#41
|
||||
|
||||
คดไม้ไผ่หรือแก้วจันทรกานต์นี้ เป็นสุดยอดของแก้วที่ไม่อาจพบเห็นกันง่าย ๆ ดูจากภายนอกเป็นหินหรือกรวดธรรมดา แต่เมื่อเรืองแสงจะคล้ายแก้ว แสงที่เปล่งออกมานี้ สามารถรับแสงได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ แสงจากดวงจันทร์ แสงนีออน แสงเทียน
กล่าวกันว่าเป็นของคู่บุญบารมี ให้ความคุ้มครองจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงได้เป็นเลิศ เล่าสืบต่อกันมาว่าหินที่สามารถดูดแสง เรืองแสงได้นี้ มี ๒ อย่าง หนึ่งคือ แก้วจันทรกานต์ เรืองแสงสีเขียวอ่อน เย็นตา อีกอย่างคือ แก้วสุริยกานต์ เรืองแสงเป็นสีแดง แต่ละอย่างนับเป็นสุดยอดแห่งคด แต่ห้ามอยู่คู่กัน ใครครอบครองทั้งสองอย่าง จะพบความวิบัติ จึงต้องระมัดระวังไว้ให้มาก |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ตะกรุดไม้ไผ่ เหตุผลที่ห้ามมิให้นำสองสุดยอดแก้วมาไว้ด้วยกันนั้น เล่าสืบกันมาว่า แท้ที่จริงแก้วจันทรกานต์ เป็นลูกแก้วแห่งพญานาคราช ซึ่งเป็นธาตุเย็น พญานาคราชได้คายออกมา เพื่อคืนให้แก่เจ้าของเดิมที่ได้มาเกิดบนโลกมนุษย์ จึงไม่อาจอยู่ใกล้กับแก้วสุริยกานต์ ซึ่งเป็นธาตุร้อนจากแสงอาทิตย์ เพราะจะหักล้างกันเอง จนเกิดวิบัติแก่ผู้ครอบครองได้ ทำนองช้างสารชนกัน หญ้าแพรกย่อมแหลกกระจาย... ดังนั้น..หากบารมีไม่ถึง แก้วศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองย่อมไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ แต่ถ้าหากผู้ครอบครองมีบารมีสูงเพียงพอ เหมือนดังเป็นตัวกลางคอยกันเอาไว้ ไม่ให้ธาตุทั้งคู่หักล้างกันเอง ย่อมส่งผลให้แก้วศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ต่างส่งผลดีแก่ผู้ครอบครองเป็นทวีคูณ การพบแก้วศักดิ์สิทธิ์แต่ละอย่างนั้น ผู้ได้พบเห็นถือได้ว่ามีบุญ เป็นบุญตา ส่วนการได้ครอบครองนั้น ขึ้นอยู่กับว่ามีที่มาในอดีตอย่างไร เกี่ยวข้องกับแก้วศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป ซึ่งถูกกำหนดไว้แล้วด้วยกรรมในอดีต ลำไม้ไผ่ที่มีคด เป็นของศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติ หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู และ หลวงปู่จ้อย วัดบางช้างเหนือ สองเกจิอาจารย์ลือนาม จะนำเอาไม้ไผ่นั้นมาสร้างเป็นตะกรุด ดีเยี่ยมในทางมหาอุด แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2013 เมื่อ 04:34 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
แก้วกายสิทธิ์ (เพชรเขาพระงาม) ของกายสิทธิ์ ตำราทางไสยศาสตร์กล่าวไว้ว่า ของกายสิทธิ์แท้จริงแล้วแบ่งออกเป็น ๓ ชนิด หรือสามขั้น ได้แก่ ๑. ทนสิทธิ์ หมายถึง ของดีตามธรรมชาติ ที่มีอานุภาพทางอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีวันเสื่อม ได้แก่ เหล็กน้ำพี้ ทองแดงเถื่อน ตะกั่วป่า เป็นต้น ๒. กายสิทธิ์ เป็นของวิเศษชั้นเลิศ มีฤทธิ์เหนือกว่าทนสิทธิ์ ใครมีไว้ถึงโดนถ่วงน้ำก็ไม่ตาย ไม่มีใครฆ่าได้ ได้แก่ คดวิเศษบางจำพวก แร่กายสิทธิ์บางชนิด แก้ววิเศษบางอย่าง เป็นต้น คำว่ากายสิทธิ์นั้น โดยมากใช้เรียกของดีตามธรรมชาติทั้งหลาย ครอบคลุมไปถึงทนสิทธิ์และอะโลมะประสิทธิ์ด้วย เพราะเป็นคำคุ้นปาก คนทั่วไปโดยมากไม่เรียกของตามชนิด แต่ใช้คำว่ากายสิทธิ์ เรียกรวมธาตุวิเศษต่าง ๆ ไปเลย ๓. อะโลมะประสิทธิ์ ของประเภทนี้หายากที่สุด จะอยู่กับผู้ทรงฌานสมาบัติ หรือพระโพธิสัตว์ที่จุติมาเท่านั้น เป็นของเลิศกว่ากายสิทธิ์ ใครได้ไว้สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หรือไปยังนครใต้พิภพที่จำศีลของพญานาค จะเหาะไปป่าหิมพานต์ก็ได้ ไม่ใช่ของสามัญโดยทั่วไปที่จะหาไว้ได้ ของ ๓ ประการนี้ เป็นของที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งบุญ อำนวยประโยชน์สุขแก่ผู้ครอบครอง เป็นของหายาก จะอยู่กับผู้ที่มีวาสนาเท่านั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2013 เมื่อ 02:36 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
งากำจาย งากำจัด งากำจาย งากำจัด คือ งาช้างที่แตกหักออกมาในขณะที่ช้างยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดได้ยาก โบราณท่านจึงถือว่าเป็นของทนสิทธ์ จะพบเห็นได้เมื่อช้างตกมันอาละวาด เอางาแทงกับต้นไม้ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แล้วงาหักคาอยู่กับต้นไม้ ซึ่งแต่ละชิ้นก็ไม่ใหญ่มากนัก เพราะอย่างดีก็หักแค่ส่วนปลาย งากำจาย (งากระเด็น) คือ งาของช้างสองเชือกที่เข้าต่อสู้กัน จนมีปลายงาหักแตกกระจาย ตกหล่นอยู่กับพื้นดินตามป่า ซึ่งในกรณีนี้ พรานป่าที่มีโอกาสเห็นช้างต่อสู้กัน มักจะคอยเฝ้าดู เพื่อคอยเก็บปลายหรือเศษงาที่อาจมีหล่นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เจอทุกครั้งไป แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2013 เมื่อ 15:27 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
งากำจัด แกะเป็นรูปพระพิฆเณศวร์ ความแตกต่างของงาเป็นกับงาตาย งากำจัด งากำจาย ทั้งสองชนิดจะเรียกว่า งาเป็น เมื่อผ่านการพกพาติดตัว หรือโดนเหงื่อไคล เนื้อจะฉ่ำใสเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยง คล้ายกับสีน้ำผึ้ง ซึ่งจะอ่อนแก่ไม่เท่ากัน เพราะงานั้นหักในขณะที่เจ้าของงานั้นยังมีชีวิตอยู่ บางคนอาจเรียกว่ายังมีน้ำเลี้ยงแห่งชีวิตอยู่ หรือบางคนว่างานั้นหักขณะที่ยังมีเลือดอยู่ ต่างจาก งาตาย (งาจากช้างที่ล้มแล้วตัดเอามา) ที่เห็นวางขายกันอยู่ตามร้านเครื่องประดับทั่วไป งาจะขาวซีด ดูไม่มีชีวิตชีวา แม้บางครั้งเป็นงาแก่ที่ผ่านการใช้มา โดนเหงื่อไคลผู้พกพาติดตัว ความเหลืองฉ่ำถึงแม้จะเกิดขึ้น ก็ไม่เป็นสีน้ำผึ้ง แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2013 เมื่อ 09:35 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
