|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
เสียบบัตรผ่านแล้วรับคืนด้วย “พระอาจารย์ทุกท่านอย่าทำตั๋วหายนะครับ เพราะว่าช่วงแรกต้องอาศัยตั๋วนี้ผ่านเครื่องตรวจเข้าไปด้านใน แล้วยังต้องขึ้นกระเช้าลอยฟ้าอีกสามช่วงไปบนยอดเขา ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะต้องตรวจตั๋วอีกหรือเปล่า ?” นอกจากตั๋วขึ้นกระเช้าแล้ว ยังมีสติ๊กเกอร์อีกคนละชิ้นเล็ก ๆ ให้แปะไว้กับจีวร “จะแปะไว้เลยหรือจะไปแปะติดตอนเข้าร้านขายของที่ระลึกก็ได้ครับ ถ้าไม่มีสติ๊กเกอร์นี้ เขาจะไม่ขายของให้นะครับ เพราะว่าคนที่ไม่มีสติ๊กเกอร์คือบรรดาเจ้าหน้าที่ของที่นี่ ถ้าไปซื้อของที่ระลึกซึ่งสามารถขอลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ๘ % ก็จะเป็นการเอาเปรียบคนอื่นเขา” อาตมาเอาสติ๊กเกอร์แปะไว้กับด้านหน้าของผ้าจีวรไปเลย... แจกตั๋วครบแล้วมัคคุเทศก์รูปหล่อก็เดินนำไปยังอาคารสองชั้น ที่มีรูปยอดเขาหิมะติดเกือบจะเต็มพื้นที่ เว้นไว้แต่ประตูทางเข้าเท่านั้น ด้านบนสุดมีป้ายภาษาอังกฤษเขียนว่า TITLIS ENGELBERG บรรดานักท่องเที่ยวฝรั่ง หันกล้องมาถ่ายรูปคณะของเราเป็นการใหญ่ เมื่อเข้าประตูไปด้านซ้ายเป็นช่องขายตั๋ว ซึ่งมีคนเข้าแถวกันยาวทีเดียว ส่วนทางขวามือเป็นทางไปขึ้นกระเช้า (Cable Car) มีเครื่องนับจำนวนคนที่เป็นเครื่องดิจิตอล ๔ เครื่องด้วยกัน คุณโอ๋จัดการเสียบตั๋วให้พวกเราดูเป็นตัวอย่าง เมื่อเสียง "ปี๊บ" ดังขึ้นก็หยิบตั๋วคืนมาแล้วเดินผ่านไป ทุกคนทำตามกันแบบรู้หน้าที่... อาตมาหยิบตั๋วคืนมาและเดินผ่านไปแล้ว ก็ถอยหลังไปหลายก้าว หันกล้องกลับมาถ่ายพรรคพวกที่ตามมาทีหลัง แล้วจึงค่อยตามมัคคุเทศก์รูปหล่อของเราต่อไป ภายในเป็นทางเดินแคบ ๆ ประมาณเคียงไหล่กันสองคน พอถึงจุดที่ต้องตรวจนับค่อยขยายกว้างออกเป็นสี่ช่องทางตามเคย มีทีวีวงจรปิดฉายภาพเส้นทางขึ้นยอดเขาและข้อมูลต่าง ๆ ให้ดูเป็นระยะไป จนกระทั่งหลุดออกมายังทางเดินที่เป็นเหมือนวิหารคด แต่หลังคาเป็นกระจกใสรับแดดจัดจ้า ด้านหน้าของเราเป็นห้องโถงกว้าง มีผู้คนนับร้อยที่ยืนรอขึ้นกระเช้าลอยฟ้าอยู่อย่างเป็นระเบียบ มีเจ้าหน้าที่หญิงชายหลายคน กระจายตัวกันคอยจัดระเบียบและนับจำนวนคน ว่าแต่ละชุดให้เข้าไปรอขึ้นกระเช้าได้กี่คน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-05-2017 เมื่อ 03:58 |
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
เพื่อน ๆ ขอถ่ายรูปด้วย เผื่อได้ไปลงหนังสือ อาตมาเห็นว่ากำลัง “คนติด” และพื้นที่ก็เหมาะสมที่จะถ่ายรูป จึงส่งกล้องให้พระครูปรีชาช่วยถ่ายให้ที พระครูกล้ารีบเสนอหน้าเข้ามาใกล้ “ขอถ่ายรูปคู่กับหลวงพ่อเล็กหน่อย รูปนี้เอาลงหนังสือบันทึกการเดินทางใช่ไหม ?” เพิ่งจะถ่ายเสร็จ “เฮ้ย..ขอโชว์หล่อบ้าง” พระครูญาณฯ ยื่นหน้าเข้ามาแจมอีกราย ท่านอื่น ๆ เห็นเข้าจึงมีรายการเลียนแบบ ทั้ง “เซลฟี่” และฝากคนอื่นถ่ายรูปให้ ที่ตลกมากก็คือท่านอาจารย์ ดร. วันชัย ใช้สองมือจับกล้องตัวเบ้อเริ่มเลนส์ยาวเป็นคืบ “เซลฟี่” ให้กับตัวเอง ไม่รู้ว่าออกมาแบบไหน เพราะว่าไม่ได้ไปขอท่านดู... เสียงเครื่องกลไกดังโกร่งกร่าง แล้วกระเช้าแบบปิดแต่มีผนังเป็นกระจกก็เคลื่อนตามกันมา ๕ คัน แต่ละคันสามารถรับคนได้ ๖ คน โดยนั่งหันหน้าเข้าหากันด้านละ ๓ คน แปลว่าชุดหนึ่งสามารถขนส่งคนขึ้นไปได้ ๓๐ คน กระเช้าแต่ละคันมีรูปธงของชาติต่าง ๆ ติดอยู่ชาติละคัน ที่เห็นก็มีเดนมาร์ก ฮ่องกง เยอรมัน เกาหลีใต้ และอังกฤษ ผู้โดยสารโดนเจ้าหน้าที่ผลักตัวให้รีบขึ้นกระเช้า เพราะว่านอกจากประตูกระเช้าจะเปิดปิดอัตโนมัติแล้ว ยังเคลื่อนตัวค่อนข้างเร็วอีกด้วย คนทางด้านหน้าของเราน้อยลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มาถึงคณะของพวกเรา... เห็นหลวงพ่ออำเภอท่ายาง พระครูญาณฯ พระครูกล้า พระครูโจ ขึ้นกระเช้าหนึ่ง หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ หลวงพ่อพระครูเรือง พระครูปรีชา และอาตมา ขึ้นอีกกระเช้าหนึ่ง องปลัดผลุบขึ้นกระเช้าถัดไปกับใครบ้างก็ดูไม่ทัน เพราะว่ากระเช้าเคลื่อนตัวเสียงค่อนข้างดังไปตามคานสีแดงเหนือหัว ข้างที่นั่งมีป้ายเขียนไว้ชัด ๆ ว่า 6 Pers. 480 Kg. แต่พวกเราได้อภิสิทธิ์นั่งกันกระเช้าละ ๔ รูปเท่านั้น ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอหลุดมาอยู่บนสายสลิงลอยละลิ่วขึ้นฟ้า ผ่านป่าสนและเสาที่เป็นแท่นยึดลวดสลิง ยิ่งลอยก็ยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เห็นหมู่อาคารและลานจอดรถเล็กลงไปทุกที ก็รู้สึกเสียวไส้พิกล ตกกระเช้าตายนี่คงจะดังไปทั่วโลกเป็นแน่แท้..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2017 เมื่อ 03:29 |
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
