|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าผมเร่งในทาน ศีล ภาวนา จะทำให้มีศีล สมาธิ ปัญญาเพิ่มขึ้น ทีนี้ผมสงสัยว่าปัญญาในที่นี้หมายถึงปัญญาทางธรรมอย่างเดียว หรือว่าปัญญาในการเอาตัวรอดในชีวิตด้วยครับ ?
ตอบ : ทั้งทางโลกและทางธรรม ในเรื่องปัญญามี สหชาติกปัญญา ถ้าคนทั่ว ๆ ไปก็เรียกว่าสัญชาตญาณ เป็นปัญญาที่มาพร้อมกับการเกิด ก็คือรู้จักหากิน รู้จักหลบภัย รู้จักเสพกาม เป็นต้น ปาริหาริกปัญญา เป็นประสบการณ์ที่ค่อย ๆ สั่งสมในการดำเนินชีวิต หรือศึกษาเรียนรู้จากตำรา จากห้องเรียน แล้วก็เนปักกปัญญา เป็นปัญญาในการแสวงหาทางพ้นทุกข์ ถ้าเราเร่งในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กัน เพราะว่าในเมื่อมีปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปัญญาอย่างไหนก็ตาม ย่อมสามารถเอาไปประยุกต์พัฒนาร่วมกับปัญญาอื่น ๆ ได้ ขนาดต้องการพ้นทุกข์จากวัฏสงสารยังมีปัญญาดิ้นรนหนีไป การที่จะทำอย่างไรให้เรามีความสุขในโลกจึงกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย แค่เอามาประยุกต์ใช้ร่วมกันแค่นั้นเอง ถาม : มีคนบอกว่า “ขอให้เจริญทั้งทางโลกและทางธรรม” การเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมคู่กันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมครับ เพราะสวนทางกัน ? ตอบ : ใครว่าเป็นไปไม่ได้ นางวิสาขารวยเท่าไร แล้วทำไมเป็นพระอริยเจ้าได้ ? พระมหานามเป็นพระมหากษัตริย์ แล้วทำไมเป็นพระอริยเจ้าได้ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-11-2015 เมื่อ 18:38 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าผมตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิเต็มตัว ?
ตอบ : ตอนนี้ยังแค่ครึ่งตัวใช่ไหม ? ถาม : ถ้าผมตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิเต็มตัว มารเขาจะเล่นงานผมน้อยลงใช่ไหมครับ ? ตอบ : มีแต่จะหนักขึ้น ถาม : ทำไมเล่าครับ ก็ผมยังไม่ไปพระนิพพาน ? ตอบ : ตอนนี้คุณจะไปคนเดียว แต่หลังจากนี้คุณจะพาไปตั้งเยอะ เพราะฉะนั้น..จะโดนเตะสกัดตลอดเวลาเพื่อไปให้ได้ช้าที่สุด ถาม : ผมไม่ตั้งใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ แค่ตั้งใจว่าลาเมื่อไรก็ช่าง แต่ให้ได้ช่วยเหลือคน ? ตอบ : การช่วยคนอื่นนั้นแหละ ช่วยมากช่วยน้อยก็ไปขัดนโยบาย คสช. แล้ว ต้องโดนปรับทัศนคติแน่นอน ถาม : เรื่องเล็กน้อยเขาก็เอา เขามีความสุขมากเลยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่...เป็นหน้าที่เขา ถึงเวลาไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ก็ต้องส่งทหารตำรวจไปถ่ายคลิปด้วย ถาม : แค่ให้ขัดอารมณ์นิดเดียวนี่เขาก็เอา ? ตอบ : ถึงขนาดปิดประเทศยังจะเอาเลยนะ...! แสดงว่าที่อาตมาพูด ๆ ไปไม่เคยเข้าหู บอกแล้วว่ามารไม่ใช่ศัตรู แต่มารเป็นครูที่ดีที่สุด มีอะไรต้องไปกลัวด้วย ยกเว้นว่านักเรียนไม่พร้อม นักเรียนไม่พร้อมแล้วไปบ่นว่าครูโหดได้อย่างไร ? ก็ต้องไปเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ แค่นั้นเอง ถาม : เป็นครูแต่เอาลูกศิษย์ลงนรกได้นี่นะครับ ? ตอบ : ก็นั่นเป็นหน้าที่เขา ไม่เห็นหรือว่ากว่าจะจบปริญญาโทปริญญาเอก แต่ละคนเหมือนตกนรกทั้งเป็นมากี่รอบ ถึงขนาดเขาสรุปง่าย ๆ ว่า เรียนปริญญาโทร้องไห้ได้ไม่ถึง ๓ ครั้งนี่ไม่จบหรอก แล้วปริญญาเอกนี่ ตูยังไม่รู้เลยว่ากี่ครั้ง ? เพราะยังไม่ทันจะร้องเลยดันจบเสียก่อน ลงนรกก็แค่อยู่กับเขา ก็เป็นความพอใจของเขาอยู่แล้ว ครูก็แค่อยากจะมีลูกศิษย์ไว้สอนนาน ๆ ถ้าลูกศิษย์ไม่รักครูก็ต้องหาทางหนีครูไปเอง ถ้าไม่รู้จักหนีครูก็ทนอยู่กับครูไปเรื่อย ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2015 เมื่อ 19:54 |
สมาชิก 232 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
การเกิดมาเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้กระทำในอัตตัตถะ ก็คือ ประโยชน์ส่วนตนให้ถึงพร้อม แปลว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไร ก็ให้ทำสถานะนั้นให้ดีที่สุด เป็นลูกก็ทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด เป็นพี่เป็นน้องก็ทำหน้าที่ของพี่น้องให้ดีที่สุด เป็นศิษย์ก็ทำหน้าที่ของศิษย์ให้ดีที่สุด เป็นพ่อเป็นแม่ก็ทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ดีที่สุด เป็นครูบาอาจารย์ก็ทำหน้าที่ของครูบาอาจารย์ให้ดีที่สุด
