|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อครู่ได้ปรารภว่า คนเรารักตัวเองจริง ๆ อาตมาแค่โดนกาวติดมือนิดเดียว ก็เกิดความรู้สึกว่า "ไอ้นี่ไม่ใช่ของกู" ต้องเอาออกให้ได้ แล้วถ้าเผลอเมื่อไรก็จะกลายเป็น "มือนี่เป็นของกู กาวมาติดมือกู" ฉะนั้น...โปรดระมัดระวังให้ดี สติสัมปชัญญะไม่ทันเมื่อไร จะเสร็จกิเลสทุกครั้ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2016 เมื่อ 20:11 |
สมาชิก 240 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครสิ้นสติไปซื้อลูกเทพมาบ้าง ? หรือมีใครไปซื้อ Adidas มาแล้ว ? จะได้โดนเขาเหยียบตาย รองเท้าทั้งร้านมี ๕๑ คู่ ไปกันเกือบพันคน รองเท้าคู่หนึ่งก็ ๖,๙๙๐ บาท คนที่ไปซื้อแต่ละคนหน้าตาก็ยังขอเงินพ่อแม่ใช้ทั้งนั้น
ทำอย่างไรจะให้บ้านเราเลี้ยงลูกแบบฝรั่งบ้าง ครอบครัวฝรั่งที่มีฐานะหน่อย จะกำหนดเงินค่าขนมรายอาทิตย์ให้ลูก ซึ่งไม่ได้มากเลย ถ้าต้องการอะไรพิเศษมากกว่านี้ก็ให้หาเงินเอง เช่น ทำขนมขาย ทำน้ำขาย รับจ้างเป็นพี่เลี้ยงเด็ก รับจ้างตัดหญ้า รับจ้างทาสีรั้ว ของบ้านเรานี่แบมือขออย่างเดียว ถ้าไม่ได้ก็ลงไปนอนดิ้นที่สี่แยกอีกต่างหาก ถ้าเป็นอาตมาจะปล่อยให้สิบล้อทับไปเลย..! บ้านเราเลี้ยงลูกเป็นไข่ในหิน เป็นการเลี้ยงลูกผิดทาง ลืมไปว่าตัวเราเองจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าลูกทำอะไรไม่เป็นด้วยตนเอง ถึงเวลาเราตายแล้วลูกจะลำบากมาก ฝรั่งนี่พอลูกเริ่มเดินได้ จะไม่มีการอุ้มแล้ว ปล่อยให้เดินตามอย่างเดียวเลย เด็กยืนร้องไห้ก็ปล่อยให้ยืนร้องอยู่ตรงนั้นแหละ พ่อแม่เดินไปเรื่อย พอเด็กเห็นไปไกลก็ต้องวิ่งตามเอง เวลาเด็กหยิบช้อนเล่นก็ส่งจานให้ตักใส่ปากเอง จะละเลงเละเทะอย่างไรก็ไม่ว่า พอเก็บล้างเรียบร้อย ถ้าไม่ถึงมื้ออาหารก็ไม่มีให้กินอีก เด็กเจอไปสองมื้อก็รู้แล้วว่าถ้าไม่กินก็คือหิว จึงต้องตักใส่ปากเอง ส่วนบ้านเราจะสิบขวบแล้วยังต้องไล่ป้อนอยู่เลย แล้วก็มานั่งโอดโอยว่าลูกไม่ยอมกินข้าว ปล่อยให้อดสักสองวันดูสิจะกินไหม ? รักลูกให้ถูกทางด้วย ไม่อย่างนั้นจะเป็นพ่อแม่รังแกลูก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-02-2016 เมื่อ 12:11 |
สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านใครไม่มีโอ่ง ไม่มีแท็งค์ ให้เตรียมไว้เพื่อตุนน้ำบ้าง เผื่อเอาไว้ ถ้าน้ำประปาขาดแคลนจะได้มีใช้ ได้แต่หวังว่าเทวดาจะสงเคราะห์ให้ฝนตกที่กาญจนบุรี โดยเฉพาะทองผาภูมิแถวเหนือเขื่อนให้มากขึ้น
ตอนนี้กรุงเทพฯ ใช้น้ำจากเขื่อนวชิราลงกรณและเขื่อนศรีนครินทร์ มีคลองส่งน้ำวิ่งตรงเข้ามาโรงกรองน้ำธนบุรี โรงกรองน้ำสามเสนใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งปีนี้คุณภาพน้ำนอกจากจะแย่แล้ว ปริมาณน้ำยังน้อยอีกต่างหาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2016 เมื่อ 20:15 |