มองนาน ๆ แล้วจะหน้ามืด..! “ขอรับรองความปลอดภัยครับ ตายง่าย ๆ นี่ไม่ใช่วิสัยของท่าน เพราะว่า “เล่น” คนอื่นเอาไว้มาก ยังต้องทนอยู่อีกนานครับ” แหม.. “ท่านนายพล” ให้กำลังใจได้ดีมาก เห็นด้านหลังมีกระเช้าชุดเดียวกับของเราตามมาลิบ ๆ ห่างกันประมาณช่วงเสาสลิงละ ๒ คัน น่าจะเป็นระบบความปลอดภัยอย่างหนึ่ง เผื่อว่าลวดสลิงขาด กระเช้าที่ตามหลังมาจะได้หยุดทัน ไม่ต้องร่วงตามกันลงไป แต่กระนั้นก็ตาม ทุ่งหญ้าที่ดูเหมือนสนามกอล์ฟตามลาดเขา เมื่อเปรียบกับยอดต้นสนและกระเช้าที่สูงกว่ายอดต้นสนแล้ว ก็ยังพาให้คนกลัวความสูงขนพองสยองเกล้าอยู่ดี... ไม่ใช่ว่าพวกเราขึ้นอย่างเดียว มีกระเช้าที่กำลังลงสวนมาด้วย ต่างคนต่างยกกล้องถ่ายรูปกระเช้าของกันและกัน บางช่วงมีบ้านคนลักษณะแบบกระท่อมไม้ซุงโบราณอยู่บนเนิน บางช่วงก็มีฝูงวัวอาบแดดกินหญ้าท้าลมหนาว ดูแล้วน่าอิจฉาวัวที่มาอยู่ในสถานที่วิวสวยแบบนี้ บางช่วงต้นสนสูงกว่าเสาขึงลวดสลิง ทำให้กระเช้าของเราวิ่งระผ่านยอดสนไปเลย จนมาหยุดที่อาคารอันเป็นสถานีที่สองซึ่งพวกเราต้องลงมาเพื่อเปลี่ยนกระเช้าชุดใหม่ ไม่ทราบว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบรักษาความปลอดภัย หรือว่าสายลวดสลิงยาวที่สุดได้แค่นี้ก็ไม่รู้..? พวกเราลงจากกระเช้า เดินไปตามทางบังคับมาจนถึงเครื่องนับจำนวนคน เสียบตั๋วเพื่อเข้าไปในสถานีที่ ๒ แล้วเดินตามป้ายที่บอกทางว่าไปยอดเขาทิตลิส จนมายืนออกันอยู่กับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก มีเจ้าหน้าที่ซึ่งไว้เคราเป็นซานตาคลอสประกาศบอกนักท่องเที่ยวว่า เมื่อกระเช้ามาถึง ให้รอผู้โดยสารขาลงออกจากกระเช้าหมดเสียก่อน แล้วจะให้สัญญาณผู้โดยสารขาขึ้นว่าขึ้นได้เมื่อไร จากนั้นจัดการนับจำนวนคนให้เข้าไปยืนรอด้านใน ๘๐ คน ส่วนที่เหลือถูกกันเอาไว้ด้านนอก... |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
มินิบัส เอ๊ย...กระเช้ากำลังเข้าเทียบชานชาลา กระเช้าขาลงมาถึงท่ามกลางเสียงฮือฮาของพวกเรา เพราะว่าเป็นกระเช้าเดี่ยวใหญ่ประมาณรถมินิบัส..! มาจอดเทียบที่ “ชานชาลา” ซึ่งมีรูปโฆษณานาฬิกาสวิสเมดขนาดใหญ่ รอจนผู้โดยสารลงมาหมดแล้ว คุณซานตาคลอสก็ให้สัญญาณผู้โดยสารขาขึ้นเดินเข้าไปในกระเช้า พร้อมกับนับจำนวนซ้ำอีกรอบ เมื่อครบ ๘๐ คนและกระเช้าปิดดีแล้ว ก็ออกตัวลอยละลิ่วไป โดยมีพวกเราถ่ายรูปเป็นการใหญ่ เมื่อกระเช้าลับสายตาไปแล้ว ก็หันมาถ่ายรูปกันเองบ้าง ถ่ายรูปทิวทัศน์ที่เห็นในมุมจำกัดบ้าง ท้ายสุดก็ถ่ายรูปเทอร์โมมิเตอร์ซึ่งบอกอุณหภูมิขณะนี้ที่ ๐.๕ องศาเซลเซียส... ประมาณห้านาทีกระเช้าถัดไปก็มาถึง พวกเราที่โดนเรียกตัวเข้าไปด้านในแล้ว รอจนผู้โดยสารขาลงออกมาหมด ก็เดินเข้าไปโดยมีนายซานตาคลอสคอยนับจำนวนเช่นเคย ด้านในกระเช้าเป็นพื้นที่ว่างโล่ง ๆ ด้านบนเป็นเชือกสายพานติดลูกโลหะกลม ๆ สำหรับโหนแบบรถเมล์ยุคใหม่ ที่ไม่ต้อง “จับลาว” ให้เข้าใจผิดกันอีก อาตมารีบเดินเข้าไปชิดผนังด้านใน เพื่อกันไม่ให้โดนผู้หญิงเบียด เมื่อประตูปิดลงถึงได้รู้ว่า ๘๐ คนนี้ต้องยืนเบียดกันค่อนข้างแน่นทีเดียว ด้านบนผนังมีป้ายเล็ก ๆ ติดไว้เขียนว่า 80+1 pers./6480 kg. แสดงว่าค่าเฉลี่ยน้ำหนักของผู้โดยสารอยู่ที่คนละ ๘๐ กิโลกรัม อาตมาขาดทุนไปยี่สิบกว่ากิโลกรัมทีเดียว... กระเช้าเคลื่อนผ่านพื้นที่ซึ่งเกือบจะเป็นหินล้วน ๆ ไม่มีต้นไม้มากเหมือนกับช่วงล่าง มีร่องสีขาวสกปรกอยู่หลายแห่ง “นั่นคือธารน้ำแข็ง (Glacier) ขนาดเล็กครับ” ยังดีที่มีมัคคุเทศก์ล่องหนคอยบอก ไม่อย่างนั้นอาตมาก็คงจินตนาการถึงธารน้ำแข็งใสแจ๋วสีอมฟ้า ใครจะไปคิดว่ามันจะสกปรกได้ใจขนาดนี้ ต้นไม้ใหญ่ค่อย ๆ หายไป เหลือแต่หญ้าสีเขียวปนน้ำตาล ท้ายสุดก็กลายเป็นหิมะสีขาว แผ่ขยายออกไปทุกทิศทุกทาง หิมะที่ตกใหม่เมื่อวานจากฝีมือของ “ลุงหนวด” และคณะ ทำให้ยอดเขาดูฟูนุ่มจนน่าลงไปกลิ้งเล่น... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 02-11-2017 เมื่อ 14:26 |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
ป้ายภาษาไทยในกระเช้าหมุน ประมาณหกนาทีต่อมา กระเช้า “มินิบัส” ก็มาเทียบชานชาลาของสถานีที่สาม ตรงนี้เราต้องขึ้นกระเช้าหมุน (Rotair) ไปบนยอดเขา “สถานีที่สามนี้ชื่อว่า Stand นะครับ สถานีที่สองที่เราผ่านมาชื่อว่าสถานี Trubsee สำหรับคนที่มาเล่นสกีในช่วงหน้าหนาว ก็จะลงที่สถานีนี้ แล้วเดินไปที่ลานสกีอีกด้านหนึ่งครับ สำหรับช่วงนี้มีหิมะไม่พอที่จะเล่นสกี ส่วนใหญ่จึงต้องขึ้นไปจนถึงยอดเขาด้านบน” มัคคุเทศก์รูปหล่อได้ทำหน้าที่ระหว่างรอกระเช้าหมุนมารับ... กระเช้าหมุนสีฟ้าคาดขาว มีคำว่า TITLIS สีแดงติดอยู่ หน้าตาอ้วนกลมน่ารักลอยมาเทียบท่า ต้องปล่อยให้คนลงก่อนตามเคย จากนั้นคนขึ้นก็มุดพรวดเข้าไปจนเต็มในพริบตา ดูแล้วน่าจะบรรจุได้ ๓๐ – ๔๐ คน พอเริ่มเคลื่อนไปตามสายลวด ตัวกระเช้าก็หมุนแบบช้า ๆ ให้พวกเราได้ถ่ายรูปทิวทัศน์ของยอดเขาหิมะในทุกมุม โดยไม่ต้องไปเบียดแย่งมุมสวยกับใคร แต่...กระจกที่ลายพร้อยด้วยการใช้งาน หรือว่าหมดอายุการใช้งานแล้วก็ไม่รู้ ? หลายแห่งเป็นเส้นลาย ๆ เหมือนกับรอยร้าว ต้องเบี่ยงหน้ากล้องหามุมที่ลายน้อยที่สุด จนหลายครั้งที่พลาดมุมสวยไปอย่างน่าเสียดาย... “มีภาษาไทยด้วยนะ” พระครูกล้าชี้ให้ดูบนผนังกระเช้า ที่มีป้ายทั้งภาษาไทยและภาษาเยอรมัน ส่วนที่เป็นภาษาไทยเขียนว่า “ยินดีต้อนรับในรถเคเบิลแรกของโลกที่หมุนรอบตัวได้” ไม่รู้ว่าเป็น “คันแรก” หรือว่า “แห่งแรก” เพราะว่าเขียนเอาไว้แค่นั้น เป็นฝรั่งใช้ภาษาไทยได้ขนาดนี้ก็สุดยอดแล้ว อาตมาเคยบอกแล้วว่า ไม่รู้ว่าจะยินดีหรือจะร้องไห้ ที่คนไทยเอาเงินมาถมต่างประเทศแต่ละแห่ง ซึ่งต้องเป็นจำนวนมหาศาลพอที่เขาจะให้ความสำคัญ ด้วยการให้มีป้ายภาษาไทยติดเอาไว้ให้แบบนี้... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-09-2017 เมื่อ 09:58 |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
