กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 06-08-2024, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,271
ได้ให้อนุโมทนา: 153,721
ได้รับอนุโมทนา 4,439,276 ครั้ง ใน 34,875 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗


ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม เฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๕๖๗
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗



หายไปไหนกันหมดจ๊ะ ? โดนฝนละลายไปแล้วหรือ ? เฮ้อ..บาลีเขาเรียก "ธรรมเสนา" เสนาแปลว่าทหาร ทหารในกองทัพธรรม ไม่ใช่ดินเหนียวสักหน่อย จะได้โดนฝนแล้วละลาย..!

ไปนึกถึงลุดตัดกุด ชื่อประหลาด ๆ นี้เป็นทหารชนกลุ่มน้อย ก่อกบฏกับจ๊กก๊กของเล่าปี่ ถ้าพวกเราไปคุยเรื่องสามก๊กกับคนจีนนี่ พอเราออกชื่อไปคนจีนเมาเลย เพราะว่าไม่รู้จัก..! เราเรียกเล่าปี่ตามภาษาฮกเกี้ยน แต่จีนกลางเขาเรียกหลิวเป้ย

ลุดตัดกุดมีทหารพิเศษอยู่ ๓,๐๐๐ คน ใส่เสื้อเกราะทำจากหวายแช่น้ำมัน กำลังคิดว่าคนสมัยนั้นเขาถักเสื้อเกราะแบบไหน ถึงได้ป้องกันหอกป้องกันดาบได้ พวกเราใครเคยเห็นพระพุทธรูปสานจากไม้ไผ่บ้าง ? พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก แต่แค่สองคนก็ยกไหว เขาเหลาไม้ไผ่เป็นตอกเล็ก ๆ แล้วก็สานเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ

คิดว่าถ้าทหารพิเศษของลุดตัดกุดสานหวายเป็นเสื้อเกราะก็น่าจะลักษณะเดียวกัน ก็คือเว้นช่วงให้แขนขาสามารถที่จะเคลื่อนไหวได้ คงลักษณะเหมือนกับเสื้อกั๊ก ทหารชุดนี้ออกรบกับใครไม่เคยแพ้ เพราะว่าอีกฝ่ายฟันแทงไม่เข้า แต่พอไปเจอขงเบ้งเข้า อ๋อ..เกาะหวายแช่น้ำมันใช่ไหม ? เผาเลย..หมดเกลี้ยง..! ขงเบ้งต้องมารำพึงรำพันว่า "ตัวเราคงอายุสั้นเป็นแน่แท้"

ทำไมถึงอายุสั้น ? ก็เพราะว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แล้วสัตว์ที่ว่าก็เป็นมนุษย์เสียด้วย ตามหลักการโดยธรรมแล้ว

ฆ่าสัตว์ใหญ่บาปกว่าฆ่าสัตว์เล็ก เนื่องเพราะว่าต้องใช้กำลังใจในการฆ่าต่างกัน

ฆ่าสัตว์มีคุณบาปมากกว่าฆ่าสัตว์ไม่มีคุณ อย่างพวกช้าง ม้า วัว ควาย พวกเราใช้งานเขาตลอด เป็นสัตว์ที่มีคุณต่อมนุษย์ ถ้าหากว่าไปฆ่าทั้ง ๆ ที่เขาทำคุณทำประโยชน์ให้ ก็จะทำให้มีบาปมากกว่า ก็คือใจร้ายพอที่จะฆ่าคนที่รับใช้ตัวเอง กรรมก็เลยหนักกว่า