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของลูกเทพเกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ คนเราไม่รู้ว่าจะพึ่งอะไร ในเมื่อไม่รู้ว่าจะพึ่งอะไร พอเห็นเขามีก็เห่อตามกระแส อย่างที่สองก็คือ อุ้มไปไหนได้ไม่ต้องอายใคร ถ้าอยู่ ๆ เกิดเราจะอุ้มกุมารทอง คนเขาก็มองแปลก ๆ ว่าไอ้นี่เล่นของหรือเปล่า...ใช่ไหม ? คราวนี้พออุ้มลูกเทพไปก็กลายเป็นว่า สังคมเขาก็ยังเห็นว่าเป็นตุ๊กตา ไม่ต้องไปอับอายขายหน้าใคร
ประการต่อไปก็คือเป็นกระแส เราจะเห็นว่าบ้านเราอะไรที่มาเร็วก็ไปเร็ว คนที่ขยับตัวก่อนก็มักจะรวย คนที่เหลือก็ซวยไป ขยับไม่ทันใคร ตามกระแสไม่ทันก็ตกยุคไป ความจริงรัฐบาลน่าจะสนับสนุน เพราะว่าถ้าทั้งประเทศซื้อลูกเทพไปคนละตัว เศรษฐกิจคงดีขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ อย่างน้อย ๆ ตัวหนึ่งก็ ๓๐๐-๔๐๐ บาท ออกประกาศนียบัตรให้เลย ใครเลี้ยงลูกเทพได้ดีกว่ากัน แต่ส่วนที่น่าเสียดายก็คือ แทนที่จะพึ่งพระก็กลายเป็นพึ่งผี แม้ว่าจะเอาไปให้พระสงฆ์องค์เจ้าท่านลงคาถา ลงเลข ลงยันต์อะไรให้ก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยได้นึกถึงพระหรอก ไปคิดถึงลูกผีอยู่นั่นแหละ ในเมื่อเป็นดังนี้ ส่วนของกำลังใจที่จะเกาะความดีจะมีน้อยลง อีกส่วนหนึ่งก็คือเป็นความงมงาย เชื่อถือกันไร้เหตุไร้ผล พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าใครอยากรวยต้องประกอบด้วยหัวใจเศรษฐี ก็คือ อุอากะสะ อุมาจากคำว่า อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร อา มาจาก อารักขสัมปทา รู้จักเก็บงำทรัพย์สิน รู้จักอดออม รู้จักประหยัด กะ มาจาก กัลยาณมิตตา คบแต่เพื่อนที่ดี ไม่คบพวกที่ชวนไปทางเสียหาย ไม่คบพวกที่ดื่มสุราติดยาเสพติด และ สะ ก็คือ สมชีวิตา ดำเนินชีวิตพอเหมาะพอสมควรฐานะ ไม่ฟุ้งเฟ้อจนเกินไป มีเงินเดือนนิดเดียวไปพกบัตรเครดิตเสีย ๔-๕ ใบก็เตรียมเจ๊ง หมุนเงินไม่ทันหรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2016 เมื่อ 20:24 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
"ในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดแล้วว่า ถ้าอยากรวยต้องทำแบบนี้ แต่สมัยนี้เขาไปเปลี่ยนใหม่ กลายเป็นอยากรวยต้องบูชาลูกเทพ เล่นเอาคนอื่นประสาทหลอนไปตาม ๆ กัน อยู่ ๆ ก็นั่งคุยอยู่คนเดียว ถ้าใครอยากรู้ว่าสนุกแค่ไหน ไปหาคลิปลูกเทพคุยกับเท็ดดี้แบร์ เอามาดูหน่อยสิ จะได้รู้ว่าเขาแซวได้เจ็บแค่ไหน ลูกเทพบอกว่า “วันก่อนหม่ามี้พาไปกินอาหาร” เท็ดดี้แบร์ถามว่า “อร่อยไหม ?” “อร่อยกับผีอะไร ได้แต่นั่งดูเฉย ๆ”