อดน้ำมาครึ่งวันแล้วครับ..! ถ่ายรูปให้พระครูกล้ากับป้ายภาษาไทย แล้วหันไปสนใจกับทิวทัศน์ข้างนอก มีนกสีดำตัดกับหิมะขาวโพลน ดูแล้วไม่น่าจะเป็นพวกเหยี่ยวหรืออินทรี เพราะว่าบินฉวัดเฉวียนเร็วเกินกว่านกนักล่าพวกนั้น บินโฉบวูบวาบไปมาอยู่ตัวหนึ่งหรือสองตัว ไม่กี่นาทีต่อมากระเช้าก็เข้าเทียบท่าด้านบน เมื่อออกมาแล้วก็ต้องไหลตามกันไป เพื่อขึ้นลิฟท์ไปบนยอดเขาอีกที ดูแล้วยุ่งยากพิกล “ถ้าให้เดินไปตามทางเปิด แม้ว่าจะสะดวกกว่าเมื่อมีคนมามาก ๆ แต่จะมีปัญหาใหญ่ในช่วงหน้าหนาวที่หิมะทับถมกัน เพราะต้องทำการขุดทางเดินกันทั้งฤดู เขาจึงทำเป็นลิฟท์ปิดไปเลยครับ” เจ้าถิ่นล่องหนช่วยคลายความสงสัย... ออกจากลิฟท์มากระทบอากาศร้อนวาบจนสะดุ้ง กลิ่นอาหารตลบอบอวลจนหายใจได้ยาก ตรงนี้เป็นร้านอาหารสร้างจากไม้สน มีหน้าต่างกระจกโดยรอบให้เห็นยอดเขาหิมะด้านนอก ทั้งที่แสงแดดจัดจ้าแต่โคมไฟเพดานที่เลียนแบบเชิงเทียนโบราณก็ยังเปิดอยู่ บริกรที่ทราบว่าเรามาจากคณะทัวร์ที่จองเอาไว้ พาพวกเราเลี้ยวขวาลงไปที่ชั้นลด ซึ่งมีโต๊ะอาหารเต็มไปหมด ทั้งแบบโต๊ะ ๔ ที่นั่งและ ๖ ที่นั่ง ชี้ให้นั่งในส่วนที่กันไว้ให้กับคณะของเรา ปกติแล้วอาตมามักจะเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง แต่ทางเดินแคบ ๆ ที่ต้องตามกันไปทำให้ไปถึงช้า ที่ริมหน้าต่างโดนพรรคพวกจองไปหมดแล้ว... อาตมาเดินเข้าไปชิดผนังด้านในของโต๊ะหกที่นั่ง หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ และพระครูวิสุทธฯ ตามมานั่งฝั่งเดียวกัน ฝั่งลาว เอ๊ย..ฝั่งตรงข้ามคือมหานพพล หลวงพ่อพระครูสันติฯ และใบฎีกาวรัญญู พอเห็นบริกรเอาน้ำชาร้อนในเหยือกสเตนเลสมาส่งให้ อาตมาก็แทบจะโดดคว้าด้วยความดีใจ ตั้งแต่ลงจากรถมาจนบัดนี้ นาฬิกาบนผนังบอกเวลา ๑๑.๒๙ น.แล้ว ยังไม่มีน้ำผ่านลงคอสักหยดเดียว จึงรีบรินน้ำแจกทุกคนเป็นการด่วน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-09-2017 เมื่อ 10:05 |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
คนละสอง "ดุ้น" เท่าทุนนะครับ อาหารมาเสิร์ฟแบบรวดเร็วทันใจ แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นอาหารจีนหรือว่าอาหารฝรั่ง เพราะว่าเป็นเส้นหมี่ผัดเนย แต่เส้นใหญ่เกือบจะเป็นสปาเก็ตตี ให้กินกับไส้กรอกเยอรมันรสชาติอร่อย และมีน้ำแกงจืดให้อีก ๑ ถ้วยแบบข้าวมันไก่บ้านเรา ของหวานเป็นไอศกรีม ๒ ลูก ที่ราดช็อกโกแล็ตมาให้แบบไม่เต็มใจ คือราดมานิดเดียว เส้นหมี่ผัดเนยธรรมดาหน้าตาไม่ชวนกินเลย แต่กำลังหิวไส้แขวนแบบนี้ อะไรมาก็หายวับไปในพริบตา ไส้กรอกขนาดเล็กจานละ ๖ อัน ๒ จาน บอกโควตาชัดเจนว่าคนละ ๒ อัน รู้สึกว่าน้อยไปจนเกือบจะแทะจานลงไปด้วย..! “พระอาจารย์ท่านใดฉันเสร็จแล้ว ถ้าจะเข้าห้องน้ำก็ด้านหลังทางซ้ายนะครับ ทางเดียวกับทางเดินขึ้นยอดเขา เสร็จธุระส่วนตัวแล้วก็นิมนต์ตามสบาย ท่านใดจะขึ้นยอดเขาหรือเข้าถ้ำน้ำแข็งก็ไม่ต้องรอกัน อีกสองชั่วโมงค่อยกลับมาพบกันที่หน้าสถานีกระเช้าหมุนครับ” ก็แปลว่าพวกเรามีเวลาจนถึงบ่ายสามโมง อาตมาที่ฉันเร็วจนเป็นนิสัย พาเอาพรรคพวกร่วมโต๊ะพลอยฉันเร็วไปด้วย จึงพากันลุกเดินไปหลังร้านอาหาร ซึ่งมีทางแคบ ๆ ที่มีตัวหนังสือและลูกศรชี้ไปว่า Titlis Glacier Cave และ South Face Window... ทางเดินกว้างแค่พอหลีกกันได้ ผนังด้านซ้ายเป็นกระจกเปิดให้เห็นลาดเนินหิมะ มีรั้วตาข่ายกันคนคิดสั้นพุ่งทะลุกระจกออกไป ผนังด้านขวาเป็นโลหะมีลอนคล้ายวัสดุแบบเมทัลชีทของบ้านเรา มาถึงช่องทางเข้าที่เป็นถ้ำแคบ ๆ ปากถ้ำยังเป็นหินและดินอยู่เลย แต่พอเดินเข้าไปไม่กี่เมตรก็เริ่มเป็นน้ำแข็งหนาเตอะ แต่ดูแล้วไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง “เป็นถ้ำที่เขาขุดเจาะขึ้นมาครับ เพื่อเป็นที่ศึกษาภูมิอากาศจากชั้นน้ำแข็ง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปในตัวด้วยครับ” มัคคุเทศก์ล่องหนอุตส่าห์ตามมาช่วยอธิบาย อากาศในนี้หนาวจนต้องกระชับผ้าจีวรใหม่ สติ๊กเกอร์ทำท่าจะหลุด อาตมาจึงดึงมาแปะกับผ้าพันคอไปเลย... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-05-2017 เมื่อ 04:00 |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
ถ้าสูงกว่านี้ก็ต้องก้มตัวเพื่อถ่ายรูป บนพื้นเป็นแผ่นยางกันลื่นสีดำ ที่เป็นรูกลม ๆ ทั้งแผ่น ช่วยป้องกันไม่ให้ลื่นล้ม ขนาดนั้นอาตมายังไม่ไว้วางใจ จึงเดินประกบติดคอยระวังหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ที่อายุกาลผ่านวัยไป หลักเจ็ด แล้ว ท่านอาจจะลื่นได้ โดยมีพระครูวิสุทธฯ ตามมาไม่ห่าง น้ำแข็งสีขาวบ้างขุ่นบ้างใส บางช่วงก็สลับลายกันไปเหมือนหินอ่อนสีขาว อาตมาส่งกล้องให้พระครูวิสุทธฯ ช่วยถ่ายรูปอาตมาคู่กับหลวงพ่อเจ้าคุณฯ แล้วรับเอาไอแพดของท่านมาถ่ายคืนให้บ้าง นักท่องเที่ยวอื่น ๆ ก็เดินชมและถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย... วัสดุปูพื้นเปลี่ยนจากแผ่นยางกันลื่นสีดำ มาเป็นพรมโพลีเอสเตอร์แหว่งวิ่นเก่าคร่ำคร่า แสดงว่าผ่าน ตีน มาจนนับไม่ถ้วน