#1
|
||||
|
||||
งานทำบุญครบรอบวันมรณภาพหลวงปู่สายปีที่ ๒๔ วันพุธที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๙
ถาม : บูชาเหรียญพุทธบารมีไม่ทัน ?
ตอบ : รอครั้งหน้าจ้ะ เดี๋ยวครั้งหน้าจะมีอย่างอื่นมาใหม่ ญาติโยมอย่าบ่น บ่นแล้วอาตมารู้สึกผิดมากเลยที่สร้างเยอะ...! ต่อไปต้องสร้างแบบวัดอื่น คือ ยอดสูงสุดแค่ ๑,๕๐๐ เหรียญ วัดท่าขนุนนี่สร้างเกินชาวบ้านเขาเยอะมากแล้ว โดยเฉพาะพระเนื้อทองคำ เขาสร้างกันเต็มที่ ๙๙ เหรียญ วัดเราสร้าง ๓๐๐ เหรียญบ้าง ๑๐๘ เหรียญบ้าง พระเนื้อเงินเขาสร้างกันเต็มที่ ๙๙๙ เหรียญ สูงสุดที่เคยเจอ คือ ๑,๕๐๐ เหรียญ วัดเราสร้าง ๓,๐๐๐ เหรียญ ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของญาติโยมอยู่ดี ไม่เป็นไร...เดี๋ยวรอกำไลนวหรคุณ ตั้งท่ามาหลายงานแล้ว ดูท่าจะได้ออกปีหน้านี้แหละ กะว่าทำแต่ทองกับเงินก็พอนะ นากไม่ต้องหรอก ไม่เห็นนิยมกันเท่าไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2016 เมื่อ 14:35 |
สมาชิก 123 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
(มาขอรับวัตถุมงคลที่จองบูชาไว้) "แม่ชี...เสือหลวงพ่อสาย หนีไปอีกแล้ว..! แสบจริง ๆ ไอ้ตัวนี้ แม่ชีไปรับที่บ้านวิริยบารมีก็หนีกลับวัด ตามมารับที่วัดดันหนีไปไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวไปตามให้
เสือตัวนี้เป็นของหลวงพ่อสาย วัดบางเหี้ย ถ้าถามว่าหลวงพ่อสายเป็นใคร ? ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย เจ้าตำรับเขี้ยวเสือแกะ ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วลูกศิษย์ทำได้ไม่แพ้อาจารย์ แต่เนื่องจากว่าอาจารย์ท่านดังมาก ลูกศิษย์ก็เลยโดนกลบไปหมด หลวงพ่อสายมีหลายองค์ หลวงพ่อสาย วัดบางเหี้ย ก็เก่งตามหลักวิชาการตามสายของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย หลวงพ่อสาย วัดพยัคฆาราม ก็เป็นเกจิอาจารย์ชื่อเสียงโด่งดังมาก แล้วก็มาหลวงพ่อสาย วัดท่าขนุน เพราะฉะนั้น...ถ้าใครมีลูกผู้ชายแล้วคิดว่าจะให้บวช ตั้งชื่อว่า "สาย" ก็ได้นะ ดูท่าว่าจะดังแน่ พอ ๆ กับชื่อหลวงปู่ปานนั่นแหละ มีหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่ปาน วัดบางกระสอบ แล้วก็มีอีกหลวงพ่อปาน วัดเขาอ้อ แต่ละท่านความสามารถเหลือล้น หลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา เราจะได้ยินชื่อท่านน้อยที่สุด เพราะว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์ยุคเก่า ประมาณรัชกาลที่ ๓ แต่ว่าวัตถุมงคลของท่านอย่างหนึ่ง ก็คือ ลูกอมจินดามณี อาตมาขอยืนยันว่าลูกอมหลวงปู่ปานเป็นพระธาตุหมดแล้ว เพราะคนรุ่นหลังที่พกอยู่สงสัยว่าท่านทำด้วยอะไร ทำไมเนื้อเหมือนหินอ่อน ...(หัวเราะ)... ท่านบอกว่าลูกอมของท่านทำด้วยผงสบู่เลือด ผงสบู่เลือดไม่มีทางเป็นหินอ่อนได้หรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-09-2016 เมื่อ 14:54 |
