|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้การศึกษาปริยัติและปฏิบัติควบกันกำลังอยู่ในภาวะตกต่ำ พระผู้ใหญ่ก็เล็งเห็นข้อบกพร่อง เลยเปิดหลักสูตรวิปัสสนาภาวนาขึ้นมา มีทั้งระดับประกาศนียบัตร ถ้าหากว่าจบมาจะเป็นประกาศนียบัตรวิปัสสนาภาวนาโดยตรงเลย วุฒิเทียบเท่ากับ ม. ๖ สามารถไปเรียนต่อปริญญาตรีได้ เรียนวิชาการหนึ่งปีและนั่งกรรมฐานสามเดือน
ส่วนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโททั่วไปบังคับว่าจะต้องสะสมวันปฏิบัติธรรมให้ได้ ๓๐ วัน โดยให้ปฏิบัติต่อเนื่องอย่างน้อยครั้งละ ๑๐ วัน ส่วนระดับปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาโดยตรง เรียนวิชาการสองเทอม แต่ให้นั่งกรรมฐานต่อเนื่อง ๗ เดือน ไม่ต้องไปไหน หลักสูตรนี้ท่านเอามาจากที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ปฏิบัติอย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี ถ้าทุ่มเทจริง ๆ ได้ผลแน่ ท่านก็เลยเอาอย่างกลาง ๗ เดือน ปัจจุบันนี้ทางวัดท่าขนุนส่งพระและแม่ชีเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาอยู่ ๓ รูปด้วยกัน พระ ๑ แม่ชี ๒ นอกจากนั้นก็เรียนปริญญาโทปกติ และปริญญาตรีสายปกติ แม่ชีเรียนแล้วได้ผลขอต่ออีก ๗ เดือน สองเดือนแรกแม่ชีบอกว่าฟุ้งซ่านมาก ฟุ้งขนาดที่กิเลสกำลังจะตาย จึงดิ้นสุดชีวิต ตาที่เคยได้เห็นก็ไม่ได้เห็น หูที่เคยได้ยินก็ไม่ได้ยิน จมูกที่เคยได้กลิ่นก็ไม่ได้กลิ่น ลิ้นที่เคยได้รสก็ไม่ได้รส กายที่เคยได้สัมผัสก็ไม่ได้สัมผัส ใจจะคิดเขาก็บังคับให้ภาวนาอีก จึงฟุ้งซ่านจะคลั่งตาย แม่ชีบอกว่าไม่มีอะไรจะทำ ไปยืนมองที่หน้าต่างก็ยังดี เพราะเขาไม่ให้ออกไปข้างนอก ก็ต้องไปยืนหนอ..ยืนหนอ ตรงหน้าต่าง ให้มองข้างนอกสักนิดก็ยังดี ไม่อย่างนั้นกิเลสทำท่าจะตาย บางทีก็ปวดท้องจนปัสสาวะจะราดอยู่แล้ว พอเดินพ้นชายคาเพื่อจะไปห้องน้ำ ปรากฏว่าหายเดี๋ยวนั้นเลย แค่ถูกหลอกให้เดินออกข้างนอกเท่านั้น ขอไปดูหน่อยว่าข้างนอกเป็นอย่างไร กิเลสหลอกเราได้ขนาดนั้น..! พอเข้าเดือนที่สามใจเริ่มสงบ เพราะกิเลสไม่มีกำลังจะดิ้นแล้ว แม่ชีเพิ่งจะเข้าถึงความสงบในชีวิตอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก จึงขอเวลาอยู่ต่ออีก ๗ เดือนร่วมกับฝ่ายปริญญาโทที่เข้าไปพอดี ก็แปลว่างานนี้ออกมาคงจะได้บรรลุไปตาม ๆ กัน..! ทางวัดท่าขนุน ปัจจุบันก็ส่งเรียนทุกระดับไม่ว่าจะเป็นพระ เณร แม่ชี เด็กวัด เพราะฉะนั้น..ถ้าใครคิดจะเรียนแล้วไม่มีทุน ไปบวชพระ บวชชี บวชเณรที่วัด แล้วจะส่งให้ เรียนจบแล้วค่อยสึกออกมาก็ไม่ว่ากัน ขอเพียงตอนบวชคุณทรงความดีเบื้องต้นให้ได้ก็แล้วกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-08-2010 เมื่อ 15:31 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
พระอาจารย์บอกเด็ก ๆ ว่า "เด็ก ๆ ควรให้พยายามนั่งกรรมฐานดูลมหายใจเข้าออก วันละ ๕ นาที หรือ ๑๐ นาที ถ้าทำได้จะเรียนเก่งทุกคน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-08-2010 เมื่อ 15:32 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
ถาม : สร้างพระขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันไปจะมีอานิสงส์แตกต่างตามขนาดหรือไม่ ?