อย่างที่ ๒ คือปรัตถะ ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้มีอัตถจริยา ก็คือการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น แม้กระทั่งที่อาตมาทำอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็เป็นปรัตถะ ก็คือเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก และส่วนสุดท้ายก็คือ อุภยัตถะ ทำประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งตนเองและผู้อื่นให้ถึงพร้อม ซึ่งบุคคลที่จะทำได้สมบูรณ์บริบูรณ์นั้นหายาก เราจะเห็นว่าบางท่านแม้จะเป็นใหญ่เป็นโต บริหารชาติบ้านเมืองได้ดี แต่ครอบครัวบางทีก็ไม่เป็นท่าเลย ถ้าถามว่าท่านไม่ได้อบรมสั่งสอนคนในครอบครัวหรือ ? ต้องบอกว่ายิ่งกว่าสอนอีก แต่สอนแล้วเขาไม่ฟัง เหตุที่ไม่ฟังเพราะบุคคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น คนที่มาเป็นครอบครัวเดียวกันก็มักจะมีทิฐิมานะ กูยิ่งใหญ่ขนาดนี้มึงจะมาสอนกูได้อย่างไร จะเป็นลักษณะอย่างนั้น ดังนั้น..ข้อสุดท้ายจะเป็นข้อที่ทำได้ยากที่สุด ถ้าอยากจะรู้หัวข้อธรรมนี้ละเอียดก็ให้ไปค้นหาดู ใช้คำว่า “ประโยชน์ ๓” ไม่รู้ว่าจะมีที่ไหนอธิบายเอาไว้ละเอียดบ้างหรือเปล่า ? การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เน้นปรัตถะ ก็คือเน้นประโยชน์ผู้อื่น ถ้าเห็นคนอื่นมีความสุข ถึงตัวเองต้องตายลงไปก็ยังเต็มใจที่จะทำ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2015 เมื่อ 19:56 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
ถาม : หนูไปภาวนาที่วัดแห่งหนึ่ง ขณะที่เดินจงกรมไปแล้วแล้วรู้สึกปวดมาก แต่พอเดินต่อเวทนาก็หาย รู้สึกว่าขาก็ไม่ใช่ขา กระดูกก็ไม่ใช่กระดูก เรียกไม่ได้เลยค่ะ ?
ตอบ : สรุปว่าไม่ใช่ของเรา ถาม : เดินจนเดินไม่ได้ก็เลยหยุดเดิน ไอ้ที่แยกออกกลับรวมตัวกัน กลับมาเป็นอีกทีหนึ่งค่ะ ? ตอบ : ...(หัวเราะ)... ถ้าไม่รวมจะลำบาก รวมนั้นถูกแล้ว กระจายออกแล้วต้องรวมเข้า รวมเข้าแล้วกระจายออก ให้เห็นชัดให้ได้ว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา อยู่ไปก็มีแต่ความทุกข์ ยังอยากได้ใคร่มีอีกหรือเปล่า ? ให้ถามตัวเองด้วย ถาม : ที่เขาให้ทำวัตรสวดมนต์แล้วให้ท่องพิจารณา ก็เลยรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่เข้าใจค่ะ ? ตอบ : ตอนนั้นเป็นแค่สิ่งที่ จำได้ แต่ตอนนี้เป็นสิ่งที่ ทำได้ ดังนั้น..พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่าหลักธรรมของพระองค์ท่านเป็นปัตจัตตัง คือ ผู้ปฏิบัติถึงจะรู้เห็นด้วยตัวเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2015 เมื่อ 20:40 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
ถาม : วันสุดท้ายของการปฏิบัติหนูนั่งสมาธิ เขาเปิดเสียงหลวงปู่สิม หลวงปู่บอกให้นั่งขัดสมาธิเพชร นั่งไปรู้สึกเจ็บมาก ในใจเลยรู้สึกโกรธหลวงปู่ พอนั่ง ๆ ไปเสียงหลวงปู่บอกว่า “ไม่ตายหรอก อ่อนแอท้อแท้ไปก็ไม่ได้อะไรหรอก” ก็น้ำตาไหลนึกถึงหลวงพ่อมาก เกิดความรู้สึกถึงดวงตรงศูนย์กลางกายชัดขึ้น เหมือนมีตรงกลางแล้วมีคนกระโจนวิ่งใส่กำแพง เหมือนอารมณ์ออกข้างนอกไม่ได้ เขาพยายามจะให้เรายอมแพ้ บอกว่าถ้านั่งไปมาก ๆ เดี๋ยวขาจะแตก เดี๋ยวจะตาย แต่ก็อดทน ยิ่งทำให้เห็นว่าดวงตรงศูนย์เริ่มนิ่งขึ้น แล้วอารมณ์ตรงนั้นไม่ใช่หนู อย่างที่หนูเคยมากราบเรียนเมื่อเดือนก่อนยังไม่ค่อยชัด คราวนี้ชัดมากเลยค่ะ ว่าที่กระโจนออกไปนั่นเป็นความกลัวตาย
ตอบ : กิเลสกำลังหลอก ถาม : ที่ว่าขาจะแตก ก็เหมือนเนื้อตาย ๆ ไม่ใช่ของเรา มีความรู้สึกว่า เหมือนกับอะไรที่เราหลงยึดมาตั้งนานทั้งที่ไม่ใช่ของเรา หนูไม่รู้จะไปต่ออย่างไรดีค่ะ ? ตอบ : ทำแบบนั้นบ่อย ๆ เพื่อให้เห็นให้ชัดว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา แล้วจะยึดถือมั่นหมายไปทำไม ? ก็เอาใจเกาะพระดีกว่า ตอนท้ายให้เอาใจเกาะพระ เพราะอย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน ถ้าเราตายลงไปเพราะการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ เราก็ขอไปอยู่กับพระองค์ท่านที่พระนิพพาน ส่วนหนึ่งที่ดีใจก็คือเราได้เห็นว่า จริง ๆ แล้วความทุกข์ยากลำบากอะไรทั้งปวง เป็นเพราะกิเลสหลอกเราทั้งนั้น ถ้าเราไม่ยอมต่อสู้เราก็จะเสียท่า โดนเขาพาวนหาทางออกไม่ได้ไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้เราสู้ผ่านมาได้เฉพาะครั้งนั้น ได้เห็นแล้วว่ากิเลสเขาหลอกเราอย่างไร ต่อไปก็อย่าไปเสียท่าให้เขาหลอกเราอย่างนั้นได้อีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2015 เมื่อ 20:43 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขับรถอย่าใจร้อน ถ้าใจร้อนนอกจากจะเกิดอุบัติเหตุง่ายแล้ว รถเรายังชำรุดเสียหายง่าย ขับรถอย่างไรที่จะรักษาความเร็วเฉลี่ยให้ได้ สมมติว่าเราไปต่างจังหวัด เหยียบ ๑๔๐-๑๕๐ แล้วก็ไปเบรก กับการที่เราไป ๑๐๐-๑๑๐ แล้วไม่ต้องเบรก อย่างไหนจะดีกว่ากัน ?