แสงไฟที่ติดอยู่เป็นระยะทำให้การถ่ายรูปหรือชมสถานที่เป็นไปโดยง่าย บางช่วงเขาขุดเจาะจนเป็นเหมือนกับเตียงน้ำแข็ง มีนักท่องเที่ยวบางรายที่ไม่กลัวความเย็น นั่งถ่ายรูปบนเตียงไปเลย บางช่วงก็เป็นแท่งน้ำแข็งที่เหมือนกับขวากหรือปลายดาบ สลับซับซ้อน ซึ่งถ้าเป็นของจริงก็จะห้อยลงมาจากเพดานถ้ำ แต่นี้กลับอยู่บนพื้นแล้วชี้ขึ้นฟ้า แต่ส่วนมากก็คือแนวถ้ำอีหลุปุปะขนาดครือ ๆ กับตัวคน มองไกล ๆ เหมือนกับอยู่ในลำไส้สีขาวซีด ๆ ของยักษ์น้ำแข็งก็ไม่ปาน... ถ้ำน้ำแข็งแยกออกเป็นสองทาง พวกเราเลือกเอียงซ้ายเป็นคอมมิวนิสต์ไปก่อน จากนั้นค่อยวนกลับมาทางขวาใหม่ ทั้งสองเส้นทางไปแค่ระยะสั้น ๆ แล้วก็มาบรรจบกันอีกที กลายเป็นทางออกจากถ้ำ ซึ่งช่วงนี้น่าจะเจาะเข้าไปในส่วนที่เป็นดิน จึงมีการกรุไม้คาดเหล็กเอาไว้เพื่อป้องกันดินถล่ม เมื่อพ้นอุโมงค์ออกมาก็เป็นทางเดินสี่เหลี่ยม เหมือนกับห้องขนาดกว้างสักสามเมตร ยาวเหยียดไปข้างหน้า มีป้ายห้ามสูบบุหรี่ติดอยู่ด้วย ส่วนป้ายบอกทางป้ายแรกเขียนว่า Exit Terrasse Glacier ป้ายที่สองคือ Skipiste ส่วนป้ายที่สามคือ Ice Flyer ซึ่งทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษชี้ไปในทางเดียวกันหมด... |
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
รูปหมู่คณะเล็กบนยอดเขาหิมะ มีทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินไปทางเดียวกัน และที่กำลังเดินสวนกลับเข้ามา ทางเดินช่วงท้าย ๆ นั้นผนังทางซ้ายมือเป็นกระจกใส มีนักท่องเที่ยวหยุดถ่ายรูปภูเขาหิมะกันเป็นกลุ่มใหญ่ พวกเราต้องเดินหลีกชิดขวาออกไป อากาศเย็นเฉียบไหลเข้ามาเป็นระลอก ในที่สุดก็โผล่ออกมาที่ทางเดินซึ่งมีรั้วเหล็กกันตก บนหัวมีป้ายเขียนว่า Ice Flyer & Glacier park 250 Steps แล้วเดินออกไปสู่ขุนเขาหิมะขาวสล้าง และฟ้ากว้างที่สีฟ้าใสจนไม่อาจจะใสไปกว่านี้อีกแล้ว ตรงหน้าที่ห่างออกไปชั่วเนินเขา มีหอสูงหลายชั้นซึ่งน่าจะเป็นที่ตรวจวัดสภาพอากาศ และเป็นที่ชมวิวไปในตัว... เดินจนพ้นทางเดินที่คล้ายสะพานมีรั้วกันตก เหยียบลงบนหิมะเป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่เห็นว่าจะนุ่มเหมือนอย่างที่คิด หรือว่าโดน “ตีน” มากไปจนแน่นไปหมดแล้วก็ไม่รู้ ? ขนาดมีแว่นกันแดดยังรู้สึกว่าแสงสว่างบนนี้จัดมาก เพราะว่าสะท้อนจากพื้นหิมะขึ้นมาด้วย เมื่อหันกลับไปทางที่ออกมา เห็นเป็นตัวอาคารสี่เหลี่ยมเตี้ย ๆ บนหลังคามีตัวหนังสือระบุว่า MOUNT TITLIS 3020 M. 10’000 FEET มีป้ายบังอยู่ช่วงกลาง เห็นแต่คำว่า LAND น่าจะเป็นคำว่า SWITZERLAND สงสัยว่าตัวเองจะตกเลข เพราะว่า ๑๐,๐๐๐ ฟุตของอาตมา มีแค่ ๓,๐๐๐ เมตรเท่านั้น ที่นี่คงจะอากาศดี ช่วยให้ภูเขาเจริญเติบโต เลยงอกเพิ่มขึ้นมาอีก ๒๐ เมตร... รอบบริเวณที่เป็นขอบเหว มีหลักสีดำเหลืองปักอยู่เป็นระยะ โยงริบบิ้นสีเหลืองดำกันไว้ให้รู้ว่าเป็นเขตห้ามผ่าน ยกเว้นว่าคิดจะฆ่าตัวตายค่อยมุดออกไป ริมเหวตรงข้างหลักคู่หนึ่งมีแท่นทรงกระบอกเอาไว้สำหรับทำอะไรก็ไม่รู้ ? แต่อาตมาเห็นว่าเป็นที่นั่งชั้นดี จึงนั่งให้พระครูวิสุทธฯ ช่วยถ่ายรูปให้ แล้วเปลี่ยนให้หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ มานั่ง อาตมาเป็นคนถ่ายให้บ้าง พรรคพวกชุดแรกที่ไหลตามกันออกมา จัดการจับกลุ่มเตรียมถ่ายรูปหมู่ มีท่านอาจารย์คณบดี หลวงพ่อพระครูสันติฯ ใบฎีกาวรัญญู และท่านไพฑูรย์ พวกเราสามรูปจึงเข้าไปร่วมวงด้วย โดยมีท่านอาจารย์ ดร.วันชัยรับเป็นตากล้องให้ เสร็จแล้วแยกย้ายกันไปตามอัธยาศัย... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2017 เมื่อ 20:16 |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
ปีติจนตัวลอย ฮ่า..ฮ่า..! ท่านอาจารย์คณบดีไป “ตีซี้” กับสาวที่นั่งก่อปราสาทหิมะ เขาเลยชวนท่านช่วยกัน “สร้างวิมาน” ไปด้วย ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐไปยืนคู่กับป้าย TITLIS ที่มีสกีสีเหลืองสว่างแบบเรืองแสงพิงเอาไว้ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยช่วยถ่ายรูปให้ จากนั้นท่านอาจารย์ ดร.วันชัยก็เข้าไปยืนแทนที่บ้าง เสร็จแล้วยังก้มลงไปกอบหิมะขึ้นมาก้อนใหญ่ ทำท่ากัดให้คุณโอเล่ในเสื้อคลุมกันลมมีที่สวมหัวที่เพิ่งมาถึงถ่ายรูปให้ แล้วยังมีการกระโดดโชว์กลางอากาศอีกหลายท่า ท้ายสุดก็ลงไปนอนเอกเขนกบนพื้นไปเลย จะว่าไปแล้วท่านก็เพิ่งอายุยี่สิบต้น ๆ จบปริญญาเอกแล้วสึกออกจากพระมา ในช่วงที่เป็นเณรเป็นพระก็ออกลิงออกค่างไม่ได้ เมื่อมาอยู่ในสถานะฆราวาสแบบนี้ ถึงท่านแสดงออกมากหน่อยก็ถือว่ากำลังปีติก็แล้วกัน... อาตมาถ่ายรูปให้เพื่อน ๆ ที่มาถึงก็แย่งกันส่งกล้องมาให้ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยก็ถ่ายให้พระครูด็อกเตอร์ ที่มีการทำท่านั่งสมาธิโดยมีก้อนหิมะอยู่บนตักอีกต่างหาก “หญิงใหญ่” ในเสื้อไหมพรมสีรุ้งถ่ายรูปคู่กับหลวงพ่อพระครูสันติฯ หลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ที่หัวแข็งกว่าเพื่อน เพราะว่าไม่ได้ใส่หมวกไหมพรมกับใคร ทั้งถ่ายรูปให้ตัวเองและถ่ายให้ท่านอื่น พระครูกล้าที่กลัวจะไม่หล่อมีการถอดแว่นเพื่อถ่ายรูป แต่โดนแสงจนตาตี่เป็นลูกเจ๊กขนานแท้ไปเลย ส่วนพระครูญาณฯ ที่กลัวหนาวมาก นอกจากใส่เสื้อแจ็กเก็ตตัวโคร่งแล้ว