|
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี วันที่ ๑ - ๓ มิถุนายน ๒๕๖๗
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๗ เมื่อวานเลิกงานประชุมพระสังฆาธิการที่จังหวัดสมุทรสาคร แล้วก็วิ่งมา ๒๖๑ กิโลเมตร เพื่อที่จะมานำพวกเราเจริญพระกรรมฐานช่วงเช้ามืด เดี๋ยวเสร็จจากนี่ก็วิ่งกลับไปยังพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐมอีก ๒๔๐ กิโลเมตร ไปเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ไม่ไปก็ไม่ได้..เพราะว่าเจ้านายระบุชื่อมา..! ความจริงว่าจะไม่กลับมาที่นี่แล้ว แต่ถ้าไม่มาพวกเราก็จะเสียโอกาสไปสองวัน ถ้าหากว่ามาพวกเราก็เสียโอกาสแค่วันเดียว แปลว่าพรุ่งนี้เช้ามืดให้หากินกันเองนะ ปฏิบัติได้แค่ไหนก็แค่นั้น กว่าอาตมาจะกลับมาถึงก็น่าจะครึ่งวันไปแล้ว ก็เหลือแค่วันที่สาม คราวนี้วันที่ ๓ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ช่วงเช้าจะมีงานที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ วางพานพุ่มถวายพระพร กว่าจะเสร็จมานำพวกเราภาวนาพระคาถาเงินล้านได้ ก็น่าจะ ๘ โมงครึ่ง - ๙ โมงเช้า งานมากก็อย่าท้อ พวกเราส่วนใหญ่พองานมาก ๆ แล้วท้อ เหนื่อย หมดกำลังใจ บ่นให้ใครฟังเขาก็ไม่รับรู้ด้วย เรื่องของความท้อเป็นเรื่องปกติ แต่ท้อแล้วอย่าถอย ท้อแล้วขึ้นหน้าต่อไป ใครท้อมาก ๆ อย่าไปเมืองจีน เพราะว่าท้อมาจากเมืองจีน ถ้าท้อของเมืองจีนเขาเรียกว่า "ท้อแท้" ท้อเมืองไทยนี่ยังไม่แท้ แค่เอาพันธุ์มาปลูก..! ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ในวิถีทางโลก ๆ เลยก็คือ เราได้พักทั้งกายและใจ ใครปฏิบัติธรรมแล้วใจฟุ้งซ่านอยู่ตลอด ให้รู้ว่าเราทำผิด เมื่อเราได้พักทั้งกายและใจ ก็จะมีกำลังไปสู้งานต่อ นี่คือทางโลก แต่ในทางธรรมนั้นเราไม่มีโอกาสได้พัก เนื่องเพราะว่ากิเลสกินเราทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที นักปฏิบัติธรรมที่หวังผล จึงต้องรักษาอารมณ์ใจของตนเองให้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะต่อเนื่องได้ทั้งวันทั้งคืนยิ่งดี เพียงแต่ว่าต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง แทรกเข้ามาได้ กำลังใจดี ๆ ก็จะพังไปหลายวัน ระดับหลายวันนี่ถือว่าดีมาก เพราะว่าหลายคนพังเป็นเดือน ๆ พอเจอเข้าแล้วก็ท้อแท้ หมดกำลังใจ โอดครวญ "ทำมาดี ๆ แท้ ๆ ไม่น่าเลย..!" สาเหตุเพราะว่าเราขาดสติ การที่จะมีสติก็ต้องอยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ ความทุกข์เกือบทั้งหมดจะสลายไปโดยอัตโนมัติ เพราะว่าใจไม่ฟุ้งซ่านแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2024 เมื่อ 01:04 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
กำลังใจของเราส่วนใหญ่ถ้าไม่ไปหวนหาอดีต ก็จะฟุ้งซ่านถึงอนาคต ไม่ว่าจะไปอดีตหรือว่าอนาคต ล้วนแล้วแต่พาให้เราทุกข์ทั้งสิ้น
แต่ก็ยังมีบุคคลเป็นจำนวนมากที่นิยมสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง ขยันคิด..จะคิดไปทำอะไร..? แม้กระทั่งพระของเราก็ขยันคิด "เดี๋ยวเราสึกนะ ทำงานอย่างนี้ ได้เงินเดือนเท่านี้ เดือนหนึ่งได้เท่านี้ ปีหนึ่งได้เท่านี้ เดี๋ยวสร้างบ้านสักหลัง ซื้อรถสักคัน แต่งงานมีลูกสักสองคน" ฟุ้งจนหมดแรง แล้วเริ่มต้นใหม่ "ถ้าเราสึกนะ..