาลงหม้อจนได้..!

เถรี
31-01-2017, 22:56
ถาม : ถ้าจะบวงสรวงเจ้าที่...?
ตอบ : จริง ๆ แล้วบวงสรวงเวลาไหนก็ได้ เพราะว่าพระภูมิเจ้าที่ต้องเฝ้ารักษาเขต ไม่ได้ไปไหน แต่ที่ให้บวงสรวงตอนเช้าเพราะว่า บางแห่งเจ้าที่ท่านเป็นอากาสเทวดา พอสายประมาณ ๙ โมงไปแล้ว เทวดาท่านต้องไปเทวสภา จะไม่เหลือใครนอกจากเจ้าที่เท่านั้น

เวลามีงานถ้าผู้ใหญ่มาคนอื่นก็จะเกรงใจเรา...ใช่ไหมเล่า ? ถ้าเหลือแต่ผู้ใหญ่บ้าน ไม่มีกำนัน ไม่มีนายอำเภอ ไม่มีผู้ว่าราชการจังหวัดมา ใครจะไปเกรงใจเรา ? ฉะนั้น..ถ้าเป็นไปได้พยายามบวงสรวงช่วงเช้า อย่าให้เกิน ๙ โมงครึ่ง

เถรี
31-01-2017, 23:06
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยปกติแล้วรถคือพาหนะใช้งาน แต่บ้านเรารถแสดงออกซึ่งฐานะมากกว่า อย่างต่างประเทศเอาเบนซ์มาเป็นแท็กซี่ เอาโรลส์รอยซ์มาเป็นแท็กซี่ แต่บ้านเราเอาไว้ปิดทองบูชา ถึงเวลาต้องกราบรถกู...!

บ้านเราเคยมีคนเอารถบีเอ็มดับเบิ้ลยูทำเป็นแท็กซี่เขียวเหลือง ตัวแทนบริษัทในเมืองไทยขอซื้อกลับในราคารถใหม่เลย ไม่ยอมให้ทำแท็กซี่ เขากลัวว่าเกรดจะตก"

เถรี
01-02-2017, 22:02
ถาม : ถ้าจะลดน้ำหนัก ตอนนี้มีน้ำมัน มีไฟเบอร์ ?
ตอบ : วิธีที่ดีที่สุดคือออกกำลังกาย

ถาม : น้ำมันชนิดนี้มีไฟเบอร์กำลังดี ?
ตอบ : อะไรที่เกินพอดีก็เป็นอันตรายทั้งนั้น มัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธเจ้าสำคัญที่สุด ส่วนใหญ่การแพทย์สมัยใหม่ไม่รู้จริง เห็นว่าอะไรดีก็จับแพะชนแกะปนกันไปหมด ตอนนี้ใครลองน้ำผลไม้รวมสกัดบ้าง ? บางคนกินเข้าไปคันแทบตาย ของบางอย่างถ้ารวมกันแล้วจะเป็นพิษ ถ้าแยกกันแล้วไม่เป็นไร ฉะนั้น...อย่าไปใส่รวมกันส่งเดช มีสิทธิ์สิ้นชีวิตได้

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ออกกำลังเป็นการลดน้ำหนักที่ยั่งยืนที่สุด ไม่ใช่ไปกินอย่างนั้นแล้วลด กินอย่างนี้แล้วลด วิธีลดที่ดีที่สุดไม่ใช่การกิน แต่คือการกินน้อยลงหรือไม่กิน...!

เถรี
01-02-2017, 22:03
ถาม : วิธีที่ไม่ทำให้มวลเพิ่ม ?
ตอบ : วิ่ง

ถาม : อะไรนะครับ ?
ตอบ : วิ่ง...วิ่ง เอะอะก็ไม่ยอมออกกำลัง กินนั่นกินนี่เพื่อให้ร่างกายผอม บ้าชัด ๆ...! บอกแล้วว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือกินให้น้อยลงหรือไม่กิน

เถรี
01-02-2017, 22:04
ถาม : ชาถือว่ากระตุ้นการเต้นของหัวใจไหมครับ ?
ตอบ : ก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน แต่ชาเบากว่า ส่วนกาแฟกินลงไปเมื่อไรหัวใจเต้นผิดปกติทันที

เถรี
01-02-2017, 22:17
ถาม : ศาสนาพุทธอยู่ได้ห้าพันปี เราต้องกังวลไหมครับว่าศาสนาตั้งได้ไม่นานนัก ?
ตอบ : ถ้าไม่นานคุณก็อยู่ให้ถึงแล้วกัน ผมไปก่อนล่ะ..! อายุศาสนาห้าพันปีบอกมาได้ว่าไม่นาน ตายได้เป็นร้อยรอบ...!