ฆ่าผู้ที่สามารถบรรลุธรรมได้บาปหนักกว่าฆ่าผู้ที่บรรลุธรรมไม่ได้ ถ้าฆ่าพวกเราตรงนี้คงบาปหนาสาหัสเลยนะ..! ส่วนพวกข้างนอกไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนั่น ถึงฆ่าไปก็บาปน้อยกว่าหน่อย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 20-08-2024 เมื่อ 09:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 06-08-2024, 00:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,271
ได้ให้อนุโมทนา: 153,721
ได้รับอนุโมทนา 4,439,276 ครั้ง ใน 34,875 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ในเมื่อหลักการเป็นอย่างนี้ ก็เลยทำให้บุคคลที่เข้าใจก็พยายามที่จะเว้น แต่ประหลาดตรงที่ชาวทิเบตที่เป็นพุทธวัชรยาน ชาวทิเบตไม่กินสัตว์เล็ก กุ้ง หอย ปู ปลา นี่ไม่เอา เขาเล่นจามรีตัวละ ๘๐๐ - ๙๐๐ กิโลกรัมไปเลย..! ถามเขาว่า "ทำไมไม่กินสัตว์เล็ก แล้วมากินจามรีที่เป็นสัตว์ใหญ่ ?" เขาบอกว่า "ฆ่าจามรีหนึ่งตัว แบ่งกันกินได้ทั้งหมู่บ้าน เราทำบาปแค่หนึ่งชีวิต แต่ถ้ากินสัตว์เล็กพวก กุ้ง หอย ปู ปลา หนึ่งคนก็กินไปหลายสิบชีวิตแล้ว" ถ้าหากว่าเปรียบเทียบเป็นชีวิตต่อชีวิตแล้วก็ต้องบอกว่าใช่ของเขา

มีนักศึกษาคนหนึ่ง เป็นชาวทิเบต สอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ พ่อแม่ต้องขายจามรีสองตัวเพื่อส่งลูกเรียน เจ้านี่ก็มาเล่าให้เพื่อนฟังว่า "ที่บ้านต้องขายวัวสองตัวเพื่อส่งมาเรียน" เพื่อนสงสารก็บอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เอ็งมีหน้าที่กินอย่างเดียว พวกข้าจะเลี้ยงเอง" เจ้านั่นก็แปลกใจ..ทำไมเพื่อนไม่ยอมให้เลี้ยงบ้าง ?

เพื่อนก็บอกว่า "เออน่ะ..เอ็งเก็บเงินไว้เรียนก็แล้วกัน" ปรากฏว่าพอปิดเทอมเพื่อนขอไปเที่ยวบ้านหน่อย เพิ่งจะรู้ว่าเขาเป็นมหาเศรษฐี ที่พ่อแม่ขายจามรีสองตัวนั่น ก็เพราะว่าเขามีจามรีเป็นร้อย ๆ ตัวเลย จามรีหนึ่งตัวราคาประมาณ ๖,๐๐๐ หยวน ถ้าเป็นบ้านเราก็ราว ๆ ๓๐,๐๐๐ บาท

เขาบอกว่าตั้งแต่หัวถึงเท้า ในถึงนอกของจามรีใช้ประโยชน์ได้หมด ถามว่า "แพงขนาดนั้นแล้วคนกล้าซื้อหรือ ?" เขาบอกว่า "สบายมาก ฆ่าจามรีหนึ่งตัว แค่ขายขนกับหนังก็ได้ ๖,๐๐๐ หยวนคืนแล้ว" ไม่ต้องไปพูดถึงเนื้อ ถึงกระดูก ถึงเขา อะไรเลยนะ

เมื่อครู่นี้เดินตากฝนมา ก็เลยไปนึกถึงทหารเกราะหวายของลุดตัดกุดที่ว่า นอกจากจะกันมีดกันหอกได้แล้ว ยังกันน้ำได้ด้วย ถึงเวลาเจอน้ำก็โดดตูมลงไปเลย เพราะว่าหวายแช่น้ำมันช่วยให้ลอยน้ำได้ ก็เลยอยากจะได้ใส่กันฝนสักตัวหนึ่ง แต่เผลอหน่อยเดียวโดนขงเบ้งเผาเกลี้ยงทั้งกองทัพ..! แล้วขงเบ้งก็อายุสั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-08-2024 เมื่อ 02:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 06-08-2024, 00:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,271
ได้ให้อนุโมทนา: 153,721
ได้รับอนุโมทนา 4,439,276 ครั้ง ใน 34,875 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราทราบหรือไม่ว่าพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีพระองค์ไหนมีพระชนมพรรษายืนที่สุด ? ก็คือรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านทรงมีพระชนมายุ ๘๙ พรรษา รองลงไปคือรัชกาลที่ ๑ ทรงมีพระชนมายุ ๗๓ พรรษา

