|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
ห้องโถงใหญ่กลางมหาวิหาร (รูปจากอินเตอร์เน็ต) "สวดยวดเจง ๆ" เลยว่ะนายไมเคิลเอ๋ย ใครจะเชื่อว่านายรังสรรค์ผลงานยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวแบบนี้ออกมาได้ในช่วงอายุแค่เบญจเพสเท่านั้น ถ่ายรูปอย่างไรก็ดูไม่สวยเหมือนกับที่ตาเห็น ได้แต่ "ฯลฯ..แลตะลึง สวยซึ้งยิ่งกว่านางใด...ฯลฯ" พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เป็น "ปัจจัตตัง" ที่อธิบายเป็นตัวหนังสือหรือคำพูดได้ยาก พอ ๆ กับสภาวธรรมระดับจิตในจิตหรือธรรมในธรรมเลยทีเดียวเชียว... พวกเราเสียเวลาที่ห้องโถงกลาง อันเป็นที่ประกอบพิธีขององค์สันตะปาปามากที่สุด ด้านบนเป็นโดมใหญ่ที่งดงามด้วยภาพวาดและภาพที่ประกอบขึ้นจากโมเสก มีเพดานโค้งรับซึ่งเป็นทางเดินมาจากทั้งสี่ด้าน ด้านล่างตรงกลางเป็นซุ้มบัลลังก์ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเสาเกลียวรับกับหลังคาซุ้มที่ประดับด้วยไม้กางเขน ตัวซุ้มสลักเสลาลวดลายงดงามแปลกตา อาจจะเป็นบัลลังก์ของเซนต์ปีเตอร์ก็เป็นได้ แต่ใหญ่ขนาดเป็นเตียงยักษ์ได้เลย เชื่อกันว่าหลุมฝังศพนักบุญเปโตร ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าเซนต์ปีเตอร์ ก็อยู่ภายใต้ซุ้มนี้แหละ ด้านหน้าซุ้มกั้นรั้วที่มี "ผ้าม่าน" สีแดงเลือดนกยาวเหยียด ทำให้เข้าไปถ่ายรูปใกล้ ๆ ไม่ได้เลย... คณะของเราทั้งถ่ายรูปเอง ทั้งขอให้เพื่อนช่วยถ่าย ทั้งขอให้คุณโอ๋ คุณโอเล่ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย และอาจารย์ตู๋ ช่วยถ่ายให้ ทั้งกล้องตัวเอง ทั้งกล้องของมัคคุเทศก์ ทั้งกล้องส่วนกลางของมหาวิทยาลัย ทั้งไอโฟน ไอแพด และกล้องอีก "ล้านเจ็ดสิบเอ็ดแสน" ของบรรดานักท่องเที่ยว ที่ไม่ว่าเราจะถ่ายเดี่ยว ถ่ายหมู่ นักท่องเที่ยวทั้งหลายเป็นต้องระดมกันถ่ายด้วย ที่ขาดไม่ได้ก็คือเสียงกำชับอยู่ตลอดเวลาว่า "ระวังกระเป๋านะครับ" ของคุณโอ๋... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-10-2015 เมื่อ 05:18 |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
รูปนี้สว่างมากเพราะได้แสงแฟล็ชจากกล้องนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ด้วย จุดสำคัญที่สุดของมหาวิหารหลังนี้ก็คือ หลุมฝังศพนักบุญเปโตรภายใต้ซุ้มบัลลังก์ แต่ว่าพวกเราไม่สามารถฝ่าคน "อย่างกับหนอน" ที่รุมกันถ่ายรูปและยืนอธิษฐานเข้าไปถึง คุณโอ๋บอกว่าถ้าเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ คนจะน้อยกว่านี้ แต่ตอนนี้เลยเพลมากแล้ว จึงไม่สามารถที่จะอยู่รอได้ และไม่ได้พาไปชมทิวทัศน์บนยอดโดมของมหาวิหารหลังนี้ ตลอดจนพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museums) และโบสถ์น้อยซิสตีน (Sistine Chapel) ซึ่งเป็นที่คัดเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่... "เอาไว้ครั้งหน้าถ้าพระอาจารย์ทั้งหลายมาใช้บริการ ผมจะกำหนดตารางเวลาให้ตรงกับช่วงบ่าย จะได้เที่ยวกันให้ทั่วถึงคุ้มค่ากับรายจ่ายมากกว่านี้ สำหรับตอนนี้ขอนิมนต์ทุกท่านให้มารวมตัวกันเพื่อถ่ายรูปหมู่ตรงนี้เลยครับ เสร็จแล้วจะได้ไปฉันเพลกัน" บริเวณที่รวมพลของพวกเราก็คือกลางห้องโถงใหญ่ ริมรั้วที่เขากั้นหน้าซุ้มบัลลังก์ของเซนต์ปีเตอร์เอาไว้นั่นแหละ ให้รถเข็นของพระครูด็อกเตอร์อยู่ตรงกลาง ที่เหลือรายล้อมกันเข้าไป บรรดานักท่องเที่ยวระดมถ่ายรูปจนแสงแฟล็ชเข้าตาแสบไปหมด กว่าที่กล้องของพวกเราจะฝากกันถ่ายได้ครบ ตากล้องไม่ได้รับเชิญก็ถ่ายไปหลายร้อยคนแล้ว... |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