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อาตมาใช้เงินมาก เพราะว่าทางด้านช่างเขาตีราคาพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนมาที่ ๔๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท นี่เฉพาะค่าออกแบบกับการจัดนิทรรศการต่าง ๆ ส่วนบรรดาข้าวของในพิพิธภัณฑ์นั้นยังเป็นภาระของวัดอยู่
ดังนั้น...ญาติโยมโปรดรอ "กระทู้คนมีเงินเหลือกินเหลือใช้" อีกไม่นานปรากฏตัวแน่ อาตมากำลังคัดเลือกมีดหมอของครูบาอาจารย์หลายรูป มีหลวงปู่รุ่ง วัดหนองสีนวล หลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว หลวงปู่ทองเฒ่า วัดเขาอ้อ เป็นต้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-09-2016 เมื่อ 14:48 |
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสักครู่นี้คุณชยาคมน์ ธรรมปรีชา ประธานชมรมโมทนาบุญเว็บพลังจิต และหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์เว็บพลังจิต ทำหนังสือนิมนต์ให้อาตมาไปรับสังฆทานและสอนกรรมฐานที่กรุงเทพฯ ต่อ โดยที่ทำหนังสือเปรียบเทียบรายละเอียดระหว่างการที่อาตมาสอนกรรมฐานอยู่ที่วัดแล้วโยมต้องเดินทางมา กับอาตมาไปกรุงเทพฯ แล้วโยมไม่ต้องมาวัด บอกว่าอาตมาไปกรุงเทพฯ คุ้มค่ากว่า อาตมาว่าอีตาคมน์นี่กำลังสร้างเวรสร้างกรรมหรือเปล่า ? เพราะกันคนไม่ให้เข้าวัด...! ได้ยินแล้วอย่าเพิ่งเฉานะ ความจริงลักษณะนั้นก็ไปวัดเหมือนกัน เพียงแต่เป็นสถานปฏิบัติธรรม
เขาเสนอสถานปฏิบัติธรรมมา ๓ แห่ง กำลังพิจารณาอยู่ แห่งที่ ๑ มีความกว้าง ๑๕๙ ตารางวา แห่งที่ ๒ กว้าง ๒๕๐ ตารางวา แห่งที่ ๓ กว้าง ๒๐๐ ตารางวา ก็คงเอาที่ใหญ่ที่สุดเผื่อพวกเราไว้ ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเป็นแห่งที่ ๒ แถวอนุสาวรีย์ชัยฯ ใกล้ ๆ สถานีรถไฟฟ้า แต่ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์หน่อยหนึ่ง ตกลงต้องย้อนกลับไปอนุสาวรีย์อีกแล้วหรือ ? เขาบอกว่าอนุสาวรีย์ชัยฯ ค่อนไปทางพญาไท ใกล้สถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พื้นที่ ๒๕๐ ตางรางวา ๓ ห้องนอน ๓ ห้องน้ำ พร้อมสระว่ายน้ำ เฮ้ย..เข้าท่าแฮะ...! เดี๋ยวขอพิจารณาอีกนิดหนึ่งก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่ แต่หนังสือนิมนต์อาตมาเซ็นรับไปแล้ว เพราะรู้ว่าชีวิตนี้ไม่ได้สบายหรอก มีอย่างเดียวคือโดดเข้าหางานแล้วจะดีเอง เพราะสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้เยอะ ถ้าเรายอมเหนื่อย ยอมลำบาก เจ้ากรรมนายเวรเขาอาจจะพอใจ ไม่ทำทารุณกรรมมากนัก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-09-2016 เมื่อ 20:02 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาทำผ้ายันต์เกราะเพชรมาเพื่อตั้งใจจะให้ต่อต้านไสยศาสตร์ แต่ญาติโยมเอาไปใช้ในทางค้าขายกันหมด แล้วก็ไม่รู้เป็นอย่างไรถึงขายได้ขายดีกันนัก สงสัยอาตมาจะทำอะไรขายหน้าประจำ...! โยมเอาไปใช้เลยค้าขายดี
