กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 11-11-2009, 11:56
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


อารมณ์มัจฉริยะ (ความตระหนี่-ขี้เหนียว)
กับเวลาและความตายไม่คอยใคร



เจ้าอยู่กับโลกก็จำเป็นจักต้องรู้ธรรมของโลกด้วย แต่รู้เพียงสักว่ารู้
จักได้รู้เท่าทันโลก แต่ไม่ติดอยู่ในธรรมของโลก
มิใช่อะไร ๆ ก็ไม่รู้ ก็ต้องตกเป็นทาสของความโง่ คือไม่รู้อยู่ร่ำไป

จงอย่าเสียดายเงิน เสียดายเวลา ซึ่งไม่เที่ยง
หากจักนำมาเปรียบเทียบกับการที่ต้องเสียอารมณ์ไปเพราะเหตุเหล่านั้น
เป็นการเบียดเบียนจิตตนเอง ขาดเมตตาจิตตนเอง ทำร้ายจิตตนเองโดยความโง่

ให้ใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญ ในการแก้ปัญหาทุกอย่าง ทั้งทางโลกและทางธรรม


อารมณ์มัจฉริยะ ความตระหนี่ขี้เหนียว ก็คือ อารมณ์หวงเงิน ทอง ทรัพย์สินต่าง ๆ
ให้ระมัดระวังอารมณ์นี้เอาไว้ให้ดี ๆ จงหมั่นกำหนดรู้เข้าไว้ มีลาภ เสื่อมลาภ
มีทรัพย์สินเงินทอง สักวันหนึ่งก็เสื่อมไป เป็นธรรมดาของกฎของธรรมชาวโลก

ทุกอย่างหนีสันตติไม่พ้น หนีกฎของไตรลักษณ์ไม่พ้น
มีเกิด มีเสื่อม มีดับเป็นธรรมดา เจ้าจงอย่าเกาะยึดอารมณ์นี้
รู้เท่าทันไตรลักษณ์เข้าไว้ จิตจักได้สบายใจ


นี่แหละอารมณ์มัจฉริยะ ขี้เหนียว ตระหนี่แม้แต่เวลาจึงเป็นทุกข์ เพราะเวลาซึ่งหาความเที่ยงไม่ได้
เมื่อเวลาไม่เที่ยง เจ้าไปยึดเวลาจึงสร้างทุกข์ให้กับจิตและกายของเจ้าเอง
เหตุเพราะจิตเจ้าไม่อยู่ในธรรมปัจจุบัน
ตั้งความปรารถนาจักกลับมาทำงานในเวลาแห่งอนาคต
แต่กิจปัจจุบันของเจ้ายังทำไม่เสร็จ เวลามันไม่คอยท่า ก็เคลื่อนไปอยู่เรื่อย
กิจปัจจุบันทำไม่ดี จิตก็ไม่ดี จดจ่ออยู่แต่กิจในอนาคต สุดท้ายจึงเหลวหมดด้วยประการทั้งปวง


นี่เป็นธรรมภายนอก ซึ่งเจ้าสามารถจักนำมาเป็นบทเรียนสอนธรรมภายในให้แก่จิตของตนเองได้
เวลานี้ความฟุ้งซ่านเกิด จิตของเจ้าก็ย่อมอยู่ในธรรมปัจจุบันเช่นกัน
มัวแต่ไปพะวงถึงธรรมในอนาคตซึ่งยังมาไม่ถึง กิจปัจจุบันทำไม่ดี เจ้ารู้เวลาที่เคลื่อนที่ไปหรือไม่
ความตายกำลังเข้ามาใกล้ทุกที จิตฟุ้งคือจิตมีอารมณ์ประมาท เสียดายเวลา แต่ไม่รู้จักใช้เวลาให้เป็น
ปล่อยเวลาให้เคลื่อนไปในปัจจุบัน มัวแต่พะวงอยู่ในธรรมอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
สุดท้ายก็คว้าอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว อย่างนี้ดีนะหรือ

เมื่อรู้ว่าไม่ดี คิดไม่ถูก ก็จงหมั่นปรับปรุงแก้ไขอารมณ์ของใจเสียใหม่
เพื่อให้เข้าใจและรู้จักใช้เวลาในธรรมปัจจุบัน ให้เป็นประโยชน์สืบไป



จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 12-11-2009, 12:54
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


การพึ่งตนเองด้วยปัญญา
กับการตัดกรรมของพระฉันนะ



ให้เจ้ารู้อยู่แต่ในธรรมปัจจุบัน
เจ้าพึงศึกษาและเรียนรู้เข้าไว้ เพื่อจักทำให้อารมณ์จิตเป็นสุข
ธรรมนี้เพื่อช่วยอารมณ์จิตของเจ้าเอง เหมือนกับที่สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงตัดกรรมให้กับพระฉันนะ
ให้ละจากธรรมในอดีต ที่เป็นสหชาติกับพระองค์ลงเสีย
ให้ละจากธรรมอนาคตทั้งหมด ที่มุ่งหวังจากพระทุกองค์ในความเกื้อกูลเนื่องด้วยความเป็นสหชาตินั้น


พระฉันนะยึดอดีตไม่ได้ เพราะขันธ์ ๕ ขององค์สมเด็จพระจอมไตรทรงปรินิพพานไปแล้ว
จักยึดอนาคตเพื่อพึ่งใครก็ไม่ได้ เพราะถูกสั่งลงพรหมทัณฑ์ คือ อยู่แต่ผู้เดียว
จึงอยู่กับธรรมปัจจุบันอันเดียวดายนั้น เป็นการบีบบังคับให้พระฉันนะต้องพึ่งตนเอง


การคิดและพิจารณาธรรมอยู่ในปัจจุบันนั้น คือ การพึ่งตนเองด้วยปัญญา โดยยึดอริยสัจ คือ ทุกขสัจเป็นที่ตั้ง
ในที่สุดพระฉันนะก็จบกิจได้ด้วยธรรมปัจจุบันนั้น เห็นภาพสภาพความเป็นจริงของขันธ์ ๕ ที่เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง ยึดถืออะไรไม่ได้
เห็นสภาพความเป็นจริงของกิเลสที่เป็นเจ้านาย ครอบงำอารมณ์ของจิตที่ทำให้ตกเป็นทาสของมัน
ทำให้จิตเคลื่อนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อพิจารณาถึงที่สุด พระฉันนะก็หมดทุกข์
เห็นองค์สมเด็จพระจอมไตรอยู่ที่พระนิพพานอย่างชัดเจน


ดังนั้น เมื่อบรรลุถึงธรรมวิมุติแล้ว พระฉันนะก็คิดถึงคุณและโทษของการอยู่ว่า
จักมีประโยชน์หรือไม่ เมื่อเห็นว่าเป็นโทษก็ยอมละทิ้งขันธ์ ๕ เพื่อนิพพานไปดังกล่าว

ตถาคตจักถามเจ้าดูว่า พระฉันนะฆ่าตัวตาย เพราะอาลัยหรือไม่อาลัยในขันธ์ ๕ (ตอบว่า ไม่อาลัย )
ใช่ เพราะท่านหมดอารมณ์ที่จักอาลัยแล้ว ต่างกับคนที่ฆ่าตัวตายเพราะมีอารมณ์ไม่รักก็ชัง
จึงไม่พ้นทุกข์ ตถาคตยกเรื่องนี้ให้เจ้าได้คิดพิจารณา


พระที่ท่านได้พระอรหัตผล เพราะตัดความรักอาลัยในขันธ์ ๕ หมดจากอารมณ์เบียดเบียนกายและจิตแล้ว จึงพ้นทุกข์
ขอให้เจ้าศึกษาธรรมในปัจจุบันให้ดี ๆ ละจากธรรมที่เป็นอดีตและอนาคตเสีย


มีชีวิตอยู่อย่าหนีปัญหา เพราะหนีไม่พ้น หากกายยังอยู่ ปัญหาของโลกก็เป็นธรรมดาของโลก
จะพ้นได้ เมื่อตัดอารมณ์พอใจกับไม่พอใจได้เด็ดขาดแล้ว