เกณฑ์อายุยืนสมัยก่อน เขาตัดสินกันที่ว่า ถ้าเกิน ๕๐ ปีขึ้นไปถือว่าอายุยืน อาตมาเองอาจจะเคยบ่นให้หลายท่านฟังว่า ชาติก่อน ๆ อาตมาอายุถึง ๔๐ กว่าก็ถือว่าอายุยืนมากแล้ว..ใช่ไหม ? เพราะว่าสร้างเวรสร้างกรรม รบราฆ่าฟันเขาเอาไว้ทุกชาติ กรรมปาณาติบาตพอมาสนองเป็นอุปฆาตกรรม ก็ตัดชีวิตเราให้ตายลงตั้งแต่อายุยังไม่มาก

ถ้าหากว่านับในพระบรมราชจักรีวงศ์จะหาที่อายุถึง ๖๐ ก็ยากแล้วนะ มีรัชกาลที่ ๔ ได้ ๖๕ พรรษา นอกนั้นก็ ๔๐ กว่า ๕๐ กว่าก็สวรรคตแล้ว

สมัยนี้คนแก่มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าสร้างเวรสร้างกรรมไว้น้อย..ใช่หรือเปล่า..? ต้องใช่สินะ เขาบอกว่าเป็นเพราะการรักษาพยาบาลดีขึ้น หมอรู้จักโรคมากขึ้น ทำให้โรคแปลก ๆ ที่สมัยก่อนเรียกเหมารวมกัน อย่างเช่นว่าเป็นมะเร็ง เขาก็เรียกว่า "ฝีในท้อง" เป็นวัณโรคก็ฝีในท้อง อะไร ๆ ก็เรียกเหมือนกันหมด ส่วนสมัยนี้แยกได้ใช่ไหม เช่น มะเร็ง ก็มีมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก แต่สมัยก่อนเรียกเป็นฝีในท้องหมด..ก็ใช่ตามนั้นอยู่หรอกนะ

หลวงปู่สายท่านป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง สมัยโบราณเขาเรียกว่า "ฝีประคำร้อย" เพราะว่าไปตามต่อมน้ำเหลือง ก็เลยเรียงเป็นแถวเหมือนลูกประคำ อะไร ๆ โบราณก็เรียกว่าฝี พอเรียกว่าฝีก็รู้สึกว่าไม่หนักเท่าไร..ใช่ไหม ?

สมัยอาตมาเด็ก ๆ เขามีพ่อหมอที่สูญฝีให้กับพวกเด็ก ๆ ท่านเก่งมากเลย เพราะสมัยก่อนพวกโรคติดเชื้อเป็นกันง่าย โดนยุงกัดหน่อยก็เป็นฝีแล้ว จะกลัดหนอง บางคนเรียก "ฝีปากหมู" เพราะว่าบวมขึ้นมา ถึงเวลาถ้าฝีแตกก็จะโบ๋อยู่อย่างนั้น เหมือนอย่างกับปากเล็ก ๆ