คุณป้าบอกว่ารับไปแล้ว หลานมาเมื่อไรก็เอาไปหมด เพราะว่าค้าขายดีเหลือเกิน กลายเป็นว่าทำออกแล้วใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือเปล่า ...(หัวเราะ)... ญาติโยมอื่น ๆ ลองเอาไปใช้ในทางค้าขายก็ได้แต่ให้ใช้คู่กับพระคาถาเงินล้าน มีเจ้าของร้านเสริมสวยร้านหนึ่ง เขาบอกว่าลูกค้าเข้าร้านวันละ ๗๐-๘๐ คน ทำจนมือจะเป็นตะคริว ต้องบอกว่าร้านทำผมร้านหนึ่งลูกค้าเข้าวันละ ๒๐ คน ก็รวยตายแล้ว ปรากฏว่าทางด้านคนให้เช่าเห็นว่าคนเช่าทำกิจการรุ่งเหลือเกิน ก็เลยคิดรับช่วงต่อด้วยการยกเลิกสัญญา พอเลิกสัญญาแล้วตัวเองเข้าไปบริหาร ผลปรากฏว่าลูกค้าไม่เข้าเลยก็สงสัย ตามไปถามคนโดนไล่ยังเมตตาบอกว่า เพราะมียันต์เกราะเพชรวัดท่าขนุน เขาออกมาแล้วแกะไปด้วย สรุปว่าเขาไปที่ใหม่ก็ยังลูกค้าเยอะเหมือนเดิม เจ้าของที่จึงตามไปขอบูชาถึงวัด แต่อาตมาบอกว่ามีจำหน่ายอยู่แค่ที่บ้านวิริยบารมี อาตมาก็ยังงงว่า ตกลงยันต์เกราะเพชรเอาไว้ทำอะไรกันแน่ เอาไว้หาสตางค์ได้ใช่ไหม ? ...(หัวเราะ)... พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณจริง ๆ ใครเคารพเชื่อมั่นก็อธิษฐานขอกันเอาเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-09-2016 เมื่อ 10:32 |
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อ ๒ วันก่อน อาตมามีเรื่องให้ตื่นเต้น ก็คือ โดน ๑๘ ล้อเบียดตกถนน จะโทษรถ ๑๘ ล้อก็ไม่ได้เพราะว่าอยู่คนละเลน อาตมาอยู่เลนซ้าย เขาอยู่เลนกลาง แล้วยังมีรถเลนขวาอยู่ ปรากฏว่าพอรถของเราเร่งความเร็วขึ้นมาจนถึงประมาณหัวเก๋งของเขา รถ ๑๘ ล้อมองไม่เห็นเพราะว่ากระจกเลยหลังคาไป เขาเห็นว่าว่างก็เบียดซ้ายมาเข้าเลนซ้าย อาตมาก็เหลือแต่ข้างทางให้ลงนะสิ...เพราะไม่มีที่ให้ไป
พอลงข้างทางไป ไม่ทราบเหมือนกันว่ารถโมโหหรืออย่างไร ?กระโดดกลับขึ้นมา รถตกถนนไปแล้วเด้งกลับขึ้นมาเอง แล้วมาปาดหน้า ๑๘ ล้อคืนแบบเฉียดฉิว ประเภท “มึงเบียดกู กูก็ปาดคืน” แล้วก็ปลิวไปถึงเลนที่ ๓ ทางขวาสุด กำลังจะหลุดไปถนนฝั่งตรงข้าม คนขับยืนยันว่าไม่ได้หักหลบ แต่รถเลี้ยวกลับเอง แล้วเสียหลักวิ่งเข้าหาเสาไฟฟ้าทางซ้ายสุด คราวนี้ก็จำเป็นต้องหักหลบ รถก็ตวัดกลับไปถนนฝั่งตรงข้ามทางขวาอีก ตกลงว่ารถคันเดียวใช้ครบ ๓ เลนเลย ฝั่งตรงข้ามที่รออยู่ ก็คือต้นไม้พร้อมกับเสาไฟฟ้าอีกต้นหนึ่ง จึงต้องหักกลับอีกครั้งหนึ่ง อาตมาคิดในใจว่า “งานนี้กูงามแน่” เพราะรถพลิกตะแคงข้างแล้ว เหลือแค่ ๒ ล้อที่ติดพื้นอยู่ ก็ปรากฏว่ารถเขาคงเล่นพอแล้ว ไม่รู้ว่าลงท่าไหน อยู่ ๆ ก็กระโดดพลิกเหมือนกับจับวางลงไปเฉย ๆ จอดสนิทเรียบร้อย ไม่มีอะไรผิดปกติเลย อยู่กับเลนซ้ายมือเป็นปกติ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-09-2016 เมื่อ 10:38 |
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
"คนขับรถมือไม้อ่อนไปไหนไม่เป็น อาตมาบอกว่า "ก็ไปสิ" ยังต้องตั้งหลักพักหนึ่งแล้วค่อยไป ตรงจุดนี้อาตมาเห็นอยู่ ๒ เรื่อง เรื่องแรก คือ ถ้าสติของเรามั่นคงจะไม่รู้สึกอะไรเลย นอกจากมองดูว่าจะแก้ไขเหตุการณ์อย่างไรให้ออกมาดีที่สุด เรื่องที่ ๒ ก็คือ ถึงคุณจะสร้างบุญไว้มาก กรรมก็มีอยู่ รอที่จะแทรกอยู่เสมอ พลาดเมื่อไรเป็นโดน..!