ฯ" วนอยู่แค่นี้ ของโยมก็เหมือนกัน ให้สังเกตตัวเอง เรื่องที่คิดมาก ๆ ก็วนอยู่ตรงนั้นเป็น "งูกินหาง" ไม่ได้ไปไหนหรอก "พายเรือในอ่าง" เหนื่อยเปล่า ๆ แต่ถ้าเรามีสติ เราก็ตัดวงจรความคิดนั้นทิ้งไป ด้วยการอยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับตอนนี้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไรสำคัญกว่าการรักษาอารมณ์ใจให้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ส่วนใหญ่แล้วพวกเราปฏิบัติธรรมกันมามาก แต่ว่ามักจะปฏิบัติผิดวิธี คำว่าผิดวิธีในที่นี้ก็คือ ส่วนใหญ่พอลุกขึ้นก็เลิกเลย เป็นคนตรงเวลาดีมาก..! ปฏิบัติธรรมมาทั้งวัน รักษาอารมณ์ใจอย่างเต็มที่ ลุกขึ้นทิ้งเกลี้ยง..! รัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัวเหมือนเดิม แล้วจะมีประโยชน์อะไร..? นอกจากทำให้รู้ว่าตัวเองกิเลสมาก..! ถ้าจะปฏิบัติธรรมให้เกิดผล สำคัญตรงที่ว่าเราจะต้องรักษาอารมณ์ใจในการปฏิบัติเอาไว้ให้ได้ ทำอารมณ์ใจสูงสุดเท่าไร เราใช้สติประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้ ใหม่ ๆ ก็อยู่กับเราแค่ไม่กี่นาทีก็พังหมดแล้ว แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาพยายามรักษาไว้ ก็จะได้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ๓๐ นาที ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ยิ่งสภาพจิตของเราห่างจาก รัก โลภ โกรธ หลง เท่าไรก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น แต่อย่าไปยินดีแค่นั้น เพราะว่านั่นเป็นการพ้นทุกข์ชั่วคราวด้วยอำนาจของสมาธิเท่านั้น จะพ้นทุกข์ถาวรต้องอาศัยการพิจารณาวิปัสสนาญาณ พอใจเรานิ่ง ใจเราสงบแล้ว ก็พยายามมาพินิจพิจารณา โดยเฉพาะพิจารณาร่างกายของเรานี้ ถ้าเห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงอย่างไร ? เป็นทุกข์อย่างไร ? ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราอย่างไร ? ก็จะมองเห็นชัดว่าร่างกายคนอื่นก็เป็นอย่างนี้ ร่างกายสัตว์อื่นก็เป็นอย่างนี้ ถ้าหมดความอยากได้ใคร่ดีในร่างกายตัวเองลงไปเมื่อไร ก็ไม่อยากได้ร่างกายคนอื่นด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2024 เมื่อ 01:07 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ตอนนี้แย่แน่..มนุษย์โลกสูญพันธุ์..! สูญไหม..? จะสูญได้อย่างไร ? คนที่ทำได้มีอยู่ "กระจึ๋งหนึ่ง" พระพุทธเจ้าตรัสว่า"เปรียบเหมือนเขาวัว" ส่วนที่ทำไม่ได้ "เปรียบเหมือนกับขนวัว" วัวหนึ่งตัวมีเขาสองข้าง ส่วนขนวัวอย่างไม่มีก็หลายหมื่นเส้น..!
ดังนั้น..ในเรื่องของบุคคลที่ยกวาทกรรมขึ้นมาในลักษณะที่ว่า "ถ้าไปปฏิบัติธรรมแล้ว จะทำให้มนุษยชาติถึงกับสูญพันธุ์" รอไปเถิด..ถ้าไม่โลกแตกเสียก่อน โอกาสสูญพันธุ์ยากมาก มีแต่จะเยอะเกินไป..! แต่ว่าเราก็ต้องตั้งความหวังไว้ว่าเราจะเป็นเขาวัวให้ได้ ก็เหมือนกับซื้อหวยก็หวังรางวัลที่ ๑ กันทุกคน แล้วทำไมเราปฏิบัติธรรมเราจะหวังหลุดพ้นไม่ได้ ? และคราวนี้เราอย่าลืมว่าเขาวัวแม้จะมีแค่สองข้าง แต่ถ้าวัวมาทั้งฝูง เขาวัวก็เยอะอยู่นะ..! ก็แปลว่าถ้าวาระหรือว่าโอกาสเหมาะสม หลักธรรมที่สมบูรณ์พร้อมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีอยู่ครบถ้วน พวกเราปฏิบัติธรรมไป โอกาสที่หลุดพ้นก็มี แล้วบางทีโอกาสก็มากกว่าที่คิด เราต้องไปนึกถึงทวีปอเมริกาสมัยก่อน วัวป่าไบซันมีเป็นล้าน ๆ ตัว จนกระทั่งมายุคบุกเบิกตะวันตก ใครอยากรู้เรื่องนี้ให้ไปอ่านหนังสือชื่อ How the West Was Won (โดย Louis L'Amour) สนุกมาก ชีวิตคนตะวันตก ยุคนั้นมีการล่าสัตว์เพื่อที่จะเอาขนไปขาย ไม่น่าเชื่อว่าล่าจนวัวป่าไบซันเป็นล้าน ๆ ตัวแทบจะไม่มีเหลืออยู่ในปัจจุบัน..! เพราะฉะนั้น..