เถรี
01-02-2017, 22:24
ถาม : ....(ไม่ชัด)... พอไหมครับ ?
ตอบ : พอหรือไม่พออยู่ที่คุณปฏิบัติเอง ถามคนอื่นไม่ได้ ให้สังเกตแค่ว่าอารมณ์ใจเหล่านั้นอยู่กับเราเป็นปกติ หรือเราต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะสร้างอารมณ์ใจอย่างนั้นให้เกิด แค่นี้ก็รู้แล้วว่าไหวไหม

ถาม : ถ้าอย่างนี้ก็พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา....(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : เวลาทุกนาที ทุกวินาที มองให้เห็นให้ได้ มองเห็นอย่างเดียวก็ยังไม่ได้อะไร สภาพจิตต้องยอมรับกับความจริงว่าเป็นเช่นนั้นด้วย เห็นแล้วยอมรับความจริงเช่นนั้นก็ยังไปไหนไม่ได้ ต้องวางลงให้ได้จริง ๆ ด้วย

ถาม : ....(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : แบบที่พระกุมารกัสสปะท่านเปรียบเทียบ ตกลงไปในหลุมขี้ มีคนเอาขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวใหม่จนสะอาดเอี่ยม แล้วใครยังจะกระโดดลงไปอีก ?

เถรี
01-02-2017, 22:33
ถาม : ข้อเข่าเสื่อม ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม อยากให้เหมือนเดิมครับ ?
ตอบ : อย่างนี้เขาเรียกว่าวิภวตัณหา ของเสื่อมแล้วดันไม่อยากให้เสื่อม ฟังดูว่าไม่อยาก เหมือนกับเป็นของดี แต่ความจริงก็คืออยาก ก็คืออยากที่จะไม่เป็นอย่างนั้น แปลว่าแบกกิเลสไว้เต็ม ๆ มีวิธีเหมือนกันนะ แต่ไม่รู้ว่าจะทำไหวหรือเปล่า ?

ถาม : วิธีอย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้น้ำมันจากต้นยาง ๑ ขวด ผสมกับน้ำผึ้ง ๑ ขวด เขย่ารวมให้เข้ากันดีจะได้ ๒ ขวด กินตอนเช้า ๑ ช้อนโต๊ะ เย็น ๑ ช้อนโต๊ะ จะเกิดผลสองอย่าง อย่างแรกกลืนลงหรือเปล่า ? อย่างที่สอง ถ้ากลืนลงต่อจากนั้นกลิ่นตัวจะเหม็นสุด ๆ เพราะว่าเป็นกลิ่นน้ำมันยาง

ถาม : น้ำมันอะไรนะครับ ?
ตอบ : น้ำมันจากต้นยาง ไม่ใช่ยางพารานะ ยางนาที่สมัยก่อนเขาเจาะเอาน้ำมันมาใช้งาน จะช่วยเรื่องข้อเรื่องเข่าได้ดีมาก อายุ ๘๐-๙๐ ปี ยังเดินตัวปลิวเลย แต่อาตมากินไม่ลง รสชาติไม่ไหว แต่ช่วยในเรื่องการปรับไขข้อ การหล่อลื่นของไขข้อจะดีมาก

เถรี
01-02-2017, 22:38
ถาม : ในเรื่องการทูต เราสามารถกำหนดใช้ในโลกธุรกิจปัจจุบันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้....การทูตเราจะสังเกตเห็นว่าเป็นการสานสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยพยายามหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็ลักษณะเดียวกับที่เราไปสร้างสายสัมพันธ์ในวงการค้านั่นเอง

เถรี
01-02-2017, 22:56
ถาม : ฌ้อป้าอ๋องมีข้อเสียหลายอย่าง ?
ตอบ : ข้อเสียอย่างเดียวก็ถึงตายแล้ว ไม่ใช่หลายอย่าง

ถาม : อย่างนี้คนที่ไม่ต้องเก่งมาก แต่มีข้อเสียน้อย ดีกว่าคนที่เก่งเยอะ ๆ แต่มีข้อเสียมาก ?
ตอบ : คนฉลาดไม่ใช้จำเป็นต้องใช้กำลังไปปะทะ ภาษิตกะเหรี่ยงบอกว่า อย่าไปสู้กับควายด้วยกำลัง อย่าไปสู้กับจระเข้ในน้ำ

ลักษณะของหลิวปังก็เหมือนกัน ในเมื่อเซี่ยงอวี่เก่ง เขาก็ไม่ไปปะทะด้วย ค่อย ๆ หลอกล้างผลาญไปทีละนิดทีละหน่อย แม้กระทั่งให้คนไปร้องเพลงให้ทหารฟังก็ยังเอา ร้องเพลงบรรยายถึงถิ่นฐานบ้านเกิด ทหารรบมาเป็นปี ๆ อยากกลับบ้านจะขาดใจอยู่แล้ว พอมาฟังก็ไม่มีกำลังใจที่จะรบอีก

ถาม : ผมเคยได้ยินประโยคว่า หลอกลวงวุ่นวายด้วย....?
ตอบ : วิธีไหนก็ตามที่เอาชนะได้ถือว่าใช้ได้ทั้งหมด พอแล้ว ๖ คำถามแล้ว...!