ประหนึ่งสองแขนแห่งคริสตจักรที่โอบล้อมโลก (รูปจากอินเตอร์เน็ต) ท่านที่ไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปมา หรือแผ่นความจำมีความจุน้อย ก็บอกกับเพื่อน ๆ ว่า "ส่งรูปให้บ้างนะ" เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยแล้ว อิลลาเรียก็นำคณะของเราเดินออกมาทางประตูที่เป็นประตูซ้ายมือของมหาวิหาร ตรงกันข้ามกับประตูที่พวกเราเข้ามา ถ้าเป็นการจัดจราจรก็เป็นแบบ One Way นั่นเอง โผล่ออกมาก็เห็นลานกว้างหน้ามหาวิหารอยู่ตรงหน้า... "เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ ๗ ได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปา ในปี ค.ศ.๑๖๕๕ พระองค์ได้ว่าจ้างสถาปนิกนักออกแบบชื่อ จิอาน ลอเรนโซ เบอร์นินี่ (Gian Lorenzo Bernini) ให้สร้างจตุรัสอยู่ด้านหน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เป็นลานรูปไข่ที่มีความยาว ๒๔๐ เมตร กว้าง ๑๙๖ เมตร เรียกว่า ปิแอสซ่า ซาน ปิเอโตร (Piazza San Pietro) หรือจตุรัสนักบุญเปโตรนั่นเองครับ" คุณโอ๋แปลข้อมูลจากมัคคุเทศก์สาวมาให้... "จตุรัสเซนต์ปีเตอร์แห่งนี้ โอบล้อมด้วยระเบียงคดรูปครึ่งวงกลมสองด้าน ซึ่งเบอร์นินี่ตั้งใจออกแบบให้เสมือนกับแขนของศาสนาจักร ที่ยื่นออกไปโอบล้อมโลก ระเบียงคดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.๑๖๖๐ ประกอบไปด้วยแนวเสาด้านละ ๒ แถว มีเสาที่เรียกว่า Doric ทั้งหมด ๒๘๔ ต้น แต่ละต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๖ เมตร สูง ๒๐ เมตร บนหลังคาหัวเสามีปฏิมากรรมลอยตัว เป็นรูปของพระสันตะปาปาแต่ละพระองค์ รวมถึงนักบุญต่าง ๆ รวม ๑๔๐ ชิ้น ตรงกลางลานมีเสาโอเบลิสก์ที่นำมาจากอียิปต์ (Egyptian Obelisk) อายุเก่าแก่กว่า ๔,๐๐๐ ปี ตั้งอยู่ ในช่วงเวลาสำคัญ เช่น เมื่อมีการแต่งตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ หรือในเทศกาลอีสเตอร์ จะมีผู้มาร่วมชุมนุมที่จตุรัสนี้มากถึง ๔๐๐,๐๐๐ คน" |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
ตู้โทรศัพท์สาธารณะของที่นี่ เห็นมีรถนักท่องเที่ยวประเภท "ชะโงกทัวร์" หลายคัน ซึ่งมีที่นั่งบนหลังคาเรียงเป็นตับ วิ่งวนให้นักท่องเที่ยวชมสถานที่และถ่ายรูปกันโดยไม่ต้องลงมาให้เท้าแตะพื้น อาตมาเห็นว่าดีแค่ได้มุมถ่ายรูปที่สูงกว่าและกว้างกว่า นอกจากนั้นแล้วไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับสถานที่เลย มีตู้โทรศัพท์สาธารณะแบบมีที่กั้นครึ่งตัวเป็นแผ่นอะครีลิกใส ๆ อยู่ชิดตัวตึกด้านทางออก อาตมาจึงเดินออกนอกแนวรั้วกั้นในจตุรัสไปถ่ายรูปไว้ดูเล่น แล้วเลยไปถ่ายรูป "แผงลอยฝรั่ง" เอาไว้ด้วย... "นมัสการพระอาจารย์ครับ" พระภิกษุรูปหนึ่งที่หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวยกมือไหว้ อาตมารับไหว้แบบงง ๆ พลางนึกว่า..นี่ตูจะดังเกินเหตุแล้วมั้ง ? มายันวาติกันแล้วยังมีคนรู้จัก แถมยังเป็นพระอีกด้วย... "พระอาจารย์มากับคณะของหลวงพี่โจใช่ไหมครับ ?" "เฮ้ย..ท่านกบ ทำไมเพิ่งมา ? พวกผมเที่ยวที่นี่กันจนเสร็จแล้ว" พระครูโจเข้ามาทักทาย อาตมาจึงได้ทราบว่าท่านกบที่ชื่อฉายาอะไรก็ไม่รู้ ? เป็นเพื่อนกับพระครูโจ มาต่อปริญญาโทที่อิตาลี อาสาจะมาเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวให้กับคณะของเรา "ผมมีชั่วโมงเรียนครับ เลยมาถึงช้าไปหน่อย" ท่านกบผู้มีน้ำใจชี้แจงแถลงไข... |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
ต้องยืนติดผนังจะได้ไม่ขวางทางรถเข้าออก "พระครูวิลาศฯ พระครูปลัด นิมนต์ถ่ายรูปหมู่กันทางนี้ค่ะ" เสียงของ "หญิงใหญ่" ประจำคณะตะโกนเรียก แต่กว่าที่อาตมา พระครูโจและท่านกบ จะฝ่านักท่องเที่ยวเข้าไปถึง ก็ฝากกล้องให้คนอื่นถ่ายรูปหมู่หน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ไม่ทันแล้ว เหลือแต่ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ที่ยังถ่ายวีดิโออยู่พร้อมกับใส่คำบรรยายไปด้วย... นอกจากจะหิวไส้แขวนแล้ว อิลลาเรียยังเร่งให้เดินตามไปโดยด่วน พวกเราจึงไหลตามกันไปเป็นขบวน ย้อนเส้นทางเดิมที่มุดลงใต้ดิน แล้วขึ้นบันไดสวนทางกับนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่กำลังเดินลงมา พ้นจากทางเดินกรุโลหะที่หลายท่านเกือบจะลากสังขารขึ้นไปไม่ไหว โผล่มาที่หน้าประตูกระจกด้านนอกวังวาติกัน ก็ต้องยืนตัวลีบติดผนังหลบที่รถเข้าออกเพื่อรอรถของเรามารับ... มีคนมาเสนอขาย "เจลดึ๋งดั๋ง" ที่เป็นก้อนเหนียวสีสันสดใส พอขว้างลงพื้นหรือผนังก็ติดหนับแบนแต๊ดแต๋ แล้วค่อย ๆ รวมตัวเป็นก้อนเด้งหลุดออกมาใหม่ แต่พวกเราไม่รู้ว่าจะซื้อไปทำอะไร อยากให้เป็นของที่กินได้มากกว่า “พระอาจารย์ทุกท่านอย่าซื้อนะครับ ของพวกนี้มักเป็นของปลอมเลียนแบบ คนขายต้องหูไวตาไว คอยวิ่งหนีตำรวจอยู่ตลอดเวลา กฎหมายลิขสิทธิ์ของยุโรปแรงมาก คนซื้อมีไว้ในครอบครองก็ผิดกฎหมายของเขาด้วยครับ..” คุณโอ๋บอกเมื่อเห็นพระครูปรีชาสนใจไปไต่ถามคนขาย... |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