ยังหอบเสื้อกันหนาวสีแดงแปร๊ดมาอีกตัว ไปขอท่านอาจารย์คณบดีถ่ายรูปด้วย ความจริงตั้งใจไป “หลี” สาวที่กำลังก่อปราสาทหิมะมากกว่า หลวงพ่อพระครูเรืองกับสมุห์สุมิตรเห็นเข้า ก็เข้าไปร่วมวงโดยไม่รู้ว่ากำลังขัดคอเพื่อนเสียแล้ว... อาตมาเดินตรงไปยังหอชมวิว มีพระครูวิสุทธฯ เดินตามไปด้วย กว่าจะถึงทำเอาเหนื่อยทีเดียว ที่เสาหอชมวิวมีเทอร์โมมิเตอร์ติดเอาไว้ แสดงตัวเลขแค่ลบสามองศาเซลเซียส แต่ตอนนี้ปรอทหดลงไปต่ำกว่าลบสามช่วงหนึ่ง น่าจะประมาณลบสี่ถึงลบห้าองศาเซลเซียส ว่าจะขึ้นไปชมวิวข้างบน ก็มีแต่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด จึงเดินย้อนขึ้นเนินทางขวามือ เหมือนเดินกลับทางเดิม แต่เป็นยอดเนินที่สูงขึ้นไปกว่าเดิมมาก พอพ้นเนินก็เป็นที่ราบเหมือนทุ่งหิมะกว้างใหญ่ เสียงพระครูวิสุทธฯ บอกปนหอบว่า “ขอผมนั่งก่อนเถอะ..หน้ามืดแล้ว..!” อะไรวะ ? คุณอายุน้อยกว่าผมเป็นรอบเลยนะเว้ย หมดสภาพเอาง่าย ๆ อย่างนี้เลยหรือ ? อีกฝ่ายนั่งยอง ๆ บนพื้นหิมะยิ้มแห้ง ๆ บอกว่า “ผมไปไม่ไหวแล้วครับ นิมนต์ท่านตามสะดวก เดี๋ยวผมหายหน้ามืดแล้วจะเดินกลับไปเอง”... |
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
เหม่ยเซียง...นางแบบมืออาชีพจากฮ่องกง “คุณเวียนหัวด้วยหรือเปล่า ? รู้สึกอยากจะอาเจียนบ้างมั้ย ?” อีกฝ่ายส่ายหน้า บอกว่าแค่นั่งพักก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว อาตมาเห็นท่าแล้วคงไม่ใช่โรคแพ้พื้นที่สูง (Altitude sickness) จึงปล่อยท่านนั่งพักไป ตัวเองเดินต่อไปจนสุดขอบเหวด้านบน มองลงไปเห็นลึกลิบลิ่ว ตกลงไปถ้าไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โต หันกลับไปเห็นพระครูวิสุทธฯ กำลังเดินกลับลงไปแล้ว ไกลออกไปลิบ ๆ พรรคพวกและนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ตัวเล็กเหมือนกับมด ไม่เห็นมีใครสนใจจะขึ้นมาบ้างเลย เดี๋ยว...มีสองสาวอยู่ตรงขอบเหวอีกด้านหนึ่ง แต่งตัวเหมือนกับไม่กลัวความหนาว กำลังถ่ายรูปกันอยู่... สาวอนงค์แรกในชุดกระโปรง “แซ็ก” คอเต่าสีดำสั้นเลยเข่าแต่แขนยาว ถุงน่องสีดำรองเท้าพื้นบางสีแดง ใส่แว่นกันแดด ในมือมีผ้าพันคอสีม่วงชมพู กำลังโพสต์ท่าให้เพื่อนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดคอปกสีเหลืองอ่อน สวมกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ ใส่เสื้อกันหนาวสีเหลืองมะนาว สวมแว่นกันแดดเหมือนกันถ่ายรูปให้ เฮ้ย...คุณเธอมืออาชีพมาก โพสต์ท่าต่อเนื่องลื่นไหลสุด ๆ ไม่ต้องหยุดเลยแม้แต่น้อย ตากล้องก็ถ่ายฉับ ๆ แบบมืออาชีพพอกัน อาตมาดูเพลินเดินใกล้เข้าไปจนเกือบจะติดตัว ทั้งสองหันมายิ้มให้แบบมีไมตรีจิตอีกต่างหาก... “May I take you some photo ?” อาตมาถาม “Oh…yes” อนงค์แรกหยุดโพสต์ เดินแกมกระโดดเข้ามา เอื้อมมือรับกล้องจากอาตมา เฮ้ย...คุณเธอเข้าใจผิดแล้ว เมื่อเธอถ่ายรูปให้สองรูป “หนี่ ฮุ่ย ซัว จงเหริน มา ?” อาตมาถามว่าเธอพูดภาษาจีนได้ไหม ? “ได้ซี...ฉันเป็นคนฮ่องกง” โล่งอกไปที “ฉันเป็นคนไทย เห็นเธอโพสต์ท่าเป็นมืออาชีพมาก ขออนุญาตถ่ายรูปเธอจะได้ไหม ?” อีกฝ่ายยิ้มจนแก้มปริ “คนไทยน่ารักมาก ฉันไปเที่ยวพัทยามาแล้วนะ ตอนนี้มาถ่ายรูปเพื่อเอาไปลงนิตยสารที่ฮ่องกง ท่านจะถ่ายรูปฉันก็ยินดี” อ๋อ...ที่แท้เป็นนางแบบนี่เอง มิน่าล่ะ...ถึงได้ดูเป็นมืออาชีพขนาดนี้... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-09-2017 เมื่อ 16:35 |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
"เสี่ยวเม่ย" จากตากล้องไปเป็นนางแบบ “หว่อ เจี้ยว อาเล็ก...หนี่ เจี้ยว เฉินเหม่อ หมิงจื้อ ?” อาตมาบอกว่าตัวเองชื่อ “เล็ก” แล้วเธอชื่ออะไร ? “เหม่ยเซียง” อา...ชื่อเพราะระดับชวนฝันเชียวล่ะ แล้วเพื่อนเธอชื่ออะไร ? สาวน้อยตากล้องยิ้มแป้นรีบตอบทันใดว่า “เสี่ยวเม่ย” เฮ้ย...คำนี้กำกวมมาก หมายถึงน้องสาวคนเล็กก็ได้ เลขานุการก็ได้ สาวคู่นอนประเภทอย่างว่าก็ได้ แต่หน้าตาท่าทางของคุณเธอดูซื่อตรงสุด ๆ แปลได้อย่างเดียวว่าเธอคือน้องสาวคนเล็ก ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้อย่างเด็ดขาด... เหม่ยเซียงจัดการโพสต์ท่าต่อ เสี่ยวเม่ยทำหน้าที่ถ่ายรูปโดยมีอาตมาถ่ายแทรกอยู่ใกล้ ๆ แม่เจ้าประคุณเถอะ...เห็นการโพสต์ท่าลื่นไหล นาทีหนึ่งเป็นสิบ ๆ ท่าต่อเนื่องโดยไม่ต้องหยุดของเธอแล้ว อาตมาถึงได้รู้ว่ามืออาชีพขนานแท้นั้นเป็นอย่างไร ? จนได้รูปเป็นที่พอใจแล้ว เหม่ยเซียงก็ให้เสี่ยวเม่ยไปเป็นนางแบบ แล้วเธอเป็นคนถ่ายให้บ้าง แต่เสี่ยวเม่ยโพสต์ท่าไม่ลื่นไหล มีหยุดเป็นจังหวะ แสดงว่ายังไม่ใช่มืออาชีพ แต่เป็นตากล้องอาชีพมากกว่า คงจะถ่ายรูปเอาไว้เพื่อเป็นที่ระลึกเท่านั้น เมื่อได้รูปเป็นที่พอใจแล้วอาตมาก็บอกลา “ปู้ห่าวอี้ซือ...หว่อ เซียน โจ่วเลอ..ตัวเซี่ย” ทั้งสองยิ้มรับคำอำลาและขอบคุณของอาตมา ซ้ำยังโบกมือลาอย่างร่าเริง “ไจ้เจี้ยน...ไจ้เจี้ยน”... เดินย้อนกลับมาทางเดิม มีนกสีดำ ๆ คล้าย ๆ อีกาที่เห็นตอนอยู่บนกระเช้า บินโฉบวูบวาบอยู่ ๒ – ๓ ตัว พอมาใกล้ถึงทางแยกที่จะลงไปข้างหอชมวิว ก็มีอยู่สองตัวลงไปรุมกินอาหารที่น่าจะเป็นขนมปังกรอบซึ่งมีคนบี้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ทิ้งไว้ให้ อาตมาถ่ายรูปไปก็สังเกตเห็นว่าทั้งสองตัวนั้นมีปากสีเหลือง แปลว่าไม่ใช่อีกาอย่างแน่นอน “เป็นนก Alpine birds แห่งเทือกเขาแอลป์ครับ พบได้เฉพาะบนภูเขาสูง ๆ ระดับหลายพันฟุตเท่านั้น” อ้าว... "ลุงหนวด" กลายเป็นนักดูนกไปซะแล้ว แต่ถ้าไม่ได้มัคคุเทศก์ล่องหนบอก อาตมาก็คงมึนตึ๊บไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร นอกจากเห็นเป็นนกเท่านั้น..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2017 เมื่อ 03:02 |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
