|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๕
บรรยากาศเมืองฟลอเรนซ์ตอนเช้ามืด วันพุธที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ตื่นขึ้นมาด้วยความปวดปัสสาวะอย่างแรง รู้สึกแสบตาเป็นอย่างมาก แสดงว่าตื่นผิดเวลาแน่นอน เสร็จแล้วฉันน้ำร้อนจากก๊อกไป ๒ แก้ว จากนั้นกลับมานอนภาวนา ส่งใจขึ้นไปกราบพระตามปกติ อากาศค่อนข้างเย็นมาก แต่ไม่รู้ว่าเขาปรับอากาศให้อย่างไร เพราะหาที่ปรับไม่เจอ สะโพกยังปวดตึง ๆ อยู่เหมือนเดิม กลับถึงเมืองไทยคงต้องเข้าโรงซ่อมใหญ่เสียที... ตีสองครึ่งลุกไปเข้าห้องน้ำ พร้อมกับกรอกน้ำร้อนเข้าไปอีก ๓ แก้ว แล้วมาเปิดไฟเพื่อทำงาน จัดการเก็บแบตเตอรี่กล้องก่อน แล้วงมเสียบปลั๊กทั้งมืด ๆ จึงเสียบไม่เข้า ต้องเอานิ้วควานหารูปลั๊กแบบไม่กลัวตาย เสียบเข้าไปได้ก็มาเปิดโน้ตบุ๊กทำงาน... หลวงพ่อพระครูเรืองไม่ยักกรน อ้อ..ที่แท้ท่านนอนตีโปงอยู่นั่นเอง พิมพ์บันทึกย่อไปจนครบวัน แล้วปิดเครื่องเก็บของลงกระเป๋า นอนส่งจิตไปกราบพระ ภาวนาจนครบชุดแล้วลุกขึ้นแต่งตัว หลวงพ่อพระครูเรืองถามว่าจะไปไหน ? บอกท่านว่าจะออกไปเดินดูบ้านเมืองของเขา ถ้ามีร้านเปิดจะแลกเงินเป็นสวิสฟรังก์เอาไว้ด้วย ชวนท่านไปเดินด้วยกัน ท่านบอกว่าไม่เอาดีกว่า... เดินลงมาชั้นล่าง ผลักประตูแล้วเปิดไม่ได้ ดูจนทั่วเห็นมีกลอนตัวใหญ่ล็อกอยู่กับพื้น นี่เขายังไม่ให้ออกไปไหนหรืออย่างไร ? ลองผลักบานทางซ้าย อ้าว..เปิดได้นี่หว่า..เกือบเสียค่าโง่ไปแล้ว ถ่ายรูปบริเวณหน้าโรงแรมเอาไว้ด้วย เผื่อหลงจะได้ถามทางเขากลับมาถูก แล้วเดินออกไปถนนสายหลัก แหม..เงียบเป็นป่าช้าฝรั่งเลย รถเทศบาลกำลังฉีดน้ำ และพนักงานกวาดอยู่สองข้างถนน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 03:20 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ไม่มีใครมาเบียดเลย...ดีจริง ๆ เลี้ยวซ้ายเดินไปทางด้านมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ ร้านค้าทั้งหมดยังไม่เปิด อย่าว่าแต่ร้านแลกเงินเลย แต่เขามีสินค้าแสดงไว้ตามหน้าต่างกระจกหน้าร้าน อาตมาจึงกลายเป็น Window Shopper ชมสินค้าไปก็ถ่ายรูปไปด้วย จนมาถึงหน้ามหาวิหาร ที่นี่ก็เงียบจนผีหลอกเหมือนกัน... เลือกมุมถ่ายรูปเอาตามอัธยาศัย ซอกเล็กซอกน้อยมีเท่าไรก็ถ่ายจนหมด เจ้าหน้าที่เทศบาลที่กำลังฉีดน้ำล้างพื้น คงเห็นนักท่องเที่ยวแบบนี้มาจนชินแล้ว จึงทำหน้าที่ของตนเองไปแบบไม่สนใจ อาตมาเดินวนขวารอบมหาวิหาร ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ... หนุ่มอิตาเลียนสามคนเดินผ่านมา พอเห็นอาตมาเข้า รายหนึ่งก็ตบหลังบอกเพื่อนทั้งสองให้ไปก่อน ตัวเองวิ่งเหยาะ ๆ มาหา บอกว่าจะช่วยถ่ายรูปอาตมากับมหาวิหารให้เอาไหม ? “กราเซีย (Grazie)” อาตมาบอกขอบใจในความเอื้อเฟื้อของเขา แล้วอธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่า ชอบถ่ายรูปสถานที่อย่างเดียว เขาคงไม่เคยเจออะไรแบบนี้ จึงเดินจากไปแบบงง ๆ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 03:21 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เมื่อวานทำไมไม่เห็นวิหารหลังนี้ ? มีนักท่องเที่ยวรายหนึ่ง แบกกล้องพร้อมขาตั้งมาถึงเพื่อถ่ายรูปเช่นกัน อาตมาวนไปถึงด้านหลังมหาวิหาร ด้านนี้ปิดซ่อมอยู่เป็นบางส่วน ถ่ายรูปเก็บรายละเอียดจนหลงทิศ เห็นหอระฆังสูงลิบลิ่วยังคิดว่าเขามีอีกหลังหนึ่ง ที่แท้ก็หอระฆังจิอ็อตโตหลังเดียวกับที่เห็นจากด้านหน้า... ทางด้านหลังนี้มีรูปสลักจากหินอ่อนของบุคคลสำคัญ ๒ รูป ตั้งอยู่หน้าสถานที่ซึ่งเหมือนกับร้านค้า มีศิลปินนิรนามแสดงฝีมือวาดรูปไว้กับประตูยืดของซุ้มขายของที่ระลึก ฝีมือดีอวดได้ทีเดียว รู้สึกว่าคนเมืองฟลอเรนซ์จะมีศิลปะอยู่ในหัวใจของทุกคน... อาตมาถ่ายรูปจนรอบมหาวิหารแล้ว จึงเดินตรงไปทางปราสาทของตระกูลเมดิซี ถ่ายรูปทุกอย่างที่น่าสนใจตามรายทาง แล้วก็เห็นว่า เมื่อวานที่มาตอนคนมาก ๆ นั้น ตนเองเดินผ่านวิหารไปหลังหนึ่ง ซึ่งเก่าแก่มากจนผนังสึกกร่อน แต่มีรูปแกะสลัก รูปหล่อโลหะ ประดับอยู่ตามซุ้มลวดลายปูนปั้นที่งามสุด ๆ จึงวนเวียนถ่ายรูปอยู่ตรงนี้เป็นนาน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 01-12-2016 เมื่อ 13:35 |
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