ปราสาทนักบุญแองเจโล ที่เดิมเป็นป้อมรักษาวังวาติกัน (รูปจากอินเตอร์เน็ต) พลขับหน้าตายที่ไม่ยิ้มไม่พูดเลยตั้งแต่เจอหน้ากันมา นำรถมาจอดเทียบให้พวกเราขึ้นอย่างเร่งด่วน เพราะข้างหลังยังมีตามมารออยู่อีกหลายคัน เมื่อคุณโอ๋ขึ้นมาและประตูอัตโนมัติปิดเรียบร้อยแล้ว พ่อเสือยิ้มยากก็นำรถออกจากที่ ย้อนกลับไปทางเดิมทุกประการ วิ่งขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำไทเบอร์ ที่มีรูปปั้นเทวดาสยายปีกงาม ๆ ประดับหัวเสาสะพานเป็นระยะ เมื่อผ่านป้อมโบราณรักษาวังวาติกันที่มีรูปหล่อสัมฤทธิ์อยู่บนยอด ท่านอาจารย์คณบดีกล่าวกับอาตมาว่า... ของเก่าทุกประเทศล้วนแต่ประณีตงดงามกว่าของใหม่ทั้งนั้นนะครับ ครับ..พระอาจารย์ ผมคิดว่าคนรุ่นเก่าสร้างสิ่งต่าง ๆ ด้วยศรัทธา มีความตั้งใจที่จะฝากฝีมือเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้กล่าวขวัญถึง โดยเฉพาะการสร้างเพื่อพระศาสนา เพื่อถวายแก่พระผู้เป็นเจ้า เขาจึงทุ่มเทแบบสุดตัว สุดฝีมือ กลายเป็นผลงานที่ยากจะหาใครมาเทียบได้.. |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
เดินลงเนินไปยังภัตตาคาร พระครูญาณฯ เดินมาขอไมโครโฟนจากคุณโอ๋ ซึ่งนั่งคู่กับอิลลาเรียอยู่ที่เบาะหน้า บอกว่าในฐานะที่เที่ยวต่างประเทศบ่อย ขอถวายคำแนะนำเพื่อน ๆ ทุกท่านว่า ค่าอาหารนั้นเขาคิดรวมเอาไว้ในค่าที่พักอยู่แล้ว ขอให้ทุกรูป ใส่ ได้ไม่ต้องยั้ง ถ้ามีล็อบสเตอร์ก็ให้จ้วงก่อนเลย แต่คุณโอ๋ขอไมโครโฟนคืนแล้วแจ้งให้ทราบว่า... อาหารของพวกเรานั้น มีแต่มื้อเช้าที่บวกอยู่ในค่าโรงแรม เป็นบุฟเฟ่ต์ที่เลือกตักได้ตามใจชอบ แต่มื้อกลางวันเราจะเข้าภัตตาคารกันทุกวันครับ อย่างวันนี้ผมสั่งข้าวสวยและกับข้าวไว้หกอย่าง มีซีอิ๊วพริกขี้หนูและน้ำพริกนรกที่พกมาแถมให้ด้วย ถ้าไม่พอขอเติมได้ไม่อั้นครับ.. พวกเราตบมือเฮชอบใจกันใหญ่ พระครูญาณฯ เพิ่งรู้ว่ามาผิดงาน จึงเดินกลับไปยังที่นั่งแบบจ๋อง ๆ... พลขับพาเลาะกำแพงเมืองเก่า อิลลาเรียบอกว่าทางซ้ายมือเคยเป็นที่พักของบรรดาคาร์ดินาลที่มาประชุมใหญ่ประจำปี ตอนนี้ถูกปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะไปแล้ว รถของเราเลี้ยวขวาอ้อมกำแพงมาจอดที่หน้าสถานที่จอดรถขนาดใหญ่บึ้ม ที่มีป้ายชื่อเขียนว่า PARKING LUDOVISI แล้วปล่อยพวกเราลงเดินเลี้ยวซ้ายตามอิลลาเรีย ที่เดินชิดขวาไปตามถนนซึ่งลาดลงไปเหมือนกับเดินลงเนินเขา... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-10-2015 เมื่อ 11:46 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
ร้านกาแฟที่เล็กจนไม่พอให้แมวดิ้นตาย สองฟากข้างถนนมีรถจอดกันแน่นขนัดยาวเหยียดจนแทบไม่มีช่องว่าง โดยมีเครื่องหยอดเหรียญให้เอาบัตรจอดรถติดไว้เป็นระยะ ตึกที่เราเดินผ่านทุกห้องมีสินค้าวางแสดงอยู่ที่หน้าต่างกระจก ประมาณ Window shopping ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หลายร้านติดป้ายยี่ห้อเอาไว้ เห็นมียี่ห้อเบอร์นินี่ที่น่าจะเป็นทายาทของผู้ออกแบบจตุรัสนักบุญเปโตรด้วย บริเวณหน้าร้านหลายแห่ง มีกระถางต้นไม้เล็ก ๆ ปลูกดอกไม้ประเภทซูซานตาดำ บีโกเนีย ต้นสน (จิ๋ว) ต้นไทร (จิ๋ว) เอาไว้ด้วย... ยังดีที่ทางเดินเป็นเนินที่ลาดลง หาไม่แล้วเวลาที่หิวไส้แขวนต่องแต่งแบบนี้ คงมีบางท่านลมใส่ร่วงไปก่อนเป็นแน่แท้ เดินไปได้สองช่วงตึกคุณโอ๋กับอิลลาเรียก็พาเลี้ยวขวา ผ่านร้านกาแฟเล็ก ๆ ขนาดประมาณ ๓ X ๕ ตารางเมตรสองร้าน ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าภัตตาคารจีนชื่อเทียนสิน (TIEN TSIN) มัคคุเทศก์สาวเข้าไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ ซึ่งมีตู้วางเหล้าฝรั่งสารพัดยี่ห้อเอาไว้เพียบ แล้วแจ้งผ่านคุณโอ๋ว่า ๓ โต๊ะแรกทางซ้ายมือเป็นของที่พวกเราจองไว้สำหรับพระ... “เฮ้ย..พระไทย..!” มีเสียงภาษาไทยอุทานดังออกมาจากภายในร้านที่คนแน่นไปหมด อาตมามองแล้วคุ้นหน้ามาก ที่แท้เป็นคณะคนไทยที่มาเครื่องเดียวกันกับพวกเรานั่นเอง แต่ไม่มีเวลาที่จะทักทายอะไรกัน เพราะพวกเขาอยู่ด้านในสุด ส่วนพวกเราต้องนั่งที่โต๊ะนอกสุด คั่นไว้ด้วยบรรดา “เจ๊ก” และฝรั่งหลายโต๊ะ ที่บางโต๊ะน่าจะมากันทั้งครอบครัว เพราะมีลูกเล็กเด็กแดงมาด้วย... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-10-2015 เมื่อ 11:46 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