สมัยนั้นยาปฏิชีวนะก็หายาก ต้องอาศัยพึ่งพาหมอ คราวนี้หมอสมัยใหม่ไม่ค่อยมี มีแต่หมอยาโบราณ ซึ่งจะใช้ยาคุณพระ ก็คือก่อนกินต้องเสกก่อน
"พุทธะรัตตะนัง ธัมมะรัตตะนัง สังฆะรัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง สัพพะทุกขัง สัพพะโรคัง วินาสเสติ อะเสสะโต" พระคาถาบทนี้เอาไปใช้ได้จริง ๆ นะ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-08-2024 เมื่อ 02:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 06-08-2024, 00:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,271
ได้ให้อนุโมทนา: 153,721
ได้รับอนุโมทนา 4,439,276 ครั้ง ใน 34,875 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ที่พูดถึงคุณหมอนี่ก็เพราะว่าท่านใช้บทขัดในการสวดเจ็ดตำนานนี่แหละสูญฝี พอถึงเวลาก็เสกปูนที่ใช้กินกับหมาก ป้ายที่หัวฝีให้ ถามว่า "จะให้แตกตรงนี้ หรือว่ากลับไปแตกที่บ้าน ?" ส่วนใหญ่ขอให้ไปแตกที่บ้าน ถ้าแตกตรงนั้นแล้วจะเดินยาก เพราะว่าเจ็บแผล แล้วก็เหลือเชื่อจริง ๆ เหยียบถึงที่บ้านเมื่อไร ฝีแตกโป๊ะตรงนั้นเลย..!

พอรู้คาถา ตอนแรก ๆ ก็รู้สึกว่าขลังมาก คราวนี้พอศึกษาเล่าเรียนสวดมนต์ท่องบ่นไปเรื่อย อ้าว..นั่นเป็นบทขัดในเจ็ดตำนาน พ่อหมอแกเอามาแปลงนิดเดียว สัพพะสี วิสะ ชาตินัง ก็เปลี่ยนเป็น สัพพะฝี วิสะ ชาตินัง เปลี่ยนคำเดียว สูญฝีได้ทุกประเภท หนักเบาแค่ไหนรักษาได้หมด ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์..! ตรงกับบาลีที่ว่า มโนมยา..ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ

คราวนี้เรามาปฏิบัติภาวนาเพื่อให้ใจมีกำลัง พอใจมีกำลังเราจะใช้งานอะไรก็กำหนดจดจ่อลงไปตรงนั้น ดังนั้น..คาถาโน่น คาถานี่ ที่จะทำให้สำเร็จนั้น ใจต้องมีกำลังก่อน พอใจมีกำลังก็มุ่งมั่นว่า "ฝี..เอ็งต้องแตก แตกตรงนี้หรือไม่ก็ไปแตกที่บ้าน" แล้วก็เป่าลงไป

คราวนี้ของเราพอใจมีกำลัง เราเอามาระงับ รัก โลภ โกรธ หลง คนที่ใจมีกำลังจะนั่งยิ้มทั้งวัน เพราะว่าสามารถระงับไม่ให้ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นไฟใหญ่ ๔ กองเผาเราได้ คนโดนไฟเผานี่น่าสงสารมาก ร้อน..ดิ้นอยู่ตลอดเวลา แต่คราวนี้พวกเรามักจะไม่ค่อยดับไฟให้ตัวเอง นี่สิ..เป็นเรื่องแปลก ปล่อยให้โดนเผาแล้วก็ดิ้นไปเรื่อย..ใช่ไหม ? ใส่จังหวะหน่อยก็ดิ้นเป็นเพลง Rockstar ของลิซ่าไปเลย..!

ทำอย่างไรที่เราจะรักษากำลังใจให้ทรงตัว อยู่ในระดับที่ระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ ? ต่อให้ระงับชั่วคราวก็ยังดี จะได้มีเวลาพักบ้าง ไม่อย่างนั้นโดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องสนุก ก็แปลว่าต้องใช้ความเพียรพยายามในการสร้างใจของเราให้มีกำลัง ก็คือให้เกิดสมาธิ

พอมีกำลังแล้วก็ต้องประคับประคองรักษาเอาไว้ ไม่ต้องทำอย่างอื่น เพราะว่าพอกำลังของใจมีขึ้นมา ก็จะทำหน้าที่ของมันเอง ก็คือไปกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ดับลงไปชั่วคราว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-08-2024 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 06-08-2024, 00:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,271
ได้ให้อนุโมทนา: 153,721
ได้รับอนุโมทนา 4,439,276 ครั้ง ใน 34,875 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ก็เหลือแต่เราว่าจะมีปัญญาไหม ? ตอนที่โดนไฟเผาตลอดเวลาดิ้นไปดิ้นมานี่ไม่มีเวลาพิจารณาอะไรเลย พอไฟดับก็สบาย ไม่ต้องดิ้นแล้ว ค่อย ๆ มอง ก็จะเห็นว่าเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง นี้ทำร้ายเราอยู่ตลอดเวลา แล้วยังอยากได้อีกไหม ?