แต่เดิมตรงนี้เป็นโรงม้าของตระกูลเมดิซี่ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) ดูนาฬิกาในกล้องเห็นว่าหกโมงยี่สิบห้านาทีแล้ว จึงรีบจ้ำไปจนถึงหน้าหอศิลป์อุฟฟิซี่ แหม..มีแค่เจ้าหน้าที่ รปภ. ๑ นาย กับพนักงานเทศบาล ๒ นายเท่านั้นเอง อาตมาจัดการถ่ายรูปแกะสลักหินอ่อนทุกรูป โดยหามุมใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำกับของเดิม บางรูปต้องตะกายขึ้นไปถ่ายบนขอบโรงแสดง แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ว่าสักคำ "ห้องแสดงรูปสลักที่ท่านกำลังตะกายอยู่นี้ เดิมเป็นโรงม้าของตระกูลเมดิซี่ขอรับ" "ท่านผู้นำ" บอกกล่าว อ้อ..มิน่าล่ะ..ถึงได้ว่าหน้าตาแปลก ๆ แบบนี้... นักท่องเที่ยวพร้อมขาตั้งกล้องคนนั้นมาถึงแล้ว อาตมาถ่ายรูปสุดท้ายขณะที่เขาเพิ่งถ่ายรูปแรก พอเขายกกล้องขึ้นบรรจงถ่าย โดยมีขาตั้งกล้องพับวางพิงรั้วเหล็กเอาไว้ อาตมาที่ลองถ่ายรูปมุมเดียวกับเขาบ้าง ก็ถอยหลังชนขาตั้งกล้องของเขาล้มฟาดพื้นดังโครมใหญ่..! อาตมารีบเอ่ยปากขอโทษ แต่พ่อเจ้าประคุณกำลังถ่ายรูปจนไม่สนใจอะไรเลย เมื่อเห็นว่าเหลือเวลาอีก ๑๘ นาทีจะได้เวลาอาหาร อาตมาก็รีบจ้ำกลับมายังโรงแรม เดินเร็ว ๆ นี่ร้อนเอาเรื่องเหมือนกัน รีบเผ่นเข้าห้องพัก ถอดอังสะกันหนาวออกพับใส่กระเป๋า เข้าห้องน้ำแล้วออกมายังห้องอาหาร พรรคพวกนั่งเต็มไปสองโต๊ะใหญ่แล้ว ทั้งที่ยังเหลือเวลาอีกตั้งสามนาที... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 03:23 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ถ้าทุกโรงแรมมีผลไม้ให้แบบนี้คงรักตายเลย..! พอเห็นสัปปะรด ส้ม และแอปเปิลที่โต๊ะอาหาร อาตมาก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะฉันให้เต็มที่ จึงหยิบครัวซองก์ ๑ ชิ้น ขนมปัง ๑ คู่ แยมสับปะรด ๒ ชิ้น หมูแฮม ๓ ชิ้น พร้อมกับไข่คน ๑ ทัพพี แล้วลงไปนั่งเปิดโต๊ะใหม่กับใบฎีกาวรัญญู กวาดทุกอย่างลงท้องภายใน ๕ นาที..! เสร็จแล้วลุกไปหยิบแอปเปิล ๑ ลูก ส้ม ๒ ลูก กลับมาถึงบริกรเก็บจานช้อนไปแล้ว..?! จึงฉันแอปเปิลจนหมด ตามด้วยแกะเปลือกส้มฝากใส่จานของใบฎีกาวรัญญู ท่านถามว่าชอบส้มมากหรือ ? ตอบไปว่าฉันของเปรี้ยวตามประสาคนเลือดกรุ๊ปโอ เสร็จแล้วขอตัวกลับเข้าห้องแบบมีความสุขมาก ถ้าทุกโรงแรมมีผลไม้ให้แบบนี้คงรักตายเลย... ห่มผ้าใหม่ให้รัดกุม เก็บโน้ตบุ๊กลงกระเป๋า แล้วสะพายลงมาข้างล่าง เพิ่งถึงล็อบบี้คุณโอเล่ก็บอกให้ทุกรูปเดินไปขึ้นรถที่จอดอยู่ถนนหน้าปากซอย อาตมามองหารถไม่เจอ เกือบจะเดินไปทางสถานี บขส.เมืองฟลอเรนซ์อยู่แล้ว พระครูปรีชาดึงแขนเอาไว้ก่อน "รถของเราจอดอยู่โน่นครับ...พระอาจารย์ " นายสันโดษแกดันเอารถไปจอดอยู่คนละฝั่งเสียนี่... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 03:24 |
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
เวนิส..อัญมณีแห่งทะเลเอเดรียติก (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) พลขับของเราหายหัวไป จึงต้องรอกันอยู่พักใหญ่ แล้วก็เห็นพาพนักงานโรงแรมเข็นกระเป๋ามาขึ้นรถ จัดการเปิดประตูรถให้พวกเราก่อน จากนั้นลงไปดูแลเรื่องกระเป๋า นายสันโดษแกทำงานรอบคอบทีเดียว เพราะนับกระเป๋าทีละใบเลย พอปิดประตูห้องเก็บของใต้ท้องรถแล้ว ก็มาเปิดเครื่องปรับอากาศให้กับพวกเรา คุณโอ๋ที่ "เคลียร์" กุญแจห้องและสารพัดเรื่องกับทางโรงแรมเสร็จ ขึ้นมาถึงก็นับว่าพวกเรามากันกี่คน พอเห็นว่าครบแล้วก็สั่งให้ออกรถได้... "คุณโอ๋..ที่นี่เขาคิดค่าห้องคืนละเท่าไร ?" อาตมาถามขึ้น เพราะว่าอยู่ติดแหล่งเที่ยวสำคัญแบบนี้ต้องแพงหูตูบอยู่แล้ว "๗๐๐ ยูโร (๒๘,๐๐๐ บาท) ครับพระอาจารย์ ห้องเดี่ยวหรือห้องคู่ก็ราคาเท่ากัน คณะของเราได้ราคาบริษัททัวร์ครับ เขาคิดห้องละ ๕๘๐ ยูโร (๒๓,๒๐๐ บาท)" มัคคุเทศก์รูปหล่อบอกแบบไม่ปิดบัง ขนาดนั้นอาตมาก็ยังว่า "แพงโคตร" อยู่ดี..! "วันนี้พวกเราจะเดินทางไปยังริมทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) ครับ เพื่อไปเยี่ยมชมเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงก้องโลกอีกแห่งหนึ่งของอิตาลี คือเมืองเวเนเซีย (Venezia) หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าเมืองเวนิส (Venice) พระอาจารย์ทุกท่านยังจำเรื่อง เวนิสวาณิช (The Merchant of Venice) พระราชนิพนธ์แปลของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ซึ่งเคยเรียนสมัยมัธยมได้ไหมครับ ? สถานที่ซึ่งกล่าวถึงในเรื่องนั้น ก็คือที่ซึ่งเราจะไปกันในวันนี้เอง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 03:25 |
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
จากฟลอเรนซ์ไปเวนิสต้องวิ่งผ่านโบโลญญาก่อน เมืองเวนิสเป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต (Veneto) อยู่ในภาคเหนือของอิตาลี เกิดจากการสร้างสะพานเชื่อมเกาะจำนวนมากเข้าด้วยกัน กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญจนได้ฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges) และเมืองแห่งแสงสว่าง (City of Light) กรุงเทพฯ ของเราเคยได้ฉายาว่า เวนิสตะวันออก เพราะมีคลองมากคล้ายกับเมืองเวนิสของอิตาลี" บรรยากาศเช้านี้ดูอึมครึมครึ้มฟ้าครึ้มฝนชอบกล นายสันโดษนำรถวิ่งไปตามถนนสาย A1 มีป้ายบอกว่าไป Bologna (โบโลญญา) ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐที่อาตมาแอบรู้มาว่าเมื่อคืนหลบไป "กรึ่ม" เบียร์อิตาลีแกล้มพิซซ่ามากับท่านอาจารย์ ดร.วันชัย ขอให้พวกเราทำวัตรเช้าตามระเบียบ โดยที่ท่านเองก็พนมมือสวดมนต์ "ล้างบาป" ไปด้วย พออุทิศส่วนกุศลซึ่งมีผู้โมทนามากมาย "ท่านผู้นำ" ก็ย้ำว่า "แบบนี้ผมไม่ต้องมาด้วยก็ได้" วะ..ทำเป็นแผ่นเสียงตกร่องไปได้ ถ้ายังอยู่ใน "ตำแหน่งเดิม" พ่อจะแจ้งให้ท้าวมหาราชเตะลงจากบัลลังก์ในฐานขี้เกียจซะเลย..! "ตั้งแต่โอ๋ทำทัวร์มา คิดว่าลูกทัวร์แบบไหนดูแลยากที่สุด ?" พระครูกล้าถามขึ้น แทนที่มัคคุเทศก์รูปหล่อจะบอกว่า "ลูกทัวร์แบบพระอาจารย์นั่นแหละครับ" ซึ่งคงจะหายหล่อไปเลย กลับรักษาความหล่อเอาไว้โดยเตะลูกออกนอกสนามว่า "เอาที่เคยพบมานะครับ ลูกทัวร์ญี่ปุ่นมีระเบียบ ดูแลง่ายที่สุด ลูกทัวร์จีนเอะอะเสียงดัง ชอบถ่มน้ำลายไม่เป็นที่เป็นทาง ลูกทัวร์เกาหลีชอบแต่งตัวสีตัดกันชนิดแสบไส้ ส่วนลูกทัวร์ไทยถ้าไม่ได้อยู่ในรถแบบนี้ ไม่มีใครฟังผมหรอกครับ ต่างคนต่างเดินไปคนละทิศคนละทาง" เหมือนกับสามวันที่ผ่านมาเลย ฮ่า..ฮ่า..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 03:26 |
สมาชิก 113 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
กำแพงกันดินถล่มที่แข็งแรงสุด ๆ นายสันโดษนำรถวิ่งผ่านสนามบิน จากมุมที่พวกเรามองเห็น มีแต่รถยนต์จอดอยู่เต็มลาน แต่ไม่เห็น "ทางวิ่ง" ของเครื่องบินว่าอยู่ด้านไหน สังเกตจากแสงแดดที่เข้ามาทางขวามือ แสดงว่าเรากำลังวิ่งขึ้นเหนือไปเรื่อย อาตมาขอแลกที่นั่งกับมัคคุเทศก์ เพื่อถ่ายรูปผ่านหน้ากระจกรถได้ถนัดหน่อย แต่กระจกรถช่วงบนก็ลายพร้อยไปด้วยแมลง ต้องหามุมที่ลายน้อยที่สุดเพื่อถ่ายรูป สองข้างทางช่วงที่เป็นตัวเมือง จะมีกำแพงกันเสียงติดตั้งเป็นแนวยาวเหยียด... ช่วงไหนผ่านภูเขาก็เจาะเป็นอุโมงค์โดยตลอด คุณโอ๋บรรยายว่า "อธิบดีกรมทางหลวงบ้านเราท่านหนึ่ง อยากจะทำอุโมงค์แบบนี้บ้าง อุตส่าห์บินมาดูงานถึงยุโรป แต่พอไปสำรวจพื้นที่ในบ้านเรา ปรากฏว่าภูเขาส่วนใหญ่เป็นดิน จึงไม่สามารถที่จะสร้างอุโมงค์ได้" อาตมาคิดว่าเป็นข้อแก้ตัวมากกว่า เพราะว่าเขาแค่อาศัยเจาะผ่านภูเขาไปเท่านั้น ตัวอุโมงค์ก็ทำด้วยคอนกรีต ถ้าเป็น "เขาดิน" ก็ยิ่งทำให้เจาะง่ายเข้าไปใหญ่... ช่วงที่เป็นแนวถนนผ่านเชิงเขา จะมีกำแพงกันดินถล่มที่สร้างได้แข็งแรงมาก อาตมาเห็นแถวสังขละบุรีใช้แค่ลวดตาข่ายคลุมดิน แล้วเอาปูนโปะข้างบน พอดินอมน้ำมาก ๆ ก็พาแผ่นปูนเลื่อนไหลถล่มลงมาทั้งแถบ ต้องทำกันใหม่ทุกปี ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำแบบยุโรปแล้วจะแข็งแรง อยู่ไปได้ชั่วลูกชั่วหลาน แต่ทำแบบนั้นแล้วไม่สามารถที่จะเบิกงบได้บ่อย ๆ แล้วจะ "กิน" อะไรกัน ?!? แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 03:29 |
สมาชิก 106 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
สะพานแขวนกับป้ายบอกทาง มานั่งอยู่ด้านหลังพลขับแบบนี้ จึงได้เห็นว่านายสันโดษนำรถไปด้วยความเร็ว ๖๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างสม่ำเสมอ มัคคุเทศก์รูปหล่อคงเคยแต่บรรยายจนลิงหลับ แต่นี่บรรยายจนพระหลับกันเป็นแถว ประกอบกับบรรยากาศที่นอกจากท้องนาป่าเขาแล้ว ก็มีแต่อุโมงค์สั้น ๆ ที่ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเลย นอกจากอาตมาที่เดี๋ยวลุกเดี๋ยวนั่งหามุมกระจกที่มีแมลงน้อยที่สุดเพื่อถ่ายรูป เมื่อไม่มีใครฟังในที่สุดมัคคุเทศก์ของเราก็เลยหลับแข่งกับคุณโอเล่บ้าง... ถนนบางช่วงมี "สะพานแขวน" ข้ามหัวไป โดยโครงสร้างมาจากสี่มุมข้างถนน วิ่งไปชนกันเป็นหลังคา แล้วมีลวดสลิงใหญ่โยงลงมารับน้ำหนัก ทำให้ดูเหมือนโครงเต็นท์ขนาดใหญ่ที่กางครอบถนนไว้ ให้รถของเราลอดผ่านไปข้างล่าง พวกเรายังคงวิ่งอยู่บนถนนสาย A1 มีป้ายบอกทางว่า Padova Bologna Interporto แสดงว่าต้องเป็นชุมทางนานาชาติ ที่ออกไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วสหภาพยุโรป (European Union: EU) ซึ่งมีถึง ๒๘ ประเทศที่รวมตัวเป็น "อีหรอบเดียวกัน"... "อีหรอบเป็นภาษาเรียกทวีปยุโรป (Europe) ตามเสียงอ่านของคนไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านไม่กลัวว่าเด็กรุ่นใหม่จะไม่เข้าใจหรือขอรับ ?" ไม่เข้าใจก็ปล่อยให้เขาค้นคว้าเอา ถ้าใครไม่ค้นคว้าทั้งที่ข้อมูลสมัยนี้หาง่ายกว่าแมลงวันหน้าร้อน ก็ปล่อยให้โง่ต่อไป เจอแนวคิดเผด็จการแบบนี้ แทนที่ "ท่านผู้นำ" จะเคยชินและสนับสนุน กลับเงียบเหมือนกำลังคิดอะไรไปเสียนี่... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
"Auto Grill สรณํ คจฺฉามิ" อาตมารู้สึกปวดปัสสาวะตามประสาคนฉันน้ำมาก เห็นคุณโอ๋หลับคร่อกอยู่จึงไม่อยากปลุก บอกกับนายสันโดษว่า "Auto Grill, please." พลขับปากหนักหลุดคำพูดออกมาว่า "Wait a minute, about 1.5 kilometers." เสียดายที่อาตมาไม่เล่นหวย ไม่อย่างนั้นวันนี้คงถูกรางวัลใหญ่เป็นแน่ เพราะนาน ๆ ทีนายสันโดษแกจะยอม "ดอกพิกุลร่วง" แบบนี้ แกพารถออกซ้ายไปแย่งทางรถที่วิ่งสวนมา เนื่องจากถนนที่เราวิ่งไปโดนปิดซ่อม เขาเปิดให้วิ่งย้อนศรได้ ๑ ช่องทาง ส่วนเจ้าของพื้นที่เอาไป ๒ ช่องทาง รถราเริ่มติดจนต้องวิ่งช้าลง นี่ตูจะได้เข้าห้องน้ำก่อนฉี่ราดไหมนะ ? ย้อนกลับมาเข้าช่องเดิมได้หน่อยหนึ่ง ก็เห็นร้าน Auto Grill อยู่ไม่ไกล นายสันโดษนำรถเข้าไปยังลานจอดรถที่มีรถราจอดกันแน่นไปหมด แต่ช่องจอดรถบัสยังมีว่างอยู่หลายช่อง อาตมาลงจากรถแบบลืมเจ็บสะโพกชั่วคราว ตรงดิ่งไปเข้าร้านสะดวกซื้อ มองหาป้าย W.C. แล้วจ้ำอ้าวตรงไปแบบไม่รอใครแล้ว กว่าเพื่อน ๆ จะตื่นกันขึ้นมาและลงจากรถครบคน อาตมาก็เดินออกจากห้องน้ำแบบสบายใจเฉิบ ปล่อยให้ท่านไปแย่งห้องน้ำกันเอง... เดินดูข้าวของและหลบบรรดาแหม่มไปด้วย ดันหลงเข้าไปด้านในที่เป็นประตูกระจกอีกด้านหนึ่ง "น้องแหม่ม" ที่กำลังจัดสินค้าขึ้นชั้นวางชี้ทางออกให้ อาตมาขอบใจแล้วเดินออกมานอกร้าน จัดการถ่ายรูปนาข้าวบาร์เลย์ ดอกผักบุ้งฝรั่ง (Morning Glory) และ ดอกบัวตองฝรั่ง (Butter Cup) ไปด้วย แล้วกลับขึ้นรถไปบันทึกข้อมูลลงสมุดบันทึก พระครูกล้าที่ตามขึ้นมาเห็นเข้าก็บอกว่า "เตรียมเขียนหนังสืออีกแล้วใช่ไหม ? ของผมให้ลงแต่ที่ดี ๆ นะ" เออ..ผมจะลงตามที่เป็นจริงอย่างดี ๆ เลยแหละ..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 96 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
อาคารตรวจสอบจำนวนนักท่องเที่ยว แข็งแรงประมาณว่ากันระเบิดได้..! กว่าเพื่อน ๆ จะตามขึ้นมาครบก็ตกครึ่งชั่วโมงกว่า บางท่านถือถ้วยกาแฟติดมือขึ้นมาด้วย พลขับผู้เงียบขรึมนำรถออกตอน ๑๐.๔๑ น. มัคคุเทศก์รูปหล่อจับไมโครโฟนบรรยายตามหน้าที่ ได้ยินประมาณว่าเรากำลังเดินทางตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าหลวง ร.๕ อยู่ แล้วอาตมาที่ตื่นตอนคนอื่นหลับ และดันมาหลับตอนที่คนอื่นตื่น ก็วูบไปตามระเบียบ... มารู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงมัคคุเทศก์รูปหล่อประกาศว่า “จวนถึงที่ตรวจสอบจำนวนนักท่องเที่ยวแล้วครับ” นายสันโดษพารถเลี้ยวออกจากถนนใหญ่ เข้าไปในถนนที่ใหญ่พอกัน แต่ต้อง “เข้าซอย” ไปหน่อยหนึ่ง แล้วเป็นรั้วตาข่ายเหล็กล้อมลานกว้างใหญ่โตมโหฬาร มีป้ายเขียนว่า CHECK – IN 4. Petorli นายสันโดษนำรถเลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดที่ลานด้านใน คุณโอ๋บอกให้พวกเรารออยู่บนรถ ตนเองจะลงไปแจ้งจำนวนคนและจ่ายค่าธรรมเนียมเอง... สถานที่แจ้งจำนวนนักท่องเที่ยวและจ่ายค่าธรรมเนียม เป็นตัวอาคารปิดทึบคล้ายตู้คอนเทนเนอร์ มีประตูเข้าที่ดูแข็งแรงมากปิดสนิทอยู่ทางซ้ายและขวาอย่างละบาน ตรงกลางมีช่องสำหรับติดต่อประเภทรูนกพิราบ (Pigeonhole) อยู่สามช่อง ด้านบนของช่องเขียนว่า CASSA 1 CASSA 2 และ CASSA 3 ซึ่งตอนนี้เปิดอยู่แค่ CASSA 1 มีผู้กำลังเข้าแถวอยู่หลายคน มัคคุเทศก์รูปหล่อของเราตรงเข้าไปต่อแถวด้วย อาตมาเข้าใจว่าที่เขาสร้างอาคารแน่นหนาขนาดนี้ คงจะเป็นเพราะว่ามีนักท่องเที่ยวมาจ่ายค่าธรรมเนียมจำนวนมหาศาล จึงต้องป้องกันการปล้นเอาไว้ก่อน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2016 เมื่อ 11:33 |