หน้าร้านขายของที่ระลึก ถ่ายรูปขุนเขาหิมะรอบด้าน แล้วเดินทางไปตามทางลาด ซึ่งมีทั้งเด็กและวัยรุ่นหลายคน นั่งเอาก้นไถลลงไปเลย ย้อนมาถึงช่วงแรกที่พวกเราถ่ายรูปกัน ตอนนี้พรรคพวกหายหน้าไปเกือบหมดแล้ว เห็นใบฎีกาวรัญญูที่นั่งให้ถ่ายรูปอยู่กลางหิมะเท่านั้น คงจะหนีหนาวกลับเข้าไปในตัวอาคารกันหมดแล้ว อาตมาจึงเดินกลับเข้าไปบ้าง สวนทางกับนักท่องเที่ยวที่กำลังเดินออกมาอีกคณะใหญ่ อากาศข้างในอุ่นจนร้อนเลย... เดินเข้าห้องน้ำไปก่อน จัดการกับทุกข์เบาเรียบร้อยแล้ว จึงเดินเข้าไปในร้านขายของที่ระลึก เจ้าบีเวอร์ตัวเบ้อเริ่มยืนต้อนรับอยู่ในตู้กระจกหน้าร้าน สารพัดข้าวของเต็มไปหมด ทั้งขนมขบเคี้ยว ช็อกโกแล็ต ตุ๊กตา เสื้อ หมวก โปสการ์ด พวงกุญแจ รูปวาด รูปถ่าย หนังสือ ฯลฯ มีนักท่องเที่ยวเดินเลือกซื้อกันอยู่ไม่น้อยเลย สักครู่ก็เห็นพวกเราเดินเข้ามาบ้าง คงกลัวว่าไม่มีใครช่วยส่งภาษาให้ จึงต้องรอจนอาตมาหรือใบฎีกาวรัญญูเข้ามาก่อน... อาตมาหยิบพวงกุญแจที่เป็นรูปเสือ ลิง และหมี ทำด้วยผ้า ราคาอันละ ๑๑.๑๐ ฟรังก์สวิส ไปส่งให้คนขายที่หน้าเคาน์เตอร์ พร้อมกับควักธนบัตรใบละ ๕๐ ยูโรส่งให้ คนขายกดเครื่องคิดเลขพิเศษ ที่สามารถแปลงอัตราเงินของทุกชาติในโลก ปรากฏว่าเครื่องแสดงราคามาที่ ๒๘.๙๖ ยูโร แล้วยายหนูคนขายก็กดเปลี่ยนระบบใหม่ ทอนเงินมาให้ ๒๔.๒๐ ฟรังก์สวิส อะไรจะสะดวกและง่ายดายปานนี้ บ้านเราน่าจะมีเครื่องประเภทนี้ใช้บ้างนะ อาตมาคิดขณะที่รับพวงกุญแจในถุงกระดาษใบเล็กพร้อมกับเงินทอน... |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
ป้ายห้ามที่ได้ผลมาก..! อยู่ต่อก็น่าจะเสียเงินเพิ่มแน่ ๆ อาตมาจึงออกจากร้านขายของที่ระลึก เดินไปดูร้านอื่น ๆ ที่ขายสกีและเครื่องมือในการปีนเขา มาเจอหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ไม่รู้ว่าจะไปไหน เวลาก็ยังเหลืออยู่อีกเป็นชั่วโมง จึงชวนท่านไปนั่งรอบริเวณใกล้ ๆ ปากทางขึ้นกระเช้าหมุน บริเวณนี้เขาก่อหินเป็นภูเขาจำลองเล็ก ๆ พิงผนังอยู่ มีที่เหลือพอให้นั่งดูคนเข้า ๆ ออก ๆ ได้... บนภูเขาจำลองมีลายมือชื่อร้อยพ่อพันแม่เต็มไปทุกตารางนิ้ว ทั้งที่ข้างฝามีรูปมือจับปากกาอยู่ในวงกลมมีกากบาดสีแดง ซึ่งเป็นภาษาสากลว่าห้ามขีดเขียน แต่เขาเว้นผนังตรงป้ายเอาไว้ให้อย่างเคร่งครัด หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ยิ้มแบบจนปัญญา พอ ๆ กับป้ายห้ามทิ้งขยะตามวัด ซึ่งเขามักจะทิ้งกองไว้ข้างใต้ป้ายนั่นแหละ ตรงป้ายไม่มีใครทิ้งกันหรอก..! นั่งรอจนตูดด้านอาตมาจึงขอตัวเดินไปดูของที่ระลึกใหม่ ถึงว่าทำไมพวกเราไม่มาเสียที ที่แท้ก็มาสุมหัวกันอยู่ในร้านขายของที่ระลึกนี่เอง มัคคุเทศก์รูปหล่อและคุณโอเล่กำลังรับภาระหนัก ทั้งที่ข้าวของต่อราคาไม่ได้ แต่ต้องคอยบอกคอยกล่าวสารพัดเรื่อง อาตมาเพิ่งหยิบตุ๊กตาสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้ขึ้นมา คุณโอ๋ก็บอกว่า “เอาไว้ไปซื้อที่ร้านเจ๊อารีดีกว่าครับ ที่นั่นถูกกว่ามาก” ถึงจะไม่รู้ว่า “เจ๊อารี” เป็นใคร แต่อาตมาก็เชื่อมัคคุเทศก์รูปหล่อ เพราะว่าคอยรักษาผลประโยชน์ให้พวกเรามาตลอดทาง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-09-2017 เมื่อ 16:50 |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
ขาไปเหมือนไก่จะบิน ขากลับเริ่มเหี่ยวปลาย เห็นหมวกแก๊ปสีชมพูสดใส มีเครื่องหมายกากบาดสัญลักษณ์ของสวิสอยู่ด้วย ราคา ๑๗.๕๐ ฟรังก์สวิส จึงหยิบส่งให้กับคนขาย พร้อมกับส่งเงินใบละ ๒๐ ฟรังก์สวิสไปให้ ได้รับเงินทอนกลับมา ๒.๕๐ ฟรังก์สวิส แล้วส่งหมวกให้ หญิงใหญ่ ไปทั้งถุง ให้เป็นรางวัล ที่อุตส่าห์ตามมาบริการถึงยุโรป อีกฝ่ายทำตาโตเพราะคิดไม่ถึง ขอบคุณมากค่ะ เอามาสวมในทันทีแล้วไปอวดเพื่อนพระแบบเห่อมาก คนชอบสีชมพูก็ต้องให้ของสีนี้เป็นรางวัลอย่างนี้แหละ... เสียเงินแล้วค่อยหายเบื่อหน่อย เดินกลับมาหาหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ พรรคพวกเดินตามมาเกือบครึ่ง คนเริ่มแน่นในบริเวณที่นั่งทำเอารู้สึกร้อน อาตมาจึงเดินกลับไปเข้าห้องน้ำ ถอดเอาเครื่องกันหนาวสารพัดออกมา ทั้งหมวกไหมพรม ผ้าพันคอ เสื้อกันหนาว กางเกงลองจอห์น รู้สึกเย็นวาบ ๆ อยู่เหมือนกัน พับทุกอย่างใส่กระเป๋า แล้วกลับมาพอดีกับกระเช้าหมุนมาถึง เมื่อคนลงหมดแล้ว พวกเราก็ขึ้นไปแทน ลอยละล่องกลับลงไป... สามสี่นาทีต่อมาก็ไหลลงจากกระเช้าหมุน เดินตามกันไปรอให้คุณซานตาคลอสนับจำนวน แล้วขึ้นมินิบัสลอยฟ้าลงไปสู่สถานีที่สอง จากนั้นกระแสผู้คนก็เลื่อนไหลลงไปรอกระเช้าเล็ก แล้วกลับลงสู่พื้นดินโดยสวัสดิภาพ ท่านนายพล คงจะโล่งใจไปที เพราะว่าคน กรรม มากอย่างอาตมาไปลอยอยู่กลางฟ้า เท่ากับไป ล่อเป้า ให้เจ้ากรรมนายเวรทวงคืนชัด ๆ พ้นมาเหยียบพื้นดินเต็มสองเท้า จึงลดงานของท่านลงไปหลายเท่า... |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
