#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๖
|
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ตรงกับวันพระใหญ่แรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ พรุ่งนี้ก็เริ่มเป็นเดือนอ้ายแล้ว
สำหรับวันนี้มีบางเรื่องที่กระผม/อาตมภาพอยากจะพูดถึง เรื่องแรกก็คือได้ยินพระรูปหนึ่งที่จังหวัดลพบุรี ท่านเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้ประมาณ ๒๐๐ คน แล้วชักชวนญาติโยมให้ช่วยกันทำบุญ ด้วยการสร้างที่พักให้กับเด็ก แล้วก็ช่วยค่าอาหารเด็ก โดยที่บอกว่า "ดีกว่าการสร้างโบสถ์ สร้างศาลาหลังใหญ่ ๆ ซึ่งมีประโยชน์น้อยกว่า..!" ตรงนี้พวกเราต้องระวังให้จงหนัก การบอกบุญ ไม่ว่าท่านเองจะมีวัตถุประสงค์อะไรก็แล้วแต่ อย่าให้กลายเป็นว่าเราบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เราเพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม เพราะว่าทานในพระพุทธศาสนานั้น นอกจากระดับล่าง ๆ แล้ว ด้านบนก็คือสังฆทาน วิหารทาน และธรรมทานนั้น โดยเฉพาะถ้ายกธรรมทานออก บาลีท่านว่าถวายสังฆทานเป็น ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับสร้างวิหารทาน ๑ ครั้ง คำว่าวิหารทานในที่นี้ก็คือการสร้างถาวรวัตถุ ที่มีลักษณะเป็นที่พักที่อาศัยในพระพุทธศาสนา อย่างเช่นว่าโบสถ์ วิหาร มณฑป ศาลา หรือกุฏิที่พักเป็นต้น ดังนั้น..ถ้าเราบอกบุญเพลิน ๆ แล้วไปกล่าวว่า มีประโยชน์มากกว่าการสร้างโบสถ์สร้างวิหารหลังใหญ่ ๆ ก็แปลว่าท่านกำลังบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม ถ้าทำให้คนเห็นดีเห็นงามไปด้วย ถือว่าทำให้คนเป็นมิจฉาทิฏฐิ โทษหนักกว่าปกติหลายเท่า ดังนั้น..พวกเราควรที่จะฟังแล้วก็เก็บเอาไว้เป็นบทเรียน อย่าได้พูดอะไรโดยขาดสติแบบนั้น ต่อให้ต้องการให้ญาติโยมเขาบริจาคช่วยเหลือตัวเอง เราก็ไม่ควรที่จะกล่าวอะไร ซึ่งเป็นการ "ตู่" พระพุทธเจ้า..! อีกเรื่องหนึ่งก็เจ้าเดิม ๆ ซึ่งมีพระบางรูปให้สมญาท่านว่าเป็น "เทวทัตของยุคปัจจุบัน" แต่งานนี้ "เล่นใหญ่" ถึงขนาดกล่าวว่าอานาปานสติกรรมฐาน เป็นมะเร็งร้ายในพระพุทธศาสนา เพราะว่าปฏิบัติผิดกันทั้งนั้น ซึ่งตรงนี้อันดับแรกเลย อานาปานสตินั้น ในพระไตรปิฎกมีมาทั้งในทีฆนิกาย ในมัชฌิมนิกาย และในปกรณ์วิเสสอย่างวิสุทธิมรรค บรรดาครูบาอาจารย์รุ่นเก่า ๆ ล้วนแล้วแต่มากด้วยอานาปานสติทั้งสิ้น เพราะว่าอานาปานสติ หรือว่าลมหายใจเข้าออก เป็นแม่บทของกรรมฐานทั้งปวง ถ้าหากว่าไม่มีอานาปานสติคอยกำกับอยู่ กรรมฐานกองอื่น ๆ ทำได้เต็มที่ก็ไม่เกินปฐมฌาน ซึ่งมีกำลังไม่เพียงพอที่จะตัดกิเลสจนถึงที่สุด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2023 เมื่อ 02:17 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