ถาม : หลอกลวงเขาไม่ผิดศีลหรือครับ ?
ตอบ : พวกนั้นเขาไม่มีศีล ถ้ามีศีลเขาจะฆ่ากันทำไม ? ขนาดฆ่ากันเขายังทำ นี่แค่หลอกกัน เรื่องของสงครามเอาศีลธรรมจรรยาไปคุยได้ที่ไหน มีทางเดียวคือทำลายข้าศึกให้ได้มากที่สุด โดยที่ตัวเองเสียหายน้อยที่สุด

ทันทีที่ขงเบ้งระเบิดกองทัพของลุดตัดกุดตายเกลี้ยง ท่านบอกว่า "ตัวเราต้องอายุสั้นเป็นแน่แท้" ท่านรู้ขนาดนั้น เพราะว่าฆ่าคนมาก และฆ่าด้วยวิธีที่โหดร้ายมาก กรรมหนักจึงทำให้อายุสั้น

เถรี
01-02-2017, 23:20
ถาม : เราถ่ายภาพพระในวัด ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์หรือพระพุทธรูปก็ตาม เราต้องขออนุญาตไหมครับ ? และเวลาเราถ่ายรูป ถ้าเราถ่ายตัวเราเองกับท่านด้วย ท่าทางต้องเป็นท่าทางสุภาพเท่านั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อันดับแรก ถ้าเรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักขออนุญาต แม้แต่คนทั่วไปเห็นก็เอ็นดู ให้ความเมตตาสงเคราะห์มากกว่าปกติ เพราะฉะนั้น...ถ้าทำได้ก็ควรทำ ประการที่สอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันควรเป็นที่เคารพ ไม่ใช่ใครคิดจะไปทำท่าอะไรก็ได้ ควรที่จะแสดงออกในลักษณะของการเคารพมากที่สุด

ประการที่สามนี้แถมให้ ถ้ารักที่จะเลือกภาพนั้นไปบูชา อย่าเสือกทะลึ่งเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในภาพนั้นด้วย ความดีเราไม่พอที่จะให้คนอื่นกราบไหว้หรอก สมัยนี้ญาติโยมจำนวนมากที่ชอบเซลฟี่กับพระ แล้วทำในในลักษณะที่เห็นอาตมาเป็นแค่ตัวประกอบในภาพเท่านั้น โปรดระมัดระวังด้วยว่าสมควรหรือไม่สมควร ไปคิดเอาเอง เพราะเวลาเซลฟี่หน้าเราจะบานเต็มจอ ส่วนพระเหลือแค่หัวไม้ขีด แล้วจะเอาภาพพระไปทำไม ?

เถรี
02-02-2017, 09:34
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมานั่งรับสังฆทานมาหลายปี มี ๑๔ คนที่แข็งแรงผิดปกติ ก็คือ เอาพระองค์ใหญ่ตั้งบนกล่องสังฆทานแล้วยกมาทีเดียว ของใหญ่ขนาดนั้นยังอุตส่าห์ยกมา เออ...ใจถึงจริง ๆ"

เถรี
02-02-2017, 09:53
พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุนนาค เกิดในรัชกาลที่ ๓ อยู่มาถึงรัชกาลที่ ๙ เป็นพระ ๗ แผ่นดิน อายุ ๑๒๘ ปี สมัยก่อนใครไปนิมนต์หลวงปู่สี ท่านจะบอกว่า "หลวงปู่ไปไม่ได้หรอก" ท่านอั้นปัสสาวะไม่อยู่ นั่งคุยอยู่พักหนึ่งก็ต้องไปเข้าห้องน้ำก่อน ท่านบอกว่ามีผลจากการไปกินยาอายุวัฒนะมา

ตอนนั้นหลวงปู่ธุดงค์แล้วหลงป่า ไปเจอพวกลับแล ๓-๔ คน ทำยาอายุวัฒนะกินกันอยู่ หลวงปู่ไปถึงเขากินกันหมดพอดี เขาก็เลยรวบรวมยาที่ติดอยู่บนเศษไม้ใบหญ้าอยู่หน่อยหนึ่งถวายหลวงปู่ ก็แค่หยดสองหยดเท่านั้น ท่านฉันแล้วอยู่มาถึง ๑๒๘ ปี ถ้ากินเต็มสูตรแบบเขาจะอยู่ได้กี่ปี ?

ตอนนี้ในเว็บวัดท่าขนุนยังมีพระปิดตานะมิของหลวงปู่สีอยู่ ๑๐ กว่าองค์ คนไม่ค่อยรู้กัน เสียดายตรงที่เขาไปทำกล่องใหม่ ถ้าทำกล่องใหม่คนที่ไม่รู้ก็เริ่มไม่แน่ใจกัน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ท่านถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงมาถุงใหญ่ ตอนนั้นจำหน่ายกันเป็นปีเลย"

เถรี
02-02-2017, 09:54
:4672615: เก็บตกเดือนมกราคม ๒๕๖๐ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี และรัตนาวุธ