แล้วในส่วนที่อันตราย ก็คือ บางคนอกุศลกรรมแทรก มีพวกกาลกัญจิกอสุรกาย หรือมหิทธิกาเปรต หรือสัมภเวสีมาแทรกมาสิงเข้า คราวนี้ก็เป็นเรื่องเลย ถ้าหากว่าบารมียังถึง เอาอยู่ก็แล้วไป ถ้าไม่อยู่คราวนี้ให้ร้าย ได้บ้านแตกสาแหรกขาดกันบ้าง แต่บ้านเรากระแสพวกนี้มาเร็วไปเร็ว ใครขายไวก็รวย ใครขายช้าก็เตรียมเจ๊งได้ ไม่นานก็กระแสตก เห็นมีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านประกาศ วิชานี้ไม่ห้ามลูกเทพ เพราะอาจารย์เปิดกว้าง แต่ถ้าลูกเทพมาเข้าชั้นเรียนก็ต้องเรียนด้วย ต้องทำงานวิจัยส่งด้วย ถึงเวลาอาจารย์สั่งให้แก้งาน ก็ต้องแก้ด้วย อาจารย์เปิดกว้างจริง ๆ เลย เท่ากับบอกว่าอย่าเอามานั่นเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-02-2016 เมื่อ 21:11 |
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อพระวัดท่าขนุน ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ อาตมาเองแทบจะไม่มีเวลาไปดูไปแล ได้แต่สั่งงานพระทางวัดเอาไว้ เพราะว่าวันที่ ๓-๑๙ กุมภาพันธ์ ต้องสอบพระอุปัชฌาย์ ๔ รอบด้วยกัน ไม่มีโอกาสไปไหนเลย
งานนี้เจ้าภาพใหญ่ คือ พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม หรือหลวงพี่มหาเอของพวกเรา ท่านถวายปัจจัยมาแล้วล้านกว่าบาท พวกเราที่ทำมาก็ร่วมบุญกับท่านไปแล้วกัน เป็นเจ้าภาพร่วมกัน อาตมาเอาลงกองกลางหมด ตอนนี้ส่งฎีกานิมนต์พระไปหลายรูปแล้ว แต่บางท่านก็ติดงาน โทรแจ้งมาแล้วเหมือนกันว่ามาไม่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2016 เมื่อ 20:27 |
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "บางทีอาตมาก็คิดว่าตัวเองเพี้ยนหรือเปล่า ? ของที่คนอื่นเห็นว่าสวย ก็ไม่ได้รู้สึกอยากได้ใคร่ดีอะไร แม้กระทั่งอาหารการกิน ญาติโยมเอานั่นมาถวาย เอานี่มาถวาย อย่างนั้นก็อร่อย อย่างนี้ก็อร่อย ฉันเข้าไปแล้วไม่เคยนึกอยากฉันซ้ำเลย สงสัยว่าจะตายด้านแล้ว..!
โยมหลายคนจะสังเกตว่าอาตมาฉันอาหารเร็ว ที่ฉันเร็วเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกคือ โดนฝึกมาจากสมัยที่เรียนทหาร ทุกอย่างต้องเสร็จภายใน ๓ นาที จึงติดเป็นความเร็วมา อีกประการหนึ่งคือ ไม่รู้สึกว่ามีอะไรอร่อยพอให้ไปนั่งละเลียด ก็เลยกลายเป็นฉันเร็ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-02-2016 เมื่อ 03:03 |
สมาชิก 237 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
ถาม : (เป็นนิ่ว)
ตอบ : อย่าไปผ่า แค่เสียค่าสับปะรดไม่กี่สตางค์ หมอเขาบอกว่าให้กินสับปะรดสักอาทิตย์ละครั้ง จะได้ละลายนิ่วได้ ส่วนใหญ่พวกนิ่วเกิดจากกินน้ำน้อย พอกินน้ำน้อยก็เลยตกตะกอนง่าย เอาสับปะรดลูกใหญ่ ๆ เลย นางแลลูกเล็กไป...ไม่สะใจ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-02-2016 เมื่อ 16:59 |
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
ถาม : หลานเขาบอกว่า อยากได้ลูก แต่ลูกเขาแท้งไป ?