ตอบ : ประมาณไม่ได้จ้ะ ท่านใช้คำว่าพุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ การสร้างพระจะองค์เล็กเท่าปลายนิ้วหรือองค์ใหญ่เท่าภูเขา เกิดชาติใหม่จะเล็กไม่เป็น ทำอะไรเขาก็ยันออกหน้าไปตลอด จะองค์ใหญ่หรือองค์เล็กขอให้ได้ทำ โดยเฉพาะทำด้วยความเลื่อมใส อย่างเมื่อเช้าคุณคณานันท์ ทวีโภค จากเว็บพลังจิต เอาพระประธานมาถวาย เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องลักษณะพระแก้วมรกตฤดูร้อน หน้าตักน่าจะถึง ๓๐ นิ้ว ตั้งใจไว้ว่า จะเอาไปเป็นพระประธานที่บ้านวิริยบารมี บอกเขาว่าให้อธิษฐานสามอย่างด้วยกัน อย่างที่หนึ่ง ถ้าเกิดอีกไม่ว่าชาติใดก็ตาม ขออย่าได้เกิดนอกเขตพระพุทธศาสนา ข้อที่สอง ถ้าหากว่าจะตาย ขอภาพพระนี้ติดตาติดใจเราอยู่จนวาระสุดท้าย ข้อที่สาม ด้วยกุศลบารมีที่ร่วมกันสร้างพระนี้ ขอไปนิพพานแห่งเดียว เพราะฉะนั้น..ให้พวกเราจำ ๆ เอาไปใช้งานกันบ้าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-08-2010 เมื่อ 15:33 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
ถาม : เราเกิดมาได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : คนเราเขาทำดีทำชั่วกันมาทั้งนั้น คราวนี้จะเกิดมาเป็นคนต้องมีความดีเยอะหน่อย คือ ต้องมีศีล ๕ ข้อ ในเมื่อมีศีล ๕ ข้อแล้ว จะหาที่เกิด ก็ต้องมีคนที่มีกรรมเนื่องกับเรามา เขาจึงเปิดประตูรับ ถึงเวลาหาที่เกิดได้ก็มุดเข้าท้องแม่ อีก ๙ หรือ ๑๐ เดือนแม่ก็คลอดออกมาเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-08-2010 เมื่อ 15:34 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำบุญบ่อย ๆ นี่ได้เปรียบนะ ใจได้สละออกไปเรื่อย ๆ ความเคยชินทำให้ต่อไปก็จะสละได้เป็นปกติ ไม่อย่างนั้น ตัวเราเองกว่าจะหาทรัพย์สินเงินทองมาได้ก็ด้วยความเหนื่อยยาก การที่จะสละออกไปทำบุญนั้นต้องอาศัยกำลังใจสูงมาก
กำลังใจอย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องมีปัญญารู้อีกด้วยว่าบุญนั้นเป็นสิ่งดี ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปทำ คนเราถ้าก้าวมาถึงในระดับที่รู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดควร แล้วก็เลือกทำได้นั้น จริง ๆ แล้วมีโอกาสที่จะพ้นกระแสได้ทุกคน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2010 เมื่อ 09:31 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
ถาม : การที่เราอนุโมทนาบุญในสิ่งที่ผ่านมาสามสี่ปีก่อน จะมีผลในปัจจุบันไหมครับ ?