งากำจัด งากำจัด งากำจาย ถือว่าเป็นของทนสิทธิ์ที่หาได้ยากอีกชนิดหนึ่ง แม้จะไม่ผ่านการปลุกเสก เมื่อพกพาติดตัวก็เป็นมหาอำนาจ ป้องกันอันตรายต่าง ๆ โดยเฉพาะจากสัตว์ร้ายได้ แต่ถ้าได้ผ่านพิธีกรรมมาแล้ว สรรพคุณย่อมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ งากำจัด งากำจาย ของแท้หายากมาก สมัยโบราณ พอช้างตายเขาก็เอางามาขาย งาแกะหรือมีดด้ามงา มักจะทำจากงาช้างตายซึ่งเป็นช้างของไทยเอง แต่ในสมัยนี้ เกือบร้อยทั้งร้อยเป็นงาช้างอาฟริกา ซึ่งเส้นสายจะหยาบกว่ามาก แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2013 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
คดงาช้าง (งางอก) งางอกคือปุ่มที่งอกออกมาข้างในโพรงของงาช้าง ตอนโคนงานั้นข้างในจะเป็นโพรง งาที่งอกออกมาอาจจะเป็นปุ่มเล็ก หรือใหญ่ขนาดหลายนิ้วก็ได้ เขาว่าขนาดไข่ไก่ก็มี ถ้าใหญ่มากอาจจะเป็นตะปุ่มตะป่ำ งางอกราคาแพงมากและส่วนใหญ่เขาไม่ขายกัน เพราะเป็นของหาได้ยาก มีสรรพคุณในทางเป็นคุณแก่เจ้าของ ช่างกลึงงาช้างสองผัวเมียที่พยุหะคีรีบอกว่า ทำงานมาสี่สิบกว่าปี เจองางอกแค่สองอัน อันใหญ่ขายไปแล้ว ส่วนอันเล็กเก็บไว้บูชาเอง โดยเอาใส่ไว้ในกระป๋องเก็บเงิน เชื่อว่าทำให้เงินงอกได้ |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
คดงาช้าง (งางอก) งางอกหรือคดงาช้างนี้ โบราณเชื่อว่าจะช่วยบันดาลให้เงินทองงอกเงย เต็มไปด้วยทรัพย์สินศฤงคาร เขาจะเอามาใส่บูชาไว้ในกำปั่นใส่เงิน หรือฐานพระยืนปางห้ามญาติ ที่แกะจากไม้มงคล (ไม้โพธิ์นิพพานทิศตะวันออก) เป็นพระประจำตัว ใต้ฐานพระจะบรรจุของหลายอย่าง พวกยาวาสนา ผ้าไหมแพรพรรณหลายสี เพชร พลอย เงิน ทอง ดวงเจ้าของพระ ถ้าจะให้เต็มสูตร ต้องมีงางอกนี้ใส่ไว้ด้วย... งางอกหรือคดงาช้าง จะช่วยดึงดูดเงินทองให้งอกเงย งาช้างจริง ๆ ก็มีสรรพคุณดีอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นสัตว์ใหญ่ชั้นสูง มีเทพยดาคอยคุ้มครอง ตัวที่มีคดงอกขึ้นข้างในงา มีแค่หนึ่งในหลายพันหรือหนึ่งในหมื่น ช้างตัวนั้นมักจะเป็นพญาช้างจ่าโขลง |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
เม็ดมะขามทองแดง คด คดคือหินที่เกิดจากในพืชหรือในสัตว์ สมัยก่อนเรียกว่า "แก้ว" เป็นของทนสิทธิ์ ประเภทกายสิทธิ์ในตัวเอง บางอย่างมีเทพรักษา บางอย่างก็ไม่มีเทพรักษา เป็นของอาถรรพ์มีอิทธิฤทธิ์จนคาดไม่ถึง คดนั้นมีกำเนิดลี้ลับมหัศจรรย์ ผู้รู้ในอดีตท่านบันทึกไว้ มีอยู่ ๒ ชนิดคือ ๑. คดที่เกิดจากพืช เป็นของกายสิทธิ์ที่เชื่อกันว่า สวรรค์บันดาลให้เกิดขึ้น โดยเทพผู้ทรงอิทธิฤทธิ์เนรมิตขึ้นมา เพื่อมอบให้เฉพาะผู้มีวาสนาครอบครอง เป็นของคู่บารมีคนมีบุญ เช่น มะกล่ำดำ เม็ดขนุนทองแดง เม็ดมะขามทองแดง แก้วบงกชรัตน์ (เม็ดบัวเป็นแก้ว) แก้วกัทลี (แก้วที่เกิดในปลีกล้วย) เป็นต้น |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