ตอบ : บอกเขาว่า พอรู้ตัวว่าท้องให้เลิกเล่นอะไรที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทั้งหมด เพราะนั่นแหละ..ตัวทำให้แท้ง เท่ากับเขายืนอยู่หน้าจอที่แผ่รังสีอยู่ตลอด ไปบอกเขาว่ายังสาวอยู่ ผลิตใหม่ได้ เพียงแต่รู้ตัวว่าท้องก็ให้เลิกเล่นคอมพิวเตอร์ทุกประเภท จะจอใหญ่จอเล็กให้เลิกเล่นไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-02-2016 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
ถาม : ท่านเคยบอกว่ากิเลสเป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าเราไม่ไปปรุงแต่งต่อกิเลสก็ไม่เกิด ทีนี้พอเรามีสติว่ามีกิเลส กิเลสก็หายไปแล้ว ตอนนั้นเราไปนั่งมองไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้ามีสติพอ กิเลสจะเกิดไม่ได้เลย แต่คราวนี้สติไม่พอ เราก็เลยทำให้กิเลสเกิด อย่างนี่คือปากกา ถ้าคิดว่า...วันนั้นคนข้างบ้านไม่ดีกับเรา เขียนไปด่าเขาหน่อย โทสะก็เกิด หนุ่มคนนั้นหล่อดี เขียนไปขอเบอร์เขาหน่อย ราคะก็เกิด ฉะนั้น...อยู่ที่ใจเราไปปรุงแต่งต่อ ถ้าสติของเราเพียงพอ เราไม่ไปสร้างเหตุ กิเลสเกิดไม่ได้เลย แล้วเราจะไปดูอะไรเล่า ? ถาม : การพิจารณานี่ลงที่อารมณ์ร่างกายเท่านั้นใช่ไหมคะ ? ตอบ : ท้ายสุดเราไม่เอาอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกิเลส จะเป็นร่างกาย จะเป็นอะไรก็ตาม เราไม่เอาแล้ว ปล่อยวางภาระทั้งหมด ยังอยู่ก็สักแต่ทำหน้าที่ไป พ้นเมื่อไรก็ไม่เกี่ยวกันแล้ว ทำตามหน้าที่ของเราให้ดี ทำแบบคนที่มีวันนี้วันเดียว ในเมื่อมีวันนี้วันเดียวก็ทำหน้าที่ให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่ขี้เกียจนะ ถ้าขี้เกียจแปลว่าไปผิดทาง ถาม : เรามองเห็นว่าชีวิตเหมือนเป็นแค่ความฝัน แล้วก็วูบไป ก็ไม่รู้สึกอะไรกับการที่จะต้องทำทางโลกให้เจริญขึ้น ? ตอบ : แสดงว่าไปผิดทางแล้ว ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด ในเมื่อเรามีวันนี้วันเดียว ยิ่งเวลามีน้อยเท่าไรก็ยิ่งต้องทำให้ดีเท่านั้น ถาม : พอเราคิดว่าดีแค่ไหนเดี๋ยวก็สลาย ไม่เหลืออยู่ดี ? ตอบ : อย่างน้อย ๆ คนอื่นเขาเห็น ทำเพื่อตัวอยู่ได้แค่ชั่วสิ้นลม ถ้าทำเพื่อสังคมอยู่ได้นิจนิรันดร์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 03-02-2016 เมื่อ 06:41 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเลี้ยงลูกเทพบ้าง ? เห็นวันก่อนมีคนรับจ้างฆ่าลูกเทพพร้อมทำลายซาก..! สังคมเราไปไกลนะ ส่วนใหญ่บ้านเราจะเป็นไปตามกระแส วูบ ๆ วาบ ๆ ต้องบอกว่าเป็นสีสันของชีวิต แต่อย่าถึงขนาดสิ้นสติ ไหลตามเขาไปมากนักก็แล้วกัน