ตอบ : การโมทนาบุญ คือการที่เราพลอยยินดีในความดีของคนอื่นเขา ที่เราไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้น คราวนี้เราจะโมทนาบุญของเขานั้น ต้องมาดูว่า เราพลอยยินดีในผลบุญของเขา หรือเราอยากได้บุญของเขา ? ถ้าเราอยากได้บุญของเขา แปลว่าเราวางกำลังใจผิด โอกาสที่จะได้บุญก็น้อย เห็นเขาทำความดีแล้วเราไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้น แล้วเราพลอยยินดีในความดีของเขา จิตที่พลอยยินดีนั่นแหละที่เป็นบุญกุศลขึ้นมา เพราะเราไม่มีความอิจฉาริษยา เพราะเรายินดีจากใจจริง ปัจจุบันนี้ที่โมทนาบุญกัน มักจะโมทนาในลักษณะวางกำลังใจผิดทั้งนั้น เขาโมทนาในลักษณะ "กูจะเอาของมึง" ต้องวางกำลังใจใหม่ ถ้าวางถูกเมื่อไร ก็รับบุญไปเต็ม ๆ ฉะนั้น..ปัตตานุโมทนามัยเป็นบุญที่ได้ง่ายมาก แต่ก็ทำยากมาก แต่ไม่เป็นไรหรอก ยกมือสาธุไปเรื่อย ๆ ถึงไม่ได้ร้อย ได้ทีละยี่สิบ สามสิบ เดี๋ยวนานไปก็ได้ร้อยไปเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2010 เมื่อ 09:33 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาสวดมนต์จะรู้สึกเจ็บที่หัวใจ
ตอบ : การทำความดีเขาแลกกันด้วยชีวิต แค่นั้นเรื่องเล็ก ๆ เจ็บแค่นี้ไม่ตายหรอก ขันธมารเขามากวนเล่นเฉย ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2010 เมื่อ 09:34 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
ถาม : เมื่อวานไปฝึกมโนมยิทธิ ครูฝึกบอกว่าได้แล้ว แต่พอลงมาตรวจสอบตัวเอง ให้เพื่อนเขียนเลข แล้วเราทายดู แต่ทายไม่ถูก
ตอบ : กระบือชัด ๆ เลยน้อง..! ขนาดระดับคล่องตัวแล้วเขายังทายกันไม่ถูกเลย แล้วนี่คุณเพิ่งจะฝึก สามารถสร้างความไม่มั่นใจให้ตัวเองได้ดีมาก ค่อย ๆ ซ้อมไปสิโว้ย..! ใหม่ ๆ ร้อยครั้งถูกสักครั้งถือว่าฟลุ้กตายชักแล้ว หลังจากนั้นถ้าถูกสักแปดในสิบแล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มรายละเอียดอื่น ๆ ไป ถาม : ถ้าเราซื้อลูกเต๋ามาลูกหนึ่ง ทอยแล้วปิดฝา แล้วก็ทายตัวเลข อย่างนี้จะได้ไหม ? ตอบ : ได้ ถาม : ถ้าเรานั่งสมาธิไป เราภาวนาไป แล้วคำภาวนาหาย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนั้นเราสติขาด หรือจิตเราเข้าถึงฌานสองฌานสาม ? ตอบ : ความรู้สึกทั้งหมดของเราถ้ายังจดจ่ออยู่กับที่ นั่นก็คือกำลังของฌาน แต่ถ้าหากคำภาวนาหายไปเฉย ๆ โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย นั่นคือสติขาด ไปซ้อมบ่อย ๆ เรื่องมโนมยิทธินั้นต้องการคนขยันและต้องหน้าด้านด้วย คือผิดแล้วต้องไม่ท้อ ซ้อมมากเข้า ๆ ความคล่องตัวมีมากขึ้นแล้วจะทายถูกมากกว่านี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2010 เมื่อ 09:36 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
ถาม : เวลายกจิตขึ้นบนพระนิพพานกับเวลาอยู่ตรงนี้สบาย ๆ ผมสังเกตว่าอยู่ตรงนี้จะสบายกว่ายกจิตขึ้นพระนิพพาน
ตอบ : เป็นเพราะกำลังของเรายังไม่พอ ต้องอาศัยการตะเกียกตะกายเพื่อให้อยู่บนนิพพานได้จึงเหนื่อยหน่อย แต่ถ้ากำลังของเราพอแล้ว อยู่ข้างบนจะสบายกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2010 เมื่อ 09:38 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
ถาม : จะสอนสมาธิลูกได้อย่างไร?