วิ่งเลียบทางรถไฟไปยังเมืองลูเซิร์น เดินออกมานอกตัวอาคาร กระทบอากาศหนาวเข้าเต็ม ๆ รู้สึกหนาวเยือกเข้าไปในอก อาการแบบนี้ไม่เข้าท่าอย่างแรง เผลอ ๆ มีมาลาเรียกำเริบแน่นอน จะไม่ถอดชุดกันหนาวก็ร้อนเกินพิกัด ถอดชุดก็กลายเป็นจะเจ็บไข้ได้ป่วยเอาแบบนี้ สงสัยว่าเจ้ากรรมนายเวรจะเล่นด้วยวิธีนี้เอง คือทำให้ร้อนในขณะที่อุณหภูมิติดลบ แล้วมาตลบหลังเมื่อถอดเครื่องกันหนาวแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เหลือวิธีเดียวที่จะรับมือ ก็คือแก้ไขไปตามอาการเฉพาะหน้าเท่านั้น... นายสันโดษเอารถมารับ พอขึ้นไปนั่งเรียบร้อย ดูนาฬิกาหน้ารถแล้ว เพิ่งจะ ๑๔.๔๘ น. ได้กำไรเวลามาเป็นชั่วโมง เรากำลังจะเข้าไปในเมืองลูเซิร์นนะครับ มีสถานที่สำคัญที่ผมจะพาพระอาจารย์ทุกท่านไปชม ก็คืออนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้ เป็นอนุสาวรีย์ที่รัฐบาลฝรั่งเศสสร้างขึ้น เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึงทหารรับจ้างสวิสจำนวน ๗๘๖ นายที่เสียชีวิตในหน้าที่ ในการปกป้องพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ และพระนางมารี อังตัวแน็ต จากการโจมตีของกลุ่มกบฏที่พระราชวังตุยเลอรี ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ค.ศ.๑๗๙๒ จนทำให้ชื่อเสียงในความซื่อสัตย์และกล้าหาญของทหาร Swiss Guard โด่งดังไปทั่วโลก มัคคุเทศก์รูปหล่อที่อัดอั้นมาตลอดวัน บรรเลงเพลงยาวน้ำไหลไฟดับทันทีที่รถเคลื่อนตัวออกจากลานจอด... พอพ้นจากหมู่บ้าน Engelberg อันเป็นที่ตั้งของยอดเขาทิตลิส นายสันโดษก็พารถวิ่งเลียบไปกับทางรถไฟ ที่น่าจะสร้างคนละกรรมวิธีกับทางรถไฟของบ้านเรา เพราะว่าไม่เห็นหมอนไม้เลยแม้แต่อันเดียว เหมือนกับเอารางรถไฟตอกหมุดยึดลงไปในดิน แล้วโรยหินทับหน้าเท่านั้น ดูไม่เกะกะสายตาดีเหมือนกัน ทางรถไฟเลาะเลียบไปกับชายเขา ขนานกับทางรถยนต์ หลายช่วงมีบ้านแบบสวิสชาเล่ต์ ตั้งอยู่เป็นระยะ ใครนึกภาพสวิสชาเล่ต์ไม่ออก ให้นึกถึงพระตำหนักดอยตุงของ สมเด็จย่า หน้าตาประมาณนั้นแทบจะทุกประการ... |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
วงเวียนกระเช้าหมุนก่อนเข้าเมือง “แหล่งเที่ยวขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของเมืองลูเซิร์นก็คือ สะพานไม้ Chapel Bridge หรือที่ภาษาเยอรมันเรียกว่า Kapellbrucke เป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่มีอายุกว่า ๖๗๐ ปี นับเป็นสะพานที่เก่าที่สุดในยุโรป สร้างขึ้นในปี ค.ศ. ๑๓๓๓ ทอดข้ามแม่น้ำรอยส์ (Reuss) มีการบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ เนื่องจากถูกไฟไหม้ บนสะพานมีรูปวาดในยุคศตวรรษที่ ๑๗ ทั้งหมด ๑๒๐ รูป แสดงถึงการสร้างเมืองลูเซิร์นในยุคนั้น น่าเสียดายที่ของเก่าถูกไฟไหม้ไปเกือบหมด ภาพที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เป็นของที่วาดเสริมขึ้นมาด้วยเทคนิคที่ทำให้ดูเหมือนเก่าครับ” หูฟังข้อมูลจากมัคคุเทศก์รูปหล่อไป ตาก็ดูบ้านดูเมืองของเขาไป รถวิ่งลงเขาไปเรื่อย ๆ จนชักสงสัยว่าตอนขึ้นก็ขึ้นไปไม่มาก ทำไมเส้นทางลงถึงได้ไกลขนาดนี้ หลายช่วงมีการดาดคอนกรีตหรือก่ออิฐ (น่าจะเป็นหิน) กันดินถล่ม ดูแข็งแรงปลอดภัยดีมาก นาน ๆ ครั้งก็มีรถวิ่งสวนทางมา บรรยากาศสองข้างทางเขียวขจี บางช่วงเป็นป่าไม้สูงชะลูด บางช่วงก็เป็นไม้พุ่มกับทุ่งหญ้า จนหลุดจากภูเขาลงมาบนพื้นราบ ก็มีทุ่งนาและบ้านเรือนอยู่ตามที่ราบชายเขา บ้านเรือนเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่ผ่านไป... มีวงเวียนรูปกระเช้าหมุนตรงปากทางเข้าเมือง แสดงว่าเขา “เห่อ” กระเช้าหมุนกันในระดับออกหน้าออกตาทีเดียว นายสันโดษพารถของเราอ้อมวงเวียนแล้วตรงไป ทางช่วงนี้มีกำแพงกันเสียงสูงท่วมหัวทั้งสองฝั่ง แสดงว่าอยู่กลางชุมชนแล้ว มุดเข้าอุโมงค์สั้น ๆ แล้วโผล่ออกมาสู่การจราจรที่เริ่มหนาแน่น มีป้ายบอกทางแยกออกเป็นสามทาง ไป Basel - Zurich สีส้มบอกว่าเป็นทางด่วน เส้นกลางที่ไป Luzern - Basel กับเส้นขวาที่ไป Luzern – Zurich เป็นทางธรรมดา... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-05-2017 เมื่อ 12:41 |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
ถ่ายรูปช้าไปเลยไม่เห็น "กองสมบัติ" ของน้องแหม่มบนจักรยาน..! รถของเราชิดขวาเข้าเมืองมาเจอการจราจรมหัศจรรย์ ที่ทางซ้ายซึ่งเป็นเลนรถสวนมา ซ้ายของซ้ายสุดเป็นทางคนเดิน ถัดมาเป็นบัสเลน แล้วเป็นเลนรถทั่วไปกระหนาบสองข้าง มีเลนจักรยานอยู่ตรงกลาง ทางขวาที่เราวิ่งเข้าไปก็เป็นการจราจรแบบนี้เช่นกัน ไม่มีอะไรกั้นเลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากตีเส้นแล้วมีอักษรและภาพบนพื้นถนนแสดงให้รู้เท่านั้น ถ้าเป็นบ้านเราทุกวัดคงจะมีกิจการดีมาก เพราะว่าต้องสวดศพกันไม่หวาดไม่ไหว แต่ที่นี่ชาวบ้านเขาขี่จักรยานกันอย่างสบายอารมณ์ นึกอยากจะเปลี่ยนเลนก็ยื่นมือแสดงความจำนง แล้วก็เลี้ยวตัดหน้ารถใหญ่ไปแบบหน้าตาเฉย มีจราจรหญิงในชุดคล้ายกับ ชุดอ่อน ของทหารอากาศบ้านเรา ใส่เสื้อกั๊กสีส้มสะท้อนแสง