ฉะนั้น..การขับรถเราต้องคำนวณล่วงหน้าไปเลย ๓-๔ คัน ว่าเราจะทำอย่างไร จะไปทางไหนจึงรักษาความเร็วเฉลี่ยนี้เอาไว้ได้ อาตมาเคยนั่งรถที่โยมบางท่านขับไป ๑๘๐ แล้วก็เบรกตลอดเวลา อาตมายังบอกว่า นี่ถ้าเปลี่ยนรถคันใหม่คุณเกิดอุบัติเหตุแน่นอน เพราะว่ารถยี่ห้ออื่นไม่ใช่ว่าจะเบรกดีเหมือนกับยี่ห้อที่คุณใช้อยู่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2015 เมื่อ 03:27 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "สังเกตว่าคนรุ่นใหม่ เวลาทำอะไรมักจะถ่ายรูปแล้วก็แชร์ ไม่ว่าจะส่งทางไลน์หรือว่าเฟซบุ๊กก็ตาม ขอถามว่ามีใครไม่เป็นบ้าง ? ...(ยกมือหลายคน)... ถ้าไม่ใช่ตกยุคก็ต้องถือว่าสุดยอด ไม่ต้องไปไหลตามเขา อาตมาไม่ได้ตำหนิว่าคนที่ทำเขาไม่ดี แต่อยากจะถามว่า ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ ? เหนื่อยบ้างไหมที่ทำอย่างนั้น ? ใช่สิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ ไหม ? หรือว่าบ้าเห่อตามเขาไป ความจริงแล้วเราควรจะตั้งคำถามกับตัวเองบ้าง
อาตมาไม่ใช้โทรศัพท์ ไม่มีไลน์ ไม่มีทวิตเตอร์ มีแต่อีเมล์ที่นาน ๆ เปิดดูทีหนึ่ง ชีวิตมีความสุขกว่าเยอะเลย ไม่ต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกเวลาเขาโทรมา ๖ โมงเย็นนั่งทำวัตร เจ้าคุณรองเจ้าคณะจังหวัดโทรมา อาตมาปิดเครื่องเลย เพราะเป็นเวลาทำวัตร บางวันก็เปิดให้ท่านฟังทำวัตรสัก ๑๕ นาที จนท่านโมทนาไม่ไหวต้องตัดสายทิ้งไปเอง เพราะเปลืองเงิน หลังจากนั้นท่านก็จะไม่โทรมาหลัง ๖ โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่อาตมาจะปิดโทรศัพท์อีกเลย ไปเปิดอีกทีก็แปดโมงเช้าโน่น หลายคนต้องสิ้นเปลืองมากมายมหาศาล เพราะต้องการที่จะแสดงให้คนอื่นเขาเห็นในสิ่งที่ตัวเองทำ ต้องไปกินอาหารในร้านดี ๆ แพง ๆ ซึ่งบางทีไม่มีความจำเป็นอย่างนั้น แต่อยากจะอวดรูปคนอื่น จึงยอมจ่ายราคาแพงกว่า อาหารเป็นเครื่องยังชีพ พิจารณาแบบพระเลย นะ มัณฑนายะ นะ วิภูสนายะ ไม่ใช่กินเพื่อประดับ ไม่ใช่กินเพื่อตกแต่ง ถ้าพูดเป็นภาษาไทย ก็คือ ไม่กินอวดร่ำอวดรวยว่าเราไฮโซหรูหรา ถ้าเงินเดือนต่ำติดดินแล้วไปทำตัวอย่างนั้น ลองคิดดูสิว่าเราจะติดลบเท่าไร ? เดี๋ยวก็กลายเป็นหนี้บัตรเครดิต พอเป็นหนี้บัตรใบที่ ๑ ก็ไปออกบัตรที่ ๒ กู้เงินมาโปะใบที่ ๑ ออกใบที่ ๓ กู้เงินมาโปะใบที่ ๒ เดี๋ยวก็หนี้ท่วมหัวล้มละลายไปเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-11-2015 เมื่อ 07:16 |
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
"เพราะฉะนั้น..ทุกคนควรจะถามตัวเราเองสักนิดหนึ่งว่า เราอยากมีชีวิตอย่างนั้นจริง ๆ หรือเปล่า ? หรือว่าแค่บ้าเห่อไหลตามกระแสสังคมไป ? เคยมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ชอบใจชื่อเรื่องมากเลย เขาว่า “หยุดกรุงเทพฯ ที ผมจะลง” คือกรุงเทพฯ ไปเร็วเกินไปแล้ว ทำอย่างไรเราจะใช้ชีวิตให้ช้าลงได้ ก็ต้องมีสันโดษ ยินดีในสิ่งที่ตนมีตนได้ ซึ่งในหลวงทรงสรุปมานานมากแล้วว่า สันโดษไม่ใช่จน นั่นคือการเข้าใจหลักธรรมอย่างแท้จริง
ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังตนที่หาได้ ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน คนมีเงินร้อยล้านพันล้านจะขี่ลัมโบร์กินี่ไม่มีใครว่าหรอก ส่วนเราเงินเดือนขั้นต่ำหมื่นห้า ถ้าไปออกรถบางทีก็สิ้นสติ ก็นั่งรถไฟฟ้านั่งรถเมล์ไปก่อน ปัจจุบันนี้เราซื้อของเพราะว่าตั้งใจจะเสริมฐานะตัวเอง อาตมาเคยเอ่ยถึงเถ้าแก่เหมืองโดโลไมต์ที่กาญจนบุรีมาหลายครั้งแล้ว ท่านซื้อเบนซ์ ๕๐๐ เอสคลาสด้วยเงินสด คันละแปดล้านของสมัยโน้น ปรากฏว่ากินน้ำมัน ๔ กิโลเมตรต่อ ๑ ลิตร มาบอกว่า “อาจารย์...ผมเอารถมาถวายนะ” ถามว่ากินน้ำมันเท่าไร ท่านบอกว่า ๔ กิโลลิตร เลยบอกว่า "เถ้าแก่เอากลับไปเถอะ อาตมาไม่รับหรอก เลี้ยงไม่ไหว" ถามว่า "เถ้าแก่ไม่ใช้แล้วซื้อทำไม ?" ท่านบอกว่าลูกสาวยุให้ซื้อ บอกว่าธุรกิจระดับนี้แล้ว ถ้าไม่มีรถดี ๆ ขี่เดี๋ยวคนเขาไม่ทำธุรกิจด้วย ก็เลยบอกไปว่า “ถ้าคนเขาคบเถ้าแก่เพราะรถ เถ้าแก่อย่าไปคบกับไอ้คนประเภทนั้นเลย” นี่คือลักษณะของการซื้อของที่ไม่จำเป็น ท้ายสุดเถ้าแก่ก็ขี่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2015 เมื่อ 03:41 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
"ฉะนั้น..ชีวิตของคนปัจจุบันโดยเฉพาะในเมือง ไม่ใช่ต่างจังหวัดไกล ๆ แม้กระทั่งต่างจังหวัดปัจจุบันนี้ก็เริ่มเป็น ก็คือทำตัวฟุ่มเฟือยตั้งแต่แรก ต้องบอกว่า รายได้โลโซแต่ทำตัวไฮโซ แล้วจะไปรอดไหม ? เดี๋ยวก็เป็นหนี้เป็นสินรุงรัง พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้ไม่ผิดหรอก อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก เพราะฉะนั้น..ดำเนินชีวิตของเราอย่างไรให้รู้จักประหยัด อดออม แล้วก็มีความมุมานะ ขยัน อดทน ต่อสู้กับงานตรงหน้าของเรา
ส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันเราไปเลียนแบบพวกตะวันตก ก็คือ หนุ่ม ๆ สาว ๆ ออกเที่ยว แล้วรายได้ของเราได้อย่างเขาไหม ? อย่างในยุโรปรายได้เขาชั่วโมงละ ๘ ยูโร ของบ้านเราทำแทบตายทั้งวัน ๓๐๐ บาท แต่ ๘ ยูโรของบ้านเขาซื้อข้าวซื้อปลากินเสร็จสรรพเรียบร้อยยังเหลือเก็บตั้งเกินครึ่ง บ้านเรา ๓๐๐ บาท กินผัดกะเพรา ๒ จานก็หมดแล้ว..! ได้ยินว่าหลายที่ขายจานละ ๑๕๐ บาทไปแล้ว เราเลียนแบบเขาโดยที่ไม่ได้ดูว่าระบบของเราไม่ได้รองรับ ไม่ได้เอื้ออำนวย บ้านเขาทำงานโดนหักภาษีจำนวนมหาศาล ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ๕๕ เปอร์เซ็นต์ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ได้ยินว่าฝรั่งเศสจะหักภาษี ๗๕ เปอร์เซ็นต์..! แต่เขาคืนเป็นสวัสดิการในการรักษาพยาบาล ในการท่องเที่ยว แต่ละปีจะให้ตั๋วเครื่องบินราคาประมาณเท่านี้ คุณจะเที่ยวประเทศไหนเรื่องของคุณ ถ้าคุณไม่ไปถือว่าสละสิทธิ์ คนเขาก็ต้องไปเที่ยว แล้วบ้านเรามีระบบรองรับแบบนี้ไหม ? เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าเราตกงานแล้วจะมีประกันสังคมมาช่วย ? ถ้าเราแก่จะมีรัฐบาลเลี้ยงแบบของเขา ? ในเมื่อไม่มีแล้วไปทำตัวฟุ่มเฟือยแบบเขา เลียนแบบเขาโดยที่ไม่ดูว่าสภาพสังคมเราต่างกัน ก็หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ปัจจุบันนี้เวลาอาตมาเห็นคนแต่งหน้าแต่งตาอย่างหนึ่ง วิ่งตามแฟชั่นอย่างหนึ่ง รู้สึกเหนื่อยแทนเขามาก ถ้าพอจะสนิทกันบ้าง ไม่ใช่คนที่ห่างเหิน รู้ว่าพูดแล้วไม่โกรธก็จะถามว่า "ถามจริง ๆ เถอะต้องแต่งหน้าวันละ ๒ ชั่วโมงนี่เหนื่อยไหม ?" เสร็จแล้วออกไปโชว์เขากี่ชั่วโมง ? เต็มที่ ๖ ชั่วโมงก็ล้างทิ้งอีกแล้ว พรุ่งนี้เสียเวลาแต่งไปอีก ๒ ชั่วโมง เห็นแล้วเหนื่อยแทน รู้สึกว่าทุกข์มากเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2015 เมื่อ 03:46 |
สมาชิก 225 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้บรรดาแม่ชีและเด็กวัด พอเห็นข้าวสารอาหารแห้งนี่ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก..! จนกระทั่งตอนนี้เขายังคัดข้าวสารได้ไม่ถึงครึ่งที่รับบิณฑบาตมาเลย แต่ละคนโวยวายกันว่าปีหน้าห้ามหลวงพ่อเข้ากรรมฐานเด็ดขาด ของมากกว่าเดิม "หลายเท่าตัว" ไม่ใช่มากกว่าเดิม "เป็นเท่าตัว" กุฏิแม่ชีข้างล่างไม่มีที่ให้เดิน กองกันสูงท่วมหัวแน่นไปหมด
คนที่มาช่วยงานส่วนหนึ่งต้องบอกว่ามีน้ำใจมาก แต่ไม่รู้วิธีการทำงาน ในเมื่อไม่รู้วิธีการทำงาน ถึงเวลารับของมาก็เทโครม ๆ ลงไป พวกบรรดาน้ำที่เป็นแก้ว เป็นขวด ทนแรงกระแทกมาก ๆ ไม่ได้ ก็แตกเละเทะไปหมด คนจัดเก็บป่านนี้นั่งร้องไห้น้ำตาเล็ดไปแล้ว ประมาณ ๒-๓ ชั่วโมงแรกที่จบจากการตักบาตรเทโวฯ ทุกคนนั่งงงว่าตูจะทำอย่างไรวะนี่ ? ก็คือของเยอะจนทำอะไรไม่ถูก แม้กระทั่งพระพอรับกฐินเสร็จ พระก็ยืนงง ท่านโน้นเดินวนไปคลำชิ้นโน้น ท่านนี้เดินวนมาคลำชิ้นนี้ ทำอะไรไม่ถูก ท้ายสุดอาตมาต้องบอกว่า ให้เก็บผ้าไตรออกมาก่อน แล้วของจะหายไปครึ่งหนึ่ง ค่อยได้สติเอาผ้าไตรมากอง ๆ รวมกัน น่าจะเกิน ๑,๐๐๐ ไตร ของอื่นถ้าหากเป็นของสดให้แยกเข้าครัว ถ้าเป็นของแห้งก็ส่งเข้าคลัง ถ้าเป็นหนังสือก็เอาเข้าห้องสมุด วัตถุมงคลเอาส่งให้พระอาจารย์ แต่มีบางท่านอมไปเองหลายชิ้น เขาถือว่ามีส่วนร่วมด้วย ในเมื่อมีส่วนในกองกฐิน ชิ้นไหนที่ต้องการก็ไม่รอให้พระอาจารย์อนุญาต อมไปก่อนแล้วค่อยบอกทีหลัง นิสัยอย่างนี้อย่าไปทำที่อื่น เพราะถ้าไปทำที่อื่นแล้วเกิดเขาไม่ยอม จะกลายเป็นขโมยของ จะขาดความเป็นพระไปเสียตั้งแต่แรก ไปนึกถึงในหนังสือการ์ตูนที่ถูกรางวัลที่ ๑ ซื้อของมาเต็มบ้านแล้วจัดไม่ถูก ก็แบบเดียวกันกรณีนี้ ข้าวของบิณฑบาตมาเต็มกุฏิแม่ชี ทำอะไรกันไม่ถูก นั่งงงกันไปพักใหญ่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2015 เมื่อ 03:50 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
"จนทุกวันนี้ก็ยังมีญาติโยมที่ไม่เข้าใจวิธีการตักบาตรเทโว ถึงเวลานึกอยากจะใส่อาหารสดก็ซื้ออาหารสดมา ทั้งข้าว ทั้งแกง ทั้งขนม คราวนี้ของตั้งหลายตันแล้วไปโดนทับอยู่ข้างล่าง ใครจะไปเอาออกมาได้ ? ทั้ง ๆ ที่คนซึ่งรับของจากบาตรพระเขาแยกมาแล้ว แยกว่านี่เป็นของสด นี่เป็นของแห้ง แยกใส่กระสอบโน้นกระสอบนี้ แต่คนเอาลงไม่สนใจ เททับกันไปเลย ต้องการเอารถออกไปรับใหม่อย่างรวดเร็ว ก็เททับพรวดลงไปเลย กองเป็นภูเขาเลากา กว่าจะคุ้ยลงไปถึงข้างล่าง ก็เละเทะหมด
ส่วนอีกประเภทหนึ่งไม่รู้ว่าขี้เกียจหรือมักง่าย คือ คนอื่นเขาเอาข้าวสารแบ่งใส่ถุงเล็ก ๆ จะเป็นถุงซิปหรือถุงพลาสติก เย็บปากมาหรือว่าผูกปากมาก็ได้ แต่พวกนี้เขาเล่นเทข้าวสารใส่ปิ่นโต แล้วก็ตักใส่บาตรทีละทัพพี ๆ แล้วคนเก็บจะเก็บอย่างไร ? ก็มีแต่เม็ดข้าวสารเกลื่อนไปหมด แต่ไม่เป็นไร..เดี๋ยวที่เหลือถ้าหากว่าไม่เสียเพราะน้ำไปก่อน ก็กวาด ๆ รวมกันแล้วหุงเลี้ยงหมาไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2015 เมื่อ 03:53 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
"บางทีความหวังดีของคนเราก็ปฏิเสธไม่ได้ หรือปฏิเสธได้ยากเพราะคนเขาศรัทธา แต่มาช่วยแล้วทำให้งานยากขึ้น ถ้าของสดของเราแยกไว้ส่วนหนึ่ง ถึงเวลาก็สามารถเอาเข้าโรงครัวไปถวายพระได้เลย นี่กลายเป็นว่าต้องมาค้นหาว่าอยู่ตรงไหน แล้วกองเป็นภูเขาอย่างนั้น ใครจะมีอารมณ์ไปค้น ยิ่งค้นก็ยิ่งเละ จึงต้องเก็บดาหน้าไป
ไปยืนดูเขาเก็บกันก็ขำ น้ำปลา..! ก็โยนให้คนนี้ น้ำยาล้างจาน..! ปลากระป๋อง...! นมกล่อง...! แต่ละคนต้องรับผิดชอบของตัวเอง พอถึงเวลาอยู่ตรงหน้าใครก็โยนให้คนรับผิดชอบไป แยกเป็นส่วน ๆ แล้วก็บรรจุใส่กระสอบ เสียดายพวกบรรดาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะถ้าโดนน้ำนี่เสียเลยทั้ง ๆ ที่ใส่ซองอยู่ อาจจะเป็นเพราะว่าซองเขาไม่ได้เจตนาเอามาให้กันน้ำได้นาน ๆ พอถึงเวลาโดนน้ำมาก ๆ ความชื้นเข้าได้ก็เสียหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2015 เมื่อ 03:56 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
"งานตักบาตรเทโวฯ งวดนี้ มีสิ่งที่เห็นอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ญาติโยมหลายคนถอดวัตถุมงคลใส่บาตรมาเลย ตัดใจสละกัน บางรายก็เลี่ยมทองมาเรียบร้อย แล้วก็มีหลายรายถวายเป็นทองคำมา ป่านนี้อาตมาก็ยังไม่มีอารมณ์ไปลงบัญชี วางอีเหละเขละขละไปหมด พอเหนื่อยขึ้นมาก็ทำท่าจะขอสลบก่อน แต่สลบไม่ได้ ทุกอย่างต้องทำกิจวัตรตามปรกติ โน่น...หลังทำวัตรค่ำไปแล้วถึงเป็นเวลาของเรา ต้องมาคัดแยกเงิน ต้องมาเรียงแยกธนบัตร
ไปนึกถึงตอนที่ยังอยู่วัดท่าซุง คาดว่าอีกไม่นานพระวัดท่าขนุนหลายรูปก็จะเกิดอาการเดียวกับอาตมา คือกลัวเงิน เมื่อตอนอยู่วัดท่าซุง พอไปดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ใหม่ ๆ ก็ปรับจากตู้ที่เขามีอยู่ ๖๐-๗๐ ตู้ ปรับเหลือเฉพาะที่หลัก ๆ ๒๒ ตู้เท่านั้น ทำหนังสือยื่นขออนุญาตจากหลวงพ่อวัดท่าซุงปรับอย่างเป็นทางการ ขอเปลี่ยนกุญแจใหม่ทั้งหมดด้วย เพราะว่าเดิมเจ้าหน้าที่เขาดูแลอยู่ บัญชีที่เขาส่ง งานที่ได้มากที่สุดประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาท มั่นใจได้ว่าทุจริตแน่นอน เสร็จสรรพเรียบร้อยพอเข้าไปปรับแก้ไขอะไรเสร็จ ปรากฏว่างานเล็ก ๆ อย่างมาฆบูชา วิสาขบูชา แต่ละงานคนทำบุญมาเป็นแสน ๆ พองานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งแรก อาตมาบอกคุณแอ๊ว (สมถวิล วรสันต์) ที่เป็นสมุห์บัญชีของธนาคารกรุงไทย สาขาอุทัยธานี บอกว่า “แอ๊ว..ช่วยแลกเหรียญบาทให้หน่อย เอา ๗๐,๐๐๐ บาท” คุณแอ๊วเขาก็ว่า “หลวงพี่จะเอาไปทำอะไรเยอะแยะขนาดนั้น ?” “เออน่า..แลกมาเถอะ” “ หนูต้องไปเอาถึงคลังจังหวัดเลยนะ” “จะเอาที่ไหนก็ได้ แต่ไปเอามาเถอะ”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2015 เมื่อ 03:59 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
"ปรากฏว่าเลิกงาน อาตมานับเงินตั้งแต่ก่อน ๕ โมงเย็นไปเสร็จเอาตอนตี ๒ นับอยู่คนเดียว คนอื่นเขาหนีกันหมด ไม่มีใครช่วยหรอก ธนาคารเอากระสอบมาให้เลย บอกว่าใส่กระสอบละ ๔,๐๐๐ เหรียญ ก็ใส่ไว้ ๆ ๓๐๐ กว่ากระสอบ พอรุ่งขึ้นโทรไปบอกคุณแอ๊ว เขาก็เอารถตู้ของธนาคารกรุงไทยมาบรรทุกไป รถหน้าลอยไปเลย เงิน ๓๐๐ กว่าถุง ถุงละ ๔,๐๐๐ เหรียญนี่ทับคนตายเลยนะ ไม่รู้น้ำหนักเท่าไร เพราะว่ายังเป็นเหรียญใหญ่รุ่นเก่าอยู่
ตั้งแต่นั้นมาบอกขอแลกเหรียญเท่าไร คุณแอ๊วเขาไม่เคยเกี่ยงเลย อย่าลืมว่าเราแลกแค่ ๗๐,๐๐๐ บาท แต่เขาได้กลับไปล้านกว่าบาท ที่หมุนเวียนไปได้เพราะว่ามีที่ใส่บาตรวิระทะโยมาเองด้วย แต่ว่าคนที่ไม่มีก็มาขอแลก แล้วพอมาขอแลกอาตมาก็ใช้วิธีว่า ส่วนไหนที่ขอแลกจะแยกแบงค์ออกมา ถ้าเงินไม่พอแลกก็เปิดตู้โกยเหรียญออกมาให้แลกเลย คราวนี้เมื่อเก็บแบงค์แยกขึ้นมา ก็รู้อยู่แล้วว่าโกยออกมาเท่าไร ส่วนนี้แลกปกติ ๗๐,๐๐๐ เหรียญแยกออกมาเลย ส่วนเกินก็คือส่วนที่เราโกยจากตู้มา ลงบัญชีเพิ่มไปได้เลย หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็เข็ดเรื่องเงิน เห็นแล้วหมดอยากโดยประการทั้งปวง กิเลสหมดไปโดยปริยาย วัดท่าขนุนก็น่าจะประมาณนั้น เมื่อวานนี้เพิ่งเคลียร์บัญชีเสร็จ เฉพาะเงินสดที่เดินรับตอนตักบาตรเทโวฯ ไม่ได้เกี่ยวกับท่านอื่นนะ อาตมารับคนเดียวห้าแสนกว่าบาท ใส่มาอะไรจะขนาดนั้น เล่นเอาบรรดาเด็กวัดที่นั่งคัดของบอกว่า “หลวงพ่ออย่าเข้ากรรมฐานอีกเลย พอเข้าทีของเสียขนาดนี้” มีหน้าที่แยกก็แยกไป อย่าบ่น...!