งานนั้นวิบากกรรมพยายามทุกวิถีทางที่จะเล่นให้ได้ ลองคิดดูว่าถนนทั้งกว้าง ทั้งใหญ่ขนาดไหน ทำไมเจาะจงจะดึงรถเข้าหาเสาไฟฟ้ากับต้นไม้เท่านั้น ที่ว่างตั้งเยอะตั้งแยะไม่เอาไป แต่ขณะเดียวกันเรื่องของกุศลกรรมก็พยายามป้องกันอยู่ สรุปว่าไม่มีอะไรเจ็บ ไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากรถทั้งถนนจอดดูรถของเราเต้นระบำกันหมด เพราะรู้สึกว่ารถเต้น ๒ ล้อ อีก ๒ ล้อหน้าลอยพ้นพื้นอยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นอะไรที่เพิ่มความตื่นเต้นให้กับชีวิตได้ดี อาตมาไม่ได้ตื่นเต้นหรอก แต่คนที่นั่งไปด้วยนี่ตื่นเต้นดีมาก อาตมาเพียงแต่เพิ่มความน่าอิจฉาให้กับคนที่รู้แล้วอยากทำได้อย่างนั้นบ้าง ...(หัวเราะ)... กรุณาอย่าอยาก...ถ้าขืนอยากเดี๋ยวได้ อาตมาเจิมรถไปตั้งแต่พรรษาที่ ๖ ปรากฏว่าคันที่เกิดอุบัติเหตุหนักที่สุด คือ ประกันต้องออกรถใหม่ให้เลย รถเก่าไม่สามารถที่จะใช้งานได้อีก ต้องขายเป็นเศษเหล็ก แต่คนขับไม่เป็นอะไรแม้แต่รอยเท่าแมวข่วน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ยังไม่เสียสถิติ แต่อยากจะเตือนญาติโยมทั้งหลายว่า พวกเราเคยติดตามกันมา คือออกศึกออกสงครามมาด้วยกัน เล่นชาวบ้านเขาไว้เยอะ เมื่อถึงเวลาแล้วก็โปรดระมัดระวังด้วยว่าเขาจะมาทวงคืน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-09-2016 เมื่อ 10:41 |
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอโมทนากับคณะของท่านอาจารย์วิชชุ อารมณ์ดี ด้วย คณะของท่านช่วยงานวัดหลายแห่งด้วยกัน ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือกันอยู่ ท่านอาจารย์ก็พาลูกศิษย์เข้าวัด จนเรียนจบมีงานมีการทำ มีลูกกำลังจะมีหลานกันแล้ว ก็ยังคงจับกลุ่มกันเหนียวแน่น ช่วยงานคณะสงฆ์เป็นอย่างดี วัดท่าขนุนก็ได้รับการอำนวยความสะดวกจากคณะนี้เป็นปกติ
ทุกครั้งที่มา งานหลัก ๆ เลย ก็คือ จัดสถานที่ จัดการจราจร ต้องขออนุโมทนากับท่านทั้งหลาย ที่สร้างความดีเพื่อพระพุทธศาสนา งานอย่างนี้ต้องการคนเสียสละเพราะว่าไม่ได้อยู่เสนอหน้าใกล้ชิดครูบาอาจารย์หรอก ทำงานอยู่รอบนอกโน่น แต่เพื่อที่จะให้งานสำเร็จเรียบร้อยด้วยดี ก็จำเป็นที่จะต้องมีคนเสียสละแบบคณะนี้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-09-2016 เมื่อ 10:43 |
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
"อาตมาเกิดอุบัติเหตุเมื่อ ๒ วันก่อนแล้ว ยังนึกถึงญาติโยมว่าเดินทางกันกลางค่ำกลางคืน แต่ก็ยังปลอดภัยมาได้ด้วยบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่การเดินทางก็อย่างว่านั่นแหละ กว่าจะมาถึงที่นี่ กว่าจะกลับกรุงเทพฯ ก็สองสามร้อยกิโลเมตร มีโอกาสตายได้ทุกกิโลเมตร..! แล้วพวกเราก็ยังอุตส่าห์มากัน แปลว่ากำลังใจในการยึดความดีของพวกเรานั้นหนักแน่นมาก เกินกว่าที่ความตายจะขวางได้
ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้ กำลังใจเข้มข้นอย่างนี้ ถ้าปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อพระนิพพาน มั่นใจได้ว่าถ้าท่านทำจริง ต้องถึงพระนิพพานกันทุกคน โปรดอย่าสละสิทธิ์เป็นอันขาด...! ขออนุโมทนากับญาติโยมทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-09-2016 เมื่อ 10:45 |
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๕ หลวงปู่สาย อคฺควํโส ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของอาตมารูปหนึ่ง ได้มรณภาพลง ช่วงนั้นอาตมาก็วิ่งมางานบุญที่นี่แล้วก็วิ่งกลับวัดท่าซุง เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงช่วงนั้นอาการก็ไม่ดีนัก ถัดจากนั้น ๖ อาทิตย์ หลวงพ่อวัดท่าซุงก็มรณภาพไปอีก อาตมาต้องสวดพระอภิธรรมถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง เสร็จตอน ๒ ทุ่มครึ่ง แล้วก็ตีรถวิ่งมาที่นี่ ทำบุญเช้าเสร็จก็วิ่งกลับไปวัดท่าซุง