คดดักแด้ ๒. คดที่เกิดจากสัตว์ เชื่อว่ามีกำเนิดมาจากบุรพกรรมของสัตว์ของชนิดนั้น ๆ หรือเทวดานางฟ้าที่กระทำผิดกฎสวรรค์บางประการ แล้วถูกลงโทษทัณฑ์ให้เกิดลงมาเกิดเป็นสัตว์ตามผลกรรมของตน เมื่อหมดกรรมแล้วก็จะอธิษฐานร่างบางส่วนให้เป็นของกายสิทธิ์ อันเป็นการสร้างทานบารมี ก่อนที่จะกลับขึ้นไปบนสวรรค์ดังเดิม เช่น คดผึ้ง คดหอย คดกุ้ง คดดักแด้ คดไข่ไก่ คดปลวก ปลิงทองแดง ปูหิน (เปี้ยวหิน) เป็นต้น |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
แมวตาเพชร ชื่อ "เอียง" ของหลวงปู่พระครูปัญญาโสภิต วัดสร้อยทอง ส่วนคดประเภทที่เป็นเขา เขี้ยว หรือลูกตา จะเกิดมาพร้อมกับสัตว์เหล่านั้น เป็นของคู่บารมีของสัตว์ตัวนั้น เพื่อให้การปกป้องคุ้มครองชีวิตและร่างกายให้ปลอดภัย จนกว่าสัตว์ตัวนั้นจะหมดกรรมลง เช่น เขากวางคุด เขาพญากระจง เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง เขี้ยวแก้วจระเข้ เพชรตาแมว แก้วตาเสือ มณีนาคราช (ไข่งูเป็นแก้ว) คดงาช้าง คดโพรงอากาศช้าง เป็นต้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2013 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
คดถั่วลิสง (กลายเป็นหินทั้งฝัก) อานุภาพของคดนั้นเป็นของวิเศษ มีอิทธิคุณรอบตัว คดนั้นจะแผ่พลังปราณออกมา ปกป้องคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เรียกว่าจะดีจะชั่วอย่างไรก็จะให้การคุ้มครองช่วยเหลือ จนกว่าจะตายจากกันไปเลยทีเดียว ตัวอย่างบุคคลที่ได้ของวิเศษจากธรรมชาติ เป็นของคู่บุญคู่บารมี ได้แก่ พระเจ้าพรหมมหาราช มีเขี้ยวแก้วพญางู ขนาดใหญ่เท่าผลกล้วย เป็นของคู่บารมี ช่วยให้สามารถปราบขอมดำจนราบคาบ กอบกู้อาณาจักรเชียงแสนกลับคืนมาได้โดยง่าย พระนางเจ้าจามเทวี มีพระแก้วเสตังคมณีเป็นของคู่บุญ สามารถแผ่พระบารมีสยบแคว้นใกล้ไกลจนราบคาบ ทำให้อาณาจักรหริภุญไชยยิ่งใหญ่เกรียงไกร เป็นที่คร้ามเกรงไปทั่ว พระแก้วเสตังคมณีแกะสลักขึ้นจากแก้ววิเศษ ที่เรียกกันว่า "เขี้ยวหนุมาน" เป็นต้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2013 เมื่อ 09:34 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
อากาศช้าง อากาศช้าง เป็นคดที่เกิดในตัวสัตว์อีกชนิดหนึ่ง สิ่งนี้จะเกิดอยู่ในโพรงอากาศบริเวณหัวช้าง ต้องรอจนช้างตายถึงจะเอามาได้ มีคุณทางโชคลาภอย่างสูง ช้างที่มีอากาศช้างเกิดในตัว จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร ช้างอื่นจะเกรงอำนาจบารมี ต้องคอยมาแวดล้อมรับใช้ช่วยเหลือ วิธีบูชาอากาศช้างก็เหมือนกับเลี้ยงช้าง คือต้องหาหญ้าหาน้ำมาเซ่นทุกวัน คดจากโพรงอากาศช้างนี้ จะเป็นก้อนแข็งเหมือนหิน ไม่ได้มีอยู่ในช้างทุกเชือก มีคุณวิเศษในตัวโดยที่ไม่ต้องปลุกเสกแล้ว หรือจะเอาไปให้พระปลุกเสกเพื่อเพิ่มพลังก็ย่อมได้ เป็นทนสิทธิ์ประเภทเดียวกันกับ เขี้ยวหมูตัน เขี้ยวเสือกลวง ราคาซื้อขายนั้น ถ้าคนที่รู้คุณค่า จะยอมสู้ราคาพอ ๆ กับซื้องาช้างงาม ๆ คู่หนึ่งเลยทีเดียว |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