ในเมื่อไม่อยากได้จะหลีกจะหนีอย่างไร ? ก็จะเห็นว่าราคะต้องตัดอย่างไร ? โทสะต้องตัดอย่างไร ? โมหะต้องตัดอย่างไร ?


ราคะคือรักกับโลภรวมกัน เพราะว่ารักจึงอยากมีอยากได้ ท่านให้สละออก ภาษาบาลีใช้คำว่าจาโค สละออก แต่ถ้าปฏินิสสัคโคนี่หนักเลย เหวี่ยงทิ้งไปเลย..! ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จาโค ปฏินิสสัคโค มุตติ อนาลโย..สละออก เหวี่ยงทิ้งไปได้ ก็หลุดพ้น ไม่มีความห่วงหาอาลัย อนาลโย..ไม่มีความห่วงหาอาลัย มุตติ..หลุดพ้น

ก็อยู่ที่พวกเราว่าจะทำได้แค่ไหน ? ถึงเวลาก็ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ เบื่อฉิบหายเลยหนอ..! อย่าเผลอนะ..เผลอหลุดออกมาอย่างนี้ เดี๋ยวเจอพระวิปัสสนาจารย์ฟาดหัวด้วยไมค์ลอย..! เบื่อก็ต้องทน ตั้งใจจะสู้กิเลสแล้ว แหม..ถึงเวลาก็ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ เอาสติกำหนดตามไป

ถามว่า "อย่างไรถึงจะใช้ได้ ?" ก็ต้องให้คำบริกรรมกับการเคลื่อนไหวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซ้าย..ก็คือยกเท้าขึ้น ย่าง..คือเคลื่อนเท้าไป หนอ..ก็เท้าลงแตะพื้น ขวา..ก็ยก ย่าง..ก็เคลื่อนไป หนอ..ก็ลงแตะพื้น พร้อม ๆ กัน ทัน ๆ กัน ไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วเกินไป

ก็คือสติจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย จัดอยู่ใน อิริยาปถปัพพะ ในมหาสติปัฏฐานสูตร คือการพิจารณาอิริยาบถของตน อิริยาบถใหญ่ ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถย่อย เหลียวซ้าย เหลียวขวา เหยียดแขน คู้แขน เหล่านี้เป็นต้น

ถ้าหากว่าเราสามารถกำหนดสติให้มั่นคงตอนที่กำลังเดินได้ ตอนนั่งนี่ง่ายเลย นั่งนิ่ง ๆ ไม่ได้ขยับ..สบาย ถ้าไล่จับที่วิ่ง ๆ ทันแล้ว ที่หมอบเฉย ๆ นี่ไปไม่รอดหรอก เสร็จเราหมด..!

วันนี้จากความฟุ้งซ่านที่ว่า เจอฝนเข้า เท้าไม่รู้จักหายเปียกสักที อยากได้เกราะหวายลอยน้ำมา กลายเป็นว่าเกราะหวายดันโดนไฟเผาตาย ไปเห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมาแล้วต้องสร้างบาป ถอนใจจากความห่วงหาอาลัย ไม่เกิดดีกว่า จึงมาทำสมาธิกัน คนละเรื่องก็อุตส่าห์คุยเป็นเรื่องเดียวได้..! เดี๋ยวพวกเราเริ่มต้นสมาทานพระกรรมฐานแล้วเข้าสู่การปฏิบัติช่วงบ่ายกันเลย

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒๕๖๗ ณ วัดท่าขนุน
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล และ นาทาม)

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-08-2024 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:23



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว