|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
ขึ้นมาแค่ ๒ คนจริง ๆ..! “ท่านอาจารย์และเพื่อน ๆ ให้ความสำคัญกับท่านมากนะครับ” “ท่านผู้นำ” ที่แอบลงเรือมาโดยไม่ได้ตีตั๋วเอ่ยปากวิจารณ์เมื่อถ่ายทำจบ “อ๋อ...ก็แค่จำได้ทั้งหมดว่าไปไหนมาบ้าง และพอที่จะ “รู้กาลเทศะ” ว่าในสถานการณ์แบบไหนควรจะพูดเรื่องอะไรเท่านั้นเอง ขืนไปให้คนอื่นพูดอาจจะต้องตัดทิ้งไปทั้งชั่วโมง” อาตมาเตะลูกออกนอกสนามหน้าตาเฉย ทำเอา “ท่านผู้นำ” ทำท่าเหมือนวัวกระทิงเจอผ้าแดง ถ้าไม่ติดว่าอาตมาเป็นพระคงจะพุ่งเข้ามาขวิดแล้ว..! เรือของเราวิ่งทะยานไปบนทะเลสีฟ้าใส ลมแรงสดชื่นพัดเข้ามาทุกทิศทุกทาง อาตมาหยิบกล้องเดินออกไปทางท้ายเรือ ซึ่งพ่อหนุ่มล่ำบึ้กทั้งสองนายกำลังควบคุมเรืออยู่ ขึ้นบันไดเตี้ย ๆ ไปบนหลังคา จัดการถ่ายรูปรอบด้านที่มีทั้งเรือสวย ๆ ที่กำลังวิ่งสวนมา และตึกเก่าสวย ๆ ที่เรียงรายอยู่ทางซ้ายมือ สักครู่ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐที่ถือกล้องวิดีโอ กับท่านอาจารย์ ดร.วันชัยที่ถือกล้องภาพนิ่งก็ตามขึ้นมาบ้าง ตามมาด้วยหลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ พระครูกล้ากับพระครูโจ... “นายบึ้กกว่า” วางมือให้เพื่อนถือพวงมาลัยเรือ ปีนขึ้นมาบอกว่า ตามกฎของการเดินทะเลที่นี่ ห้ามคนขึ้นมาข้างบนหลังคาเกินสองคน อาตมาแกล้งตีลูกมึนตอบว่า “ก็สองคนพอดีแล้วนี่นา ที่เหลือเป็นพระล้วน ๆ..!” อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนดมอึมาอย่างนั้นแหละ..! เพื่อไม่ให้นายท้ายของเราต้องโดดทะเลหรือผูกคอตาย และไม่ให้เป็นภาระกับ “ท่านผู้นำ” มากจนเกินไป อาตมาจึงบอกเพื่อน ๆ ทุกคนที่ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว ให้ลงไปข้างล่างกันเถอะ ปล่อยให้ท่านอาจารย์ทั้งสองเก็บภาพแทนก็แล้วกัน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 23-11-2016 เมื่อ 17:17 |
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
ที่สูงเด่นนั่นคือหอระฆังเซนต์มาร์ค (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) "ที่ท่านเห็นสูงเด่นอยู่นั่นคือหอระฆังเซนต์มาร์ค (St. Mark's Campanile) ตั้งอยู่ข้างจัตุรัสเซนต์มาร์ค (St. Mark's Square) อาคารใกล้หอระฆังทางด้านซ้ายมือที่เกือบติดริมทะเล ก็คือมหาวิหารเซนต์มาร์ค (St. Mark's Basilica) ส่วนทางขวามือที่มีช่องหน้าต่างเรียงรายนั่นคือพระราชวังดอดจ์ (Doge's Palace)" มัคคุเทศก์เถื่อนทำหน้าที่อรรถาธิบายขยายความ เมื่อเห็นอาตมาถ่ายรูปบริเวณนั้นผ่านหน้าต่างเรือ... "เป็นอิตาเลียนแท้ ๆ ทำไมเรียกชื่อสถานที่เป็นภาษาอังกฤษไปหมด ?" อีกฝ่ายค้อนขวับผิดวิสัยชายชาติทหาร "ก็เพื่อให้ท่านเข้าใจง่าย ๆ นะซีขอรับ" อ้อ..ขอบคุณเป็นอันขาด ถ้ามีโอกาสจะเนรคุณ เอ๊ย..จะตอบแทนบุญคุณ พอดีเสียงคุณโอ๋ดังขึ้นมาว่า... "พระอาจารย์ทุกท่านครับ" มัคคุเทศก์ตัวจริงไปยืนอยู่ด้านหน้าห้องท้องเรือพลางเรียกร้องความสนใจ "อีกสักครู่เราจะขึ้นเรือที่ เกาะซานจิออร์จิโอ แมกจิออเร่ (San Giorgio Maggiore) ซึ่งเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดของ "เวนิสทะเล" จะมีสิ่งที่น่าสนใจให้เที่ยวชมกันหลายแห่ง ได้แก่... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2016 เมื่อ 19:11 |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
จตุรัส ซาน มาร์โค (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) ๑. สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) หรือที่ภาษาอิตาเลียนเรียกว่า Ponte dei Sospiri เป็นสะพานเก่าแก่ที่ออกแบบโดย Antonio Contino ในปี ค.ศ.๑๖๐๐ เป็นเส้นทางลำเลียงนักโทษเข้าสู่คุก ซึ่งส่วนมากก็คือโดนขังลืมตลอดชีวิต สร้างมาจากหินปูนสีขาว (Limestone) มีช่องหน้าต่างให้มองออกมาได้ เพื่อให้นักโทษได้ชมความสวยงามของท้องฟ้า และทะเลแห่งเวนิสเป็นครั้งสุดท้าย ที่ได้ชื่อนี้เพราะว่านักโทษมักจะถอนหายใจเหมือนกับปลงชีวิต ก่อนที่จะโดนขังลืมนั่นเองครับ... ๒. จัตุรัส ซาน มาร์โค (Piazza San Marco) หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า St. Mark's Square เป็นจุดหมายสำคัญที่สุด ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาเวนิสทุกคนต้องไปให้ถึง ที่นี่มีสถานที่สำคัญให้เที่ยวชมหลายแห่งดังนี้ครับ... ๒.๑ โบสถ์ซานจิออร์จิโอ แมกจิออเร (Church of San Giorgio Maggiore) เป็นโบสถ์ประจำเกาะของคริสตจักรนิกายเบเนดิกซ์ สร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาวในสไตล์คลาสสิกและเรเนสซองก์ ในช่วงระหว่างปี ๑๕๖๖ ถึง ๑๖๑๐ ออกแบบโดย Andrea Palladio |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