ได้ยินมาว่าในสมัยรัชกาลที่หก มีพ่อค้าท่านหนึ่ง คุมกองเกวียนไปค้าขายทางเมืองเหนือ ระหว่างการเดินทางได้พักค้างคืนในป่าแห่งหนึ่ง บริเวณนั้นไม่ทราบว่าว่ามีช้างล้ม (ตาย) อยู่ตั้งแต่เมื่อใด เพราะเหลือแต่โครงกระดูกที่เก่ามากแล้ว ตอนกลางดึกพ่อค้าท่านนี้ตื่นขึ้นมาใส่ฟืน เพื่อให้กองไฟลุกสว่าง จะได้ป้องกันสัตว์ร้าย เมื่อจะนอนลงใหม่ก็ได้ยินเสียงกุกกักมาจากทางโครงกระดูกช้าง ด้วยความสงสัยจึงจุดไต้ไปดู ปรากฏว่าเสียงนั้นดังมาจากกะโหลกช้าง เหมือนมีอะไรกลิ้งอยู่ข้างใน ท่านจึงลองพลิกกะโหลกช้างขึ้นมา ก็มีของสิ่งหนึ่งสัณฐานค่อนข้างกลมคล้ายก้อนหิน มีสีขาวเหลืองเหมือนกระดูก หลุดตกลงมาจากในโพรงกะโหลก ด้วยความที่พ่อค้าผู้นี้มีประสบการณ์มาก จึงทราบว่านี่คืออากาศช้าง หรือคดในโพรงสมองช้าง |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
ท่านจึงเก็บเอาอากาศช้างนี้ติดตัว ทำการเซ่นด้วยหญ้าสดและน้ำทุกวัน ปรากฏว่าการค้าของท่านเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าขนอะไรไปขายทางเหนือ ก็ขายได้หมดสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว ครั้นนำเอาสินค้าของป่าจากทางเหนือลงมาขายทางใต้ ก็เป็นที่ต้องการมากจนไม่พอจำหน่าย ร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐี ภายหลังได้รับพระราชทานตราตั้งจากในหลวงรัชกาลที่หก ให้เป็นพระยาพานทอง ส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอกตั้งหลายคน มีชื่อเสียงเกียรติคุณเป็นที่นับหน้าถือตาแก่คนทั่วไป |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
เขี้ยวหมูตัน เครื่องรางซึ่งเป็นที่นิยมมาตั้งแต่โบราณนั้น หนีไม่พ้นพวกเขี้ยวพวกงา อย่างเขี้ยวหมูตันกับเขี้ยวเสือกลวง ของขลังเหล่านี้ในธรรมชาติ ถือว่าเป็นของที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเขี้ยวหมูป่าแล้ว ส่วนมากจะกลวงแทบทั้งนั้น เขี้ยวหมูตันจะเกิดกับหมูป่าตัวผู้ซึ่งเป็นจ่าฝูง อุปนิสัยดุร้ายไม่เกรงกลัวผู้ใด แข็งแรงว่องไว กล้าราวีกับสัตว์ทุกชนิด ไม่เว้นแม้แต่เสือร้ายจ้าวป่า หมูเขี้ยวตันนั้นปืนยิงไม่ออก ยิงออกก็ไม่ถูกหรือยิงถูกก็ไม่เข้า "เขาเล่าว่า" วันดีคืนดีเขี้ยวของหมูตัวนั้นจะเรืองแสงออกมาเป็นสีเขียวอ่อน |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
เขี้ยวหมูตันที่นิยมเอามาทำเครื่องราง จะต้องตันตั้งแต่โคนจนถึงปลาย จับดูจะรู้สึกว่ามีน้ำหนัก เท่าที่ทราบมา เขี้ยวหมูตันที่นำมาใช้กัน เป็นเขี้ยวหมูตันที่ได้มาจากการตายตามธรรมชาติ ในสมัยก่อนเมื่อดักจับตัวได้แล้ว จะนำไปเลี้ยงไว้จนแก่ตาย แล้วค่อยทำพิธีพลีเอาเขี้ยวมาใช้ นาน ๆ จึงจะพบเขี้ยวหมูตันแท้ ๆ สักอัน จึงเป็นที่ต้องการกันมาก วิธีดูเขี้ยวหมูตัน คนที่เคยเห็นของแท้แล้วคงดูเป็นได้ไม่ยาก เมื่อส่องกล้องขยายจากโคนจนถึงปลายจะมองเห็นเส้นตามขวางเป็นริ้วๆ เป็นเส้นที่แสดงถึงการงอกเพิ่มของเขี้ยวหมูตามอายุของหมูตัวนั้น ส่วนของเขี้ยวหมูที่ถูกใช้สัมผัสกับเหงื่อ จะมีสีเปลี่ยนไปออกเหลือง จุดสังเกตคือ จะเห็นเสมือนเป็นชั้นบาง ๆ เคลือบผิวอยู่ คล้ายกับว่าถูกเคลือบด้วยเทียนไข |
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