คอยอำนวยความสะดวกอยู่ด้วย... ทางซ้ายมือของทุกท่านที่เป็นเหมือนกับประตูชัยนั้น คือศูนย์รวมการคมนาคมของเมืองลูเซิร์น หลัก ๆ ก็คือการเดินทางด้วยรถไฟ ประมาณหัวลำโพงของบ้านเรานั่นแหละครับ ส่วนตรงหน้าที่เป็นยอดแหลม ๆ คู่กันนั้น นั่นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองนี้ คือโบสถ์ St.Leodegar Church หรือที่ภาษาเยอรมันเรียกว่า Hofkirche เป็นโบสถ์ที่สำคัญและเป็นแลนด์มาร์กของเมืองลูเซิร์น ภายในโบสถ์มีแท่นบูชาพระแม่มาเรีย รูปปั้นนักบุญ Leodegar และ Mauritus ซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเมืองลูเซิร์นครับ หักเลี้ยวมาถนนสายเล็กลง มัคคุเทศก์รูปหล่อบรรยายตามสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า... แม่เจ้าประคุณเอ๊ย...ถ้าไปเมืองไทยยินดีบริการสุดใจขาดดิ้นเลย เสียงพระครูญาณฯ ครางกระเส่า คนอื่นตั้งใจฟังมัคคุเทศก์รูปหล่อ พ่อเจ้าประคุณดันไปเล็งน้องแหม่มที่ขี่จักรยาน สวมเสื้อกล้ามแนบลำตัว ซึ่งมีสมบัติที่แม่ให้มาเยอะมาก มิหนำซ้ำกางเกงยืดขาสั้น ยังโชว์สะโพกสุดเสียงสังข์กับขาขาว ๆ อีกต่างหาก นี่..นี่..เช็ดน้ำลายซะบ้าง หัดมองตัวเองหน่อยว่าทำแบบนี้แล้วสมควรมั้ย ? องปลัดที่วันนี้คงจะกินยาผิด จึงกลายเป็น คนดี ช่วยสะกิดเพื่อนให้รู้ตัว... |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
หน้าร้านของ "เจ๊อารี" พลขับหน้าตายที่ไม่สนใจว่าใครจะรักษาสมณสารูปหรือไม่ นำรถไปจอดในลานสำหรับจอดรถนักท่องเที่ยว พวกเราลงจากรถแล้วเดินตามมัคคุเทศก์รูปหล่อเป็นงูกินหาง มีท่านอาจารย์ ดร.วันชัยเข็นรถให้พระครูด็อกเตอร์ตามมาท้ายขบวน ผ่านอาคารที่มีรถจักรยานจอดอยู่เป็นร้อย ๆ คัน ถัดไปเป็นร้านแบบสวิสชาเล่ต์ ดูแล้วน่าจะเป็นประเภทร้านกาแฟ มีม้านั่งสีเขียวเข้มตั้งอยู่บริเวณลานหน้าร้านหลายตัว ตรงเข้าไปในซอยที่ค่อนข้างจะกว้างขวาง... มาถึงตึกแถวที่เป็นห้องกระจก หน้าร้านโดดเด่นด้วยรูปปั้นแม่วัวตัวใหญ่สีขาวมีแต้มแดง ซ้ำยังมีกากบาดสีขาวเครื่องหมายประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกด้วย ที่กระจกหน้าร้านด้านบน มีภาษาไทยเขียนว่า อารี ซูวิเนียร์ เฮ้าส์ (ร้านคนไทย) ข้างล่างเป็นภาษาอังกฤษตัวเอียงเขียนว่า AREES SOUVENIR HOUSE มัคคุเทศก์รูปหล่อผลักประตูเข้าไปแบบคนคุ้นเคย ส่งเสียงดังเข้าไปก่อนเลยว่า เจ๊อารี..โอ๋มาแล้วครับ มีพระคุณเจ้ามาด้วยทั้งคณะเลยครับ... ภายในร้านซึ่งมีของที่ระลึกกระจุกกระจิกเต็มแน่นไปหมด เหลือแค่ทางเดินระหว่างชั้นวางสินค้าเท่านั้น ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว เจ๊อารีครับ มัคคุเทศก์รูปหล่อเรียกซ้ำ รอเดี๋ยวค่ะ กำลังออกไปเดี๋ยวนี้ เจ๊แก่แล้วจะให้เร็วเหมือนหนุ่ม ๆ สาว ๆ ไม่ได้แล้วค่ะ สิ้นเสียงร่างอวบระยะสุดท้ายในชุดกางเกงขายาวสีขาว เสื้อสีเหลืองสดลายพร้อยเหมือนกำลังจะไปเล่นสงกรานต์ ก็โผล่ออกมาจากหลังบ้าน ยกมือไหว้ไปรอบทิศเพราะว่าพวกเรากระจายไปดูสินค้ากันแล้ว... |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
อนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้ที่โด่งดัง “นมัสการหลวงพ่อทุกท่านค่ะ สนใจของที่ระลึกชิ้นไหนหยิบได้เลยนะคะ อารีลดให้ ๘ % เพราะว่าไม่ได้ออกบิลที่มี VAT(ภาษีมูลค่าเพิ่ม) ให้ค่ะ” เสียงจ๋อย ๆ เป็นต่อยหอยของเจ๊อารีดังต่อเนื่องแบบ non stop “เดี๋ยวครับเจ๊...ผมพาพระอาจารย์ทุกท่านให้มารู้จักร้านก่อน แล้วจะพาไปอนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้ เสร็จแล้วค่อยให้ท่านกลับมาซื้อของครับ” เจ้าของร้านใจดีบอกแบบไม่ถือสาว่า “ได้ค่ะ...อารีจะรอหลวงพ่อทุกท่านอยู่ที่ร้าน นิมนต์ไปชมอนุสาวรีย์ก่อนเลยค่ะ”... เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ละจากร้านขายของที่ระลึก เดินตามมัคคุเทศก์รูปหล่อเลี้ยวซ้ายไป เดินมาหน่อยเดียวก็สุดซอยเป็นลานมีต้นไม้ร่มรื่น ใต้ต้นไม้มีเก้าอี้สำหรับนั่งเล่นหลายตัว ทางขวามือของลานมีสระน้ำเล็ก ๆ เป็นรูปวงรี ติดกับสระน้ำเป็นผนังหินของเนินเขาเตี้ย ๆ ที่ถูกสกัดออกจนเกือบจะราบเรียบ มีแอ่งเว้าเข้าไปเป็นถ้ำตื้น ๆ ข้างในถ้ำคือรูปสลักสิงโตร้องไห้ที่ขึ้นชื่อลือชา ต้องขอบคุณ “ท่านนายพล” ที่กวาดนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ไปทิ้งไว้ที่ไหนหมดก็ไม่รู้ ? ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้ชมอนุสาวรีย์ที่โด่งดังไปทั่วโลกแบบเต็มจอเต็มตาโดยมีแต่คณะของเราล้วน ๆ แบบนี้... ภาพสลักในถ้ำดูเหมือนกับมีชีวิต เป็นราชสีห์ตัวใหญ่นอนตะแคงขวาทับตราราชวงศ์ที่ตนปกป้อง ด้านหัวมีโล่ที่มีเครื่องหมายกากบาดและปลายหอกซึ่งเป็นอาวุธของเหล่าทหารในยุคนั้น บริเวณซี่โครงซ้ายใกล้หัวใจมีหอกหักเสียบคาอยู่ ใบหน้านั้นดูเจ็บปวดโศกเศร้าสุดพรรณนา บนผนังหินด้านใต้เวิ้งถ้ำมีอักษรภาษาโรมันสลักบอกกล่าวถึงวีรกรรมเอาไว้มากมายหลายแถว อาตมาถ่ายรูปแรกแล้วรำคาญสระน้ำที่มีแต่ใบไม้ลอยฟ่องดูค่อนข้างสกปรก จึงใช้ซูมของกล้องดึงภาพมาใกล้ จัดการถ่ายเอาเฉพาะเวิ้งถ้ำที่มีสิงโตเท่านั้น... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2017 เมื่อ 17:09 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|