มหาวิหารเซนต์มาร์ค (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) ๒.๒ พระราชวังปาลาซโซ ดูคาเล่ (Palazzo Ducale) หรือ พระราชวังดอดจ์ (Doge's Palace) เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นในแบบเวเนเชี่ยนโกธิค (Venetian Gothic style) เป็นสถานที่พำนักของผู้ปกครองเมืองเวนิส และต่อมาได้รับการเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ๑๙๒๓ ดำเนินการโดย Fondazione Musei Civici di Venezia ๒.๓ มหาวิหารเซนต์มาร์ค (St. Mark's Basilica) เป็นมหาวิหารของนิกายโรมันคาทอลิก ในอัครสังฆมณฑลแห่งเวนิส (Roman Catholic Archdiocese of Venice) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้เผยแผ่ศาสนาที่อียิปต์แล้วถูกประหารชีวิต จุดเด่นอยู่ที่การมีโดม ๕ โดม ซึ่งได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะที่แตกต่างกัน ทางด้านหน้าประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์ค และรูปหล่อม้าบรอนซ์ ๔ ตัว ซึ่งเล่ากันว่าขโมยมาจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล เป็นมหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองเวนิส และเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทน์ ๒.๔ หอระฆังเซนต์มาร์ค (St. Mark's Campanile) หนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดของเมืองเวนิส ตั้งอยู่ใกล้มหาวิหารเซนต์มาร์ค มีความสูง ๓๒๓ ฟุต หรือประมาณ ๙๗ เมตร เป็นจุดชมวิวที่สำคัญ ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
สะพานริอัลโต (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) ๒.๕ คลองใหญ่ (Grand Canal) คลองที่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวและเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวเพื่อล่องเรือกอนโดล่า มีความกว้างประมาณ ๓๐ ๙๐ เมตร ยาวประมาณ ๓,๘๐๐ เมตร ๒.๖ สะพานริอัลโต (Rialto Bridge) เดิมทีเป็นสะพานไม้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๒ หลังจากที่พังไป สะพานหินก็ถูกสร้างขึ้นมาทดแทน และเป็นสะพานข้าม Grand Canal เพียงแห่งเดียวมาจนถึงปี ค.ศ. ๑๘๕๔ จนกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคม และค้าขายแลกเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของเมืองเวนิส ใครที่มาแล้วไม่ได้ข้ามสะพานนี้ถือว่ามาไม่ถึง เป็นจุดถ่ายภาพที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง รอบสะพานทั้งสองฝั่งเป็นย่านขายของที่ระลึกและตลาดสด Rialto โอ๋...เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้แล้ว กลับไปจะขอบรรจุให้ แหม..มีหัวข้อ ๑ ๒ ๓ ๔ เหมือนอาจารย์แถวนี้เปี๊ยบเลย พระครูวิสุทธฯ ตะโกนแซวมาจากท้ายเรือ แต่อาจารย์แถวนี้ที่ลงมาจากหลังคาเรือ แค่ยิ้มไปถ่ายวิดีโอไป ไม่เห็นจะสะทกสะท้านเลยสักนิด ให้รู้เสียบ้างว่าไผเป็นไผ...! พอดีเรือวิ่งมาจนเห็นหอระฆังเซนต์มาร์ค และโบสถ์ซานจิออร์จิโอฯ เด่นอยู่ริมน้ำ พวกเราทั้งหมดจึงหันไปสนใจกับถ่ายรูป ปล่อยให้มัคคุเทศก์รูปหล่อยืนเหวอไปคนเดียว... |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
ดูแค่ข้างหลังก็พอ เดี๋ยวเลือดกำเดาไหล..! ถ่ายทั้งอาคารสวย ๆ ริมน้ำ และเรือสำราญลำมหึมา แต่กล้องถ่ายรูปยี่ห้อดีแค่ไหนก็สู้สายตาไม่ได้ ยังดีที่เป็นระบบดิจิตอล ถ่ายแล้วถ้าไม่พอใจก็กดลบทิ้งแล้วถ่ายใหม่ได้ "คุณโอ๋..พาพวกเรานั่งอย่างไอ้ลำนั้นบ้างได้ไหม ?" ท่านประธานรุ่นชี้ไปที่เรือสำราญลำมหึมาน่าจะจุคนได้เป็นพัน พลางถามด้วยเสียงเหน่อเพชรบุรี "แฮะ..แฮะ..ทั้งขายรถ ขายบ้าน และตัวผมเองด้วย ก็คงจะได้ตั๋วแค่ ๓ - ๔ ใบเท่านั้นครับพระอาจารย์" พอดีเรือของเราชะลอความเร็ว แล้วค่อย ๆ เทียบท่าฝั่งที่พวกเราตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปนั่นแหละ... พวกเราขึ้นจากเรือมารวมพลท่ามกลางความสนใจของนักท่องเที่ยวอื่น ๆ หลายรายยกกล้องถ่ายรูปพวกเราเอาไว้ "เรามีเวลาที่นี่ประมาณ ๓ ชั่วโมง ช่วงแรกผมจะนำไปก่อน หลังจากล่องเรือกอนโดล่าแล้วค่อยแยกย้ายกันไปช็อปปิ้ง พระอาจารย์ทุกท่านดูหอระฆังเซนต์มาร์คเอาไว้นะครับ นั่นเป็นจุดนัดพบของเรา แต่ถ้ามาช้าแล้วไม่เจอใคร ให้มาที่จุดรอขึ้นเรือตรงนี้เลยนะครับ" ว่าแล้วสุดหล่อประจำคณะก็พาพวกเราเดินฝ่าแสงแดดที่จัดจ้า เลียบริมน้ำตรงไปยังหอระฆังที่เห็นเด่นเป็นสง่า รอบตัวมีแต่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด โดยเฉพาะบรรดาสาววัยรุ่น ที่นุ่งกางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยืดหรือเสื้อกล้าม เพื่อให้ร่างกายได้รับแสงแดดให้มากที่สุด บางคนเล่นใส่ "เสื้อบรา" ตัวใหญ่กว่าบิกินี่นิดเดียว มิหนำซ้ำแต่ละคนล้วนแต่ "แม่ให้มา" อย่างเต็มที่ จนน่าสงสัยว่ากำลัง "ปอดบวม" อยู่หรือเปล่า ? กลายเป็นอาหารตาแก่บรรดาหนุ่ม ๆ ที่เหล่กันแล้วเหล่กันอีก แม้แต่ในคณะของเราก็มี "คิกคัก" วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างครื้นเครง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2016 เมื่อ 15:03 |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