ช่วงนั้นมีความสุขมากที่ได้นั่งรถทั้งคืนทั้งวัน เพราะว่าต่างก็เป็นครูบาอาจารย์ที่อาตมาให้ความเคารพรักทั้งคู่ แต่ตนเองเป็นพระวัดท่าซุง โดยเฉพาะถือหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลักชัยในการดำเนินปฏิปทามาโดยตลอด ก็ต้องเอาทางด้านโน้นเป็นใหญ่ ก็คือเตรียมงาน จัดงานจนเสร็จแล้ว ๒ ทุ่มครึ่งถึงออกมา ช่วงกลางวันเขาก็มีเวรอีกผลัดหนึ่งทำหน้าที่แทน อาตมาวิ่งมาทำบุญที่นี่เสร็จก็วิ่งกลับไปวัด ไปถึงได้พักผ่อนหน่อยหนึ่ง พอได้เวลาก็ต้องสวดพระอภิธรรมอีกแล้ว ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่สนุกกับชีวิตมาก คราวนี้เรื่องของหลวงปู่สายต้องบอกว่าไม่มีอะไรที่บังเอิญ เนื่องจากว่าอาตมาเองได้ยินหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่าถึงหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์ ว่าเป็นสหธรรมมิกที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน แต่บุคคลที่เป่ายันต์เกราะเพชรไปจากวัดบางนมโคแล้ว ถ้าไปขอให้หลวงปู่เดิมลงยันต์มหากาฬให้ หลวงปู่เดิมจะไม่ลงให้ ท่านบอกว่าที่มีอยู่ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว และบุคคลที่สักยันต์มหากาฬไปหาหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานก็บอกว่า มีของดีอยู่แล้ว ทำไมต้องมาเอาทางนี้อีก ? จะเห็นได้ว่าปฏิปทาของครูบาอาจารย์ทั้งคู่นอกจากจะเนื่องกัน เหมือนกัน หรือคล้ายกันแล้ว ยังมีหลักวิชาการต่าง ๆ ที่กินกันไม่ลงอีกด้วย เพราะต่างคนต่างยกย่องว่า สิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งเสริมสร้างขึ้นมาด้วยพุทธบารมีนั้น เป็นสิ่งที่เพียงพอต่อการปกป้องคุ้มครองทั้งตนเองและครอบครัวแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 21:08 |
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
"ปรากฏว่าปี ๒๕๓๒ พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านอนุญาตให้อาตมาออกธุดงค์ได้ ปกติแล้วถ้าอยู่วัดท่าซุงไปขอธุดงค์ หลวงพ่อท่านจะไม่ให้ไป หลวงพ่อท่านใช้คำว่า “แกแน่ใจแล้วหรือ ?” แต่ของอาตมานี่พรรษาที่ ๔ สอบนักธรรมชั้นเอกได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “แกจบนักธรรมเอกแล้ว ความรู้พอที่จะคุ้มตัวได้แล้ว อนุญาตให้ไปธุดงค์ได้” อาตมาก็เลยออกธุดงค์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โดยเฉพาะที่ชอบมากที่สุด ก็คือ ชายแดนไทย-พม่า เดินธุดงค์ทางสายนี้สืบหาครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถ โดยเฉพาะทางด้านกาญจนบุรีมีครูบาอาจารย์รุ่นเก่าที่โด่งดังมาก คือ หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว ซึ่งลูกศิษย์ของท่าน ก็คือ หลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ หลวงปู่ดี วัดเหนือ หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า หลวงพ่อดอกไม้ เป็นต้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง พอมาถึงก็ปรากฏว่า ทางสายหลวงปู่ยิ้มนี่อาตมาเองก็เพิ่งจะรู้ว่า ตนเองเรียนเอาความรู้ท่านไปเต็ม ๆ แล้ว ก็คือเรียนจากหลวงพ่อพระสาสนโศภณ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งภายหลังท่านก็คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ตอนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจว่าท่านเป็นลูกศิษย์ใคร ปรากฏว่าหลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราชท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดี วัดเหนือ แล้วอาตมาก็มาศึกษาจากหลวงพ่อลำใย วัดทุ่งลาดหญ้า พอสืบสาวขึ้นไปก็ปรากฏว่าหลวงพ่อลำใย ก็คือ ลูกศิษย์หลวงพ่อสอน วัดทุ่งลาดหญ้า ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้มอีกเช่นกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 21:10 |