ถ้าวัวมาเป็นล้านตัวนี่โอกาสเป็นของเรา เพราะว่าเขาวัวไม่ได้มีแค่สองข้าง..! เพียงแต่ว่าโอกาสทั้งหลายเหล่านี้เราเป็นผู้สร้างขึ้นมาเอง บ่มเพาะ ศีล สมาธิ ปัญญา ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเต็มที่ ทุเรียนก็จะสุก ทุเรียนสุกก็กินได้ ตามให้ทันนะ พูดถึง ศีล สมาธิ ปัญญา กลายเป็นทุเรียนไปเสียแล้ว..! ในเมื่อถึงวาระที่เหมาะสม ศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์พร้อม การเข้าถึงธรรมย่อมเกิดขึ้น เหมือนกับทุกอย่างเมื่อสมบูรณ์พร้อม ผลไม้ก็จะสุกจะงอมไปเอง แต่คราวนี้ถ้าหากว่าเราไม่เป็นผู้พยายามสร้างเหตุ เพื่อให้ ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราสมบูรณ์พร้อม แล้วเราจะไปหวังผลย่อมเป็นไปไม่ได้ หรือสร้างเหตุแบบกะพร่องกะแพร่ง ประมาณใช้วัสดุเกรด C เกรด D ในการผลิตสินค้า แล้วก็หวังว่าผลผลิตจะออกมาเป็น AAA ก็ไม่น่าที่จะเป็นไปได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-07-2024 เมื่อ 00:58 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ก็แปลว่าเราต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างสูงสุดในการประพฤติปฏิบัติธรรมของเรา ตั้งเป้าเอาไว้ให้ชัดเจนว่าทำเพื่ออะไร ? แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป ไม่ต้องสนใจเป้าหมายอีก
พวกเราส่วนใหญ่ที่ทำแล้วไปไม่ถึงไหน ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าตั้งใจมากเกินไป พอถึงเวลาก็ศึกษาเรื่องของหลักธรรม การทำสมาธิต้องเป็นอย่างนี้ หายใจเข้าตามดูตามรู้เข้าไปจนสุด หายใจออกตามดูตามรู้ออกมาจนสุด ถ้าหากว่าทำถูกวิธีการ เมื่อสมาธิเริ่มมากขึ้น ก็จะเกิดอาการปีติกับตัวเรา อย่างเช่นว่า ขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง หรือว่าลอยขึ้นทั้งตัว หรือรู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวรั่ว ตัวแตก ตัวระเบิด ปรากฏว่าพวกเราขยันเกินเหตุ ระหว่างปฏิบัติธรรมก็ไปนั่งจ้อง เมื่อไรจะขนลุกสักที เมื่อไรจะน้ำตาไหล เมื่อไรจะดิ้นตึงตังโครมครามสักที รอไปเถอะ..ชาติหน้าบ่าย ๆ โน่น..! การตั้งใจเหมือนอย่างกับคนยืดคอเลยช่อง อยากจะรู้ อยากจะเห็น ไปยืดคอเลยช่อง..ก็มองอะไรไม่เห็น เพราะมีแต่ข้างฝา ถ้าไม่อยากเสียเลยก็เหมือนอย่างกับคนก้มหน้าคุดคู้ ในเมื่อยื่นหน้าไม่ถึงช่อง..ก็ไม่เห็นอีก เจริญมาก..! พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสในมัชฌิมาปฏิปทา ทุกอย่างต้องพอเหมาะ พอดี พอควร ถ้าหากว่าพอเหมาะ พอดี พอควรเมื่อไรผลก็จะเกิด ไม่ต้องไปตามจ้องเลยนะ มีหน้าที่ทำอย่างเดียว ไม่ต้องสนใจว่าผลจะเกิดหรือว่าไม่เกิด เนื่องเพราะว่ากรรมฐานทุกกองถ้าไม่มีอุเบกขา เราจะเข้าไม่ถึงที่สุด แล้วถามว่า "อุเบกขาคืออะไร ?" ก็คือ การที่เรามีหน้าที่ทำเราก็ทำไป ส่วนผลจะเกิดอย่างไร เกิดเมื่อไร จะเกิดหรือไม่..เป็นเรื่องของมัน..! เรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดหรือไม่เกิดช่างมัน เราเพาะต้นกรรมฐานลงไปแล้ว รดน้ำ พรวนดิน เติบโตขึ้นมาก็คอยระมัดระวัง ระมัดระวังแมลง คอยใส่ปุ๋ย คอยใส่ยา เดี๋ยวโตได้ขนาด ได้เวลาก็จะออกดอกออกผลเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2024 เมื่อ 01:13 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
คราวนี้เราเพาะต้นกรรมฐานลงไป สูงขึ้นมาได้หนึ่งคืบ อยากให้โตเร็ว ๆ ก็ไปดึงยอด..จะรอดไหมนั่น..? ส่วนใหญ่ดึงขาดไปหลายต้นแล้ว..! ไม่มีวิธีลัด มัชฌิมาปฏิปทาเป็นทางตรงที่สุดแล้ว ต่อให้เชื่อมจิตก็ไม่ตรงเท่านี้..!
