|
กระทู้ธรรม รวมข้อธรรมะจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
วิธีปฏิบัติในนิโรธสัญญา
หลวงปู่ดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย วิธีปฏิบัติในนิโรธสัญญา หรือทำจิตให้ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน มี ๓ อย่าง ๑. โน้มใจเข้าหาความว่าง ด้วยการนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหาเมตตา พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ นำสัตว์ชี้ทางเข้าสู่พระนิพพาน เริ่มระลึกถึงความว่างเปล่าไม่มีอะไร ทั้งโลกอากาศว่างเปล่า ธาตุว่างอยู่รอบตัวเราเอิบอาบไปทั่ว เป็นธาตุอมตะโอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นธาตุเบา ธาตุเย็น ธาตุสงบ ธาตุพอเพียง ธาตุแท้จริง ๒. ทำจิตว่างด้วยสลัดขจัดทิ้งความคิดไม่ดีไร้สาระออกจากจิต หรือปล่อยวางอารมณ์ดีชั่วทั้งปวงออกจากจิต ให้มีเพียงแต่คำว่า "รู้" แต่ไม่นำเอามาคิดปรุงแต่งเป็นตัวเราตัวเขา เป็นแต่เพียงธาตุของโลก จิตเป็นธาตุเบาไม่เอาไปปนกับธาตุหนัก ๆ ของโลก กายก็เป็นธาตุของโลกไม่ใช่ของจิต แต่จิตก็เพียงให้รู้ว่าจิตมาอาศัยอยู่ในกายบ้านสมมติชั่วคราว ไม่เอามาปนกับจิต จิตส่วนจิต กายส่วนกาย ไม่ใช่อันเดียวกัน มีกายแล้วจิตก็ทำเป็นว่าไม่มี เพราะไม่ช้ากายก็ตายสูญสลาย ไม่มีกายอีก เป็นของว่าง ๆ เพียรคิดสลัดกาย อารมณ์ทั้งหลายออกจากจิต จิตจะสะอาด ว่างจากกิเลสความผูกพันยึดมั่นกายเรากายเขา แต่ก็ยังคงทำหน้าที่การงานสังคมครบถ้วน จิตใจสะอาดผ่องใส ร่างกายก็ไม่มีโรคหรือโรคน้อยลง จิตก็จะแปรสภาพจากหนักเป็นเบา โปร่งสบาย จิตหยาบจะเป็นจิตละเอียดสะอาดผ่องใส ไม่มีความวุ่นวาย เป็นจิตสงบนิ่งมีปัญญาดี ๓. วิธีทำจิตสะอาดว่างจากกิเลสแบบให้สังเกตหรือจับดูอารมณ์ตามความเป็นจริง แต่ไม่ใช่ให้จับแบบยึดถือมั่น คือจิตมันชอบคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ คิดอะไรก็เอาเรื่องนั้นนั่นแหละมาพิจารณาดูให้ลึกและไกลออกไป ให้เห็นความไม่คงที่ จะเป็นไปในทางที่ดีหรือไม่ดี สุขหรือทุกข์ก็เท่ากัน ไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจัง เป็นแก่นสาร ย่อมถึงความผันแปรดับสูญเสมอกัน เงาในกระจกหรือเงาในน้ำมิใช่ของจริงฉันใด สัพพสังขารทั้งหมดก็ไม่ใช่ของจริงฉันนั้น หรือจะมองชีวิตทั้งหมดนี้เป็นเหมือนความฝันก็ได้ เพราะจุดจบชีวิตคือความตาย ความตายของชีวิตร่างกายของคนนั่นแหละ คือ การตื่นจากฝัน คือจิตออกจากร่างไปหาที่อยู่ใหม่ ที่อยู่ใหม่ของเราท่านเที่ยงแท้แน่นอน ไม่ยอมผันแปรอีกต่อไป คือ แดนอมตทิพย์พระนิพพาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-12-2011 เมื่อ 17:04 |
สมาชิก 101 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
เมื่อมาพิจารณารู้ความจริงของชีวิตร่างกายทุกผู้ทุกนามแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ มีก็เท่ากับว่าไม่มี คือว่างเปล่านั่นเอง เพราะสูญสลายไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อกำหนดจิตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเป็นของว่างเปล่า จิตก็ต้องเข้าถึงความว่าง ธาตุว่างจากทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เมื่อพิจารณาทบทวนความไม่มีของกายเรา กายเขา ขันธ์ ๕ เรา ขันธ์ ๕ เขา มีแล้วก็เหมือนกับไม่มี เพราะแปรปรวนไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่จริง เป็นของปลอมของสมมติ หาตัวตนตัวเราตัวเขาไม่ได้ เพราะทุกอย่างมีแต่เดินหาทางหาความทรุดโทรม ผุพัง สูญสลายตายกันในที่สุด จิตก็จะหลุดจากกิเลส คือว่างจากความทุกข์ยาก