ถ้าพวกเราเคยสวดมนต์ไหว้พระ ซึ่งจะมีคำสวดว่า นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง แปลว่า ที่พึ่งอื่นใดของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุดของข้าพเจ้า ไม่ใช่เอาลูกเทพเป็นที่พึ่ง ต้องเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นหลัก อย่างอื่นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2016 เมื่อ 02:18 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
"ถ้าจะเลี้ยงลูกเทพเพื่อช่วยให้รวย อาตมายืนยันว่าภาวนาพระคาถาเงินล้านดีกว่า เพราะว่าการเลี้ยงลูกเทพยังไม่แน่ว่าเราจะได้ทำอะไรที่เป็นเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่การภาวนาพระคาถาเงินล้าน อย่างไรเสียเราก็ได้อานิสงส์ของการภาวนาแน่ ในเมื่อได้ในส่วนของการภาวนาแน่ ในส่วนความดีที่เราได้ทำ จึงเป็นความดีที่สูงมากด้วย เพราะเป็นส่วนของสมาธิภาวนา พอถึงเวลาผลตอบแทนพิเศษมีขึ้นมา ก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้ หรือไม่ก็ภาวนาตั้งใจทำมาหากิน ถึงเหนื่อยหน่อยก็ยอม
คนภาวนาพระคาถาเงินล้าน ถ้าทำงานนี่เหนื่อยปางตายเลยนะ งานจะไหลมาเทมา ทุกวันนี้อาตมายุพี่ชายตัวเองไม่ขึ้น เพราะว่าพี่ก้องเกียรติภาวนาแค่วันละ ๙ จบ ถามว่าทำไมไม่เอาให้เยอะหน่อย ? “โอ๊ย...แค่นี้ก็จะเหนื่อยตายแล้ว งานไหลมาจนกระทั่งรับไม่ไหว” แต่ละคนเขาทำบุญมาไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ต่างกันไป อาตมาเองอาจจะนั่งอยู่ตรงนี้แล้วเงินทองไหลมาเทมา แต่ญาติโยมอาจจะงานเพิ่มเยอะขึ้น วันก่อนมีโยมท่านหนึ่งมารายงานว่า มาร่วมงานสวดพระคาถาเงินล้าน เสร็จแล้วกลับไปปรากฏว่า งานที่เงียบ ๆ มา ๕-๖ เดือน ไหลพรวดพราดมา เซ็นสัญญากันแทบไม่ทัน อาจจะเป็นเพราะคนเขามัวแต่ศึกษาอยู่ว่าจะจ้างบริษัทไหนก็ได้ แล้วบังเอิญพอดีสวดพระคาถาเสร็จ เขาตัดสินใจว่าจะเอาบริษัทนี้ ก็พอดีได้งานเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2016 เมื่อ 02:22 |
สมาชิก 225 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ทางด้านเจ้าคณะภาค ๑๔ ออกมติคณะสงฆ์มา มีอยู่ข้อหนึ่งก็คือ ต้องบวชสามเณรภาคฤดูร้อนทุกตำบล เพราะฉะนั้น...ถ้าอาตมาสอบพระอุปัชฌาย์ได้ ก็จะบวชปีละ ๒ รอบแล้วกัน รอบหนึ่งบวชเณร รอบหนึ่งบวชพระ ส่วนบวชฟรีปีละ ๔ ครั้งก็ยังบวชเหมือนเดิม แต่อาจจะเหลือ ๓ ครั้ง ก็คือให้ท่านอื่นช่วยบวชให้ ช่วงมาฆบูชา วิสาขบูชา และลอยกระทง ส่วนบวชเข้าพรรษาอาตมาจะบวชเองตั้งแต่มิถุนายน หรือจะเอาตั้งแต่พฤษภาคม ? คงตายกันพอดี...!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2016 เมื่อ 02:23 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
"อาตมาไปเป็นนาคอยู่ที่วัดตั้งแต่เดือนเมษายน จำได้ว่าลากลับไปเยี่ยมบ้านครั้งแรกประมาณหลังกฐิน (เดือนพฤศจิกายน) ก็ราว ๆ ๘ เดือน ปรากฏว่ากลับบ้านไปอยู่ได้ไม่ถึง ๑๕ นาที ความรู้สึกบอกชัด ๆ เลยว่า “บ้านนี้ไม่ใช่ของเราแล้ว” อยู่บ้านไม่ได้ รู้สึกว่าบ้านร้อน ก็เลยต้องหนีไปอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันที่วัดเทพศิรินทราวาส แล้วจากวันนั้นจนวันนี้ ก็ไม่คิดที่จะไปบ้านอีกเลย ๓๐ ปีพอดี
มีใครคิดถึงบ้านบ้างไหม ? พอรู้สึกว่าบ้านไม่ใช่ของเราแล้ว อาตมาก็ตัดใจเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ไปอีก มีทางพี่ชายใหญ่ที่อยู่ต่างจังหวัด นิมนต์ไปงานตรุษจีนรวมญาติ ไปให้เขา ๒ ปี ปีที่ ๓ ก็ไม่ไปอีก เพราะว่าไปแล้วเขามักจะถวายเงินแต๊ะเอียมา ดูเหมือนอย่างกับอาตมาตั้งใจไปเอาเงิน ในเมื่อรู้สึกว่าถ้าไปอย่างนั้นแล้ว อาจจะมีบางคนคิดในแง่ไม่ดี ทำให้เป็นโทษแก่เขาเอง ก็เลยไม่ไปอีก เป็นอันว่าตัดญาติขาดมิตร ใครอยากเจอให้ไปวัดเอง ไปวัดแล้วก็ไม่ค่อยจะเจอเสียด้วย ทุกวันนี้เวลาญาติโยมบางท่านมาปรึกษา ว่าอยากจะย้ายงานกลับไปทำงานที่บ้านตัวเอง หมายความว่าย้ายกลับบ้านเกิด จะเป็นในจังหวัด ในอำเภอ ในตำบล หรือในหมู่บ้านยิ่งดี อาตมาจะรู้สึกว่าแล้วจะไปให้ยุ่งยากทำไมวะ ? ในความรู้สึกของพระจะรู้สึกว่าการที่ญาติเยอะเป็นภาระ แต่ญาติโยมหลายท่านก็มักจะมาขอปรึกษาบ้าง บ่นเลยบ้าง เรื่องขอย้ายกลับบ้าน สงสัยว่าอาตมาจะเป็นคนที่คบไม่ได้ ขนาดญาติยังไม่เอาเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2016 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้แม่ชีกุลภรณ์ แก้ววิลัยของวัดท่าขนุนจบปริญญาเอกแล้ว เป็นอันว่าทองผาภูมิมีด็อกเตอร์เพิ่มขึ้นมาอีก ๑ คน กว่าจะจบได้ก็น้ำตาเล็ดเหมือนกัน จริง ๆ แล้วการเรียนระดับนี้เราต้องมีเวลาเต็มเลย ถ้ามีเวลาไม่พอ ทำงานอื่นไปเรียนไปนี่จะสาหัสมาก ดังนั้น...อย่างที่ท่านหนึ่ง (พระจิตศิลป์ เหมรํสี) เรียนอยู่ก็ถือว่าคิดถูก คือยังเป็นพระใหม่อยู่ก็ขอเรียนเลย อาตมาส่งไปเรียนผ่านไปหนึ่งเทอม น้ำหนักท่านหายไปเกิน ๒๐ กิโลกรัม ครั้นจะบอกว่าเรียนยาก อาตมาก็จบมาแล้ว จะกลายเป็นว่า "อวย" ว่าตัวเองเก่ง ก็เลยบอกให้ไปลองดูแล้วกัน เพราะฉะนั้น...เสี่ยตือควรที่จะไปเรียนบ้าง เทอมละ ๒๐ กิโลกรัมโดยไม่ต้องเสียเงินไปลดเลย
ท่านอธิการบดีของ มจร. จบปริญญาเอกมาโดยเกรด O (Outstanding) ก็คือเกินกว่าที่มหาวิทยาลัยจะให้เกรดได้ ท่านก็เลยอยากจะให้พวกเราได้อย่างนั้นบ้าง เล่นเอานิสิตปริญญาเอกนี่ปางตายเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2016 เมื่อ 02:29 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
ถาม : วันก่อนผมกับน้องผมเจอเวมาณิกเปรต ที่เป็นเปรตครึ่งหนึ่งกับเทวดาครับ ที่ผมเห็นด้วยตาเห็น เขาหน้าตา.....เป็นไปได้ด้วยหรือครับ เหมือนว่าเขาอยากได้อีก ?