มัชฌิมาปฏิปทาไม่มี ๕๐ เปอร์เซ็นต์ด้วย เพราะว่าขึ้นอยู่กับแต่ละคน มัชฌิมาปฏิปทาของคนกรุงเทพฯ เดินสามก้าวก็ไกลไป นั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปแทน มัชฌิมาปฏิปทาของคนภาคอีสาน เดินจากกรุงเทพฯ กลับบ้าน ๗๐๐ กิโลเมตร..! เห็นหรือยังว่าต่างกันตรงไหน..? ขึ้นอยู่กับบารมีที่สั่งสมมา ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่กล่อมเกลาเรามา ดังนั้น..ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมไป แล้วบอกตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว อย่าเพิ่งเชื่อ ลองฝืนดูก่อน ต่ออีกนิด ถ้าต่อได้ แสดงว่าเมื่อครู่นี้กิเลสบอก ไม่ใช่ตัวเราบอก กิเลสบอกให้เราเลิกได้แล้ว พอเพียงแล้ว แต่ว่าตัวเราเอง เรารู้อยู่ เพราะฉะนั้น..ถ้าฝืนดูแล้วไปต่อได้เราก็ไปต่อ แต่เต็มที่ก็อย่าให้เกินชั่วโมงครึ่ง - สองชั่วโมง เพราะถ้าร่างกายโดนบังคับมาก เดี๋ยวต่อไปจะไม่เอาด้วย เหมือนกับคนโหมทำงานมาก ๆ วันนี้ รุ่งขึ้นระบมจนคลานไม่ขึ้น..! ถึงได้บอกว่าทุกอย่างต้องมีมัชฌิมาปฏิปทา การปฏิบัติธรรมนอกจากมีมัชฌิมาปฏิบัติทาแล้วยังต้องมีอุเบกขา พูดมาตั้งเยอะตั้งแยะ สรุปลงตรงนี้แหละ ฟังเสียจนจับจุดไม่ได้สักอย่าง..! เรามีหน้าที่ทำ จะได้หรือไม่ได้ จะเป็นหรือไม่เป็นช่างมัน จะเป็นตอนไหนก็ช่างมัน ปลูกต้นไม้อย่าไปดึงยอด เดี๋ยวต้นไม้ตาย..! เรามีหน้าที่อย่างเดียว คือตั้งหน้าตั้งตาดูแลต้นไม้นั้นไป ดูแลด้วยศีล ดูแลด้วยสมาธิ ดูแลด้วยปัญญา ส่วนจะออกดอกออกผลเมื่อไรว่ากันทีหลัง ขอให้ได้ทำ ถ้าทำแล้วผลเกิดแน่ เพียงแต่จะเกิดเมื่อไรขึ้นอยู่กับของเก่าด้วย ของเก่าสะสมไว้เยอะ..เติมใหม่นิดเดียวเต็มแล้ว..ผลก็เกิดเร็ว ของเก่าสะสมไว้น้อยหรือไม่มีเลย..ทำไปแทบทั้งชาติยังไม่ได้เจออะไร..แต่อย่าน้อยใจ..ต้องมั่นใจว่า "ทำดีต้องได้ดี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2024 เมื่อ 01:17 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๗ เมื่อคืนใครอู้ ? หลวงพ่อไม่อยู่หน่อยเดียวอู้กันหมด ได้ยินว่าหนีไปดูคอนเสิร์ต เจอนักร้องที่ชอบมีการกรี๊ดดดด้วย..! อย่าทำบ่อย คนที่ไม่ได้ดูคอนเสิร์ตด้วยเขาจะหัวใจวายตาย..! เรื่องของการปฏิบัติธรรม จุดที่สำคัญที่สุดก็คือสร้างสติให้เกิด ให้ตัวเราตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับและตื่นมีสติรู้เท่ากัน ถ้าทำยังไม่ถึงจุดนี้ การปฏิบัติธรรมของเราแทบจะไม่มีผล เนื่องเพราะว่าสิ่งที่เราระมัดระวังรักษาเอาไว้ในช่วงกลางวัน จะไปหลุดหมดเกลี้ยงตอนกลางคืน บางคนกิเลสงอกงามมากกว่าปกติอีก กลางวันระมัดระวังศีลทุกสิกขาบท แม้แต่มดยังพยายามที่จะเลี่ยงไม่เหยียบ กลางคืนเผลอหน่อยเดียว ฝันว่าเขาฆ่าเขาทั้งกองทัพเลย..! บางคนกลางวันสำรวมมาก แม้แต่เพศตรงข้ามยังไม่กล้ามองตรง ๆ กลางคืนฝันว่าปล้ำลูกชาวบ้านเขาไปเรียบร้อยแล้ว..! นั่นคือการที่เราขาดสติ ถ้าหากว่าสติเราสมบูรณ์อยู่ หลับและตื่นจะมีความรู้สึกเท่ากัน หลับอยู่ก็รู้ว่าตัวเองตอนนี้กำลังหลับ หลายคนได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วย..! เพียงแต่ว่าต้องรักษาเอาไว้ให้ต่อเนื่องตามกัน ถ้าเผลอสติหลุดไป เดี๋ยวสภาพจิตที่โดนเก็บกดมาตอนกลางวัน ก็จะไปอาละวาดอีก..! บุคคลที่ทำได้คล่องตัวแล้วจึงได้ชื่อว่า พุทโธ คือ ผู้ตื่น ภัทเทกะรัตโต คือ ผู้มีราตรีอันเจริญ เพราะว่าสภาพจิตอยู่กับคุณงามความดีตลอดเวลา ไม่ปรุงแต่งไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง ถึงเวลาสามารถควบคุมร่างกายได้ตลอดทั้งหลับและตื่น หลับอยู่ก็รู้ว่าตัวเองหลับ ถ้าสังเกตตนเองตั้งแต่ต้น จะสังเกตว่าสภาพจิตของเรานั้น เหมือนกับดวงไฟที่ค่อย ๆ หรี่ลง หรี่ลง ไปเรื่อย จนถึงระดับหนึ่งที่ถ้าปล่อยมากกว่านั้นไฟนั้นก็จะดับ ผู้ปฏิบัติก็จะรักษากำลังใจหรือ "ล็อก" กำลังใจเอาไว้ตรงจุดนั้น