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2015 เมื่อ 04:03 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ลูกแก้วที่เอาไปเข้ากรรมฐาน ๓ วันมา ไม่ต้องถามว่าหมดหรือยัง ? เพราะอาตมาก็ไม่มี ไหน ๆ ก็จะเข้ากรรมฐานแล้ว เลยขนวัตถุมงคลเท่าที่พอมีของวัดไปเข้าพิธีหมด แม้กระทั่งของเก่าที่พอจะเหลืออยู่ อย่างเช่น พระไพรีพินาศ พระปิดตาฯ เหรียญหลวงปู่สาย ลูกแก้ว เอาไปเข้าพิธีด้วย เพราะฉะนั้น..ที่เห็นแจก ๆ กันอยู่ตรงนั้นก็คือของที่เอาเข้าพิธีใหม่แล้วทั้งนั้น มีหลายรายรู้ทัน วนแล้ววนอีกรับกันหลายรอบ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-11-2015 เมื่อ 04:04 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ออกจากกรรมฐานมาไม่ใช่นั่งรับเงินอย่างเดียวนะ ต้องจ่ายเงินด้วย พระเขายื่นใบเสนอราคาของระบบประปาใหม่ทั้งวัด จำเป็นต้องเดินใหม่ทั้งวัดเลย เพราะว่าระบบเก่าตอนนี้ไม่สามารถติดตามได้แล้วว่าจากไหนไปไหน เนื่องจากว่าคนทำไม่ได้เขียนแผนที่ไว้ ตอนสร้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย ก็ขุดท่อขาดไป ๒ เส้น
ตอนแรกพระที่ท่านรับผิดชอบ ก็คือ ท่านเบสต์ บอกว่าขอเบิกมัดจำ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ก่อน อาตมาเป็นคนขี้รำคาญ บอกว่า "คุณเอา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปบริหารเองก็แล้วกัน ส่วนการสั่งซื้อ จะโอนก่อน ๒๐ เปอร์เซ็นต์ รับสินค้าแล้วจ่าย ๘๐ เปอร์เซ็นต์หรืออะไร ให้ไปตกลงกันเอง" จะมีถังพักน้ำ แล้วดูดขึ้นแท็งก์ใหญ่จ่ายไปทั่ววัด คราวนี้ส่วนหนึ่งก็จะต่อจากท่อประปาของเทศบาล ส่วนที่ต่อจากท่อประปาของเทศบาลนี่ อาตมาเตือนท่านนักหนาว่าให้ระมัดระวังด้วย ให้มีวาล์วปิดตอนส่งกลับ ไม่อย่างนั้นประปาของเราจะจ่ายเข้าไปทั้งอำเภอเลย เพราะถ้าไม่มีวาล์วตอนส่งกลับแล้วดูดน้ำขึ้นเต็ม พอส่งย้อนก็จะกระจายทั้งอำเภอ ถึงแม้จะพอใช้ก็เถอะ อย่างไรก็ปิดไว้ก่อนดีกว่า เพราะประตูน้ำมีประเภทเข้าทางเดียว ถึงเวลาแล้วลิ้นจะตีกลับ น้ำวิ่งกลับไปไม่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2015 เมื่อ 20:48 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้าฉันอาหารอย่างมีความสุขมาก เพราะว่าออกจากกรรมฐานใหม่ ๆ กลัวว่าร่างกายจะทรยศ ฉันข้าวต้มไปไม่ถึงถ้วย เพราะกลัวว่าถ้าลมตีขึ้นเดี๋ยวหงายท้องตึงอยู่ตรงนั้น เดินขึ้นไปถึงยอดเขาแล้วก็นั่งรอว่าจะเป็นลมไหม...ก็ไม่เป็น มื้อกลางวันว่าก๋วยเตี๋ยวน้ำไปชามหนึ่ง พยายามเคี้ยวลูกชิ้นให้ละเอียดที่สุด พอรุ่งขึ้นก็ฉันจับฉ่ายเป็นหลัก มื้อเพลลองฉันของทั่ว ๆ ไปได้นิดหน่อย แต่ยังเว้นของเผ็ดอยู่ เมื่อเช้านี้ใส่ได้เต็มที่ ท้องว่างหลาย ๆ วันหรือว่าฉันน้อย รู้สึกตัวเบา ๆ มาเมื่อเช้าว่าเสียเต็มพุง แหม...รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย
แต่เผลอไม่ได้นะ ถ้าเผลอแล้วจะหลับแบบขาดสติ ต้องบังคับไว้..ห้ามขาดสติ ต้องอยู่กับการภาวนา เวลาระมัดระวังกลัวกิเลสจะเล่นงาน เราต้องระดมสติ สมาธิ ปัญญา เอาไว้อยู่ตรงหน้า เหมือนกับตั้งการ์ดชกมวย เตรียมต่อสู้ ถ้าหากว่าคู่ต่อสู้ลงมือ เราเองถึงเวลาตั้งท่าจะสู้กับกิเลส ถ้าไม่ใช่สามารถรักษากำลังใจอยู่ได้ทุกอิริยาบถ ก็จะเป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้ารักษากำลังใจได้ทุกอิริยาบถ จะขยับตรงไหนรู้รอบ ถ้าอย่างนั้นถึงจะสู้กิเลสได้ แต่เผลอก็แพ้อีกนะ อย่าไปคิดว่าสู้ได้ ได้เฉพาะตอนนั้น เราไม่รู้ว่าจะเผลออีกเมื่อไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2015 เมื่อ 20:50 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังเก็บของโบราณอยู่ จะเอาเข้าพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน เอาไว้ให้เด็ก ๆ เขาดู จะได้ดูงานฝีมือเก่า ๆ กันบ้าง