ตอบ : ใครที่อยู่ที่ลำบากก็อยากได้มาก เป็นเรื่องปกติ ถาม : ตอนที่เป็นเทวดายังมีกลิ่นสาป ๆ เหมือนเปรต ? ตอบ : ตอนที่เป็นเทวดาก็ยังคงเป็นสภาพเปรตอยู่ครึ่งหนึ่ง ถาม : ก็คือกลายเป็นเทวดาแต่กลิ่นสาปก็ยังเหมือนเปรตหรือครับ ? ตอบ : เรื่องปกติ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะแยกออกได้อย่างไร ว่าใครเป็นเทวดาแท้ ใครเป็นเวมาณิกเปรต ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2016 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางด้านสมศ. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ไปตรวจมาตรฐานการศึกษาโรงเรียนอนุบาลทองผาภูมิ ที่อาตมาเป็นคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่ เขาก็ไปตำหนิว่าภาษาอังกฤษได้แค่ ๖ จะต้องแก้ไข วิชานั้นได้เท่านี้ วิชานี้ได้เท่านี้ ใช้ไม่ได้
อาตมาก็เลยบอกว่า "ขออนุญาตถามคณะกรรมการหน่อยว่า มาตรฐานที่เอามาตรวจสอบนี่เป็นมาตรฐานของใคร ?" เขาบอกว่ามาตรฐานของสมศ. “สมศ.เอามาตรฐานของเด็กกรุงเทพฯ มาวัดเด็กทองผาภูมิใช่ไหม ? สมศ.ยอมรับหรือเปล่าว่ามาตรฐานที่กำหนดมาก็มาจากตำราฝรั่ง ลอกเขามา ลองเอาเด็กกรุงเทพฯ มาพูดภาษามอญแข่งกับเด็กทองผาภูมิดูสิ..! ทำไมต้องให้พูดภาษาอังกฤษ ? ในเมื่อที่นี่เขาถนัดภาษามอญ เอาเด็กกรุงเทพฯ โรงเรียนไหนก็ได้ จะเป็นสวนกุหลาบ เทพศิรินทร์ หรือเซนต์โยเซฟฯ อะไรก็ได้ เอามาโยนเข้าป่าไปพร้อม ๆ กัน ดูว่าเด็กใครจะอดตายก่อน..! ตกลงว่าคุณเอามาตรฐานอะไรมาวัดเด็กของอาตมา ? ได้ดูบริบทสิ่งแวดล้อมหรือสภาพพื้นฐานความเป็นจริงของเขาหรือเปล่า ? ถ้าหากว่าคุณต้องการเข้าสู่ AEC ต้องการความเป็นนานาชาติ ของอาตมามีเด็กมอญ มีเด็กทวาย มีเด็กพม่า มีเด็กกะเหรี่ยง เด็กในกรุงเทพฯ ของคุณพูดได้กี่ภาษา ?” เล่นเอากรรมการนั่งเซ็งไปตาม ๆ กัน "จำไว้ว่าอย่าเอามาตรฐานโง่ ๆ ของพวกคุณมาวัด แต่ว่าควรที่จะทำอย่างไรในการยกมาตรฐานของเด็กให้ดีขึ้น โดยที่เขาสามารถเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้ ไม่ใช่ว่ามาตรฐานเกณฑ์วิชาสายวิทยาศาสตร์สูงลิบเลย แต่พอให้เด็กไปหุงข้าว เด็กหุงข้าวไม่เป็น คณิตศาสตร์ทำได้เกรด ๔ ทุกคนเลย แต่ถึงเวลาปล่อยเข้าป่าไป หากินไม่เป็น..อดตาย แล้ววิชาพวกนี้ช่วยอะไรเราได้ ?" ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโดนอาตมาด่าไปแล้ว หูตาจะสว่างขึ้นบ้างหรือเปล่า ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 03:48 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
"การสอนเด็กของบ้านเรา มีแค่ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ครูสามารถปรับให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเขาได้ ทางด้านแม่สอด จังหวัดตาก ครูพาเด็กไปเดินท่อม ๆ ในป่า เก็บผักที่กินได้ เก็บผลไม้ที่กินได้ เก็บข้าวของอะไรที่กินได้ใช้ได้มา เสร็จแล้วก็เอามานับกันว่าของเธอได้กี่ชิ้น ? ของฉันได้กี่ชิ้น ? เธอได้มากกว่าเท่าไร ? เธอได้น้อยกว่าเท่าไร ? ก็เท่ากับสอนเด็กให้บวกลบคูณหารนั่นเอง เสร็จแล้วเด็ก ๆ ๘ คนนี้รวมกันได้เท่าไร ? กลุ่มนี้ได้เท่าไร ? กลุ่มนี้มากกว่าหรือน้อยกว่า ? เท่ากับสอนคณิตศาสตร์ในชีวิตจริง