อาการภายนอกทั้งปวงเหมือนกับคนหลับ แล้วค่อนข้างจะหลับลึกด้วย เพราะว่าถ้าใช้การตรวจทางการแพทย์บางทีก็หาลมหายใจไม่เจอ หาชีพจรไม่เจอ คราวนี้เมื่อเราทำได้ก็ต้องรักษากำลังใจเอาไว้ แล้วซักซ้อมบ่อย ๆ จนสามารถตั้งเวลาได้ตามที่ต้องการ ก็คือตั้งใจไว้ก็พอว่าต้องการพักผ่อนนานกี่ชั่วโมง ถึงเวลาร่างกายก็จะตื่นเองโดยอัตโนมัติ ประสาทความรู้สึกจะกระจายออกไปจากศูนย์กลาง เคลื่อนไปจนถึงปลายมือปลายเท้า เมื่อรู้สึกตัวทั่วพร้อม ก็จะบอกตนเองว่า "ตื่นได้แล้ว ลืมตาขึ้น ลุกขึ้นนั่ง" ขั้นตอนต่าง ๆ ในความรู้สึกของเราจะช้ามาก เหมือนอย่างกับหุ่นยนต์ แต่คนภายนอกจะเห็นว่า เราลืมตาปุ๊บก็ลุกขึ้นปั๊บเลย..! คนประเภทนี้สังเกตได้ง่าย ต่อให้ดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดไหนก็ตาม ตื่นขึ้นมาไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอนเหมือนคนทั่วไป แล้วการพักผ่อนแบบนี้ พักน้อยก็เหมือนกับได้พักมาก เนื่องเพราะว่าคนทั่ว ๆ ไปร่างกายพัก แต่จิตใจฟุ้งซ่านไปเรื่อย สมองทำงานไปเรื่อย ทางการแพทย์เขาตรวจสอบแล้วว่า เวลาหลับอยู่ก็จริง แต่ว่าดวงตากลอกไปมาตลอดเวลา จะใช้คำว่าอยู่ในภาวะความฝันก็ใช่ แต่ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมาก เหมือนกับคนที่ตื่นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น..ถึงจะนอนไปทั้งคืน ลุกขึ้นมาแล้วก็รู้สึกเหนื่อย รู้สึกเพลีย เหมือนอย่างกับพักผ่อนไม่พอ เนื่องเพราะว่าเราพักแต่ร่างกาย จิตใจไม่ได้พักด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 10-06-2024 เมื่อ 15:49 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
แล้วถ้าหากว่าเราขาดสติ ในขณะที่หลับบางคนก็ทำเรื่องราวต่าง ๆ ไปโดยที่ไม่รู้ตัว ที่โบราณเรียกว่า "ไหล" ก็คือ "หลับไหล" หลับแล้วก็ยังไปเรื่อย ๆ บางคนลุกขึ้นมาหุงข้าว ต้มแกง ทำความสะอาดบ้านเรือน จนเสร็จเรียบร้อย กลับไปนอนใหม่ แล้วไม่รู้ว่าตัวเองทำ..!
บางคนก็สงสัยว่ากินหน่อยเดียว ทำไมอ้วนเอาอ้วนเอา ? จนกระทั่งหมอต้องสั่งให้ติดกล้องวงจรปิดพิสูจน์ตัวเอง แล้วก็เห็นว่าตอนที่หลับอยู่ ลุกขึ้นมาเปิดตู้เย็นหาของกินทุกคืน แต่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องเลย เพราะว่าขาดสติ..! ตอนสมัยกระผม/อาตมภาพยังเด็ก ๆ อยู่ มีรุ่นพี่อาวุโสน่าจะรุ่นประมาณป้าแล้ว ตกน้ำตายเพราะว่าไหลแบบนี้..! ก็คือไปหาบน้ำที่ท่าน้ำทั้ง ๆ ที่หลับอยู่ ไม่ใช่ผีเจ้าเข้าสิงอะไรทั้งนั้น แต่ว่าเป็นการทำไปตามจิตใต้สำนึกที่ภาษาฝรั่งเรียกว่า subconsciousness เคยทำอะไรก็ทำแบบนั้น เคยทำความสะอาดบ้าน ถึงเวลาก็ไปทำความสะอาดบ้าน เคยทำครัว ถึงเวลาก็ไปทำครัว เคยตักน้ำใส่ตุ่ม ก็ไปตักน้ำ แต่คราวนี้ท่าน้ำลื่น ตนเองตกลงไปในภาวะหลับ เลยจมน้ำตาย..! นี่คือการขาดสติ การฝึกกรรมฐานของเราส่วนที่สำคัญที่สุดเพื่อให้เรามีสติ รู้เท่าทันกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ต่าง ๆ แล้วก็หาทางระงับยับยั้ง ลด ละ จนกระทั่งเลิกได้ ที่จะไม่กระทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น แต่ถ้าหากว่าตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงสุด เราก็ต้องหวังว่าพ้นจากกิเลส เข้าสู่พระนิพพาน ส่วนใหญ่แล้วพวกเราตั้งเป้าไว้สูง แต่การกระทำต่ำมาก เหมือนกับตั้งเป้าไว้ว่าเราจะซื้อที่พร้อมบ้าน ๖๐ ตารางวา แต่ทำงานวันละ ๓๐ นาที ถ้าไม่ได้ระดับ CEO ของ Apple คงไม่มีทางที่จะทำได้..! เนื่องเพราะว่ากิเลสนั้นกินเราอยู่ตลอดเวลา ทั้งหลับ ทั้งตื่น ทั้งยืน ทั้งนั่ง แต่เราเองที่ปฏิบัติธรรมหวังความหลุดพ้น นั่งกรรมฐานเช้า ๓๐ นาที เย็น ๓๐ นาที รวมแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืนที่มี ๒๔ ชั่วโมง เราเจริญกรรมฐาน ๑ ชั่วโมง เทียบบัญญัติไตรยางค์แบบเด็ก ป. ๑ ก็รู้อยู่ว่าขาดทุนตลอดเวลา..! เนื่องเพราะว่าการต่อสู้กับกิเลสเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ เราว่ายทวนน้ำ ๑ ชั่วโมง แล้วปล่อยไหลตามน้ำไป ๒๓ ชั่วโมง เสร็จแล้วก็ว่ายทวนน้ำขึ้นมาใหม่ แล้วปล่อยไหลตามน้ำไปอีก กลายเป็นคนขยันทำกรรมฐานทุกวัน แต่หากำไรอะไรไม่ได้สักนิดเดียว..! บางคนก็ยังมาบ่นว่า "ปฏิบัติธรรมมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ไม่เห็นมีความก้าวหน้าเลย" แล้วสิ่งที่เราทำ สมกับสิ่งที่เราหวังหรือไม่..?