สามโต๊ะนี้เป็นของเรา หาที่นั่งกันตามอัธยาศัย อาตมาเดินเข้าไปนั่งด้านในของโต๊ะกลาง หันหลังชนกำแพงติดกับหลวงพ่อพระครูเรือง (พระครูวชิรปัญญานุโยค) ที่เข้าไปนั่งอยู่โต๊ะในสุด ตามมาด้วยท่านไพฑูรย์ ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะกลมก็คือหลวงพ่อพระครูเลิศ พระครูปรีชา และเพื่อน ๆ ท่านอื่น เขาจัดให้โต๊ะหนึ่งต้องนั่งถึงสิบที่ด้วยกัน แต่พวกเรานั่งกันแค่โต๊ะละ ๗ รูป มีโต๊ะแรกนอกสุดของหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ที่นั่งเบียดกัน ๘ รูป... อิลลาเรียบอกลาคุณโอ๋ หันมาโบกมือบ๊ายบายกับพวกเรา อาตมายกมือข้างเดียวรับพร้อมกับบอกว่า “See you again” มัคคุเทศก์สาวยิ้มพลางยกมือไหว้โดยก้มลงหลังแข็ง ๆ แบบ “ก้นกระดก” จากนั้นผลุบออกนอกร้านไป คงจะไปรับลูกทัวร์คณะใหม่ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร. วันชัย อาจารย์ตู๋และคุณโอเล่ เดินตามคุณโอ๋เข้าไปด้านใน ได้ยินว่ามีของฆราวาสอยู่ทางด้านนั้น ๑ โต๊ะ ครู่หนึ่งคุณโอ๋กับคุณโอเล่ก็เอาซีอิ๊วพริกขี้หนู กับน้ำพริกนรกที่แบ่งใส่ถ้วยเล็ก มาประเคนให้ทั้ง ๓ โต๊ะ... บริกรในร้านยกเอากาน้ำชาพร้อมถ้วยมาทั้งถาด อาตมารีบรับแล้ววางลงตรงกลาง จะให้พวกเขาเข้าใจว่าต้องมีคนประเคนพระถึงจะฉันได้ คงต้องอธิบายกันจนเหนื่อย สู้รับไว้เลยดีกว่า แหม..ถ้วยใบเท่าไข่ไก่ เล่นเอา “อูฐ” อย่างอาตมามองตาปริบ ๆ จะยกซดทั้งกาก็เกรงใจเพื่อนร่วมโต๊ะ จึงต้องวางมาดจิบชาพร้อมกับกวาดตาดูบรรยากาศรอบร้านไปด้วย... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-10-2015 เมื่อ 02:18 |
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
การตกแต่งภายในร้านเป็นแบบจีนล้วน ๆ การตกแต่งร้านเป็นแบบจีนล้วน ๆ ถัดจากประตูเข้ามาเป็นซุ้มโค้ง ที่มีหงส์ทองคู่เทิดคำมงคล กลางร้านเป็นยันต์แปดทิศ (ปากว้า) เก้าปราสาท (จิ่วกง) ที่ออกแบบอย่างแยบยลจนแทบจะดูไม่ออก มีโคมจีนแบบเหลี่ยมแขวนอยู่เพื่อกระจายพลังปราณ (ชี่) ด้วย ผนังทั้งสองด้านเป็นภาพวาดพู่กันจีน มีทั้งที่เป็นหมึกดำอย่างเดียวและภาพสี ส่วนมากเป็นภาพสิ่งมงคลประเภทดอกบัว (ร่มเย็นเป็นสุข) นกกระเรียน (อายุยืนยาว) ขุนเขา (หนักแน่นมั่นคง) ไม้ไผ่ (เจริญงอกงาม) ดอกเหมย (ฝ่าฟันอุปสรรคได้สำเร็จ)... ปอเปี๊ยะทอดจานใหญ่พร้อมน้ำจิ้มถูกวางลงกลางโต๊ะ อาตมาตักใส่จานตัวเอง ๒ ตัว เอาช้อนตัดเป็นชิ้น ๆ ตักน้ำจิ้มราดแล้วตักใส่ปาก รอให้มาครบทุกอย่างก่อนซิ หลวงพ่อพระครูเลิศที่หิวจนมือสั่นยังมีแก่ใจจะให้รอ อาหารจีนเขามาทีละจานครับ บางร้านถ้าของใหม่ออก เขาจะเก็บของเก่าไปด้วย ถ้ารอให้มาครบก่อนหลวงพ่อมีหวังอดแน่ ๆ เมื่อได้รับคำชี้แจงเช่นนั้น ช้อนทุกคันก็พุ่งลงไปยังที่หมายเดียวกัน พรึ่บเดียวหมดเกลี้ยง..! เวลาตอนนี้ก็คือบ่ายโมงสามสิบเจ็ดนาทีของบ้านเขา บ้านเราก็เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว ห่างจากอาหารเช้าที่ไม่พอยาขี้ฟันเกือบสิบสองชั่วโมงเต็ม ๆ ซ้ำยังเดินกันแทบขาลาก ทุกท่านจึงก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารแบบไม่มีใครสนใจอย่างอื่น เงยหน้าดูผมบ้างซิท่าน อะไรจะเอาแต่ก้มหน้า โซ้ย ไม่หายใจแบบนั้น พระครูปรีชายังมีหน้าไปแหย่ท่านไพฑูรย์ แบบนี้เขาเรียกว่าไม่ดูกาลเทศะ แสดงว่ายังไม่เคยเจอคน โมโหหิว ใช่ไหม ? ถึงตายเลยนะนั่น..! |
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
