#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติ คือ ความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราเคยถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ระยะนี้ฝนฟ้าค่อนข้างจะรุนแรง ซึ่งจะว่าไปแล้วภัยธรรมชาตินั้นเกิดขึ้นจากการกระทำของคนก็คือ ถ้าคนดีมีศีลมีธรรม ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ก็เบาบางหรือไม่มี พอคนห่างไกลจากศีลจากธรรม ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ก็รุนแรงขึ้น ฝนฟ้าก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล โดยเฉพาะในบ้านเมืองเรา จะเห็นว่าเรื่องของการมานั่งสมาธิปฏิบัติธรรมนั้น ผู้ที่ตั้งใจทำเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ มีไม่มาก ส่วนหนึ่งมาทำเพราะเป็นแฟชั่น ก็คือปฏิบัติตาม ๆ กันไป เพราะว่าเป็นระยะที่กำลังเห่อในเรื่องของแนวทางปฏิบัติธรรม อีกส่วนหนึ่งที่มาปฏิบัติก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเอาความหลุดพ้น แต่มีจุดมุ่งหมายต่าง ๆ กันไป อย่างเช่นว่า บางพวกเชื่อว่าปฏิบัติธรรมเป็นการเสริมดวงเสริมบารมีให้เจริญรุ่งเรือง เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเราสังเกตดูจะเห็นว่า วัดวาอารามต่าง ๆ เวลาจัดงาน ถ้าไม่ใช่หลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ที่มีคนเคารพนับถือจริง ๆ บางวัดพระแทบจะมากกว่าคนที่เข้าไป แต่ขณะเดียวกันถ้าเป็นงานคอนเสิร์ตหรือว่าเปิดห้าง หรือบรรดาห้างสรรพสินค้าอยู่ในฤดูกาลลดราคา ก็จะมีคนแห่กันไปแน่นขนัด หรือว่าสินค้าบางยี่ห้อเปิดจำหน่ายของใหม่ คนก็ไปเฝ้ารอกันข้ามวันข้ามคืน เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2017 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
จากการเปรียบเทียบเราก็จะเห็นว่า การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องของชนกลุ่มน้อย น้อยมาก ๆ แต่ว่าเป็นชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในลักษณะของเพชรพลอย ย่อมหาได้ยากกว่ากรวดทรายทั่วไป เพราะว่าผู้ที่จะมาปฏิบัติธรรมนั้น ต้องเป็นปรมัตถบารมีเท่านั้น
บุคคลที่เป็นสามัญบารมี คือ กำลังใจเบื้องต้น เต็มที่ก็ให้ทานได้ แต่รักษาศีลไม่ได้ เจริญภาวนาไม่ได้ บุคคลที่อยู่ในระดับอุปบารมี คือ กำลังใจขั้นกลาง ให้ทานได้ รักษาศีลได้ แต่เจริญภาวนาไม่ได้ ต้องเป็นปรมัตถบารมีเท่านั้น จึงจะสามารถให้ทาน รักษา ศีลและเจริญภาวนาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะเห็นได้ว่า การปฏิบัติของเรานั้นหาคู่แข่งแทบจะไม่ได้ ในเมื่อหาคู่แข่งแทบจะไม่ได้ ก็เป็นโอกาสดี โอกาสทอง ยิ่งกว่างานลดแลกแจกแถมของห้างสรรพสินค้า ก็คือการปฏิบัติธรรมของเรา จะมากจะน้อยผลดีย่อมเกิดกับเราแน่ เพียงแต่ว่าอยากให้พวกเราทั้งหลายนั้น มุ่งตรงเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้า คือความเป็นพระโสดาบัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2017 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ในเรื่องของสมถกรรมฐานหรือการปฏิบัติสมาธิภาวนานั้น ต้องตั้งเป้าเอาไว้ที่ปฐมฌาน ไม่ต้องไปหวังถึงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ถ้าได้ถึงปฐมฌานถือว่าเป็นกำไร เพราะว่ากำลังของปฐมฌานนั้น เพียงพอที่จะตัดกิเลสในระดับของพระโสดาบันได้แล้ว
เมื่อเราทำสมาธิ สร้างสมาธิให้เกิดแล้ว ก็เอากำลังใจนั้นมาพินิจพิจารณาด้วยปัญญาที่ไม่ต้องมากนัก คือ เห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ต้องตาย เราเกิดมาแล้วตายแน่นอน แต่ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาแล้วพบกับความทุกข์ยากเช่นนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก ถ้าตายเมื่อไรเราต้องการไปพระนิพพานแห่งเดียว นี่คือเป้าหมายที่ชัดเจนที่สุด ส่วนวิธีการประกอบอื่น ๆ ก็คือ เราต้องมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราต้องรักษาศีลตามสภาพของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล แล้วพยายามสร้างสมาธิภาวนาของเราจนกระทั่งทรงตัวเป็นปฐมฌานได้ ใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณาให้เห็นชัดว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วแปรปรวนไป ในที่สุดก็ตายลง ในระหว่างดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่หาความเที่ยงไม่ได้ มีแต่ความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีก เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน แล้วส่งกำลังใจของเราเกาะภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรารักเราชอบมากที่สุด รักษากำลังใจของเราให้อยู่ตรงนั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เมื่อกำลังใจคลายตัวออกมา เราก็มาพินิจพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราของสภาพร่างกายนี้ ให้ทำสลับไปสลับมาเช่นนี้ จึงจะเกิดผลดีต่อการปฏิบัติธรรมของพวกเรา ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันศุกร์ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2017 เมื่อ 15:16 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|