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
"คราวนี้มากราบขอความรู้จากหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน ตอนนั้นก็ได้แต่แปลกใจอยู่ เพราะว่าหลวงปู่สายท่านปิดตัวเองสนิท ไม่ยอมให้รับรู้อะไรเลย อาตมาไม่สามารถที่จะตะเกียกตะกายค้นคว้าได้ด้วยวิชาที่หลวงพ่อฤๅษีท่านสอนมา ไม่ว่าจะดูข้างนอกจะดูข้างใน ท่านปิดสนิท
แต่แปลกใจอยู่อย่างเดียวว่า หลวงพ่ออุตตะมะที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า “องค์นี้จบวิชชาสาม” อาตมาก็เทิดไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า ตั้งแต่ร่วมเดินทางมานิมนต์ท่าน เพื่อที่จะไปร่วมงานพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในช่วงงานฝังลูกนิมิตวัดท่าซุง หลวงพ่อท่านบอกว่าให้มานิมนต์หลวงพ่ออุตตะมะไปด้วย ก็กราบเรียนท่านว่า “ไกลมากนะครับ หลวงพ่อนิมนต์แล้วท่านจะมาหรือ ?” ท่านบอกว่า “แกบอกว่ามหาวีระนิมนต์...แล้วท่านจะมา” พวกเราก็มากัน ตอนช่วงนั้นเช่ารถตู้กันมา เป็นรถตู้มาสด้าบองโก้ วิ่งไปก็เขย่าไปตลอดทาง เพราะว่าถนนสายไปสังขละบุรียังเป็นลูกรังอยู่ ปรากฏว่าพอหลวงพ่ออุตตะมะได้ยินว่า หลวงพ่อมหาวีระนิมนต์ ท่านก็บอกว่า “มหาวีระหรือ ? ไป ๆ ๆ” ท่านเป็นบุคคลที่หลวงพ่อวัดท่าซุงยืนยันในปฏิปทาและรู้กันถึงขนาดว่าถ้านิมนต์แล้วจะมา เวลาหลวงพ่ออุตตะมะท่านจะออกไปกิจนิมนต์ ท่านจะแวะมากราบหลวงปู่สายก่อน กลับจากกิจนิมนต์จะกลับวัด ท่านก็แวะมากราบหลวงปู่สายก่อน อาตมาก็ถือโอกาส ถ้ามาถึงที่นี่ก็มากราบขอศึกษาวิชาการ ขอวัตถุมงคล ขอทุกอย่างที่ขอได้ บางทีก็ตั้งใจมาถามปัญหา ถึงแม้ว่าท่านจะปิดตัวเอง แต่สิ่งที่ถามถ้าหากว่าเป็นอรรถเป็นธรรมแล้ว ท่านไม่เคยปิดและไม่ต้องถามมากด้วย แค่นึกเตรียมปัญหา พอ มาถึงท่านมักจะตอบเลย ก็ไม่ต้องเป็นที่สงสัยว่าทำไมท่านถึงได้มีความสามารถขนาดนั้น เพราะระยะหลังศึกษาประวัติแล้วถึงทราบว่าท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เดิม วัดหนองโพธิ์"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 21:13 |
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
"ตอนช่วงนั้นหลวงปู่เดิมอายุ ๙๐ ปีแล้ว ไม่สามารถที่จะนั่งพระอุปัชฌาย์ได้นาน ๆ ก็เลยให้หลวงปู่สายไปบวชกับท่านอาจารย์วัน ที่วัดเขาทอง หลังนั้นก็มาอยู่กับหลวงปู่น้อยที่วัดหนองโพธิ์ หลวงปู่เดิมท่านก็ไป ๆ มา ๆ เพราะว่าช่วยสร้างอุโบสถให้ที่โน่นที่นี่
ดังนั้น...ในส่วนที่อาตมากล่าวถึงก็คือ ในโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกอย่างเป็นไปตามวาระบุญวาระกรรมที่เราได้สร้างเอาไว้ ถึงวาระสิ่งที่เราต้องรับ บางทีก็มาถึงโดยที่นึกไม่ถึงเหมือนกัน เพราะว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนส่วนใหญ่แล้วท่านถึงกันหมด ใครมีวิชาการอะไรดีก็มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน โดยเฉพาะถ้าลูกศิษย์ศึกษาของตนเองหมดแล้ว ก็มักจะบอกว่าให้ไปศึกษาจากครูบาอาจารย์ท่านโน้นท่านนี้ ท่านมีปฏิปทาหรือมีความรู้อย่างนั้น ๆ เราจะเห็นว่าครูบาอาจารย์สมัยก่อนไม่หวงลูกศิษย์ แม้แต่อาตมาปัจจุบันนี้ก็ไม่หวงลูกศิษย์ เห็นว่าพระรูปไหนมีปฏิปทาที่ดีงามเหมาะสม ลูกศิษย์ลูกหาจะไปก็สนับสนุน บางทีอาตมาก็ไปเองด้วย ในเมื่อเป็นอย่างนี้ญาติโยมก็อาจจะสงสัย เพราะเห็นว่าบางวัดถ้าหากว่าไปวัดนั้นแล้ว ถึงเวลาแล้วไปทำบุญวัดอื่นมักมีรายการด่ากันด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 21:15 |
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