แล้วหลวงปู่หลวงพ่อจำนวนมากก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อานาปานสติมีคุณเพียงใด เพราะว่าสามารถสร้างอัปปนาสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปถึงฌานที่ ๔ สร้างอรูปฌานที่ ๑ ถึงอรูปฌานที่ ๔ ซึ่งขึ้นอยู่กับวิธีการปฏิบัติ แล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้น ก็เอากำลังที่ได้จากอานาปานสติ มาพินิจพิจารณาตัดกิเลส บรรลุมรรคผลกันไปนับไม่ถ้วนแล้ว
ถ้าหากว่าเรื่องของมรรคผลพิสูจน์ไม่ได้ เราก็ดูแค่ว่าหลวงปู่หลวงพ่อท่านใดมรณภาพแล้วอัฐิกลายเป็นพระธาตุบ้าง ซึ่งร้อยละร้อย ท่านทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มาจากอานาปานสติ โดยเฉพาะมาจากสายวิสุทธิมรรค ดังนั้น..สิ่งที่เทวทัตยุคใหม่ท่านกล่าวถึง จึงเป็นการกล่าวตู่พระพุทธเจ้า และสร้างความเป็นมิจฉาทิฏฐิให้เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา ถ้ามีกลุ่มบุคคลเชื่อถือ ก็มีสิทธิ์ที่จะกลายเป็นสังฆเภท ซึ่งเป็นโทษที่หนักที่สุด ที่เรียกว่าอนันตริยกรรมในพระพุทธศาสนาด้วย..! ตามที่กระผม/อาตมภาพศึกษามา บุคคลที่ปฏิบัติอานาปานสติ โดยเฉพาะการสอนว่า อานาปานสติต้องปฏิบัติเป็นขั้น ๆ ๑๖ ขั้นด้วยกันนั้น เป็นเรื่องของบุคคลที่คิดเพ้อฝันตามตำรา โดยที่ปฏิบัติเองไม่ได้แต่อุตส่าห์พยายามกล่าวถึงไว้ เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติในอานาปานสตินั้น ไม่ใช่ว่าเราจับลมหายใจเข้ายาวเป็นอันดับแรก จับลมหายใจออกยาวเป็นอันดับสอง จับลมหายใจเข้าสั้นเป็นอันดับสาม จับลมหายใจออกสั้นเป็นอันดับสี่ กำหนดรู้กองลมเป็นอันดับห้า ระงับกายสังขารเป็นอันดับหก นั่นเป็นการพูดแบบคนไม่เคยปฏิบัติมาเลย..! อานาปานสติทั้ง ๑๖ ขั้น ถ้าท่านจับลมหายใจเข้าออก กำหนดสติรู้อยู่ตลอดเวลา จิตจะค่อย ๆ ดิ่งลึกลงเป็นอัปปนาสมาธิ แล้วทั้ง ๑๖ ขั้นตอนนั้นก็จะอยู่ในลมหายใจเดียว ไม่ใช่ไปแยกทำทีละขั้น ซึ่งชาตินี้ไม่มีโอกาสที่จะทำถึงที่สุดได้..! แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่หลงผิด แล้วก็ไปทำตามนั้น เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นนักวิชาการ ที่มีคนเชื่อถือมาก ท่านทั้งหลายต้องจำคำว่า "นักวิชาการ" เอาไว้ด้วย ก็คือไม่ใช่ "นักปฏิบัติ" เป็นผู้ตีความเอาตามตำราเท่านั้น แล้วก็กลายเป็นการศึกษาแบบคิดว่าเป็นเช่นนั้น คาดว่าน่าเป็นเช่นนั้น เหมือนอย่างกับคนที่ศึกษาสูตรในการต้มยำทำแกง แล้วก็คิดว่ารสต้องออกมาเป็นเช่นนั้น ลักษณะสีสันต้องออกมาเป็นเช่นนี้ โดยที่ไม่ได้ลองทำกินเองเลย แต่ดันเอาไปสอนคนอื่นว่าทำแล้วจะเป็นอย่างนั้น ซึ่งบรรดาลูกศิษย์ที่สร้างบุญมาดีพอ หรือมีความฉลาดเพียงพอ ลงมือทำด้วยตนเอง แล้วมักจะประสบผลสำเร็จ ต่างไปจากที่ครูบาอาจารย์ประเภทนี้กล่าวถึง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2023 เมื่อ 02:23 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ลักษณะนี้เหมือนกับท่านสุธรรมเถร ซึ่งพระพุทธเจ้าเรียกว่า