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2024 เมื่อ 01:27 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพไม่มีหน้าที่ไปเคี่ยวเข็ญทุกคนว่า ต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ว่าคุณสมควรที่จะบวชได้แล้ว "มันเรื่องของกูหรือวะ..?!" จะทำอะไรก็ต้องตัดสินใจด้วยตนเอง เพียรพยายามด้วยตนเอง
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังตรัสว่า "อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่ตถาคตก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น" พระพุทธเจ้ายังแค่บอก แล้วเราทำตามหรือไม่ทำตาม พระองค์ท่านก็ไม่สามารถที่จะเคี่ยวเข็ญเราได้ จึงเป็นเรื่องของบุคคลที่ใฝ่ดีและหวังสูง ต้องเร่งรัดการกระทำด้วยตนเอง ไม่มีใครที่จะช่วยเหลือเราได้ ต่อให้ไปเชื่อมจิตกี่ครั้งก็ช่วยไม่ได้..! ในบาลีระบุไว้ชัดแล้วว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตน นาญโญ อัญญัง วิโสธเย บุคคลหนึ่งจะทำอีกบุคคลหนึ่งให้บริสุทธิ์ หาได้ไม่ อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้กับเราได้ เปลี่ยนชื่อก็ช่วยไม่ได้ สะเดาะเคราะห์ก็ช่วยไม่ได้ ต่อลายมือก็ช่วยไม่ได้ เชื่อมจิตก็ช่วยไม่ได้ "โมฯ" หน้าใหม่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่าทั้งหมดอยู่ที่การกระทำภายใน คือชำระใจของตน ให้กิเลสลดน้อยถอยลง และในที่สุดก็หมดไปจากใจของเรา ใจของใครคนนั้นขัดเกลาด้วยตนเอง ครูบาอาจารย์เป็นเพียงผู้ชี้แนวให้เดินเท่านั้น สิ่งอื่นล้วนแล้วแต่เป็นภายนอกทั้งสิ้น ไม่มีหนทางลัด มรรคแปดที่ย่อเหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางตรงที่สุดแล้ว ใครจะไปอาบแสงทิพย์อริยธรรมเพื่อเลื่อนชั้นความเป็นพระอริยเจ้าก็เชิญ ใครคิดว่าเชื่อมจิตแล้วจะประสบความสำเร็จก็ตามสบาย แต่หนทางแห่งมรรคแปดนั้น ต้องเดินด้วยตนเองเท่านั้น ไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากให้กำลังใจ หรือบอกทางถูกให้ ถ้าขี้เกียจ..หนทางก็ยังอีกยาวไกล..ก็แปลว่าทุกข์อีกนาน ถ้าขยัน..หนทางก็สั้นลง..ทุกข์น้อยลง หรือว่าเดินสุดทางในชาตินี้เลย..ก็เป็นอันว่าเลิกทุกข์กันที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2024 เมื่อ 01:29 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ก่อนทำวัตรเย็น วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๗ พวกอาหารเสริม พวกวิตามิน ญาติโยมไม่ต้องเสียเวลาเอามาถวายนะ แม้แต่มองอาตมายังไม่มองเลย ส่งให้พระแก่ ๆ ในวัดไปฉันแทน เนื่องเพราะว่าเป็นคนที่ไม่อยากอยู่ ก็เลยไม่พยายามทำอะไรให้ตัวเองอยู่ได้ เพราะฉะนั้น..อย่าเสียเวลาหายาโด๊ปมาให้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าอาตมาไม่ได้ฉัน เรื่องของร่างกาย ถ้าหากว่าเราฉันอาหารพอเพียงก็อยู่ได้แล้ว แต่ว่าส่วนใหญ่พวกเราไปต้องการให้ดีเกินปกติ ซึ่งเท่ากับเป็นการฝืนธรรมชาติ ในเมื่อเราฝืนธรรมชาติ พอถึงเวลาขาดยาก็มักจะอยู่ไม่ได้ ขอให้เข้าใจว่ามัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธเจ้าใช้ได้ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นยา เป็นอาหาร เป็นอะไรก็ตาม ต้องพอเหมาะพอดีถึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ ถ้ามากเกินไปก็เกิดโทษ ให้สังเกตคนแก่หรือว่าคนป่วยที่ได้รับพวกยาบำรุงมากเกินไป จะเกิดอาการร้อนใน แล้วทำให้เสียงแหบ พูดไม่มีเสียง ญาติใครโยมใครถ้ามีอาการอย่างนี้ ขอให้รู้ว่ากินพวกยาบำรุงมากเกินไป โอกาสที่จะตายเพราะมะเร็งสูงขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเมื่อมีมากเกิน แล้วร่างกายขับออกไม่ทัน ก็ก่อให้เกิดโทษ ถามจริง ๆ เถอะ..