สาว ๆ ใส่ชุดโบราณให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย ทำไมท่านไม่มองแบบเพื่อน ๆ ของท่านบ้าง ? เสียง ท่านผู้นำ ถามขึ้นแบบไม่น่าจะสงสัย อ๋อ... ถ้ามัวแต่ไปสนใจแค่ระดับสายตาหรือต่ำกว่าสายตา อาจจะเดินสะดุดล้มให้ขายหน้า เวนิเชียน และนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้ อีกอย่างก็คือ สาว ๆ จะหาดูที่ไหนก็ได้ แต่บ้านนี้เมืองนี้อาจจะมีโอกาสมาแค่ครั้งเดียว จึงควรที่จะดูให้มากไว้ไม่ใช่หรือ ? ไม่อย่างนั้นเวลาคนเขาถามว่าไปเวนิสแล้วเขามีอะไรเด็ด ๆ บ้าง จะให้ตอบว่ามีแต่ ตูด กับ นม หรืออย่างไร ? ปล่อย ท่านผู้นำ ยืนอึ้งกับคำตอบไว้แค่นั้น เบื้องหน้าเป็นสาว ๆ ใส่หน้ากากในชุด กระโปรงสุ่มไก่ สีสันสดใสสามคน ทั้งม่วงสลับขาว ขาวสลับแดง และแดงลายทอง ซึ่งยืนเรียกนักท่องเที่ยวให้เข้าไปถ่ายรูปด้วย เพื่อแลกกับเงินพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ พระครูโจส่งกล้องให้กับพระครูกล้า แล้วเข้าไปขอถ่ายรูปท่ามกลางเสียงกรี๊ดกร๊าดชอบใจของแม่เจ้าประคุณทั้งสาม ระวังเขากอดเอาเน้อ เสียงของท่านประธานรุ่นเตือนขึ้น จึงมีเสียง Dont touch me ห้ามขึ้นเป็นระยะ... อาตมาไม่สนใจการถ่ายรูปกับสาว ๆ แบบนั้น จึงเดินเลยไปจนถึงอนุสาวรีย์แห่งหนึ่ง ที่มีรูปวีรบุรุษซึ่งน่าจะเป็นกษัตริย์อะไรสักพระองค์หนึ่ง ทรงม้าถือดาบหราอยู่บนแท่นสูง ตรงฐานด้านที่อาตมาเดินมาถึงซึ่งเป็นทางด้านหลังของอนุสาวรีย์ มีรูปหล่อสัมฤทธิ์เขียวของผู้หญิงถือดาบหัก นั่งทับสิงโตมีปีกที่หัวทิ่มลงไปกัดโซ่ ที่น่าจะเป็นอาการดิ้นรนก่อนตาย ใกล้ ๆ กับปลายเท้าผู้หญิงที่ขั้นบันไดขึ้นอนุสาวรีย์ เป็นกระบอกปืนใหญ่สัมฤทธิ์กับโล่สัมฤทธิ์ ที่เหมือนกับตกหล่นจากการต่อสู้... |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
"น้าแหม่ม" ถ่ายรูปได้ดีมาก..! แต่พออ้อมด้านข้างซึ่งมีโล่สัมฤทธิ์ทับธงสัมฤทธิ์ไปถึงด้านหน้า ทางนี้เป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์ของผู้หญิงคนเดิม ที่มือขวาถือดาบ ยกมือซ้ายเหมือนกำลังประกาศศักดา นั่งบนหลังสิงโตมีปีกที่ยกหัวขึ้นคำราม นี่แปลว่าฟัดกันทางด้านหน้า แล้วไปฆ่าสิงโตได้ทางด้านหลัง แล้วกษัตริย์พระองค์นี้เป็นใครกันหนอ ? "ไม่ใช่กษัตริย์ครับท่าน ถ้าเจ้านี่เป็นกษัตริย์ ผมก็ต้องระดับจักรพรรดิเลยแหละ..!" ไม่เคยเห็น "ท่านผู้นำ" ยกหางตัวเองแบบนี้มาก่อน แล้วเขาเป็นใครกันวะ ? "มาร์โคโปโลครับท่าน นักเดินทางที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก เป็นชาวเมืองเวนิสนี่เองครับ" อ้าว..เรอะ ? ไหน ๆ ก็มาถึงบ้านคนดังแล้ว ขอถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์คนดังหน่อยเถอะ อาตมาส่งภาษาอังกฤษไปยัง "น้าแหม่ม" ที่กำลังถ่ายรูปอยู่ว่า "May you take me some photo ?" อีกฝ่ายที่เพิ่งเห็น "ตัวประหลาด" อย่างอาตมาถึงกับทำตาโต "Oh..yes." ก่อนที่จะเอื้อมมือมารับกล้องไปถ่ายให้แต่โดยดี "Thank you for your kindness." อาตมาขอบคุณแล้วรับกล้องกลับมา แต่พอกดดูรูปแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือก เพราะ "น้าแหม่ม" เธอถ่ายมาแค่รูปอาตมาจริง ๆ... ตัดสินใจส่งกล้องให้พ่อหนุ่มกางเกงขาสั้น สวมเสื้อยืดสีน้ำเงิน ใส่แว่นตาดำที่ยืนมองอยู่ใกล้ ๆ ย้ำว่า "All of this monument." พ่อหนุ่มพยักหน้าหงึก ๆ จัดการกดให้สองรูปรวด เมื่อขอบคุณแล้วรับกล้องคืนมากดดูรูปใหม่ คราวนี้ใช้ได้ ต่อไปจะเรียกใครถ่ายรูปคงต้องบรรยายสรุปให้ก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะเสียเวลา ๒ รอบแบบวันนี้ หันไปดูข้างหลังไม่เจอพรรคพวกสักคน มีแต่จีวรสีเหลืองที่ข้ามสะพานไปแล้ว อาตมาตามขึ้นไปสะพานไปบ้าง เห็นนักท่องเที่ยวส่วนมากหันหน้าเข้าไปใน "ซอย" ที่เป็นคลองเล็ก ๆ มีเรืออยู่สองสามลำ แล้วถ่ายรูปกันเป็นการใหญ่ เรือแบบนี้มีอะไรน่าดูวะ ? แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2016 เมื่อ 03:21 |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
เขาถ่ายรูปสะพานแห่งนี้ ไม่ใช่เรือข้างล่าง..! เขาถ่ายสะพานถอนหายใจกันขอรับ มัคคุเทศก์เถื่อนชี้ให้ดูสะพานรูปโค้งที่ปิดทึบรอบด้าน มีหน้าต่างลูกกรงอยู่สองช่อง เชื่อมอาคารสองฝั่งคลองเข้าด้วยกัน ความสูงอยู่ระดับเดียวกับชั้นสองของตัวอาคาร อ๋อ..สะพานนักโทษปลงชีวิตของคุณโอ๋นั่นเอง ตูก็นึกว่าเขาถ่ายรูปคลองกับเรือเสียอีก ขอโทษครับที่โง่..! ถ้าท่านยังโง่ ในโลกนี้ก็คงหาคนฉลาดได้ยากเต็มทีแล้วครับ น่าน...โดน ท่านผู้นำ กัดเอาอีกจนได้ ขี้เกียจทะเลาะกับ ผี อาตมาจึงเดินลงสะพานตามพรรคพวกหลายท่านที่เลี้ยวขวาเข้าไปใต้อาคารพระราชวังดูคาเล่ไปแล้ว อีกส่วนหนึ่งยังคงแยกย้ายกันไปเก็บภาพมุมต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านที่เป็นทะเล... แดดจัดจนตาพร่า บรรดา ฝรั่ง ทั้งหญิงชาย เดินเอ้อระเหยลอยชายตากแดดอย่างมีความสุข แต่พวกเรามุดเข้าใต้ระเบียงพระราชวังดูคาเล่ หลบแดดตามมัคคุเทศก์รูปหล่อที่กำลัง จ้อ ติดลม โดยมีอาตมา ท่านไพฑูรย์ กับพระครูปรีชายืนฟังอยู่แค่สามรูป ส่วนพรรคพวกแยกย้ายกันไปหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัยหมดแล้ว... พระราชวังดูคาเล่ (Palazzo Ducale) หรือ พระราชวังดอดจ์ (Doge Palace) เป็นวังของดอดจ์ (เจ้าผู้ครองนคร) ผู้ครองเมืองเวนิสมากว่า ๒๐๐ พระองค์ เป็นศูนย์รวมอำนาจในการปกครองนครเวนิสในอดีต วังนี้สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ ๙ ได้รับการบูรณะและก่อสร้างเพิ่มเติมในระหว่างศตวรรษที่ ๑๔ และ ๑๕ จนกระทั่งสวยงามอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ท้องพระโรงใหญ่ประดับด้วยทองคำและประดับภาพจิตรกรรมขนาดใหญ่ถึง ๗ X ๒๒ เมตร ชื่อ "The Paradise" ของจาโคโป ตินโตเรตโต (Jacopo Tintoretto) จิตรกรที่มีชื่อเสียงของเมืองเวนิส ภาพนี้ได้ชื่อว่าเป็นภาพเขียนสีน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก น่าเสียดายที่เวลาของพวกเรามีน้อย จึงไม่ได้พาพระอาจารย์ทุกท่านเข้าไปชมด้านใน |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
รูปหมู่หน้าไหม้ที่หน้ามหาวิหารเซนต์มาร์ค ฟังจบอาตมาก็เดินออกจากระเบียงพระราชวัง ไปถ่ายรูปเสาที่มีสิงโตมีปีกหล่อด้วยสัมฤทธิ์อยู่ด้านบน "สิงโตมีปีกนี่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเวนิสขอรับ" ท่านมัคคุเทศก์เถื่อนอุตส่าห์เมตตาบอก ยังดีที่อาตมา "ตาถึง" จึงไม่ได้มองข้ามไปแบบท่านอื่น ๆ แล้วส่งกล้องให้พระครูปรีชาช่วยถ่ายรูปอาตมากับหอระฆังเซนต์มาร์คให้ด้วย เมื่อรับกล้องคืนมา ทั้งคณะก็โดนคุณโอ๋กับคุณโอเล่ "ต้อน" ไปทางลานจตุรัสหน้ามหาวิหารเซนต์มาร์ค "เราจะไม่เข้าไปดูในโบสถ์นี่กันเลยหรือ ?" ใบฎีกาวรัญญูเอ่ยถาม "ถ้าไม่ไปล่องเรือกอนโดล่าถึงจะมีเวลาพอเข้าไปดูครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่ออรรถาธิบาย... "รวมพลถ่ายรูปหมู่หน่อยครับ" พระครูญาณฯ ตะโกนเมื่อไปถึงกลางลาน ทำเอาบรรดานักท่องเที่ยว "ฯ..ทั้งจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติ..ฯ" หันมามองเป็นตาเดียว ยังไม่ทันที่จะตั้งแถวเสร็จ กล้องถ่ายรูปเป็นร้อยก็ยื่นมาถ่ายกันให้พรึ่บพรั่บไปหมด หลายคนที่นั่งกินกาแฟอาบแดดอยู่แท้ ๆ ยังทิ้งถ้วยกาแฟคว้ากล้องและวิดีโอมาร่วมเฮด้วย ทำเอาท่านอาจารย์หัวหน้าภาควิชา ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย อาจารย์ตู๋ คุณโอ๋ และคุณโอเล่ โดนบังมุมกล้องจนต้องยืนทำตาปริบ ๆ รอจนกว่า "ฝรั่งมุง" จะยอมถอยให้ พวกเราก็หน้าไหม้เพราะแดดเผาไปตาม ๆ กัน... จัตุรัสหน้าโบสถ์นี้มีนกพิราบฝูงใหญ่ รอกินข้าวโพดและขนมปังที่นักท่องเที่ยวมาโปรยเลี้ยง เมื่อพวกเราถ่ายรูปหมู่เสร็จแล้วจึงไปเลี้ยงนกกันบ้าง อาตมาเล็งเด็กหญิงตัวน้อยที่ใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นสีขาว สะพายกระเป๋าสีชมพูสายคาดเขียว ที่เข้าชุดกับหมวกสีเขียวคาดชมพู ซึ่งกำลังกล้า ๆ กลัว ๆ ยื่นมือที่มีเมล็ดข้าวโพดออกไปเลี้ยงบรรดานกพิราบ เขียนทีไรหงุดหงิดทุกที สมัยอาตมายังเรียนชั้นประถมเขาเขียนว่า "นกพิลาป" เพราะว่านกชนิดนี้ครางเสียงฮือ..ฮือ..เหมือนกับคนร้องไห้ มาสมัยนี้กลายเป็นนกพิราบแบนแต๊ดแต๋แปลไม่ออก หรือจะให้แปลว่าแบนอย่างวิเศษกระมัง ? ต้องไปถามท่านอาจารย์ปู่ (ศ.พิเศษ จำนง ทองประเสริฐ) ผู้แก้ไขคำศัพท์นี้กันเอาเอง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 25-01-2017 เมื่อ 10:53 |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
เจ้านักเลงโตที่มาแย่งอาหารนกพิราบ บรรดาปักษีผู้มีปีกบินฮือเข้าใส่พร้อม ๆ กัน ทำเอาเทพธิดาตัวน้อยเบี่ยงหลบอุตลุด จนทนการมะรุมมะตุ้มไม่ไหว ต้องโยนข้าวโพดทิ้ง วิ่งแจ้นกลับไปหาผู้เป็นพ่อที่ถ่ายวิดีโออยู่ บรรดานกก็ฮือกันเข้าไปเก็บกินเม็ดข้าวโพดบนพื้น มีนกนางนวล (Seagull) ตัวใหญ่ ที่ไม่รู้ว่าเป็นญาติของ Jonathan Livingston Seagull หรือเปล่า ? โผเข้ามาจนนกพิราบแตกกระจายทั้งกลุ่ม บางตัวที่ยังก้มหน้าก้มตาจิกเม็ดข้าวโพด โดนเจ้านางนวล สับ ด้วยจะงอยปากแหลมเปี๊ยบ ร้องเอ็ดตะโรเผ่นหนีแทบไม่ทัน ปล่อยให้เจ้านกนักเลงโตเหมาอาหารไปตัวเดียวแบบจำใจยอม... สองข้างลานจัตุรัสเป็นตึกแถวยาวเหยียด เป็นทั้งร้านขายสินค้าที่ระลึกและเป็นทั้งที่พักอาศัย แต่ที่กิจการรุ่งเรืองยังคงเป็นร้านกาแฟ ที่อาศัยตั้งอยู่ข้างหน้า ตึกแถว ติดกับลานจัตุรัส เพราะมีลูกค้านั่งกันแน่นแทบทุกร้าน พวกเราเดินตามมัคคุเทศก์รูปหล่อที่โทรศัพท์ติดต่อเรือซึ่งจองไว้ล่องคลองเวนิสไปจนสุดจตุรัส มหานพพลก็ชักชวนว่า ถ่ายรูปหมู่กันตรงนี้อีกทีเถอะ เมื่อกี้นี้ฝรั่งมุงเยอะเหลือเกิน ทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วย จึงตั้งแถวกันแบบรีบด่วน... อาตมาส่งกล้องให้ท่านอาจารย์ตู๋ช่วยถ่ายรูปให้ด้วย รอจนท่านอาจารย์คณบดี พระครูด็อกเตอร์ และพระครูกุ้ยไฮ้ ซึ่งไปให้ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยถ่ายรูปอยู่กลางลานจัตุรัสมาถึง ยังไม่ทันจะถ่ายรูปเสียงพระครูโจก็ดังมาแต่ไกล เดี๋ยว..เดี๋ยว..รอผมด้วย ผมมีนางฟ้าตัวน้อยมาด้วย ท่านไปหลอกลูกสาวใครมาก็ไม่รู้ ? ยายหนูตัวน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู อายุน่าจะไม่เกินสองขวบ อยู่ในชุดเสื้อยืดไม่มีแขน กางเกงขาสั้นลายขาวแดง มีหมวกลายขาวดำโปะหัวมาด้วย ตรงมาร่วมเข้ากล้องด้วยแบบไม่มีเคอะเขิน... |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
นักท่องเที่ยวกำลังลงเรือกอนโดล่า ถ่ายรูปเสร็จยายหนูก็เดินเตาะแตะจากไปท่ามกลางเสียง "See you again, thank you." ของบรรดา "หลวงปู่" ทั้งหลาย อาตมารีบจ้ำตามหลังท่านไพฑูรย์ ที่เกาะติดมัคคุเทศก์ตลอดเวลาเหมือนกลัวโดนทิ้ง คุณโอ๋เดินนำพวกเราเข้าไปในระเบียง "ตึกแถว" แล้วเลี้ยวขวาเดินเข้าซอยไปโดยมีคุณโอเล่ปิดท้ายขบวน ลัดเลาะร้านค้าต่าง ๆ ไปอย่างคล่องแคล่ว จนมาโผล่ที่ข้างท่าเรือริมคลอง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวยืนรอกันอยู่กลุ่มใหญ่ ในคลองมีเรือกอนโดล่าสีดำเงาวับลอยอยู่หลายลำ... คุณโอ๋ส่งตั๋วสำหรับนั่งเรือกอนโดล่าทั้งปึกให้กับผู้จัดคิว อีกฝ่ายรับไปดูขณะที่พวกเราถ่ายรูปเรือกอนโดล่ากันใหญ่ ไอ้เรือแจวแบบนี้อาตมาทั้งถ่อทั้งแจวมาตั้งแต่เด็ก เพราะไปอาศัยอยู่บ้านยายที่ตลาดบางลี่ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งมีน้ำท่วมปีละหลายเดือน จึงไม่ค่อยตื่นเต้นกับใคร รอจนเรือรับนักท่องเที่ยวบ้างสามคน บ้างห้าคน ออกไปหลายลำก็มาถึงคิวของพวกเรา ซึ่งแบ่งสันปันส่วนกันลงเรือดังนี้ ลำที่ ๑ พระครูด็อกเตอร์ หลวงพ่อพระครูเรือง อาตมา พระครูปรีชา ท่านไพฑูรย์ ลำที่ ๒ หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ท่านอาจารย์คณบดี หลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ พระครูวิสุทธฯ องปลัด ลำที่ ๓ พระครูสันติฯ มหานพพล สมุห์สุมิตร อาจารย์ตู๋ คุณโอเล่ ลำที่ ๔ หลวงพ่อพระครูญา พระครูชินฯ พระครูญาณฯ พระครูกล้า พระครูโจ ลำที่ ๕ หลวงพ่อพระครูชุบ หลวงพ่อพระครูเลิศ มหากังวาล ใบฎีกาวรัญญู ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2017 เมื่อ 16:01 |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
"หนึ่ง...สอง...สาม" จะจบปริญญาเอกอยู่แล้ว ยังนับได้แค่นี้เอง..! พ่อหนุ่มนักถ่อในชุดเสื้อยืดคอปกลายขาวดำ เหมือนชุดนักโทษของบางประเทศ พาเรือออกจากท่า ล่องไปตามลำคลองเล็ก ๆ ที่สองฝั่งคลองขนาบไปด้วยตัวตึกเก่า ๆ เรือกอนโดล่านี้หน้าตาเหมือนกับรองเท้าสกีขนาดใหญ่ หัวท้ายงอนขึ้น มีเก้าอี้บุกำมะหยี่สีแดงเลือดหมูตั้งอยู่กลางลำคู่หนึ่ง เก้าอี้ไม้ปูพรมเขียวอีกหนึ่งตัว ซึ่งน่าจะมีไว้ให้หนุ่มสาวนั่งกินลมชมวิวด้วยกัน แต่ตอนนี้กลายเป็นที่นั่งของพระครูด็อกเตอร์ที่ขาเสียจากการโดนยิงสมัยฆราวาส กับหลวงพ่อพระครูเรืองที่ตอนกลางคืนถ้าไม่ยิ้มก็จะหาตัวได้ยาก... อาตมาที่นั่งท้ายสุดเพราะลงเรือก่อน เอื้อมมือผ่านท่านไพฑูรย์ ส่งกล้องให้กับพระครูปรีชาที่อยู่ด้านหน้าสุด เพื่อขอให้ช่วยถ่ายรูปให้ด้วย หลวงพ่อพระครูเรืองจึงงัดเอากล้อง Canon ตัวเบ้อเริ่มของท่านขึ้นมาส่งให้ไปบ้าง เฮ้ย..เพิ่งรู้ว่าท่านผู้อำนวยการโรงเรียนปริยัติรังสรรค์วัดกุฎีดาว พกกล้องราคาแพงขนาดนี้ แต่ระดับ ผอ.โรงเรียนที่มีนักเรียนสามสี่พันคน ใช้กล้องแบบนี้ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว ขืนใช้ "กล้องปัญญาอ่อน" แบบอาตมาต่างหากที่จะถูกนินทา... "หนึ่ง...สอง...สาม" "นับเท่าไรก็ได้ไม่เกินสาม นี่ขนาดเรียนระดับปริญญาเอก จนเป็น "ว่าที่ด็อกเตอร์" ไปตาม ๆ กันแล้วนะ" อาตมาบ่นจน "ว่าที่ดับเบิลด็อกเตอร์" หัวเราะ "ขืนนับมากกว่านั้นมีหวังคนมองว่าเรียนจนเพี้ยนไปแล้ว" ก็น่าจะจริง อะไรที่เป็นประเพณีนิยมในสังคม ขืนไปเปลี่ยนแปลงโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ มีหวังชนตอหงายท้องแน่ ๆ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2017 เมื่อ 03:48 |
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
"เศร้า" มากค่ะ..! พระครูปรีชาถ่ายภาพเสร็จ ก็คลานมาส่งกล้องคืนให้ ท่านไพฑูรย์จึงคลานสลับที่ออกไปนั่งที่หัวเรือ หันหน้ามาให้ถ่ายรูปบ้าง ตามด้วยอาตมาที่ต้องอ้อม "เก้าอี้ฮ่องเต้" ถึงจะออกไปนั่งที่หัวเรือได้ แต่พอชวนหลวงพ่อพระครูเรืองท่านกลับไม่เอาด้วย "ผมแก่แล้ว คลานตกน้ำไปจะอายฝรั่งมัน นิมนต์หลวงพ่อตามสบายครับ" ส่วนพระครูด็อกเตอร์คงไม่ต้องชวน เพราะเท้าของท่านไม่เหมาะแม้แต่จะยืน ขืนมาคลานทั้งขาเหล็กคงได้ตกน้ำกันจริง ๆ... ผ่านเรือลำอื่น ๆ ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งหญิงและชาย อาตมาส่งเสียง "Ciao" ทักทายทุกลำ หลายคนนอกจากตอบรับแล้ว ยังยกกล้องถ่ายรูปพวกเราเอาไว้ด้วย "หลวงพ่อเล็ก ไอ้คำว่า "เศร้า" นี่แปลว่าอะไรครับ ?" ท่าน ผอ. โรงเรียนฯ ถาม "อ๋อ..ความจริงต้องออกเสียงว่า "ซีเอา" ครับหลวงพ่อ แต่พอพูดเร็ว ๆ จะได้ยินเป็น "เซ่า" ครับ แปลว่า "สวัสดี" หรือถ้าเป็นภาษาไทยก็ประมาณว่า "หวัดดี" อะไรทำนองนั้น ไม่ใช่ "เศร้า" ถ้า "เศร้า" ก็ต้องน้ำตานองหน้า ไม่มีใครยิ้มแบบนี้หรอกครับ"... "ท่านอาจารย์ถามเขาหน่อยว่าคลองนี้ลึกเท่าไร ?" พระครูปรีชาโยนภาระมาให้ อาตมาส่งภาษาไปที่นายท้ายว่า "How about this canal deep ?" แล้วก็ไม่ผิดหวัง เมื่อนายท้ายเรือตอบมาว่า "2 meters, Grand canal outside 7 meters deep." แสดงว่านายท้ายเรือทุกคนรู้ข้อมูลแหล่งทำกินของตัวเองเป็นอย่างดี อาตมาแปลให้พวกเราทราบขณะที่เรือค่อย ๆ แล่นผ่านบ้านเรือนที่หลายหลังมีชานบ้านหรือระเบียงบ้านปริ่มน้ำ ซึ่งตกแต่งบ้านด้วยกระถางต้นไม้เล็ก ๆ มีดอกสีสดใส ทดแทนกับผนังตึกที่เก่าคร่ำคร่า... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 09-02-2017 เมื่อ 16:04 |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
ลัดเลาะไปตาม "ซอย" ที่สองข้างเป็นตึกเก่าแก่ "หลายปีมานี้น้ำท่วมสูงขึ้นเรื่อย ๆ ขอรับ อย่างปีที่ผ่านมาบริเวณจตุรัสซานมาร์โค น้ำท่วมประมาณหัวเข่า เล่นเอาชาวบ้านทำมาหากินไม่ได้ไปเกือบสองเดือน" มัคคุเทศก์เถื่อนที่ย่องลงเรือมาแบบไม่ยอมซื้อตั๋วบอกข้อมูลเพิ่มเติม "แล้วมีสิทธิ์ที่จะท่วมหายไปทั้งเกาะบ้างหรือเปล่า ?" อีกฝ่ายทำหน้าขรึม "มีสิทธิ์ขอรับ แต่อย่าถามว่าเมื่อไร เพราะเป็นการฝืนกฎของกรรม" เออ..ถ้าอย่างนั้นตูจะได้ไม่ถาม มีอะไรที่พอจะบอกกันได้ กรุณาแจ้งเพื่อทราบด้วยก็แล้วกัน... นายท้ายพาเรือเลาะลัดไปซอกเล็กซอกน้อย ที่ทุกมุมตึกจะมีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่ แสดงถึงความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยเป็นอย่างสูง เพราะว่าการท่องเที่ยวคือหัวใจของเมืองเวนิส ถ้าหากว่าไม่ปลอดภัย ไม่มีใครมาเที่ยว ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติกก็คงถึงกาลอวสาน ดูท่าว่าการแจวเรือของที่นี่จะเป็นระบบ One way เพราะว่านอกจากแซงลำอื่นแล้ว ไม่มีเรือสวนมาแม้แต่ลำเดียว ทั้งที่คลองซอกตึกกว้างพอที่จะหลีกกันได้สบาย... ลดเลี้ยวมาหลาย "ซอย" นอกจากระเบียงบ้านที่บางแห่งเป็นร้านอาหาร บางแห่งเป็นร้านขายของที่ระลึก ซึ่งได้รับการตกแต่งให้มีสีสันแล้ว ที่เหลือก็คือผนังตึกสีเก่า ๆ ทึม ๆ หลายแห่งก็เป็นการก่ออิฐเปลือยทำให้เห็นถึงความเก่าแก่คร่ำคร่า มีสะพานทั้งที่เป็นรูปโค้ง และสะพานที่พาดตรงไปเฉย ๆ เชื่อมระหว่างตึกแถว เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการสัญจรของชาวบ้าน ในที่สุดหัวเรือของเราก็โผล่ออกมายังคลองใหญ่ (Grand Canal) ซึ่งความจริงก็คือทะเลนั่นแหละ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 09-02-2017 เมื่อ 16:22 |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
ดวลกล้องกันในระยะเผาขน นายท้ายของเราถ่อเรือตรงไปทางสะพานโค้งที่มีหลังคาคลุมตลอดตัวสะพาน ซึ่งดูไปแล้วเหมือนกับเป็น "สุดซอยทะเล" พลางอธิบายว่า "นั่นคือสะพานริอัลโต แต่เดิมเป็นสะพานไม้แต่ถูกไฟไหม้เสียหายหมด ช่วงประมาณปี ค.ศ. ๑๕๐๐ จึงมีการประกวดออกแบบเพื่อสร้างสะพานหินขึ้นมาแทน มีสถาปนิกที่มีชื่อเสียงมาก อย่างมิเคลันเจโล (Michelangelo) พัลลาดิโอ (Palladio) และ ซานโซวิโน (Sansovino) ส่งแบบเข้าประกวด แต่ผู้ได้รับรางวัล คือ อันโตนิโอ ดา ปอนเต (Antonio da Ponte) ที่ไม่มีชื่อเสียงใด ๆ เนื่องจากมีการออกแบบที่สวยงามโดดเด่น แบ่งพื้นที่ใช้สอยสำหรับตั้งร้านค้าต่าง ๆ และกำหนดระดับความสูงเพียงพอให้เรือลอดผ่านได้อีกด้วย"... "ท่านอาจารย์ครับ...บอกให้เขาพูดช้า ๆ หน่อย พวกผมฟังไม่ทัน ไอ้โมสท์ฟอร์โมสท์นั่นคืออะไรครับ ?" พระครูปรีชาประท้วงนายท้ายที่พูดแบบใส่คะแนนไม่ทัน "อ๋อ... the most famous หมายถึงนักออกแบบซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของยุคนั้น คือ "ไมเคิล แองเจโล" ไม่ใช่นมฟอร์โมสท์เยอะแยะอย่างที่คุณเข้าใจ" เสียงฮาของเพื่อนร่วมลำเรือดังขึ้นพร้อมกัน แสดงว่าได้ยินเหมือน ๆ กันเป็นแน่แท้ เล่นเอานายท้ายทำตาปริบ ๆ ว่าเรื่องสะพานข้ามคลองใหญ่นี่มันตลกตรงไหนวะ ? เรือลำอื่น ๆ ของพวกเราทยอยกันออกจากคลองซอยมาในคลองใหญ่ จึงมีการถ่ายรูปกันและกันแบบดวลกล้องอย่างกระชั้นชิด "เรือที่ท่านนั่งนี้ แต่เดิมเป็นเรือขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ เพื่อส่งเข้าไปตามร้านค้าในคลองซอยให้ทั่วถึง ภายหลังจึงดัดแปลงมาเพื่อรับนักท่องเที่ยว จนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวเมืองเวนิสขอรับ" อือม์...ข้อมูลของ "ท่านผู้นำ" รู้สึกว่าจะได้น้ำได้เนื้อมากกว่าคุณโอ๋และนายท้ายของเราเสียอีก... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 09-02-2017 เมื่อ 16:18 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
บ้าน "นายซ่า" ที่ไปเมืองจีนตั้งแต่ยุคสุโขทัยยังเป็นวุ้นอยู่เลย..! เมื่อเลี้ยวหัวเรือกลับ นายท้ายก็ชี้ให้ดูบ้านหลังหนึ่ง เป็นตึกสูงสี่ชั้นกว้างประมาณ ๖ ห้อง ทาสีเหลืองซึ่งซีดจางลงมากตามกาลเวลา "บ้านทางขวามือของทุกท่าน ที่มีต้นไม้หลายต้นอยู่ที่หน้าบ้าน คือบ้านของมาร์โคโปโล ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดท่านหนึ่งของเมืองเวนิส ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดีทั้งที่มีอายุตั้งหลายร้อยปีแล้ว" เมื่ออาตมาแปลให้เพื่อน ๆ ฟัง ทุกคนจึงยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเอาไว้ ขณะที่นายท้ายพาเรือกอนโดล่าเลี้ยวกลับเข้าไปในคลองซอย... นอกจากสังเกตว่ามีป้ายเล็ก ๆ บอกทางติดไว้ที่สูงตามมุมตึกแล้ว อาตมายังสนใจ "แม่ย่านาง" ของเรือลำนี้ ที่เป็นรูปนางฟ้ามีปีก หล่อด้วยทองเหลือง มีผ้าสี ๆ ผูกรับขวัญเอาไว้อีกด้วย ถ้าหากว่ามีทองปิดอีกสักหลายแผ่น ก็น่าจะเชื่อได้เลยว่าเจ้าของเป็นคนไทย ทั้งที่อยู่ไกลกันจนสุดหล้าฟ้าเขียว ทำไมความเชื่อแบบนี้ถึงเหมือน ๆ กันได้ก็ไม่รู้ ? "แสดงว่าคนโบราณท่าน "รู้จริง" ขอรับ อะไรที่เป็นความจริง เมื่อ "สัมผัส" ได้ ย่อมได้รับคำตอบที่เหมือน ๆ กันไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก" มัคคุเทศก์ไร้สังกัดให้ข้อสังเกต ขณะที่นายท้ายนำเรือเข้าจอดเทียบท่า อาตมาพยุงพระครูด็อกเตอร์ให้ขึ้นจากเรือ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยในเรืออีกลำที่ตามมาติด ๆ รีบขึ้นจากเรือมาช่วยพยุง ซึ่งเป็นการดีมาก เพราะว่าอาตมาคนเดียวทำท่าว่าจะเอาไม่อยู่ เล่นเอาเพื่อน ๆ "ลุ้น" ระทึกกันแบบใจหายใจคว่ำ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2017 เมื่อ 16:13 |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
เดินกลับไปที่จตุรัสซานมาร์โค มัวแต่พาท่านพระครูด็อกเตอร์ขึ้นบนท่า หันมาอีกทีเรือก็ออกตัวไปรวมกันอยู่ตรงท่าสำหรับลงเรือกันหมดแล้ว ไม่รู้ว่ามีใคร "ถีบ" ให้นายท้ายไปบ้างหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ก็ถือว่ารับบุญเป็นค่าบริการไปก็แล้วกัน "พระอาจารย์ทุกท่านโชคดีมากครับ เพราะว่ามีเรือสำราญเข้ามา ขอเช่าเรือกอนโดล่าทีเดียว ๗๗ ลำ ซึ่งเรือทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ก็มีไม่ถึง ถ้าเรามาช้ากว่านี้สักหน่อย มีหวังต้องรอกันนานเลยครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่อที่ส่งภาษาอิตาเลียนกับนายท่าหันมาบอกข่าวพวกเรา... นับว่าดวงดีมี "ผี" คุ้ม ฮ่า..ฮ่า..! เล่นเอา "ผี" ทำท่าอยากจะหักคอ "คน" ซะเดี๋ยวนั้นเลย พวกเราเดินตามคุณโอ๋ออกจากท่าเรือ โดยมี "หญิงใหญ่" ปิดท้ายขบวน ปล่อยให้บรรดานักท่องเที่ยวที่เพิ่งมาถึง ลุ้นกันสุดชีวิตว่าตัวเองจะได้เรือหรือไม่ ? มุดซอยวนกลับมายังจตุรัสซานมาร์โคตามเดิม แล้วมัคคุเทศก์รูปหล่อก็ปล่อยพวกเราแบบ "ตัวใครตัวมัน"... "ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงยี่สิบเจ็ดนาทีของที่นี่ พระอาจารย์ทุกท่านเดินเลือกซื้อสินค้าได้ตามสบายนะครับ ถึงเวลาห้าโมงเย็นให้ทุกท่านมาพบกันที่จตุรัสนี้ ถ้ามาแล้วไม่เจอใคร นิมนต์เดินย้อนกลับไปที่ท่าเรือนะครับ เรือของเราจะมารับที่ท่าเดิมตอนห้าโมงครึ่ง" พวกเราที่แม้ว่าจะรับทราบกำหนดการและจุดนัดพบกันแล้ว แต่ด้วยความที่ไม่เคยมาเวนิสกันเลย จึงสมัครใจเดินตามมัคคุเทศก์รูปหล่อกันต่อไป โดยเฉพาะท่านไพฑูรย์ที่ดูเหมือนกับโดนเสน่ห์ยาแฝดก็ไม่ปาน เพราะตามติดชนิดหายใจรดต้นคอมาตลอดตั้งแต่ต้นจนบัดนี้... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2017 เมื่อ 19:29 |
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
ของสวยบนที่สูง อาตมาถือว่ามีมัคคุเทศก์พิเศษประจำตัว จึงไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง แวะดูข้าวของที่ระลึกที่วางขายกันประมาณ “ซอยร้อยร้าน” ของบ้านเรา มีทั้งเครื่องแก้ว เครื่องเคลือบ เครื่องหนัง หน้ากากสารพัดแบบ เทวรูปและอัญมณี ตั้งแต่ชิ้นเล็กจนแทบจะหยิบไม่ติด ไปจนถึงชิ้นใหญ่สูงท่วมหัว ราคาตั้งแต่ ๑ ยูโรขึ้นไป จนถึงหลายพันยูโร เดินไปก็อาศัยวิชา “ล็อกเป้า” ที่เรียนมาสมัยยังเป็นนักเรียนทหาร พยายามจำทางไปด้วย โดยเฉพาะการเหลียวหลังดูทางให้บ่อยที่สุด เพื่อจะได้ชินกับ “ภูมิประเทศ” ช่วงขากลับ จึงได้เห็นของสวยแบบไม่ได้ตั้งใจ... เป็นโคมไฟส่องทางที่ทำเป็นรูปร่มสามอัน สีน้ำเงิน เขียว แดง ล้อมขึ้นมาเป็นรูปโคม มีขั้วเป็นวงกลมสัมฤทธิ์ติดกับห่วงเล็ก ๆ ซึ่งคาบอยู่ในปากของหงส์ไฟ (Phoenix) ผงาดปีก ซึ่งยื่นคอยาวออกมาจากตัวที่เกาะอยู่กับผนังตึกด้านบน ทั้งหงส์และโลหะยึดกับผนังหล่อจากสัมฤทธิ์ ศิลปะอ่อนช้อยงดงามมาก จนต้องแวะถามที่ร้านขายเครื่องสัมฤทธิ์ว่า มีโคมไฟแบบนี้จำหน่ายหรือเปล่า ? สาวสวยที่ยืนคอยต้อนรับลูกค้าแสดงความเสียใจว่าไม่มี เพราะว่าเป็นของที่ร้านตรงหัวมุมที่แขวนโคมนั้นสั่งทำขึ้นมาเองโดยเฉพาะ ท่านสนใจโคมไฟแบบอื่นบ้างหรือไม่ ? อาตมาขอบคุณแล้วเดินไล่ตามไปทางที่พรรคพวกเพิ่งเดินลับมุมตึก อีกสองเลี้ยวก็หลุดมาที่ริมคลองใหญ่ตามเดิม แต่ตรงนี้เป็นท่าเรือโดยสาร ซึ่งเป็นเรือเดินสมุทรลำใหญ่ ไม่แน่ใจว่าไปไกลถึงไหน ดูจากป้ายดิจิทัลแต่เห็นชื่อจุดหมายที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เช่น TRONCHETTO, ACCADEMIA, LIDO เป็นต้น เหลือบไปเห็นมัคคุเทศก์รูปหล่อยืนอยู่กับหลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ที่หน้าร้านขายไอศกรีม ซึ่งมีพิซซ่าขายด้วย ในร้านแคบ ๆ มีพวกเราเข้าไปนั่งเอ้เต้ฉันไอศกรีมกันอยู่โต๊ะหนึ่งแล้ว... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 09-02-2017 เมื่อ 16:28 |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
อยากได้ของถูกก็ต้อง take away อาตมาดูที่ป้ายเห็นราคาพิซซ่า "ถาด" ละ ๔ ยูโร แต่ของไอศกรีมกลับมีราคาพิลึก คือเป็นรูปโคนมีไอศกรีม ๒ "ลูก" ไปจนถึง ๕ "ลูก" แถวบนราคา ๑ - ๔ ยูโร แต่แถวล่างที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง กลับมีราคาบวกหนึ่งทุกอัน คือ ๒ - ๕ ยูโร "Why it has a different price ?" อาตมาถาม "น้องแหม่ม" ผมสีน้ำตาลอมทองที่ยืนขายไอศกรีมให้พวกเรา คุณโอ๋ได้ยินจึงอธิบายแทนว่า "ถ้ากินที่ร้านของเขาก็ ๒ "ลูก" ๓ ยูโร ถ้าเอาไปกินที่อื่นก็ ๓ "ลูก" ๒ ยูโรครับ"... "เฮ้ย..เฮ้ย..อิ๊บอ๋ายแล้ว แบบนี้แปลว่าพวกผมเจอ ๓ ยูโรแล้วละสิ..!" พระครูญาณฯ ที่นั่ง "จุ๊ย" อยู่ในร้านโวยขึ้นมา "บ้านเขามีพื้นที่น้อยครับพระอาจารย์ ถ้านั่งในร้านเท่ากับเราต้องจ่ายค่าพื้นที่ให้เขาด้วยครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่ออรรถาธิบายเพิ่มเติม พระครูญาณฯ & เดอะ แก๊งค์ ทำท่าว่าอิ่มจนจุกขึ้นมาโดยพลัน "แล้วถ้าเอาไปกินที่อื่นต้องบอกเขาว่าอย่างไร ?" เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของหลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ถามขึ้น... "บอกเขาว่าเอากี่ "ลูก" ต่อด้วย take away ครับ" อาตมาเพิ่งบอกเสร็จ ในแถวของพวกเราที่มีทั้งพระและฆราวาส ก็ร้อง "take away" กันให้ขรม อาตมาไม่สนใจเรื่องอาหารที่ฉันหลังเพลอยู่แล้ว โดยเฉพาะของที่สุ่มเสี่ยงต่อการต้องอาบัติจนศีลขาดอย่างไอศกรีม จึงเดินต่อไปจนถึงสะพานริอัลโต หาจังหวะว่างเดินแทรกนักท่องเที่ยวขึ้นไป เพื่อถ่ายรูปทิวทัศน์ของคลองใหญ่จากมุมบนสะพานนี้บ้าง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-02-2017 เมื่อ 19:29 |
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|