ตอบ : บอกให้เขาพุทโธ ๆ สัก ๓ ครั้งก่อนนอน ต่อไปก็ค่อย ๆ เพิ่มเยอะขึ้น จาก ๓ ครั้งเป็น ๙ ครั้ง อย่าไปรีบร้อน ใจเย็น ๆ สำหรับเด็ก ๆ ถ้าพุทโธ ๓ ครั้ง ทำได้สม่ำเสมอทั้งปีก็สุดยอดแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2010 เมื่อ 09:39 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
ถาม : เวลานั่งสมาธิ จิตมักจะชอบคิด ทำอย่างไรจิตถึงจะรวมตัว ?
ตอบ : ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วเราภาวนาก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ดึงความรู้สึกทั้งหมดให้มาอยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
ถาม : ระหว่างสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทาน อภัยทานจัดอยู่ในส่วนไหน?
ตอบ : อภัยทานถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมทาน เราจะอภัยได้กำลังใจเราต้องเข้าถึงธรรม ถ้าเข้าไม่ถึงธรรมก็อภัยให้เขาไม่ได้ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมทานเหมือนกัน แต่ว่ากำลังใจของบุคคลที่จะเข้าถึงอภัยทานได้ น่าจะต้องละความโกรธได้เบาบางลงมากแล้ว ถาม : ในระหว่างเราทำกิจกรรมต่าง ๆ ถ้าเราแบ่งจิตว่าบนพระนิพพานเราก็ทำแบบนั้นด้วย ตอบ : อยู่บนพระนิพพานจะไปทำอะไรวะ ? เอากำลังใจส่วนหนึ่งเกาะนิพพานไว้ ส่วนข้างล่างจะทำอะไรก็ทำไป ถ้าเอากายบนไปทำเหมือนข้างล่างก็เพี้ยนเท่านั้น..! ถาม : เวลาที่ท่านเกาะนิพพาน ท่านคิดอย่างไรครับ ? ตอบ : เอานิพพานครอบหัวไว้ก็พอ ตัวเราจะทำอะไรก็ทำไป เอากำลังใจส่วนหนึ่งเกาะนิพพานไว้เท่านั้นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 20:23 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
ถาม : งานกฐินปีที่แล้ว ท่านบอกว่าจะเข้าสมาบัติก่อนรับกฐิน ตอนนั้นผมมีเลขที่บัญชีของท่าน ถ้าตอนเช้าผมโอนเงินเข้าบัญชีท่านจะเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ทันรับประทาน..! คนอื่นเขาจ้องอยู่ตั้งแต่ก่อนเช้าแล้ว ถาม : แต่ถ้าเราโอนเงินเข้าไปก็เหมือนกับเรามาประเคนให้พระสงฆ์ ? ตอบ : บุญเราได้ตั้งแต่คิดจะทำแล้ว ถาม : บางทีก็ฝันว่าทำสมาธิในฝันซ้อนอีกทีครับ รู้สึกเกิดปีติ จิตเป็นสุขมาก อย่างนี้มีอานิสงส์ไหมครับ ? ตอบ : แสดงให้เห็นว่ากำลังความดีของเราสูง จึงได้ฝันในด้านที่ดี อานิสงส์คือความชื่นใจ ได้กำลังใจ ถาม : และการทำสมาธิในฝันจะมีผลไหมครับ ? ตอบ : ฝันก็คือฝัน แค่แสดงออกว่ากำลังใจเราเกาะความดีมากกว่า หรือเกาะความชั่วมากกว่า เวลาฝันกำลังใจตั้งมั่นน้อย ถ้าทำสมาธิได้มั่นคงจะไม่ฝัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2010 เมื่อ 16:52 |
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
ถาม : ๑ มหากัป กับ ๑ อสงไขยเขานับกันอย่างไร ?