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
"เหม็นจริง ๆ เลย แกลองดมดูสิ..!" ตรงหน้ารถของเราเป็นรั้วล้อมห้องน้ำสาธารณะเอาไว้ มีช่องทางเข้าที่เป็นเครื่องกั้น ต้องหยอดเหรียญ ๕๐ เซ็นต์ (ครึ่งยูโร) จึงจะหมุนเปิดให้ มีอีหนูฝรั่งวัยรุ่นสะพายเป้สองคน ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ที่หน้าเครื่อง สงสัยว่าจะปวดหนักหรือเบาเต็มที่ แต่คงไม่มีเหรียญจะหยอด ท้ายสุดอีหนูในชุดเสื้อยืดสีส้ม กางเกงยืดสีดำขาสี่ส่วน ก็ส่งเป้ของตัวเองให้เพื่อนในชุดเสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้นสีดำที่อวบกว่าเกือบเท่าตัว แล้วปีนรั้วเข้าไปแบบหน้าตาเฉย เฮ้ย..ถ้าจะทำแบบนั้นก็ปีนข้ามเครื่องกั้นไปเลยดีกว่ามั้ง ? เตี้ยกว่ารั้วตั้งเยอะ..! ยายหนูหายมุดเข้าไปในห้องน้ำผู้หญิงที่มีคำว่า DONNE ซึ่งอุตส่าห์มีภาษาอังกฤษกำกับว่า WOMEN หายเงียบไปเกือบสิบนาที แล้วจึงปีนรั้วกลับออกมาแต่ดันทำแว่นกันแดดหล่น ต้องโก้งโค้งล้วงผ่านรั้วไปเอาคืน โดยไม่รู้ตัวว่าโดนอาตมาถ่ายทำพฤติการณ์ต่าง ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว ยังมีแก่ใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วยการยื่นมือไปที่จมูกเพื่อน ให้ลองดมดูว่าที่ตัวเองถ่ายออกมานั้นเหม็นได้ที่ขนาดไหน เลยโดนเพื่อนฟาดด้วยกระเป๋าเป้ไปหนึ่งที ก่อนที่จะวิ่งไล่ตีกันลับสายตาไป... พวกเราหลายคนลงจากรถไปยืดเส้นยืดสาย ส่วนมากไปยืนอออยู่ที่หน้าตู้ขายอาหารขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม ที่มีป้าย Snack & Drink อยู่ ๓ ตู้ และ Coffee อีก ๑ ตู้ พระครูชินฯ ไปยืนปลงอนิจจังอยู่ที่หน้าห้องน้ำ ท่าทางจะไม่มีเหรียญหยอดเช่นกัน พระครูโจเลยควักกระเป๋าส่งให้ อีกฝ่ายหยอดแล้วเดินผ่านเหล็กหมุนเข้าไป ยังดีที่เห็นอีหนูฝรั่งไปเข้าห้องน้ำผู้หญิง ท่านจึงเลี้ยวไปทางขวามือที่มีคำว่า UOMINI กำกับด้วยภาษาอังกฤษว่า MEN ได้ถูก แต่ตอนกลับออกมาดันหลงทาง เดินผ่านห้องน้ำผู้หญิงไปติดแหง็กอยู่ที่รั้ว ความจริงแค่เลี้ยวซ้ายก็ออกมาได้แล้ว ต้องให้พรรคพวกตะโกนเรียกถึงค่อยหายงง เดินกลับออกมาได้ถูกทาง... |
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
มื้อเที่ยงมาฝากท้องไว้ที่นี่ “นิมนต์ขึ้นรถค่ะ” คุณโอเล่ตะโกนบอกเมื่อเห็นคุณโอ๋กลับมาขึ้นรถ พอพวกเรากลับขึ้นมาครบแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็แจ้งว่า ต้องเก็บค่าเรือไปยังเกาะเวนิสคนละ ๒๕ ยูโร ซึ่งเป็นรายจ่ายที่นอกเหนือการรับผิดชอบของบริษัท พวกเราควักจ่ายให้แต่โดยดี โดยเฉพาะอาตมาจ่ายทีเดียว ๕๐ ยูโร เผื่อพระครูปรีชาด้วย คุณโอ๋เดินเก็บจากทางด้านหน้า คุณโอเล่เดินเก็บจากทางด้านหลัง จนมาชนกันตรงกลางรถ พระครูกล้าดึงแขนมัคคุเทศก์รูปหล่อไว้ แล้วถามว่า... “คุณโอ๋...มาถึงอิตาลีทั้งที ขอฉันพิซซ่าของแท้หน่อยจะได้ไหม ?” อีกฝ่ายยิ้มกว้างขวางพลางตอบว่า “ได้เลยครับพระอาจารย์ อีกสักครู่โอ๋จะจัดให้นะครับ” ทำไมน่ารักอย่างนี้วะ ? ถ้าไม่กลัวคนเข้าใจผิด คงมีพระโดดกอดมัคคุเทศก์รูปหล่อของเราบ้างเป็นแน่ นายสันโดษนำรถออกจากลานจอด ขณะที่คุณโอ๋บรรยายว่า การเข้าไปในแหล่งท่องเที่ยวของยุโรป ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแบบนี้ทุกเมือง นอกจากได้เงินไปปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการตรวจสอบได้ด้วยว่า ในแต่ละปีสถานที่แห่งนั้นมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนเท่าไร ถ้ามากจนเป็นเหตุให้เกิดความทรุดโทรม ก็จะมีการประกาศจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวทันที... มัวแต่ฟังมัคคุเทศก์รูปหล่อเพลิน ลืมดูทางว่านายสันโดษพาวิ่งไปทางไหน เห็นแค่ว่าวิ่งไปยังเส้นทางข้ามน้ำที่น่าจะเป็นทะเล มีถนนอยู่สองฟากข้างตรงกลางเป็นทางรถไฟ แต่มองอะไรไม่ถนัดเพราะเขาติดแผ่นกันเสียงสูงท่วมหัว ผ่านวงเวียนที่มีปฏิมากรรมเหล็กคล้ายตัว V แอ่น ซึ่งใช้เป็นที่แขวนโคมไฟ มาจอดอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามของอาคารสองชั้นทาสีกุหลาบแห้ง กว้างประมาณ ๓ คูหา เป็นภัตตาคารจีนชื่อ Ristorante Cinese La Pagoda แต่ป้ายเขียนคำว่า Chinese เป็น Cinese ภาษาอิตาเลียนเขาเขียนกันอย่างนี้ หรือว่าเขียนผิดจริง ๆ ก็ไม่รู้ ? หน้าร้านเป็นโครงเหล็กคลุมผ้าใบสูงเท่าอาคารชั้นที่หนึ่ง มีต้นไม้ประเภทชาทองและข่อยปลูกเอาไว้ตลอดแนว เท่ากับเป็นรั้วไปในตัว เว้นตรงกลางประมาณ ๓ เมตรให้เป็นช่องทางเข้าออกของลูกค้า... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-11-2016 เมื่อ 16:03 |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
"หนีห่าว" แปลว่าอะไรให้ไปถามพระครูวิลาศฯ..! ไม่ต้องรอให้คุณโอ๋กับคุณโอเล่บอก พวกเราก็ลงจากรถ ข้ามถนนแล้วไหลเข้าไปในภัตตาคารทันที เพราะตอนนี้เป็นเวลา ๑๒.๑๘ นาทีแล้ว ทุกคนหิวจนไส้แขวนขึ้นมาอยู่ที่คอหอย ทั้งที่ข้างนอกดูไม่น่าจะใหญ่โต แต่ภายในกว้างขวางทีเดียว มีโต๊ะอาหารจัดไว้โต๊ะละ ๑๐ ที่นั่ง ๗ – ๘ โต๊ะ อาเจ๊ที่น่าจะเป็นเจ้าของร้านในชุดเสื้อเชิร์ตสีขาวพับแขน สวมกางเกงยีนส์ทะมัดทะแมง ยืนต้อนรับคณะของเราที่ข้างเคาน์เตอร์เก็บเงิน “หนีห่าว” มัคคุเทศก์รูปหล่อส่งเสียงทักทายนำไปก่อน อาเจ๊ค้อมตัวคล้าย ๆ การโค้งของญี่ปุ่น แล้ว “หนีห่าว” ตอบมาด้วยมารยาทอันดี... “พระครูวิลาศฯ “หนีห่าว” แปลว่าอะไรวะ ?” องปลัดแกล้งโง่ได้เหมือนมาก “อ๋อ..เป็นการแสดงออกซึ่งสันติภาพคล้าย ๆ กับสวัสดีนั่นแหละครับ เพราะถ้าหนีก็แค่เห่าเท่านั้นแล้วจบกัน ถ้าสู้ก็โดดกัดเลย..!” อีกฝ่ายทุบพลั่กเข้าเต็มหลังของอาตมา “อีกแล้ว..ชักใบให้เรือเสียอยู่เรื่อย” ก็ดันแกล้งถามแบบโง่ ๆ เองนี่หว่า...อาตมาฉวยโอกาสอาศัยแรงทุบ ส่งตัวเองเลยไปหลังร้าน มุดเข้าห้องน้ำที่มีแค่ ๒ ห้องอย่างฉับไว กว่าพรรคพวกจะรู้ตัวก็ต้องมายืนรอคิวนินทากันอยู่หน้าห้องน้ำ “ผมว่าพระครูวิลาศฯ แกต้องจมูกดีมากเลยนะ ไปไหนก็ตามกลิ่นห้องน้ำเจอก่อนใครทุกที” เฮ้ย..ใครพูดตูจำเสียงได้นะโว้ย..! เบียดกลับออกจากห้องน้ำมาได้ จึงเห็นว่าร้านของเขาค่อนข้างกว้างขวางและจัดร้านได้น่าดูทีเดียว นอกจาก “โต๊ะจีน” ที่เตรียมถ้วยโถโอชามเป็นชุดไว้เรียบร้อยแล้ว ยังมีภาพเขียนพู่กันจีนจำพวกทิวทัศน์ ต้นไผ่ ดอกเหมย น้ำตก ปลาทอง และหญิงสาว ประดับอยู่ตามผนัง ด้านบนของเคาน์เตอร์เป็นชั้นวางบรรดาวิสกี้และบรั่นดียี่ห้อต่าง ๆ ในตู้กระจกมีสามเซียน ฮก ลก ซิ่ว ตั้งบูชาอยู่ เหนือเครื่องคิดเงินอัตโนมัติเป็นสิงโตหินแกะสลักหน้าตาเอาเรื่อง รอ “งาบ” เงินจากกระเป๋าลูกค้า พวกเราจองเอาไว้แค่ ๓ โต๊ะ เขาจึงต้องเสริมเก้าอี้ให้โต๊ะพระ เป็นโต๊ะละ ๑๑ รูป เกือบจะต้องขี่คอกันแล้ว..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2016 เมื่อ 03:45 |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
เจอไปโต๊ะละ ๑๑ รูป (รูปที่ ๑๑ เป็นคนถ่ายรูปนี้) แต่มื้อนี้ดูหรูมากนะนี่ เพราะที่คุณโอเล่กับ “หญิงใหญ่” ลำเลียงมาประเคนให้นั้น มีทั้งน้ำพริกกะปิ (กลิ่นจะไปกวนคนอื่นเขาหรือเปล่าหว่า ?) แตงกวาฝาน มะเขือเปราะ น่าจะฝากชีวิตไว้กับทัวร์คณะนี้ได้แน่ ๆ เพราะอะไรที่คนไทยชอบ มัคคุเทศก์รูปหล่อของเรามีให้ทั้งนั้น อีกจานหนึ่งเป็นหอยหลอดทอดน้ำตาล ที่หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ขนเอามาเผื่อทุกคนในคณะด้วย... ทั้งที่เขามีช้อน มีส้อม มีตะเกียบให้ แต่พวกเราเล่น “มังกรห้าเล็บ” เป็นหลัก เอื้อมมือคว้าหอยหลอดส่งเข้าปากกันคนละหมุบคนละหมับ บริกรชายยกเอา “น้ำมันพริก” มาวางให้ ถ้าเป็นน้ำมันพริกแบบเสฉวนแท้ ต้องใส่ “หมาล่า” ลงไปด้วย กินเข้าไปแต่ละทีลิ้นชาไปหมด พวกเราที่สนใจแต่หอยหลอด จึงยังไม่มีใครลองชิมเพื่อทดสอบผล อาตมาเองก็ไม่คิดที่จะชิมอยู่แล้ว... “ตู๋...ยังมีหอยใหญ่กว่านี้ เอ๊ย...มากกว่านี้อีกไหม ?” องปลัดที่ฟันหน้าหลอ ฉันไม่ค่อยจะทันใคร ควานไปเจอจานเปล่าเข้าเลยร้องถามขึ้นมา “หนูโง่ค่ะ...ถามแบบนี้ตอบไม่ถูกเลยค่ะ..!” รถเข็นประจำคณะปล่อยหมัดสวนกลับมาทันควัน ตอบแบบนี้แหละที่ฉลาดแล้ว ขืนตอบถูกมีหวังพวกลามเป็นขี้กลาก ยังดีที่รู้ใจกันแล้ว ถ้าไปถามคนอื่นฟันหน้าที่หลออยู่อาจจะร่วงเพิ่มขึ้นอีกก็เป็นได้..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-11-2016 เมื่อ 20:37 |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
กินพิซซ่าแท้ที่อิตาลี ข้าวสวยในกาละมังสเตนเลสลอยมาพร้อมกับปูนิ่มทอดกรอบ เพื่อนยังไม่ทันจะตักข้าวส่งไปให้ พระครูญาณฯ ก็ฟาดปูนิ่มไปแล้ว ๒ ชิ้น ปลาจีนน้ำแดงกับต้มจืดทะเลตามมาติด ๆ อย่างหลังนี่ถ้าไม่ใช่คนทำเป็นยอดฝีมือ ก็คงจะกล้าเพราะกินยาผิด อาหารทะเลเอามาทำต้มจืด ถ้าฝีมือไม่ดีจะคาวจนกินไม่ได้ อาตมาลองชิมไปคำหนึ่ง เฮ้ย..ยอดฝีมือเว้ย..! โดยเฉพาะเอาปลาหมึกแห้งมาปิ้ง แล้วหั่นฝอยใส่ลงไปด้วย กลิ่นหอมติดปากติดคอไปนานเลยทีเดียว... กุ้งอบเนยมากับผัดหน่อไม้ใส่ปลาหมึก ร้านนี้ออกอาหารได้เร็วมาก แต่พลังในการทำลายล้างของพวกเราเด็ดขาดกว่าหลายเท่า ของใหม่ยังไม่ทันจะมา ของเก่าก็เกลี้ยงจานไปแล้ว พอเห็นคุณโอ๋กับคุณโอเล่ที่ถือ Margarita Pizza มาคนละกล่อง ทุกคนก็ตบมือกันเกรียว พอวางลงกลางโต๊ะทั้งตะเกียบทั้งส้อมก็ยื่นให้ไขว่ไปหมด มัคคุเทศก์ของเรารอบคอบมาก เพราะให้ทางร้านตัดมากล่องละ ๑๑ ชิ้นพอดี เพียงแต่ใหญ่เล็กไม่ค่อยจะเท่ากันบ้างเท่านั้น... ชิมกันพอรู้รสว่าพิซซ่าต้นตำรับนั้นอร่อยสู้ของบ้านเราไม่ได้ ไข่เจียวกับผักกาดเขียวผัดน้ำมันที่ตามมา ไปกับน้ำพริกกะปิได้เป็นอย่างดี เมื่อทุกอย่างหายไปจากสายตา คุณโอเล่ก็เอาเชอรี่มาวางให้เป็นของหวาน แม้ว่าจะลูกเล็กไปหน่อยและสีแดงสดจนไม่ชินสายตา แต่ก็อร่อยใช้ได้... |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ข้ามจาก "เวนิสบก" ลงไปใน "เวนิสทะเล" เสียงเปิดประตูปึงปังแล้วผู้คนก็ไหลเข้ามาเป็นขบวน เสียงภาษาจีนดังเอะอะไปหมด อาเจ๊เจ้าของร้านรีบมาต้อนลูกค้าไปนั่งโต๊ะ แล้วส่งน้ำชาร้อนมาปิดปากโดยด่วน จากนั้นตะโกนสั่งพ่อครัวให้เร่งทำอาหาร ทำให้อาตมามั่นใจว่าอาเจ๊แกต้องเป็นจีนฮกเกี้ยนอย่างแน่นอน เสียงหม้อไหกระทะจากในครัวดังช้งเช้งไปหมด พออาหารมาถึงเสียงจานช้อนจากบรรดาอาแปะอาอึ้มอาเฮียอาเจ๊กลับดังกว่าอีก..! อาตมารีบลุกไปเข้าห้องน้ำก่อน ขืนรอให้บรรดาลูกหลานเผ่าพันธุ์มังกรลุกไปเข้าก่อน มีหวังได้รอกันเป็นชาติ ออกจากห้องน้ำแล้วก็เดินไปนั่งที่ส่วนรับแขกของร้านอาหาร เห็นมีเครื่องทำน้ำร้อนน้ำเย็นด้วย จึงไปเอาผ้าเย็นผืนเล็กที่ตัวเองใช้แล้วจากบนรถ เข้าไปซักสะอาดในห้องน้ำ แล้วออกมาทำการผลิต ผ้าร้อน โปะหน้าตัวเองแบบที่เพื่อน ๆ มองกันด้วยความอิจฉา... เมื่อคุณโอเล่ที่หอบอัฐบริขารในการกินขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็ให้สัญญาณบอกนายสันโดษให้ออกรถได้ พร้อมกับบรรยายถวายความรู้ให้ตามหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน ขณะนี้เราอยู่บนฝั่งที่เรียกว่า เวนิส เมสเตร (Venezia Mestre) หรือ เวนิสบก นะครับ กำลังจะข้ามไปเกาะเวนิส ที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า เวนิสทะเล ซึ่งเกิดจากการสร้างสะพานเชื่อมเกาะใหญ่ ๆ เล็ก ๆ จำนวน ๑๑๘ เกาะเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นเมืองกลางทะเล... |
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ขนาดลานจอดรถยังสวยเลย รถบัสของเราวิ่งเลียบริมทะเลแล้วขึ้นไปบนถนนที่เหมือนกับทางด่วนคู่ขนาน ไปสองช่องทาง มาสองช่องทาง ด้านข้างมีรางรถไฟอยู่ด้วย และบังเอิญเหลือเกินที่มีขบวนรถไฟวิ่งผ่านมาพอดี “นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเวนิสได้ทั้งทางเครื่องบิน ทางเรือ และทางบกที่มีทั้งรถยนต์และรถไฟ โดยรถไฟมีทั้งขบวนธรรมดาและความเร็วสูง (Eurostar) ที่เชื่อมต่อทั้งเมืองมิลาน และเมืองฟลอเรนซ์ โดยรถไฟจะข้ามสะพานที่เห็นไปจอดที่สถานี Venezia Santa Lucia จากนั้นค่อยเดินทางต่อด้วยเรือ เหมือนที่พวกเรากำลังจะไปขึ้นเรือกันนี่แหละครับ” ข้อมูลหลั่งไหลมาจากคุณโอ๋แบบไม่ขาดสาย... สะพานทางด่วนทอดข้ามทะเลไปจริง ๆ พอเจอป้าย San Marco พร้อมกับตัว P ที่มีลูกศรชี้ให้เลี้ยวขวา นายสันโดษก็เลี้ยวตามไปแต่โดยดี เข้าสู่ทางแคบ ๆ ที่พาวนไปยังลานจอดรถริมทะเล ว้าว...มุมนี้เป็นทะเลสีฟ้าสดใส ซ้ำยังมีแปลงดอกไม้สีม่วงอยู่อีกแถบใหญ่ พอรถจอดสนิทอาตมาจึงรีบลงรถไปก่อนเพื่อน เดินดุ่มไปถ่ายรูปมุมที่เล็งเอาไว้ก่อนทันที แล้วค่อยเดินตามคณะที่อ้อยอิ่งอยู่กับร้านขายของที่ระลึกซึ่งตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ข้าวของที่วางขายส่วนมากก็คือ เสื้อยืด หมวกทั้งสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย รองเท้าแตะ ของที่ระลึกสัญลักษณ์ของอิตาลีต่าง ๆ ทั้งที่เป็นพวงกุญแจ ถ้วย ถาด (สำหรับตั้งโชว์) หนังสือ ฯลฯ สารพัดจิปาถะ... “สวัสดีครับ” เจ้าของร้านที่เป็น “คุณเฉาก๊วย” ตัวดำปี๋ ยกมือไหว้พร้อมกับส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล เฮ้อ...