เด็ก ๆ จะรู้ไหมว่า หลวงตาลงทุนไปกี่ล้านกว่าจะได้เห็นพิพิธภัณฑ์ ? ถ้าเราไม่มีของพวกนี้ไว้ให้ เขาก็จะไม่มีความภูมิใจในความเป็นไทย หารู้ไม่ว่าฝีมือบรรพบุรุษของเราสู้ได้ทั่วโลก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2015 เมื่อ 20:50 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อเคลือบ วัดหนองกระดี่ อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี ใครจะบนท่านให้บนด้วยกระแช่ สมัยหลวงพ่อเคลือบยังอยู่ ท่านฉันกระแช่เป็นประจำ ถามว่าผิดวินัยไหม ? สำหรับท่านไม่ผิดหรอก แต่ถ้าพระอื่นฉันจะผิด
แบบเดียวกับหลวงพ่อจ้อย วัดบางช้างเหนือ ฉันกระแช่เดินตัวเอียงเชียว พอพระสังฆาธิการที่เขาส่งจากกรุงเทพฯ ไปตรวจ เทออกมาเป็นน้ำชาทั้งนั้น พอฉันน้ำชาเสร็จสรรพเรียบร้อย น้ำชาที่เหลือติดก้นถ้วยกลายเป็นกระแช่หมด พระสังฆาธิการท่านเดินทางกลับเลย เพราะถ้าท่านไม่ทำอย่างนั้น คนจะแห่กันไปกวนท่านจนไม่มีเวลาพักผ่อน ก็ต้องทำตัวเป็นพระเมา ๆ เพี้ยน ๆ แต่คนที่รู้จักของดีจริงก็ไม่สนใจหรอก กูกวนยันเตเลย ก็เลยกลายเป็นว่า พอหลวงพ่อเคลือบท่านมรณภาพแล้วสร้างรูปหล่อไว้ คนไปบนที่รูปหล่อก็ยังขลังเหมือนองค์จริง แต่ว่าต้องแก้บนด้วยกระแช่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2015 เมื่อ 20:52 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ออกจากกรรมฐานใหม่ ๆ พยายามคิดว่าทำไมต้องเสียงแหบด้วย ? คาดว่าน่าจะเป็นเพราะไฟธาตุที่เคยไปสันดาปเพื่อเผาผลาญย่อยอาหาร ไปเผาไขมันมาใช้งานแทน ไขมันส่วนหนึ่งก็เลยแปรเป็นเสมหะพันคอ อีกอย่างก็คืออาจจะฉันน้ำน้อย
เข้ากรรมฐานงวดนี้มีเรื่องตลกอยู่เรื่องหนึ่ง คือพอไม่มีอะไรจะทำก็จินตนาการไปถึงป่าหิมพานต์ เพราะว่าไม่ได้ไปนานเหลือเกิน ปรากฏว่ามีสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง ที่คนไทยเรียกว่า "ทักทอ" ไอ้นี่ตัวอะไรวะ ? เคยได้ยินชื่อนี้ไหม ? ลองไปเสิร์ชกูเกิ้ลดู ทักทอสัตว์หิมพานต์ ก็ยังงง ๆ อยู่ จนท้าวมหาราชท่านบอกว่ารู้จัก "เทาเที่ย" ไหม ? ได้ยินแล้วร้องอ๋อเลย เทาเที่ยเป็นสัตว์ประหลาดที่เกิดจากหัวของ "ชือโหยว" ที่โดน "หวงตี้" ตัดขาด ชือโหยวในสายตาพวกเรานับเป็นฝ่ายมาร หวงตี้เป็นฝ่ายเทพ รบกันเพื่อแย่งชิงแผ่นดินจีน คราวนี้พอตัดศีรษะขาดตกลงไป ตำราเขาบอกว่ากลายเป็นเทาเที่ย เป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายขนาดกลืนกินพยัคฆ์เป็นอาหารได้ เลยสงสัยว่าตัวนี้เป็นตัวอะไร? นี่ถ้าท่านไม่บอกชาตินี้อาตมาก็คงยังไม่รู้เรื่อง เรื่องนอกตำรานี่มีเยอะมากเลย ลองไปเสิร์ชดูจะต้องมีรูปวาดแน่นอน ป่าหิมพานต์อยู่ชายขอบของชั้นจาตุมหาราช ต้องบอกว่าบรรดาสัตว์ที่อยู่ที่นั่นเป็นสัตว์กึ่งทิพย์ กึ่งเดรัจฉานกึ่งเทวดา กลายร่างเป็นคนได้ อยากจะเห็นพิลึกพิสดารแค่ไหนเขาแปลงตัวให้ดูได้ อาตมาโตแล้วก็เลยไม่ได้ไปเสียนาน คราวนี้พอเวลามีมากเลยแวะไป แวะไปเห็นไอ้นี่ตัวอะไรหว่า ? ปรากฏว่าเป็นทักทอสัตว์หิมพานต์ ความรู้พวกนี้อย่าเพิ่งถือเป็นสิ้นสุดนะ เพราะว่าอาตมาอาจจะจินตนาการบรรเจิดไปเองก็ได้ เอาที่อ้างอิงได้ตามหลักวิชาการไว้ก่อน ภาษาจีนกลางเรียกเทาเที่ย คนไทยเรียกทักทอ คือคนจะไปเข้าใจว่าเป็นคชสีห์ แต่ไม่ใช่ คนจีนก็วาดแบบจีน คนไทยก็วาดแบบไทย ไปคนละทิศคนละทางเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2015 เมื่อ 20:55 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|