ไอ้โลกเฮงซวยแบบนี้อยากจะอยู่กันอีกหรือ..? อาตมาไปได้วันนี้ก็ไปเลย กินให้พอดี นอนให้พอดี แค่นี้โรคภัยไข้เจ็บก็ถามหาน้อยมากแล้ว ส่วนใหญ่กินไม่เป็นเวล่ำเวลา นอนดึก..อุตส่าห์มาปฏิบัติธรรม ๓ วัน กลับไปดู Netflix เสีย ๗ วัน กำไรโคตรเยอะเลย..! แล้วจะเอาดีได้อย่างไร..? สมัยที่อาตมภาพยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี พอเวลาปิดเทอมก็กลายเป็นโรงเลี้ยงเด็ก ก็คือพ่อแม่จะเอาลูกมาทิ้งไว้ สบายไปหนึ่งเทอม เพราะว่าอยู่วัด หลวงตาสอนให้ทำทุกอย่าง กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า เด็กเขาสนุกด้วยซ้ำไป นึกว่าได้เล่น กลับบ้านไปพ่อแม่บอกว่า "ลูกเขาเก่งขึ้นเยอะเลย" เทอมต่อไปก็เอาน้องมาด้วย ตูก็นึกว่าจะน้อยลง..! ปรากฏว่ามีเด็กบางคนอยู่ไม่ได้ ไปที่นั่นแล้วไม่มีโทรทัศน์ จะมีได้อย่างไร..? ก็อยู่ในป่า คลื่นโทรศัพท์ยังไม่มีเลย อยากจะโทรศัพท์ต้องเดินออกมาสองกิโลครึ่ง แล้วก็ปีนเนินขึ้นไป พอจะมีอยู่สองจุด เด็ก ๆ บางคนเขาบอกว่า "หนูอยู่ไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีโทรทัศน์ หนูตายแน่..!" แสดงว่าหลวงตาของเขาแปลก..เพราะว่าหลวงตาเลิกดูโทรทัศน์ เลิกดูอะไร มาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ จนป่านนี้ยังไม่เห็นจะตายเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 11-06-2024 เมื่อ 19:06 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ไม่ดูข่าวสารบ้านเมืองยิ่งดี ไม่ต้องไปปวดหัว แทนที่จะช่วยกันบริหารประเทศชาติ ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มัวแต่ไปแย่งตำแหน่งกัน เห็นแล้วบางวันของขึ้น..! ถามว่าของขึ้นเพราะอะไร ? ก็เพราะเกิดความคิดว่า "กูอุตส่าห์ลำบากลำบน ต่อสู้เพื่อให้มีแผ่นดินนี้ให้พวกมึงอยู่ แล้วมึงก็บริหารกันเละเทะแบบนี้..!" เพราะฉะนั้น..ดีแล้วที่มาบวช ถ้าขืนเป็นฆราวาสแล้วก็มีหวังได้ปฏิวัติ ยิงทิ้งสัก ๗๐๐ - ๘๐๐ คน..!
บ้านเราที่เดือดร้อนกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะคนแค่คนไม่กี่คนเท่านั้นเอง ก็เลยอยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าไม่มีรัฐบาล ชาวบ้านจะอยู่ดีกินดีกว่านี้เยอะเลย จริงหรือเปล่า..? ก็คือรัฐบาลต้องมีหน้าที่ส่งเสริมการลงทุนของชาวบ้านในทุกวิถีทาง เพื่อที่ให้ทุกอย่างมีความคล่องตัว ลดขั้นตอนลงเหลือให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ใช่ไปสร้างขั้นตอน ตั้งเงื่อนไขอะไรสารพัด จนคนเขาเบือนหน้าหนีกันหมด..! คิดที่จะหาเสียงจากชาวบ้าน ก็ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น ๔๐๐ บาท..! อย่าลืมว่าบรรดาเถ้าแก่หรือว่าพ่อค้า ถ้าค่าแรงแพง เขาก็เลิกจ้าง โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นระดับนานาชาติ เขาก็ย้ายฐานการผลิตไปประเทศที่ค่าแรงต่ำกว่า เขาเรียกว่าทำอะไรไม่รู้จักใช้หัวแม่เท้าคิด..! ของบางอย่างรับรู้ได้ แต่ต้องรู้โดยอุเบกขา ถ้าอุเบกขาไม่ได้ อย่ารับเข้ามา เพราะว่าเราจะเครียด เนื่องจากว่าพอรับรู้เข้า เราก็จะปรุงแต่งไป รัก โลภ โกรธ หลง ไปตามกำลังใจของตนเอง ไม่เชื่อลองอยู่ห่างโทรศัพท์สัก ๗ วัน เลิกติดตามข่าวสารบ้านเมืองสัก ๗ วัน ชีวิตจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย แต่เชื่อเถอะ ๗ ชั่วโมงก็ไม่รอดหรอก ไม่ต้องพูดถึง ๗ วัน..! การปฏิบัติธรรมสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการเอาชนะตัวเอง การที่เราจะเอาชนะตัวเองได้ ต้องอาศัยกรอบคือศีล อย่างพวกเรารักษาศีลแปดช่วงปฏิบัติธรรมได้ แล้วทำไมกลับบ้านไปแล้วไม่รักษาต่อ ? แล้วเสร็จแล้วก็ไปเครียด ไปกังวลว่า อ้วนแล้ว เบาหวานขึ้น ไขมันเริ่มพอกตับ ก็ถ้ารักษาศีลแปดต่อไป โรคภัยไข้เจ็บก็น้อยลง เพราะว่าพอกินน้อย ร่างกายก็ต้องไปดึงเอาจากความอ้วนของตัวเองไปใช้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-06-2024 เมื่อ 02:24 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