ไปที่ไหนก็เจอแต่คนพูดภาษาไทย จะดีใจหรือจะเสียใจก็ไม่รู้ ? ที่ดีใจก็คือเขาพวกเขาพยายามสื่อสารด้วยภาษาไทย ซึ่งนับว่ามีอิทธิพลเพียงพอที่เขาจะต้องเรียนรู้ ที่เสียใจก็คือนักท่องเที่ยวไทยคงจะขนเงินมาทิ้งเมืองนอกปีละเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน บรรดาพ่อค้าแม่ขายถึงได้หัดพูดภาษาไทยจนชัดเจนปานนี้... |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
เรืออยู่หนใด..? เมื่อสอบถามดูแล้ว “คุณเฉาก๊วย” บอกว่าปิดร้านตอนหนึ่งทุ่ม มัคคุเทศก์รูปหล่อจึงสรุปว่า ให้พวกเราลงเรือไปเที่ยวยังเกาะเวนิสกันก่อน ขากลับค่อยมาหาซื้อของที่ระลึกกัน พวกเราเพิ่งเดินตรงไปยังอาคารริมทะเล ก็สวนกับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ “นมัสการค่ะ...สวัสดีครับ” แสดงว่าผู้หญิงคุ้นเคยกับพระมากกว่าผู้ชายจริง ๆ อาตมายกมือตอบรับการไหว้ สอบถามแล้วกลุ่มนี้เป็นนักท่องเที่ยวไทยที่เข้าเกาะไปตั้งแต่ตอนเช้า กำลังเดินทางกลับแผ่นดินใหญ่... บอกลาคณะคนไทยแล้ว อาตมารีบเดินตามพรรคพวกไป ผ่านตัวอาคารริมทะเลที่ส่วนมากเป็นกระจก ที่มีทั้งร้านอาหารและสำนักงาน ผู้คนเต็มไปหมด ทั้งที่เป็นกลุ่มใหญ่ ทั้งที่แบกเป้มาเดี่ยวมาคู่ ทั้งที่กำลังเข้าไปและที่เดินสวนออกมา เมื่อไปทันกับคณะเห็นคุณโอ๋กำลังโทรศัพท์ติดต่อเรือ ส่วนคุณโอเล่พยายามต้อนพวกเราที่แยกย้ายกันหามุมถ่ายรูป ให้มาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน แต่ดูแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไป “จับปูใส่กระด้ง” น่าจะง่ายกว่านะ... อาตมาส่งกล้องให้กับพระครูปรีชา แล้วหันหลังให้รั้วขอช่วยถ่ายรูปคู่กับเรือเดินทะเลสองชั้นลำสวย แต่พอรับกล้องคืนมาแล้วกดภาพดู กลับเป็นภาพตัวเองกับรั้วและน้ำทะเลไปเสียนี่ เออ...ตูผิดเองที่ไม่บอกให้ชัดเจน “นิมนต์ทางนี้ค่ะ เรือมาแล้วค่ะ” เสียงดังฟังชัดของ “หญิงใหญ่” ดังแหวกลมทะเลมาแบบไม่ต้องพึ่งโทรโข่ง พระสงฆ์ทั้ง ๒๒ รูปนำโดยท่านอาจารย์คณบดี จึงชักแถวเหลืองอร่ามลงไปยังสะพานเทียบเรือ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-11-2016 เมื่อ 16:43 |
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
ไปลำนี้ครับ มีหนุ่ม "ทอดสะพาน" ให้แล้ว ทางนี้ครับหลวงพ่อ.. ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ตะโกนเรียกหลวงพ่อพระครูเลิศ ที่กำลังจะปีนขึ้นไปบนเรือใหญ่สองชั้น อ้าว...เห็นถ่ายรูปกันแต่ลำนี้ ก็นึกว่าจะให้ไปลำนี้ ฮ่า..ที่ถ่ายรูปแต่ลำนั้นเพราะว่าสวยกว่าลำอื่นครับ แต่ของเราต้องไปไอ้เรือด่วนลำเล็กทางด้านนี้ ใครจะไปรู้เล่า ? หลวงพ่ออ้วนของเราบ่นอุบอิบ เรือของพวกเราหน้าตาเหมือน Speed Boat แต่ขยายขนาดออกมาเป็น ๔๐ ที่นั่ง บนหลังคามีห่วงชูชีพสีส้มอยู่เป็นสิบอัน ด้านท้องเรือทาสีเหลืองเหมาะสมกลมกลืนแก่การรับพระเป็นอย่างยิ่ง... ฝรั่งหนุ่มรูปร่างล่ำสันสามพันตึงสองนาย ทอดสะพาน จากเรือมาที่ท่าให้พวกเราขึ้นไป พร้อมกับนับจำนวนคนไปด้วย น่าเสียดายที่คน ทอดสะพาน ไม่ยักเป็นแหม่มสาว จึงทำให้งานกร่อยพอสมควร อาตมาขึ้นเรือได้ก็ตรงไปนั่งที่แถวหน้าสุดฝั่งซ้ายติดกับพระครูด็อกเตอร์ ท่านอาจารย์คณบดีกับหลวงพ่อเรืองนั่งแถวถัดไป ด้านขวามือแถวหน้าสุดมีพระครูกล้านั่งเดี่ยว (สงสัยว่าหาคนคบด้วยไม่ได้แล้ว) ถัดไปเป็นพระครูญาณฯ กับสมุห์สุมิตร มัคคุเทศก์รูปหล่อของเราไปนั่งอยู่ท้ายสุด ใกล้กับหลวงพ่อพระครูสันติฯ และพระครูวิสุทธฯ... ขึ้นเรือได้ก็ควักกล้องออกมาถ่ายรูปกันวุ่น พระครูญาณฯ เอนหลังจนติดช่องหัวเรือ แทบจะนอนลงไปกับพื้น เพื่อถ่ายรูปเพื่อน ๆ ให้ได้ทั้งคณะ ส่วนหลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ตั้งอกตั้งใจถ่ายรูปอยู่ทางท้ายเรือ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ส่งไมโครโฟนให้กับอาตมา แล้วถ่ายทำวิดีโอโดยให้อาตมาบรรยายว่า ตั้งแต่ออกจากเมืองไทยได้ไปที่ไหนมา ? เก็บเกี่ยวอะไรมาได้บ้าง ? และตอนนี้เรากำลังจะไปที่ไหนกัน ? |
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|