ตอนมาก็สมบูรณ์ดี ตอนกลับเอาไปแค่นี้..! จากปอเปี๊ยะทอดที่เป็นออร์เดิร์ฟ ชุดอาหารหลักก็ตามมา มีแกงจืดแครอตหัวไชเท้าใส่กุ้งแห้ง ที่จีนจับมือกับฝรั่ง ผสานวัฒนธรรมเข้ากันได้แบบกลมกลืน ปลาทอดผัดพริกหวานที่อาตมาโกยพริกทั้งแดงทั้งเขียวมาคนเดียว เพราะท่านอื่นไม่ฉัน ปลาจีนนึ่งที่แต่ละท่านเกือบจะฉันจานลงไปด้วย ผัดผักรวมที่กลิ่นเนยแรงไปหน่อย ไก่ล่อนซึ่งถ้าไม่มีแกงจืดมีหวังโดนทิ่มกระเดือกตายเพราะแห้งเหลือเกิน ปิดท้ายด้วยไข่เจียวน้ำมันมะกอก ที่มีบางท่านบ่นว่าทั้งแข็งทั้งเหนียว แต่ก็หมดเกลี้ยงอยู่ดี... น้ำพริกนรกดูเกินความจำเป็น วันนี้ส่งอะไรมาก็เหลือแต่จานเปล่าหรือเศษกระดูกกลับไป ต้องสั่งข้าวมาเพิ่มอีกโต๊ะละ ๒ โถใหญ่ เล่นเอาคุณโอ๋ยิ้มแห้ง ๆ คงคิดว่าถ้าบรรดาพระอาจารย์ฉันกันแบบนี้ทุกมื้อที่เหลือ กลับไปตัวเองอาจจะตกงานเพราะบริษัทเจ๊งก็ได้..! บริกรหญิงยกกาน้ำชามาถึง คงเห็น ถ้วยถังกาละมังหม้อ เต็มโต๊ะ จึงไม่วางกาน้ำชาลง แต่ขอถ้วยจากแต่ละคนไปเทให้แทน องปลัดแทนที่จะส่งถ้วยให้ กลับย้ายหลบไปวางที่อื่น เพื่อที่จะตักอาหารได้ถนัด อาหมวยคงฉุนเลยพ่นพรวดออกมาทีเดียวสองภาษา Give me your teacup. ลื่อจายโบ๋ย ? อาตมาหัวเราะพร้อมกับแปลให้เพื่อนนักบวชอนัมนิกายฟังว่า เขาชมว่าท่านน่ารัก ถามว่าแต่งงานหรือยัง ? อีกฝ่ายยิ้มเห็นฟันหลอ อย่ามาแหกตา ถ้าน่ารักทำไมต้องถามว่า ลื่อจายโบ๋ย (เข้าใจไหม ?)" เราฟังแต้จิ๋วออกนะ นั่นแหละ..เขาถึงได้พูดภาษาจีนกับท่านคนเดียว กับพวกผมเขายอมใช้ภาษาจีนซะที่ไหน
|
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
Window shopping ขนานแท้..ดูอย่างเดียว เห็นอาตมาทำท่าขึงขังจริงจัง ประกอบกับอาหมวยมองไม่วางตา ที่ไม่ยอมส่งถ้วยชาให้เสียที เล่นเอาอีกฝ่ายทำหน้าไม่แน่ใจ อาตมาจึงคว้าถ้วยชาของท่านส่งไปให้ อาหมวยยิ้มหวานพร้อมกับรินน้ำชาแล้วส่งคืนมา องปลัดทำท่าคึกคักเหมือนกับมีพญานาคโผล่ขึ้นที่หัว... “ชมเขาว่าน่ารักหน่อยสิ” “ท่านพูดเองเลยว่า You are very ugly.” “พอเถอะ..หลอกกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เรากลัวโดนน้ำชาร้อน ๆ สาดหน้าว่ะ” ตั้งแต่เรียนปริญญาเอกมานี่ชักจะทำบาปไม่ขึ้น เพื่อนแต่ละท่าน “ฉลาดเป็นกรด” หลอกต้มไม่เคยสำเร็จเลย จึงขอตัวไปห้องน้ำแทน ต้องเดินลึกเข้าไปในร้าน คุณโอ๋เห็นก็ชี้มือไปทางขวาที่มีประตูกระจกอยู่ แต่พอเปิดเข้าไปกลับไม่ใช่ห้องน้ำ ต้องเดินขึ้นบันไดไปสามขั้นถึงเจอห้องน้ำสามห้อง แต่ปิดสนิทไปสองห้อง อาตมาจึงแวบเข้าห้องที่ติดรูปผู้หญิงไปเลย ปัสสาวะแล้วออกมาล้างหน้าที่อ่างด้านนอก ถอดอังสะกันหนาวออก เพราะรู้สึกว่าเริ่มจะร้อนแล้ว แต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ เอาอังสะกันหนาวที่เป็นไหมพรม ม้วนใส่กระเป๋าอังสะตัวบางแล้วกลับออกมานั่งที่เดิม... เพื่อน ๆ ผลัดกันไปห้องน้ำ บริกรเพิ่งจะยกส้มมาตอนนี้เอง บรรดา “น้องผู้หิวโหย” กวาดเรียบตามเคย เห็นว่าคงต้องรอทางโต๊ะท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐอิ่มก่อน อาตมาจึงขอตัวเดินออกมานอกภัตตาคาร เห็นอะไรก็ถ่ายรูปเอาไว้ ทั้งร้านกาแฟจิ๋ว รถเก๋งคันจิ๋ว ห้องแสดงภาพ โบสถ์คริสต์ กระถางต้นไม้ เพราะทุกอย่างสำหรับอาตมาแล้วเป็นของใหม่หมด จากนั้นเดินย้อนกลับไปทางที่จอดรถพร้อมกับ Window shopping ไปเรื่อย ๆ... |
สมาชิก 123 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
ตึกเก่าสวย ๆ ทั้งนั้น เพื่อน ๆ หลายท่านเดินตามมา เมื่ออิ่มแล้วคงเบื่อที่จะนั่งรอเช่นกัน อาตมาเดินชิดซ้ายจนเลยที่จอดรถไป มีกำแพงสูงใหญ่ที่น่าจะเป็นคฤหาสน์ของผู้ดีสมัยก่อน เสียดายว่าประตูปิดอยู่ จึงถ่ายรูปปั้นสิงโตสองตัวที่เฝ้าหน้าประตูซึ่งท่าทางน่าจะดุมาก เพราะเขาทำกรงขังเอาไว้ด้วย แล้วเดินถ่ายรูปต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อย เพิ่งจะสังเกตว่าต้นไม้ที่เขาปลูกเป็นแถวเป็นแนวข้างถนน มีใบใหญ่เหมือนใบจำปีนั้น ออกลูกเป็นส้ม..! น่าจะเป็นส้มคนละตระกูลกับบ้านของเรา... ตรงสามแยกเป็นตึกเก่าดูสวยงามทีเดียว ตัวตึกเกือบจะเป็นรูปสามเหลี่ยมตามสามแยกเลย เดินเลยไปอีกหนึ่งช่วงตึก หันกลับมา อ้าว..