อาตมาถือศีลแปดปีแรก น้ำหนักหายไป ๙ กิโลกรัม จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่ได้คืนเลย ถึงตอนนี้ ๔๐ ปีพอดี ปกติเขาบวชกัน ๒ - ๓ ปีก็อ้วนปี๋ นั่งลงไปทีหนึ่งก็เต็มโซฟาเลย เท่เป็นบ้า..! อาตมานั่งลงไปเหลือหน่อยเดียว เพื่อน ๆ พระสังฆาธิการถามว่า "รักษาหุ่นได้อย่างไรวะ ?" ก็บอกว่า "ผมไม่ได้รักษาหุ่น ผมแค่ทำงานเท่านั้น เพียงแต่ว่าทำมากกว่าที่กินลงไปก็แค่นั้น"
หลายคนติดของหวาน ตัวบรรลัยเลยแหละ..! เนื่องเพราะว่านอกจากจะพาสารพัดโรคมาให้แล้ว มีแต่อ้วนกับอ้วน ความจริงอ้วน ๆ ก็ดูน่ารักดีนะ แค่เอาสีดำมาเขียนรอบตาก็กลายเป็นหมีแพนด้าแล้ว..! อาตมานี่ถ้าหากว่าหลังเพลไปแล้ว ก็เหลือแต่น้ำเปล่า ไม่ต้องถามว่าไม่ฉันปานะอะไรเลยหรือ..? ไม่แตะเสียด้วยซ้ำไป..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า สมัยที่ออกธุดงค์ เห็นหลวงพ่อทวน โฆสโก วัดตีนตก ท่านสะพายย่ามธุดงค์ ๒ ใบ อาตมาเอาไปใบเดียว เคยลองชั่งน้ำหนักดูหนัก ๒๒ กิโลกรัม พอถึงที่พัก หลวงพ่อทวนวางย่ามลง อาตมาลองไปยกดู กะว่าจะชั่งน้ำหนักว่าหนักเท่าไร ปรากฏว่ายกไม่ขึ้น..! ใบเดียวนะไม่ใช่สองใบ มีโอกาสก็เลยถามหลวงพ่อท่านว่า "พกอะไรมาบ้างครับ..?" ท่านก็รูดซิปหยิบออกมาให้ดูทีละอย่าง กว่าจะหมดย่ามใบแรก ปรากฏว่าเป็นน้ำตาลทราย ๑๓ กิโลกรัม แค่น้ำตาลอย่างเดียว..! แล้วท่านก็ไม่ได้ฉันเองด้วย แบกไปเพื่อให้ไอ้พวกตัวถ่วงอย่างอาตมาที่เดินตามนั่นแหละฉัน เพราะว่าติดตามท่านไปแต่ละทีก็ ๗ - ๘ รูป ตัวเองแบกไม่ไหว หลวงพ่อทวนต้องแบกให้ ในเมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษอย่างนั้น อาตมภาพก็ตั้งใจวันนั้นเลยว่า "กูเลิก..!" เมื่อตั้งใจเลิกก็แปลว่าไม่แตะอีก ถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปก็ประมาณว่า "หักดิบ" ก็ไม่ตายนะ พอเราตั้งใจแล้ว ก็ต้องทำอย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้ อีกท่านหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจตรงนี้เลยก็คือหลวงพ่อโอ วัดท่าซุง (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ถึงเวลามานั่งคุยกันในหมู่พี่ ๆ น้อง ๆ หลวงพ่อโอบอกว่า "ไอ้ธุดงค์อย่างท่าน ผมก็อยากไป แต่ในป่าไม่มีเนสฯ ว่ะ..!" ท่านติดเนสกาแฟ อาตมาก็เพิ่งรู้วันนั้นแหละว่า เนสกาแฟมีฝาแดง ฝาดำ ฝาทอง ปกติไม่รู้เรื่องหรอก เพราะว่าไม่เคยฉัน อาตมาเป็นคนฉันกาแฟไม่ได้ ฉันแล้วหลับอย่างกับโดนยานอนหลับเลย พรรคพวกเขาเคยทดลอง อาตมาเตือนว่า "เฮ้ย..เดี๋ยวเสียงานนะ" เขาบอกว่า "เดี๋ยวกูทำแทนให้" ส่งกาแฟมา ซดเข้าไปไม่ถึง ๓ นาที หัวไถพื้นสลบเหมือด..! เหมือนโดนยานอนหลับจริง ๆ ไม่รู้ว่าประสาทไปตรงข้ามกับเขาได้อย่างไร แทนที่จะกระตุ้น กลายเป็นผ่อนคลาย หลวงพ่อโอท่านบอกว่า "ถ้าข้าปรารถนาพุทธภูมิ ข้าจะอธิษฐานขอตรัสรู้ใต้ต้นกาแฟ" สาธุ..ทำวัตรเถอะ..นินทาพี่ท่านมาเยอะแล้ว..! พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม ณ วัดท่าขนุน วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ๒๕๖๗ วันเสาร์ที่ ๑ - วันจันทร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล และ นาทาม)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-06-2024 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|