ตอบ : ๑ กัปเขานับเอาระยะเวลาที่อายุขัยของบุคคลตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป พอผ่านไปร้อยปีก็นับเป็น ๑๑ ปี ผ่านไปร้อยปีก็เพิ่มเป็น ๑๒ ปีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุขัยนั้นได้ เลข ๑ ตั้งขึ้นมา ต่อด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว หลังจากนั้นก็ร้อยปีลดปี..ร้อยปีลดปี จนกระทั่งเหลือ ๑๐ ปี อันนั้นจะเป็น ๑ รอบ เขาเรียก อันตรกัป ๖๔ อันตรกัปจะเป็น ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัป เป็น ๑ มหากัป ไม่ต้องเสียเวลาไปนับหรอก ประสาทกินเสียเปล่า ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2010 เมื่อ 16:53 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
ถาม : การที่คน ๆ หนึ่งไปปรากฏร่างที่อื่น ใช้วิชาอะไรได้บ้างครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิก็ได้ อีกอย่างหนึ่งก็กำลังของอภิญญา ประการสุดท้าย เทวดาทะลึ่ง..! ถาม : เทวดาทำหน้าที่แทนหรือครับ ? ตอบ : ทำหน้าที่แทน ถาม : อย่างเวลาท่านไปปรากฏตัว ท่านไปอย่างไรครับ ? ตอบ : นั่งรถไป..! ถาม : แล้วถ้าไปได้ ไปแบบมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังหรือครึ่งกำลัง ? ตอบ : เรื่องของมโนมยิทธิ ถ้าไปได้เป็นการไปแบบเต็มกำลังทั้งนั้น ที่บอกว่าครึ่งกำลังนั้น ครึ่งกำลังแค่ตอนเห็น ถ้าตอนไปเต็มกำลังแล้วทั้งนั้น ถาม : ถ้าไปแล้ว จิตในร่างสามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ตามปกติ ตอบ : อย่างนั้นต้องเป็นอภิญญาใหญ่ เป็นส่วนของมโนมยิทธิเหมือนกัน แต่เป็นกำลังของอภิญญาใหญ่ ไม่ใช่มโนฯ ทั่ว ๆ ไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2010 เมื่อ 02:51 |
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
ถาม : การกำหนดเห็นแสงสว่าง แสงสว่างที่เราเห็น กำหนดเป็นแสงสีอะไรครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ขึ้นอยู่กับความชำนาญและระดับสมาธิ ถ้าหากระดับสมาธิสูง มีความชำนาญมาก จะกำหนดเป็นสีอะไรก็ได้ แต่ถ้าทั่ว ๆ ไป แสงสว่างก็คือสว่าง จะบอกว่าเป็นสีอะไรก็บอกไม่ถูก หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านจึงให้กำหนดเป็นแก้วแทน ถาม : ถ้ากำหนดเป็นแก้ว ก็ต้องสว่างเป็นใส ๆ ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าปกติกำหนดเป็นรูปดวงแก้ว ถ้าเริ่มมีรัศมีแสดงว่าสมาธิเริ่มทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว ถาม : ผมลองฝึกกำหนดให้สว่างแบบแสงสีส้มบ้าง สีเหลืองบ้าง กำหนดไม่ถูกครับ ว่าจะเอาแสงสว่างลักษณะใด ? ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจว่าสีอะไร เอาแค่ว่าได้หรือเปล่า ทำให้ได้ก่อน ถ้าได้แล้วจะพลิกแพลงอย่างไรค่อยว่ากันทีหลัง แต่ถ้ายังทำไม่ได้แล้วยังไปเลือก ก็รอไปเถอะ แรก ๆ เราต้องกินไม่เลือก อะไรใกล้มือคว้าไว้ทั้งนั้น นาน ๆ ไปมีความคล่องตัวมากขึ้นก็เริ่มเลือกได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2010 เมื่อ 16:56 |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#97
|
||||
|
||||
ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราถึงฌานไหนแล้ว ? อย่างฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสาม
ตอบ : ในหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ถ้าจำไม่ผิดเป็นบทที่ ๗ หน้าที่ ๔๐ เรื่องการทรงฌาน เอาเล่มนี้แหละ (ท่านให้หนังสือกรรมฐาน ๔๐ ) ไปนั่งอ่านเอง อธิบายแล้วยาว อ่านหลาย ๆ รอบให้เข้าใจว่า แต่ละฌานมีอารมณ์อะไรบ้าง พอเข้าถึงเราจะอ๋อเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2010 เมื่อ 16:57 |
สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#98
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาทำสมาธิจะง่วง
ตอบ : ถ้าไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ก็ต้องเอาสติจี้ตามลมหายใจเข้าไปให้ติด ๆ ถ้าหากทิ้งระยะห่างนิดเดียวจะตัดหลับเลย ทิ้งห่างก้าวเดียวเท่านั้นก็ตัดหลับไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2010 เมื่อ 16:58 |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#99
|
||||
|
||||
ถาม : คำว่านิโรธกรรม กับนิโรธสมาบัติเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : นิโรธกรรมเป็นแนวปฏิบัติที่ทางเหนือเขานิยมกัน ส่วนนิโรธสมาบัติตามตำราบอกไว้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นเราใช้คำว่านิโรธกรรม จะปลอดภัยกว่า ถาม : ถ้าใช้คำอื่น อย่างเช่นเข้ากรรมฐาน แต่ปฏิบัติตามการเข้านิโรธสมาบัติ ตอบ : นั่นก็ปลอดภัยยิ่งกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2010 เมื่อ 16:58 |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#100
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานมีเด็กอยู่คนหนึ่ง เขาค่อนข้างจะเป็น "ผู้ฉิง" เขามาถามว่า เพศที่สามอย่างเขา มีโอกาสบรรลุมรรคผลหรือไม่ ? ก็เลยกล่าวให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าแบ่งบุคคลเป็นสี่ประเภท
ประเภทที่หนึ่ง อุคฆติตัญญู ฟังหัวข้อธรรมแล้วเข้าใจ บรรลุธรรมได้ ประเภทที่สอง วิปจิตัญญู ฟังหัวข้อธรรมแล้วยังไม่เข้าใจต้องอธิบาย ขยายความสักส่วนหนึ่งจึงเข้าใจ แล้วบรรลุธรรมได้ ประเภทที่สาม เนยยะ เคี่ยวเข็ญแล้วสามารถที่จะเข้าใจ ถ้าไม่เคี่ยวเข็ญก็ไม่ได้ ประเภทที่สี่ ปทปรมะ ฉลาดเกินจนไม่ยอมรับความคิดคนอื่น ก็แปลว่าถ้าตัดประเภทสุดท้าย ที่ไม่ยอมรับความคิดคนอื่นออก อีกสามประเภทนี่เขาไม่ได้กำหนดเลยว่าเป็นเพศไหน ผู้ชายที่ใจเป็นหญิง อย่างน้อยบารมีก็ยังสูงกว่าผู้หญิงทั่วไป ๆ เพราะว่าการเกิดแต่แรก ตั้งแต่สามัญบารมีขึ้นมาจะเป็นผู้หญิงมาก่อน พอมาเป็นอุปบารมีขั้นปลายเริ่มจะมาเป็นผู้ชาย การสร้างบารมีกำลังใจจะเข้มข้นไปเรื่อย ๆ ช่วงก่อนที่จะมาเป็นผู้ชาย ก็คือ ระหว่างจากผู้หญิงจะมาเป็นผู้ชาย จะมีนิสัยบางส่วนของผู้ชายเกิดขึ้น สมัยนี้เราก็ไปว่าเขาเป็นทอม พอเกิดมาเป็นผู้ชายใหม่ ๆ จริตนิสัยผู้หญิงบางส่วนติดมา เราก็ไปว่าเขาเป็นตุ๊ด แต่ถ้าเราเข้าใจจริง ๆ จะรู้ว่านั่นเป็นขั้นตอนปกติของการสร้างบารมี ถ้าคุณเข็นมาจนถึง ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป โอกาสบรรลุมีทั้งนั้น คนส่วนใหญ่ไปเห็นว่าเขาไม่ปกติ แต่จริง ๆ แล้วปกติของเขาเป็นอย่างนั้น เพราะว่าการเกิดมาต้องค่อย ๆ สร้างบารมีเพิ่มขึ้น ก็ต้องเคยเป็นอย่างนั้นมาทั้งนั้น คนที่เป็นผู้ชายเต็มตัวก็เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน คนที่เป็นผู้หญิงเต็มตัวเดี๋ยวก็ต้องเป็นอย่างนั้นบ้าง จะช้าจะเร็วเมื่อวาระมาถึงก็ต้องเป็น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2010 เมื่อ 15:05 |
สมาชิก 123 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|