จิตจะเป็นอิสระเสรี ไม่ยึดเกาะในสิ่งของจอมปลอมอีกต่อไป ถึงแม้จิตจะยังอาศัยอยู่ในร่างกาย แต่จิตก็ไม่หลงรักว่าเป็นอันเดียวกับจิต อย่าเอาใจจิตไปนึกว่ามันมี รูป รส กลิ่น เสียง ปล่อยไปเพียงแต่ผ่านไปผ่านมาเท่านั้น ถ้าอารมณ์ทรงอยู่ จิตไม่สนใจขันธ์ ๕ ของใคร วางเฉยไม่ทุกข์ร้อน ทำงานทุกอย่างตามหน้าที่ ไม่เสียใจ ทุกข์ใจ ดีใจ ตามความวุ่นวายของร่างกาย จนจิตเป็นหนึ่ง คือครองอารมณ์เฉยเป็นเอกัคตารมณ์ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสำหรับเรา เราไม่มีสำหรับกาย จิตจะสะอาดเบิกบาน ผ่องใส พ้นจากความยึดมั่นในของปลอมของทุกข์ของร้อน พระท่านเรียกว่า "จิตของพระอรหันต์" วิธีทำจิตว่างจากกายเรา กายเขา แบบนี้เป็นแบบลัดแบบง่าย มีแต่พรหมวิหาร ๔ ไม่ยอมยึดถืออารมณ์ใด ๆ มาไว้ในจิต มีความจำได้หมายรู้ก็ทำเป็นเหมือนไม่มีความจำ เพราะแม้ความจำก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็ลืม ประสาทสมองลืมง่าย ดังนั้น..ความจำ ความคิด ความอ่าน ความเจ็บปวด ความกังวลใจ ความฟุ้งซ่านวิตกกังวล ก็เป็นเรื่องของกาย ให้สลัดกายทิ้งออกจากจิต ให้จิตเต็มไปด้วยพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี คนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด สลายหมดเท่านั้น ทุกอย่างไม่มีเที่ยงแท้ ค่อย ๆ ทำแบบสบาย อย่าเร่งรัด ค่อยเป็นค่อยไป จิตให้มีความรู้สึกอยู่เสมอว่ากายเป็นของไม่จริง ของชั่วคราว พังสลายในที่สุด จิตเป็นของจริง ของเบา ของบริสุทธิ์สะอาด เมื่อร่างกายนี้พังแตกสลาย จิตนี้เราจะติดตามรอยพระบรมศาสดาเข้าพระนิพพาน ผู้ที่เพียรทำจิตให้ว่างจากร่างกาย หรืออารมณ์ต่าง ๆ แบบนี้เป็นแบบของพระอริยเจ้า เป็นสมาธิเป็นวิปัสสนาญาณอยู่ด้วยกัน ทำได้ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน ทำได้ทั้งที่อยู่คนเดียว หรืออยู่เป็นหมู่คณะ เป็นทางหลุดพ้นทุกข์ได้อย่างแน่นอน เป็นทางลัดตรงไปถึงจุดหมายปลายทางคือพระนิพพานได้รวดเร็ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 04-12-2011 เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
อันจิตเรา ๆ ท่าน ๆ นี้เป็นจิตอมตะ เป็นจิตที่ไม่มีวันแก่ ไม่มีวันเจ็บ ไม่มีวันสูญสลายตาย เป็นธรรมชาติวิเศษยอดเยี่ยม เป็นธาตุกายสิทธิ์ สมควรที่เราท่านควรให้ความสนใจ รักษาจิตให้สะอาดสดใสเป็นพิเศษอยู่ตลอดเวลา
จิตนี้ถ้ารู้สิ่งใดก็ถึงสิ่งนั้นได้ทันที รู้ว่าพระนิพพานมีอยู่ พระนิพพานเป็นความดับทุกข์ ดับขันธ์ ๕ ดับรูป นาม ที่เป็นของปลอม จิตเป็นของจริง นิพพานมีอยู่ทั่วไป แม้ยังไม่ตายจิตก็มีสภาวะนิพพานได้ ด้วยการทำจิตแยกจิตออกจากขันธ์ ๕ กำหนดความไม่มีของขันธ์ ๕ เข้าไว้ จิตจะเลิกยึดถือร่างกายขันธ์ ๕ ตนเองได้ง่าย ๆ เพราะความชิน คิดว่าไม่มีจนชิน เราไม่เอาขันธ์ ๕ เพื่อว่าเราต้องการไปดินแดนที่เป็นสุขจริงตลอดกาล คือ นิพพาน ไม่มีภพภูมิใด ๆ เสมอเหมือน ไม่ใช่เทวโลก ไม่ใช่พรหมโลก ไม่ใช่มนุษย์โลก นิพพานเป็นเมืองทิพย์ เป็นเพชรที่มีแสงสว่าง เป็นที่ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง อันตรายที่น่ากลัวที่สุดคือ อันตรายจากการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น รูปฌาน คือจิตกำหนดเอารูปร่างกายเป็นสมาธิภาวนา เช่น ดูลมหายใจเข้าออก เพ่งภาพพระพุทธรูปก็เป็นรูปฌาน อรูปฌาน คือ จิตกำหนดเอาอากาศ วิญญาณ ความไม่มีอะไรทั้งหมดในโลก ความไม่มีความจำได้หมายรู้ เป็นสมาธิภาวนา นิพพานธาตุ ก็คือ นิโรธธาตุอันเดียวกัน มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้ในจิตเราท่านที่อยู่ในร่างกายที่สกปรกนี้ ก็ทำจิตให้เข้าถึงนิพพานธาตุได้ทันที ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย นิพพานธาตุไม่ใช่มนุษย์โลก ไม่ใช่เทวโลก ไม่ใช่พรหมโลก แต่อยู่เหนือโลกทั้งสิ้น มีอยู่ทั่วไป ถ้าจิตดับทุกข์ ดับขันธ์ ๕ จิตว่างจากกิเลส จะรู้สภาวะพระนิพพานทันที นิโรธสัญญา เป็นทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา คือทำใจว่าง ไม่มีอารมณ์ทั้งปวง คือเฉย ๆ แล้วทำจิตใจให้สละ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลก รวมทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ไม่ให้มีในจิตใจเรา เพื่อที่จะนำจิตใจไปสู่ธาตุแท้ ธาตุบริสุทธิ์ แจ่มใสเบิกบาน เป็นจิตพุทธะดังเดิม เป็นจิตประภัสสรดั้งเดิม ตามที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดเทศนาสั่งสอนเอาไว้ นิโรธสัญญา ทำจิตปล่อยวางว่างจากพันธะใด ๆ ในโลกนั้น จะทำวิชชาให้สำเร็จอิทธิฤทธิ์ก็ย่อมทำได้ เพราะจิตสงบทรงตัว สามารถใช้งาน มีพลังจิตมหาศาล แต่ผู้ที่เจริญในความว่างทางจิตแบบนี้แล้ว ท่านก็ไม่ต้องการอิทธิฤทธิ์หรือความรู้พิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะจิตท่านอิ่มด้วยความสุข สงบ สบาย สว่างสดใส ไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป เป็นความสุขยอดเยี่ยมไม่สามารถบรรยายเป็นตัวหนังสือได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 04-12-2011 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
|||
|
|||
[QUOTE=เถรี;82282]
หลวงปู่ดาบส สุมโน อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย วิธีปฏิบัติในนิโรธสัญญา หรือทำจิตให้ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน มี ๓ อย่าง ๑. โน้มใจเข้าหาความว่าง ด้วยการนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหาเมตตา พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ นำสัตว์ชี้ทางเข้าสู่พระนิพพาน เริ่มระลึกถึงความว่างเปล่าไม่มีอะไร ทั้งโลกอากาศว่างเปล่า ธาตุว่างอยู่รอบตัวเราเอิบอาบไปทั่ว เป็นธาตุอมตะโอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นธาตุเบา ธาตุเย็น ธาตุสงบ ธาตุพอเพียง ธาตุแท้จริง ๒. ทำจิตว่างด้วยสลัดขจัดทิ้งความคิดไม่ดีไร้สาระออกจากจิต หรือปล่อยวางอารมณ์ดีชั่วทั้งปวงออกจากจิต ให้มีเพียงแต่คำว่า "รู้" แต่ไม่นำเอามาคิดปรุงแต่งเป็นตัวเราตัวเขาเป็นแต่เพียงธาตุของโลก จิตเป็นธาตุเบาไม่เอาไปปนกับธาตุหนัก ๆ ของโลก กายก็เป็นธาตุของโลกไม่ใช่ของจิต แต่จิตก็เพียงให้รู้ว่าจิตมาอาศัยอยู่ในกายบ้านสมมติชั่วคราว ไม่เอามาปนกับจิต จิตส่วนจิต กายส่วนกาย ไม่ใช่อันเดียวกัน มีกายแล้วจิตก็ทำเป็นว่าไม่มี เพราะไม่ช้ากายก็ตายสูญสลาย ไม่มีกายอีกเป็นของว่าง ๆ เพียรคิดสลัดกาย อารมณ์ทั้งหลายออกจากจิต จิตจะสะอาด ว่างจากกิเลสความผูกพันยึดมั่นกายเรากายเขา แต่ก็ยังคงทำหน้าที่การงานสังคมครบถ้วน จิตใจสะอาดผ่องใส ร่างกายก็ไม่มีโรคหรือโรคน้อยลง จิตก็จะแปรสภาพจากหนักเป็นเบา โปร่งสบาย จิตหยาบจะเป็นจิตละเอียดสะอาดผ่องใส ไม่มีความวุ่นวาย เป็นจิตสงบนิ่งมีปัญญาดี ..................................... น่าจะเป็น " มีจิตแล้วกายก็ทำเป็นว่าไม่มี " มากกว่าครับ
__________________
คุณของพระพุทธเจ้าอยู่ในทุกอณูของอากาศ |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ จิตศิลป์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
มีกายแล้วจิตก็ทำเป็นว่าไม่มี คือ จิตไม่ยึดในร่างกายนี้
|
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|