เถรใบลานเปล่า คือดีแต่สอนคนอื่นเขา โดยไม่ได้ลองทำเองเลย เปรียบเหมือนกับคัมภีร์ที่ไม่ได้มีตัวหนังสืออะไร เพราะว่าไม่ได้ลองจดจารจารึกด้วยตนเอง สักแต่ว่าบอกกล่าวไปเท่านั้น แต่ว่าบรรดาลูกศิษย์ที่สร้างบุญสร้างกุศลมาเป็นปุพเพกตปุญญตา บวกกับการปฏิบัติที่ถูก ตรงจุดพอดี สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก โดยที่ท่านสุธรรมเถรไม่ได้มีมรรคผลอะไรเลย
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าวาระสมควรแล้ว จึงได้ตักเตือน โดยการตรัสเรียกว่า "ท่านใบลานเปล่า" ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ฉลาด ทรงพระไตรปิฏก ก็คือ จดจำเนื้อหาในพระไตรปิฎกได้ เมื่อฟังแล้วเกิดสะดุดใจ มาพิจารณาดู ท่านก็เห็นว่าที่พระพุทธเจ้าเรียกท่านว่าใบลานเปล่า ก็เพราะว่าท่านดีแต่สอนคนอื่นเขา ตัวเองไม่ได้มีความดีเลย จึงไปขอให้ลูกศิษย์ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วสอนทางที่ถูกให้ บรรดาลูกศิษย์ที่เคารพในครูบาอาจารย์ก็ไม่กล้าสอน ได้แต่บอกว่าให้ไปถามท่านโน้นเถิด ให้ไปถามท่านโน้นเถิด ไล่ไปเรื่อย จนกระทั่งไปถึงรูปสุดท้ายที่เป็นสามเณร ไม่รู้ว่าจะ "โบ้ย" ต่อไปให้ใคร จึงต้องรับภาระเอาไว้ เมื่อทดสอบแล้วว่าครูบาอาจารย์สำนึกผิด ต้องการปฏิบัติให้ถูกทางจริง ๆ จึงได้สอนหลักธรรมที่ถูกต้องให้ แล้วท่านสุธรรมเถรก็กลายเป็นพระอรหันต์ พ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน แต่กระผม/อาตมภาพคิดว่า "เทวทัตยุคใหม่" ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์และคณะ จะมีโอกาสสำนึกผิดแบบพระสุธรรมเถรหรือไม่ ? ถ้าหากว่ามีโอกาสสำนึกผิด ด้วยความที่ศึกษาธรรมมามาก ถ้าเลี้ยวเข้ามาถูกทาง โอกาสที่จะบรรลุมรรคบรรลุผลก็ยังคงมีอยู่ แต่ถ้าหากว่าไม่มีโอกาสสำนึกผิด ยังคงสั่งสอนคนผิด ๆ ให้เป็นมิจฉาทิฏฐิต่อไป อนาคตภายหน้าน่าจะไปได้ไกลกว่าพระเทวทัต..! ซึ่งจะแสดงความยินดีก็ใช่ที่ จะเวทนาสงสารก็ไม่ได้ เพราะว่าพวกท่านทำตัวเองแท้ ๆ พวกเราทั้งหลายที่ได้ยินได้ฟังแล้ว บางท่านที่ศรัทธาเริ่มคลอนคลาย คิดว่าตัวเองทำผิด ขอให้ดูหลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ของท่านด้วย ที่ท่านทำถูกแล้ว มีผลในการปฏิบัติรองรับอยู่ ดูหยาบ ๆ ก็คือว่า มรณภาพแล้วอัฐิเป็นพระธาตุหรือไม่ ? ถ้าหากว่าครูบาอาจารย์ของท่าน มรณภาพแล้วอัฐิเป็นพระธาตุ อย่างน้อยก็สามารถรับรองได้ส่วนหนึ่งว่า ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ส่วนท่านที่สอนเราไปอีกทางหนึ่ง ก็ให้คิดเอาไว้ว่าน่าจะสอนผิด ขอให้อยู่ในลักษณะที่ว่าตัวใครตัวมัน ในเมื่อกรุณาสงสาร แต่ไม่อาจจะช่วยให้เขาพ้นจากกองทุกข์ ก็ต้องอุเบกขา รอดูว่าอนาคตของเขาจะเกิดอะไรขึ้น..!? สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2023 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|