เขี้ยวหมูตันทำเป็นด้ามมีด ฝีมือช่างทำมีดบ้านจ่าตุ่ม ตรงส่วนปลายของเขี้ยวจะมีส่วนที่เป็นมุมคมเพื่อใช้ในการการขุดหาอาหาร หรือใช้ขวิดทำร้ายศัตรู ถ้าเขี้ยวหมูถักเงินไว้ ให้สังเกตความเก่าของเงินที่ใช้ถัก ว่ามีความเก่าเหมาะสมกับสภาพการใช้งานของเขี้ยวหมูหรือไม่ จุดตายคือเขี้ยวหมูตันจะมีเนื้อในเต็มตั้งแต่โคนจนถึงปลาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บริเวณใกล้กับโคนของเขี้ยวจะต้องมีโพรงอยู่หน่อยหนึ่งเสมอ เพราะเป็นโพรงประสาทฟันของหมู แล้วค่อยเป็นส่วนตัน โพรงนี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามอายุของหมูตัวนั้น ๆ ดังนั้นถ้าเห็นเขี้ยวหมูเป็นรูหน่อยหนึ่งแล้วค่อยมีเนื้อตันข้างใน อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเป็นเขี้ยวกลวง ไม่อย่างนั้นท่านอาจพลาดของดีไปอย่างน่าเสียดาย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-09-2013 เมื่อ 16:54 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
เขี้ยวเสือกลวง หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย นำมาแกะเป็นวัตถุมงคล เขี้ยวเสือกลวง ตำรับโบราณอันว่าด้วยเขี้ยวงา ได้กล่าวถึงของวิเศษธรรมชาตินี้เอาไว้ด้วยกันสองชนิด คือ ๑. เขี้ยวหมูตัน ๒. เขี้ยวเสือกลวง โดยธรรมชาติของเขี้ยวเสือนั้น ตามปกติแล้วจะต้องตันตั้งแต่โคนถึงปลาย ซึ่งตรงกันข้ามกับเขี้ยวหมูที่จะต้องกลวง หากเขี้ยวเสืออันไหนไม่ตัน แต่กลวงตั้งแต่ส่วนโคนจนถึงปลาย โบราณท่านจัดเป็นของทนสิทธิ์สุดวิเศษ เรียกว่า เขี้ยวเสือกลวง เป็นของดีที่มีอาถรรพ์วิเศษศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเอง |
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
หูหนู หน้าแมว เขี้ยวโปร่งฟ้า (กลวง) ตาลูกเต๋า บูรพาจารย์ท่านบอกเล่ากันต่อ ๆ มาว่า หากผู้ใดพบเขี้ยวเสือกลวง ให้นำมาพกพาติดตัวไว้ เพราะเป็นของวิเศษ มีอิทธิฤทธิ์รอบตัว แต่ก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่าย ๆ นาน ๆ จึงจะได้พบเจอสักอันหนึ่ง อานุภาพของเขี้ยวเสือกลวงนั้น โดดเด่นในทางด้านมหาอำนาจ ป้องกันภูตผีปิศาจและคุณไสยมนต์ดำได้ชะงัดนัก อีกทั้งดีทางมหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด ถือเป็นของวิเศษที่มีอิทธิฤทธิ์แรงกล้า อิทธิคุณนั้นเด่นไปในทางมหาอำนาจ ติดตัวไว้จะเป็นที่เกรงขามของคนและสัตว์ทั้งหลาย เวลาเข้าไปในป่าสามารถอธิษฐานให้คุ้มกันสรรพภัยและอาถรรพ์ป่าได้ เอาแช่น้ำทำน้ำมนต์กินแก้ไข้ป่าก็ได้ เขี้ยวขนาดใหญ่ที่กลวงตลอดนั้น ใช้เป่าให้เกิดเสียงดัง สยบอาถรรพ์ป่าได้ทุกชนิด ภูตผีปิศาจเกรงกลัวไม่กล้ากล้ำกราย ถ้าเอาไปแกะเป็นรูปเสือ แล้วนำไปให้ครูบาอาจารย์ปลุกเสก ก็จะยิ่งเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นทวีคูณ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2013 เมื่อ 02:56 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|