"มากล่าวถึงหลวงปู่สายของเราต่อ หลวงปู่สายท่านเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ปี ๒๔๙๗ พอปี ๒๔๙๘ ท่านสร้างโบสถ์เสร็จและได้รับพระราชวิสุงคามสีมา ปี ๒๕๑๑ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ๒๕๑๓ เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ แล้วท่านก็เจริญในตำแหน่งหน้าที่การงานมาเรื่อย เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะตำบลไทรโยค เป็นเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ
ถ้าท่านทั้งหลายสงสัยว่า ท่านอยู่ทองผาภูมิแล้ว ทำไมไปเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะตำบลไทรโยค ? ก็เพราะว่าสมัยโน้นการปกครองคณะสงฆ์ยังไม่ได้ชัดเจนเหมือนสมัยนี้ หลวงพ่อพระเทพเมธากร วัดท่ามะขาม สมัยยังเป็นพระมหาณรงค์ ปริสุทฺโธ ท่านเป็นเจ้าคณะตำบลเกาะสำโรง ตำบลเกาะสำโรงนี่อยู่ในตัวเมือง แต่ตำบลเกาะสำโรงนั้นกินเขตอำเภอเมืองมาถึงไทรโยค ทองผาภูมิ และสังขละบุรี เป็นเจ้าตำบลทีหนึ่งคุมไปค่อนจังหวัดเลย จึงต้องมีผู้ช่วยเจ้าคณะตำบล เท่ากับสมัยนี้เป็นเจ้าคณะอำเภออยู่ ๓-๔ อำเภอ หลวงปู่สายท่านได้เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะตำบลไทรโยค พอแยกออกมาเป็นอำเภอ ก็เป็นเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ แต่ว่าทำหน้าที่เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิด้วย เจ้าคณะอำเภอสังขละบุรีด้วย เพราะว่าหลวงปู่เพิ่ม วัดวังปะโท่ เจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี หรือหลวงปู่พระครูสังขละบุรารักษ์ ท่านบอกว่าท่านไม่เก่งงาน ในเมื่อท่านไม่เก่งงาน หลวงปู่สายก็รับงานทั้ง ๒ อำเภอ พูดง่าย ๆ ว่าทำงานตัวเองด้วย ทำงานของเพื่อนสหธรรมิกด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 21:18 |
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
"พอท่านรำคาญคน ทนไม่ไหว ท่านก็หอบกลดหอบบาตร ธุดงค์หายเข้าป่าไปเลย ๗ ปี ๘ ปี อาตมาเองก็ใกล้เคียงแล้ว เดี๋ยวรอความรำคาญเพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่งก่อน หลวงปู่สายหายไปนานมาก แต่ต้องบอกว่าดวงของคนทองผาภูมิยังดีอยู่ เพราะว่าปีนั้นมีการตรวจการณ์คณะสงฆ์ของอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี สั่งให้เจ้าคณะตำบลทุกตำบลสำรวจทุกวัดว่ามีพระตามความเป็นจริงกี่รูป ให้จดชื่อจดฉายาวันเดือนปีบวชมาให้หมด
ปรากฏว่าไปเจอหลวงตาแก่ ๆ ผอม ๆ รูปหนึ่ง ยื่นหนังสือสุทธิให้ เป็นพระครูสุวรรณเสลาภรณ์ ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ...(หัวเราะ)... ทางด้านนี้พอได้ยิน ก็จัดขบวนรถวิ่งไปนิมนต์หลวงปู่กลับมาแบบรีบด่วนที่สุด หลวงปู่ท่านไปเป็นพระลูกวัดแก่ ๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นถึงเจ้าคณะอำเภอ ช่วงนั้นก็มีพระทางด้านกาญจนบุรีขึ้นมาดูแลที่นี่อยู่หลายรูป ก็มีพระมหาทอมสันต์ ซึ่งปัจจุบันก็คือ ท่านเจ้าคุณพระโสภณกาญจนาภรณ์ มีพระมหาทองดำ ซึ่งปัจจุบันก็คือท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาภรณ์ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเป็นเจ้าคณะอำเภอดูแลที่นี่ ในส่วนนั้นต้องบอกว่าพอหลวงปู่ท่านกลับมา หากว่ายังรบกวนท่านมากเหมือนเดิมอีก ก็อาจจะมีรายการสรรเสริญเจริญพรกัน ลูกศิษย์ลูกหาก็ตกปากรับคำท่านเป็นอย่างดี เพราะกลัวหลวงปู่ท่านจะหนีอีกถ้า หากว่าดื้อ ว่ายากสอนยาก หลวงปู่ท่านจะไม่อยู่ด้วย ท่านจะไปเลย ต้องบอกว่าเป็นประวัติการณ์ที่พระสังฆาธิการระดับสูงขนาดนั้นออกธุดงค์เฉยเลย ยศตำแหน่งอะไรตูก็ไม่สนแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 21:20 |
สมาชิก 94 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานทำบุญถวายบูรพาจารย์วัดท่าขนุน ถ้านับก็มีหลวงปู่พุกที่มีอัฐิท่านอยู่ แล้วก็หลวงปู่สายที่มีกายสังขาร และรูปถ่ายท่านอยู่เท่านั้น หลวงปู่เต๊อะเน็งท่านธุดงค์กลับไปทางด้านพม่าแล้วก็สาบสูญไปเลย อุตส่าห์หารูปแทนท่านมาได้ แต่ไม่รู้ว่าท่านไปมรณภาพที่วัดไหน มีการจัดการงานศพอย่างไร