พรรคพวกหายไปไหนหมดวะ ? สงสัยจะไปขึ้นรถกันหมดแล้ว อาตมารีบจ้ำอ้าวกลับมาถึงที่จอดรถ ก็ไม่เห็นรถบัสของเราเลย มองดูซ้ายขวาหน้าหลังก็ไม่มีเพื่อนเหลืออยู่สักคน ดูท่าจะโดนตัดหางปล่อยกรุงโรมซะแล้วมั้ง ? โบราณท่านว่า “หนทางอยู่ที่ปาก” อาตมาจึงตรงเข้าไปหาหญิงกลางคนรายหนึ่ง ที่ยืนอาบแดดหรือยืนรอรถอยู่กลางแดดก็ไม่รู้ ? ถามว่า "Do you see some Buddhist monk like me ?" คุณป้าชี้มือไปทางที่ลงเนินไปหาภัตตาคารบอกเสียงแหลม ๆ ว่า “They go to that way” อ้าว..ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? บอกขอบคุณแล้วรีบจ้ำลงเนินไปเป็นการด่วน พอเลี้ยวขวาไปก็เห็นอาจารย์ตู๋กำลังถ่ายรูปให้หลวงพ่อพระครูสันติฯ ที่หน้าภัตตาคาร ส่วนพรรคพวกและคุณโอ๋ไปรวมตัวกันอีกฝั่งของถนนแล้ว อาตมาจึงจ้ำเข้าไปสมทบเป็นการด่วน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2015 เมื่อ 15:45 |
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
เดินตามคุณโอ๋พร้อมกับฟังคำบรรยายไปด้วย ได้รูปเยอะไหม ? องปลัดถามขึ้น ทำไมไม่มีใครเรียกผมเลยวะ ? อาตมาตอบด้วยคำถาม ก็ไปซะไกลลิบขนาดนั้น ใครจะไปตะโกนถึง เราจะไปตามก็ขี้เกียจเดิน คิดว่าเดี๋ยวก็คงถามคนแถวนั้นแล้วตามมาทันเองแหละ เออ..ขอบคุณเป็นอันขาดที่ไว้วางใจตูขนาดนั้น ถ้าไม่ได้ภาษาเขานี่มีหวังถูกลอยแพให้กินมักกะโรนีหรือพิซซ่าอยู่แถวนี้แหละ..! จากตรงนี้เราจะเดินไปที่น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain) ซึ่งภาษาอิตาเลียนเรียกว่า Fontana di Trevi กันนะครับ คำว่า Trevi หมายถึง ถนน ๓ สาย เพราะน้ำพุแห่งนี้สร้างอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของถนน ๓ สาย และเป็นปลายทางของท่อส่งน้ำ (Aqueduct) ที่มีชื่อว่า Aqua Virgo ซึ่งเป็นท่อส่งน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงโรม เล่ากันว่า ทหารโรมันได้รับคำสั่งให้มาหาแหล่งน้ำ เด็กหญิงคนหนึ่งได้ชี้ให้มาพบแหล่งน้ำนี้ ซึ่งเป็นน้ำบริสุทธิ์มีรสชาติดีมาก จึงตั้งชื่อว่า น้ำแห่งผู้บริสุทธิ์ หรือ Aqua Virgo ที่มีความหมายว่า Virgin Water นั่นเองครับ... จากจุดนี้ น้ำได้ถูกส่งไปใช้ในกรุงโรมไกลถึง ๑๓ กิโลเมตร ท่อส่งน้ำนี้ใช้งานมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง จนถูกพวกโกธ (Goth) ที่เข้าปล้นกรุงโรมทำลายไปในปี ค.ศ. ๕๓๗ ๕๓๘ น้ำพุเทรวี่เป็นน้ำพุที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แถวนั้นคนจะแน่นมาก พระอาจารย์ทุกท่านต้องระวังกระเป๋าให้ดีนะครับ ครั้งก่อนที่ผมพาคณะมาก็โดนที่ตรงนี้แหละ ลูกทัวร์กอดกระเป๋าถือไว้ แต่โดนล้วงกระเป๋ากางเกงแทน หมดเงินไปหลายพันยูโรเลยครับ... มัคคุเทศก์รูปหล่อบรรยายพลางเดินนำหน้าไปพลาง มาจนสุดตึกแถวก็เลี้ยวขวามือ ตรงนี้เป็นสี่แยก รถรามากทีเดียว... |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
ขึ้นจากอุโมงค์แล้วเดินเข้าไปในซอยนี้ นึกว่าคุณโอ๋จะพาข้ามถนนตรงนี้เลย ที่ไหนได้..พ่อรูปหล่อพาเลี้ยวซ้ายเข้าหารั้วเหล็กที่กั้นขอบถนน ซึ่งมีช่องเปิดกว้างเมตรเศษ ๆ เดินดุ่มลงบันไดไปในช่องนั้นเลย พวกเราจึงต้องเดินลงอุโมงค์ข้ามสี่แยกตามกันไปเป็นพรวน ในอุโมงค์มีสารพัดป้ายโฆษณาติดอยู่เต็มไปหมด มีตู้ขายน้ำแบบหยอดเหรียญด้วย... “น้ำพุเทรวี่สร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบบารอค (Baroque) ปราสาทด้านหลังของน้ำพุ ชื่อเต็มว่า Palazzo Conti Duca di Poli เป็นปราสาทประจำตระกูล Conti มีตำแหน่งเป็นท่าน Duke ที่คนไทยเราอ่านว่า “ดยุค” นั่นแหละครับ...” “แล้วไอ้ดยุคที่ว่านี่ เทียบกับของไทยแล้วเป็นอะไร ถึงได้มีปราสาทด้วย” พระครูกุ้ยไฮ้ เจ้าพ่อถ้ำสิงห์โตทอง (สิงห์ของท่านมี ห์ ด้วย) ถามขึ้น... “ผมก็ไม่ค่อยชัดเจนนัก ประมาณเชื้อพระวงศ์อะไรของเขานี่แหละครับ ขอติดพระอาจารย์เอาไว้ก่อน แล้วจะไปค้นคว้ามาให้นะครับ” มัคคุเทศก์รูปหล่อว่าพลางนำขึ้นจากอุโมงค์ มาโผล่ที่อีกฝั่งหนึ่งของสี่แยก แล้วพาเลี้ยวขวาเข้าไปในซอกตึกแคบ ๆ ยาว ๆ เดินกันต่อไป... |
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