ข้าวของที่เก็บมาเด็กก็กินได้ เข้าป่าอย่างไรก็ไม่อดตาย เพราะหากินเป็น ถ้าลักษณะนั้นถึงคำนึงถึงบริบทในการดำเนินชีวิตของเด็ก ๆ ถึงเวลาพาไปลงนา ไปดำนา ไปหาปลา ไปขุดปู คราวนี้ก็สอนไปสิ จะเสริมสร้างลักษณะนิสัย หรือว่าศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอะไรก็ว่าไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 03:49 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
"ต้องให้เด็กเขามีภูมิคุ้มกัน ก็คือหัดขัดใจเขาบ้าง อย่าให้เขาคิดว่าอาละวาดแล้วจะได้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็จะแขวนคอตายอย่างที่มีข่าว เพราะว่าท่านที่แขวนคอตายไปนั้น ในชีวิตอยากได้อะไรก็ได้หมด ราบรื่นมาทุกอย่าง อยู่ ๆ ชีวิตพลิกผันจากฟ้าเป็นเหว รับไม่ได้...เพราะภูมิคุ้มกันไม่มี คราวนี้ภูมิคุ้มกันไม่มีไม่ว่า ยังไม่เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมอีก ก็ได้แต่คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็คิดไม่ตก
เพราะฉะนั้น...หัดขัดใจเด็กเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าอาละวาดก็แจกไม้เรียวให้บ้าง จำไว้ว่าไม้เรียวศักดิ์สิทธิ์เสมอ รุ่นนี้ไม่ได้เรียนกระมัง ? ‘ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ย ไม้เรียวเจียวเหวย กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว ฯลฯ’ คงไม่เคยโดนหรอก เพราะตำราไม่ได้บอกไว้ ตำราของอาตมาบอกไว้ เลยโดนครูตี...!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-02-2016 เมื่อ 17:01 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมคนหนึ่งชื่อป้าปราณี ศุภภักดี รู้จักกันตั้งแต่ตอนก่อนอาตมาจะบวช ตอนนั้นอาตมาเรียกแกเป็นป้า เมื่อ ๒-๓ วันก่อนแกมาหา อายุ ๙๒ ปีแล้ว แข็งแรงมากเลย แกตามไปที่วัด บอกว่ารู้ว่าอยู่แถว ๆ นี้ แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน ก็ตามหาจนเจอ ที่ขำก็คือคนขับรถอายุ ๗๐ กว่าปี ส่วนตัวของป้าเอง ๙๐ กว่าปี ตามไปจนเจอ เขาบอกว่าอย่างไรรู้ไหม ? “ลาแล้วลาเลยนะ ไม่รู้จะได้เจอกันอีกหรือเปล่า ?” อายุ ๙๐ กว่าแล้ว แต่แข็งแรงนะ เดินไปเดินมาคนเดียวตัวปลิวเลย ประเภทสร้างบาปมาน้อย บุญก็รักษา ส่วนอาตมาประเภทสร้างบาปมาทุกชาติ พอถึงเวลากรรมจึงตามเล่นงาน
สำคัญที่ว่าเราต้องยอมรับว่าเราทำไว้ เราถึงได้รับ ในเมื่อเราทำไว้ เราถึงเป็นอย่างนี้ เขาเปิดโอกาสให้เราได้สร้างบุญต่อก็ถือว่าดีแล้ว ถึงแม้จะสร้างยากหน่อยก็ช่างเถอะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-02-2016 เมื่อ 03:54 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|