ส่วนเจ้าอาวาสท่านที่ถัด ๆ มา คือ ท่านอาจารย์สมเด็จกับท่านอาจารย์สมพงษ์ก็ยังมีชีวิตอยู่ แข็งแรงดี เพราะว่าอายุเพิ่งจะ๔๐ กว่าปี อาตมาเองต่างหากที่ทำท่าจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ เพราะว่ามาลาเรียคอยจะขึ้นอยู่เรื่อย ฉะนั้น...งานทำบุญวัดท่าขนุนในวันที่ ๑๔ กันยายน ต้องบอกว่ามีแค่อัฐิหลวงปู่พุกและรูปหลวงปู่สายเท่านั้น ของหลวงปู่เต๊อะเน็งไม่สามารถจะสืบสาวราวเรื่องได้ว่าท่านไปมรณภาพที่ไหน อาตมากำลังคิดว่า หากซื้อกรอบรูปแบบนี้ได้อีกสัก ๒ กรอบ จะใส่รูปหลวงปู่พุกกับหลวงปู่เต๊อะเน็งไว้ด้วย เรียงมาเป็นตับเลย แต่ว่ากรอบแบบนี้หายากมากเพราะว่าฝีมือการประดับมุกระดับสุดยอด กรอบนี้ซื้อมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ตอนนั้นราคา ๙๐,๐๐๐ บาท ฝีมือละเอียดมาก คุ้มราคา หารุ่นใหม่ดูเท่าไรฝีมือก็ไม่ได้ เลยรี ๆ รอ ๆ อยู่ ถ้าหากว่าหาได้จะขยายรูปหลวงปู่พุกและหลวงปู่เต๊อะเน็งท่านขึ้นมาด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 21:22 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "แจ้งให้ญาติโยมได้ทราบว่า มณฑปทรงวิมานสำหรับตั้งพระพุทธรูปทองคำเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ในงบประมาณ ๑๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท พระที่ตั้งอยู่นั้น ตั้งให้รู้ว่ามีพระพุทธรูปอยู่ตรงไหนบ้าง องค์จริงจะเริ่มหล่อประมาณช่วงวันมาฆบูชาปีหน้า
ตอนแรกอาตมาว่าทางซ้ายขวาจะตั้งพระพุทธรูปรัชกาล ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๗ พระราชทานให้กับวัดท่าขนุนตั้งแต่ปี ๒๔๗๒ แต่ว่าพระพุทธรูปนั้นมีการลงรักปิดทองแบบเก่า รักก็ลอกแล้ว ถ้าดูเป็นของเก่านี่จะขลังมาก แต่ถ้านิมนต์ขึ้นไปอยู่ข้างบน ตรงกลางเป็นพระทองคำแต่ ๒ ข้างจะเป็นพระกระดำกระด่าง อาตมาปรึกษาช่างแล้ว ก็เลยตั้งใจว่าหล่อพระใหม่เป็นสามองค์สามกษัตริย์ ทอง นาก เงิน ไปเลยดีกว่า ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องหล่อปีละองค์ คือ ปีหน้าหล่อองค์นาก ปีถัดไปหล่อองค์เงิน แล้วปีสุดท้ายอาตมาอายุ ๖๐ ปีพอดี ค่อยหล่อองค์ทองคำ เราก็จะมีหลวงพ่อสามกษัตริย์ให้ได้กราบไหว้กันให้ชื่นใจ ส่วนช่วงล่างด้านหน้า อาตมาให้ช่างทำแท่นตั้ง สำหรับตั้งพระพุทธรูปพระราชทานของในหลวงรัชกาลที่ ๗ เอาไว้ใกล้ ๆ ตาของพวกเราเลย ให้กราบไหว้กันใกล้ ๆ จะได้ทราบว่าอดีตเจ้าอาวาส คือ หลวงปู่พุก อุตฺตมปาโลนั้น ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงถึงขนาดในรั้วในวังรู้จัก สมัยนั้นเป็นที่อัศจรรย์มาก เพราะว่าครูบาอาจารย์สายมอญล้วนแล้วแต่เป็นที่โด่งดังมาก อย่างหลวงปู่นาค วัดอรุณฯ หรือพระพิมลธรรม ท่านเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะ เลยอยู่วัดอรุณราชวรารามหรือวัดแจ้ง หลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ หลวงพ่อสว่าง วัดเทียนถวาย ท่านทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเกจิอาจารย์สายมอญทั้งนั้น มาทางราชบุรีก็มีหลวงพ่อโนรี รู้จักหลวงพ่อโนรีกันไหมนี่ ? หลวงพ่อโนรีจะสร้างพระปิดตาแกะจากไม้โพธิ์นิพพาน...ดังมาก ถ้าไม่ได้อยู่ในวงการพระเครื่องจะไม่รู้จักท่านหรอก พวกเรานี่ยึดพุทธคุณเป็นหลัก...ใช่ไหม ?" พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. งานทำบุญครบรอบวันมรณภาพหลวงปู่สาย อคฺควํโส ปีที่ ๒๔ วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๙ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 21:25 |
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|