กินไปอาบแดดไปอย่างมีความสุข “เปรียบได้กับเจ้าต่างกรมที่มีศักดินาครอบครองพื้นที่ของไทยครับ” อูย..ตกใจขนหัวลุก อยู่ ๆ “ท่านผู้นำ” ก็โผล่มาอธิบายให้ฟัง แล้วตูต้องอธิบายอย่างไรเพื่อน ๆ ถึงจะเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องวะนี่ ? ตั้งแต่เรียนปริญญาเอกมานี่ พวกเล่นจะเอาเอกสารอ้างอิงยันเตเลย... “น้ำพุเทรวี่นี้มีตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา ๓ ตำนานดังนี้ครับ เรื่องแรกเล่ากันว่า ผู้ที่โยนเหรียญ ๑ เหรียญลงไปในน้ำพุเทรวี่ จะได้กลับมากรุงโรมอีกครั้ง ถ้าโยน ๒ เหรียญจะได้พบคู่ครองและได้แต่งงาน แต่ถ้าใครอยากจะหย่าร้าง ให้โยน ๓ เหรียญ พูดง่าย ๆ ก็คือ ใครอยากจะหย่ากับแฟนก็ต้องลงทุนมากหน่อยครับ... เรื่องที่สองเล่าว่า ผู้ที่โยนเหรียญ ๑ เหรียญลงไปในน้ำพุ จะได้กลับมากรุงโรมอีกครั้ง ส่วนผู้ที่ปรารถนาจะได้โชคลาภ ต้องโยนเหรียญ ๓ เหรียญด้วยมือขวา ผ่านไหล่ซ้ายของตนลงไป เรื่องที่สามเป็นตำนานอยู่ในหลักสูตรและในตำราเรียนของเด็กอิตาเลียน กล่าวว่า ผู้ใดปรารถนาจะพบกับรักแท้ ให้โยน ๑ เหรียญ ผู้ใดปรารถนาจะได้โชคลาภ ให้โยน ๒ เหรียญ เพราะเลข ๒ มีความหมายเท่ากับทวีคูณ ส่วนผู้ใดปรารถนาจะกลับมาที่กรุงโรมอีกครั้ง ก็ให้โยน ๓ เหรียญครับ” พ้นจากซอกตึกแคบ ๆ ออกมา เป็น “ซอย” ใหญ่ มีร้านกาแฟ ร้านเหล้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายพิซซ่า เรียงรายเต็มไปหมด บรรดานักท่องเที่ยวนั่งกินกาแฟกลางแดดเปรี้ยง ๆ อย่างมีความสุข อาตมาเห็นร้านขายผลไม้ก็รี่เข้าไปถ่ายรูปตามประสาคนที่เกิดเป็นลิงบ่อย เห็นมีทั้งกล้วยหอม สับปะรด แตงโม แตงญี่ปุ่น สตอเบอรี่ กีวีฟรุต ลูกแพร์ ส้ม มะนาว มะเขือเทศ ฯลฯ ราคาน่าจะแพงหูดับ เพราะบ้านเขาอากาศหนาว ปลูกอะไรไม่ค่อยขึ้น ส่วนมากต้องนำเข้าทั้งนั้น... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-10-2015 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 123 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
ผู้คนอย่างกับหนอน (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) ประมาณกันว่าในแต่ละวัน มีผู้โยนเหรียญลงในน้ำพุประมาณ ๓,๐๐๐ ยูโร ซึ่งจะถูกเก็บไปโดยเจ้าหน้าที่เทศบาล แล้วนำเงินทั้งหมดนี้ไปสมทบกองทุนช่วยเหลือคนยากจน.. คุณโอ๋ยังคงถ่ายเทข้อมูลมาเรื่อย ๆ พวกเราเดินมาจนถึงหัวมุมของซอย ก็เห็นคนประมาณ "ล้านเจ็ด" แน่นขนัดไปหมด แทบไม่มีทางให้เบียดเข้าไปได้เลย ทุกสายตามองมาที่คณะของเราเป็นจุดเดียว กล้องอีกเป็นร้อยที่หันมาถ่ายรูปเป็นการใหญ่... "May I take you some photo ?" แหม่มสาวในชุดสีดำหน้าตาถูกแว่นดำอันโตบังไปเกือบหมดรี่เข้ามาถาม "ได้..แต่คุณห้ามแตะต้องตัวฉันนะจ๊ะ ฉันเป็นพระในพระพุทธศาสนา มีข้อห้ามสัมผัสถูกต้องผู้หญิง" อาตมาตอบ เธอหันไปส่งกล้องให้เพื่อนด้วยความดีใจ แล้ววิ่งมายืนด้านขวามือ เอียงหน้าเข้ามาใกล้ทีเดียว "พระอาจารย์ระวังกระเป๋าด้วยนะครับ" เฮ้อ..ถ้าห่างกันแบบนี้แล้วยังล้วงได้ อาตมาก็ตั้งใจว่าให้เธอไปเถอะ เป็นการสนับสนุนคนเก่งไปในตัว..! เป็นของแปลกนี่ก็ได้รับสิทธิพิเศษเหมือนกัน เมื่อพวกเราทั้งกลุ่มเดินตรงเข้าไปที่น้ำพุ บรรดานักท่องเที่ยวก็แหวกหลบให้เป็นทาง ยกเว้นพวกที่นั่งอยู่ตามขั้นบันไดหน้าน้ำพุ ซึ่งอาตมาอยากจะเรียกว่าน้ำตกมากกว่า ภาพรวมที่เห็นคือตึก (ปราสาท) ทรงบารอคสูงสามชั้น ที่ด้านบนมีลายปูนปั้นเทพกาเบรียล (เดาว่าน่าจะใช่เพราะถือแตรฝรั่ง) สององค์ เทิดสิ่งที่น่าจะเป็นตราประจำตระกูลของท่าน "เสด็จในกรม" ต่ำลงมาเป็นรูปปั้นเทวดานางฟ้าประจำหัว "เสาหลัก" ๔ องค์ แล้วตัวปราสาทขยายออกด้านข้างฝั่งละ ๓ ช่วง ช่วงละ ๓ ชั้น... |
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
น้ำพุ (น้ำตก) เทรวี่ มุมตรงหน้าปราสาท Conti ตัวปราสาทตรงกลางเสาหลักแบ่งออกเป็นสามช่วง ตรงกลางเป็น "เสาโรมันหัวหลุยส์" ๔ ต้น รองรับซุ้มโค้งที่ดูสวยโดดเด่น สองข้างซุ้มช่วงบนซึ่งเป็นชั้นสามของปราสาท เป็นรูปปั้นนูนต่ำ ช่วงล่างที่เป็นชั้นที่สองเป็นรูปปั้นลอยองค์เทวดาและนางฟ้า ตรงกลางซุ้มเป็นรูปปั้นเทพสมุทรโพไซดอน (Poseidon) ที่พระหัตถ์ขวาถือพระวรสาส์น ยืนอยู่บนรถศึกรูปเปลือกหอย... ต่ำลงมาเป็นเนินหินสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่มีน้ำตกไหลลงมาในแอ่ง มีต้นไม้และเถาไม้ซึ่งปั้นได้เหมือนจริงมากอยู่ด้วย ด้านในของแอ่งน้ำตกทั้งสองด้านเป็นรูปเทพบุตรไทรทัน (Triton) ที่ตามตำราเทพเจ้ากรีกบอกว่าเป็นยักษ์ประเภทหนึ่ง กำลังจับ “ม้าน้ำ” ที่มีปีกเป็นนกหางเป็นปลา ซึ่งเทียมรถศึกของพระบิดา ตัวขวาสงบเสงี่ยม ยอมให้เทพบุตรไทรทัน ที่เป่าหอยจูงไปแต่โดยดี ส่วนตัวซ้ายพยศดื้อดึง เล่นเอาต้องออกแรงปล้ำจับกันชนิดใครดีใครอยู่ เปรียบเหมือนท้องทะเลที่บางครั้งก็สงบราบเรียบ บางครั้งก็พิโรธครืนครั่น อวดกายวิภาคทั้งคนทั้งม้าที่งดงามสมจริงเป็นอย่างยิ่ง... “รวมพลถ่ายรูปหมู่หน่อยครับ” ท่านประธานรุ่นเจ้าของเสียง “เหน่อเพชรบุรี” อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนประกาศขึ้น พวกเราที่หามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัยรีบมารวมพลเป็นการด่วน เพราะเกือบทุกท่านโดน “ฝรั่งมุง” รุมถ่ายรูปจนชักจะเกะกะคนอื่น “ขยับไปทางซ้ายหน่อยค่ะ” คุณโอเล่ร้องบอก เนื่องจากมุมขวานี้มี “รถเข็น” ขายของที่ระลึกซึ่งมาได้อย่างไรก็ไม่รู้อยู่คันเดียว เล่นมาจอดขายจนติดหน้าน้ำตกเลย ท่าทางจะเส้นใหญ่น่าดู... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-10-2015 เมื่อ 05:43 |
สมาชิก 111 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
ทางซ้ายของภาพทำฝรั่งหล่นหายไปสี่คน..! พระครูด็อกเตอร์ถูกพวกเราล้อมไว้เป็นไข่แดงเช่นเคย แต่บรรดา “ฝรั่งไม่ได้รับเชิญ” นอกจากจะถ่ายรูปแล้ว หลายรายยังโดดเข้ามา “แจม” ด้วย จนคุณโอ๋ต้องร้องบอกว่าให้เข้ามาได้แต่ผู้ชาย ส่วนผู้หญิงให้อยู่ห่างออกไปหน่อย “พระอาจารย์ทุกท่านโปรดระวังกระเป๋า และระวังจะถูกฝรั่งจับหัวด้วยนะครับ..” ไม่เป็นไร..ฝรั่งไม่ใช่ “ผี” ถึงจับไปก็ไม่มีอะไรมากหรอก..! ทั้งกล้องถ่ายรูป ทั้งกล้องวีดิโอ ทั้งไอโฟน ไอแพด สารพัด ทั้งของเราและของนักท่องเที่ยว ระดมถ่ายกันเป็นการใหญ่ ฝรั่งบางรายกอดเอวพระ บางรายก็โอบไหล่แบบสนิทสนม ทำเอามัคคุเทศก์ของเราต้องกลายเป็น “แผ่นเสียงตกร่อง” ร้องบอกให้ระวังกระเป๋าเป็นระยะไป กว่าจะถ่ายรูปกันเสร็จก็ทำเอาพ่อรูปหล่อของพวกเราเสียงแหบไปทีเดียว... เมื่อพวกเราสลายตัวมายืนพิงตึกแถวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับน้ำตก เพื่อเปิดโอกาสให้บรรดานักท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้ถ่ายรูปกับน้ำตกกันบ้าง คุณโอ๋ก็ประกาศว่า “ให้เวลาพระอาจารย์ทุกท่านชมสถานที่และถ่ายรูปแถวนี้ตามสบาย แล้วมาพบกันตรงนี้ตอนบ่ายสามโมงนะครับ” |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
ถ่ายรูปตอนโยนเหรียญไม่ทัน ได้มาแค่นี้แหละ..! อาตมาเดินแทรกกลุ่มคนเข้าไปที่หน้าน้ำตก ล้วงเอาเหรียญ ๑ ยูโรออกมา กลับหลังหันดีดข้ามไหล่ลงน้ำไป ไม่ได้อธิษฐานอะไรหรอก นอกจากตั้งใจบริจาคช่วยคนจนที่นี่ ว้า..บอกกันก่อนซิครับ ผมจะได้ช่วยถ่ายรูปให้ โยนใหม่อีกทีครับ สมุห์สุมิตรที่ยืนถ่ายรูปอยู่ไม่ห่างนักร้องบอกขึ้น ไม่เอาแล้วครับ เหรียญละตั้ง ๔๐ บาท ขืนโยนบ่อย ๆ ก็จนกันพอดี ไม่มีรูปก็ช่างมันเถอะ... พระครูวิลาศฯ ยังมีเหรียญเหลืออีกไหม ? ขอผมโยนบ้างสิ ท่านประธานรุ่นถามขึ้น นั่นแน่..ยังไม่ทันจะกลับเลยหลวงพ่อก็จะขอมาใหม่เสียแล้ว เฮ่ย..ผมขอแค่ขากลับอย่าให้เครื่องบินตกเท่านั้นแหละ อาตมาล้วงกระเป๋าแล้วเจอแต่เหรียญละ ๒ ยูโรอีกเหรียญเดียว ต้องยื่นให้ท่านแต่โดยดี ขอผมบ้างสิ พระครูกล้ายื่นมือมาบ้าง หมดแล้วครับ มีที่ญาติโยมถวายมาแค่ ๒ เหรียญเท่านั้น ที่เหลือเป็นแบงค์เหมือนกับของพวกท่านนั่นแหละ ใช้ใบละยูโรพับเอาแทนได้มั้ย ?" ท่านรองเจ้าคณะอำเภอตีหน้ายู่ยี่ เขาว่าต้องเป็นเหรียญเท่านั้น โยนแบงค์ลงไปก็คงจะเปื่อยหมด... Are you Shaolin monk ? ฝรั่งตัวใหญ่ล่ำบึ้กเหมือนกินควายเป็นอาหารมาตั้งแต่เด็กเดินเข้ามาถาม ออกเสียงว่า เชาลิน ที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย เขาถามว่าเป็นพระเส้าหลินหรือเปล่า ? อาตมาแปลแล้วยังไม่ทันจะตอบ พระครูญาณฯ ก็รีบพยักหน้า Yes..yes..Shaolin kungfu, yakkkkkkkkkkk..! พ่อเจ้าประคุณแผดเสียงออกวิทยายุทธ์ไปสองสามท่า ดูอย่างไรก็ไม่ใช่เพลงหมัดอรหันต์วัดเส้าหลิน แต่เป็นคาราเต้เสียมากกว่า..! |
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|