หากยังตัดอารมณ์พอใจกับไม่พอใจไม่ได้ จงอย่าเอาอดีตที่ผ่านมาแล้ว และอนาคตซึ่งยังไม่ถึงมาครุ่นคิด
เพราะล้วนเป็นทุกข์ของจิต ต้องอยู่ในปัจจุบันธรรม



จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 12-11-2009 เมื่อ 12:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 13-11-2009, 15:15
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


จงอยู่กับธรรมปัจจุบันให้มาก ๆ


คำนึงถึงธรรมปัจจุบันให้มาก ละธรรมในอดีตและอนาคตลงเสียก่อน
พึ่งตนเองให้มาก ๆ เพื่อการเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง อย่าพอใจแค่พระโสดาบันจักไม่พ้นทุกข์


กาลเวลาล่วงไป ชีวิตมันใกล้ความตายทุกขณะจิต
ไม่ทำความเพียรตั้งแต่วาระนี้แล้วจักไปทำความเพียรเอาที่ตรงไหน
ธรรมะของตถาคตมิใช่ของเนิ่นช้า อย่าท้อถอยกับการกระทบกระทั่งของอารมณ์
เพราะเป็นธรรมดา จักละธรรมอันเป็นอกุศลประการใด
ธรรมที่เป็นอกุศลประการนั้นก็จักเข้ามาทดสอบจิตอยู่เสมอ


จงลงตัวธรรมดาเข้าไว้
ธรรมดาของตถาคตตรัสคือ เกิดแล้วดับไปตามสภาวธรรมของโลก
ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วดับไป จงทำจิตให้ยอมรับธรรมนั้น


อย่ายึด เกาะติดธรรมที่ชอบใจและไม่ชอบใจ
เพราะอารมณ์เหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้จิตของเจ้าพ้นทุกข์ได้เลย


จงอยู่กับธรรมปัจจุบันให้มาก ๆ เคารพกฎของธรรม อันมีเกิดแล้วดับไปเป็นปกติ
ในที่สุดสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง เกาะยึดเมื่อไหร่ ทุกข์เมื่อนั้น


ทุกอย่างเคลื่อนไป จงยอมรับความเคลื่อนไปอยู่อย่างนั้น
อย่าปรุงแต่งธรรม สิ่งใดยังไม่เกิดก็จงอย่าครุ่นคิดปรุงแต่งธรรมนั้น ทุกอย่างมีแต่ปัจจุบัน
ถ้าจิตเจ้าไม่เข้าใจในธรรมปัจจุบัน ก็ต้องทุกข์อยู่กับอดีตและอนาคตธรรมอยู่ร่ำไป จักมีประโยชน์อันใด



การเข้าถึงพระนิพพาน ก็ต้องอาศัยรู้อารมณ์จิตให้อยู่ในธรรมปัจจุบันนี้
ความเป็นพระอรหัตผลก็เป็นของไม่ไกล จงพิจารณาธรรมนี้ให้ดี ๆ



จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 15-11-2009, 17:14
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนพระอานนท์ ๑๔ ส.ค.๒๕๓๖


อายาตนะภายในกับอายาตนะภายนอก
และธรรมสมมุติไปสู่ธรรมวิมุติ



ตาเห็นรูป ตาเป็นอายตนะภายในไม่เที่ยงก็เป็นของร้อน
นอกจากนั้น ตาก็จะเสื่อมไปตามสภาพของขันธ์ ๕
และสายตาที่สัมผัสรูปต่าง ๆ ก็ไม่สามารถมองรูปหนึ่งรูปใดได้นาน ๆ สายตาก็ต้องเคลื่อนไป
จึงไม่เที่ยง ในที่สุดสายตาของขันธ์ ๕ ก็ดับไปเป็นอนัตตา


รูปเป็นอายตนะภายนอก ก็ไม่เที่ยง จึงเป็นของร้อนเช่นกัน
รูปอาศัยดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบขึ้นมาเป็นรูป มีวิญญาณธาตุและอากาศธาตุเข้ามาผสม
ณ ที่นี้หมายถึงรูปคนและสัตว์เป็นสำคัญ รูปเหล่านี้อาศัยอยู่ได้ในความไม่เที่ยง


ดูแต่ลมหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก รูปก็ดับ
เมื่อในที่สุดธาตุลมดับแล้ว ธาตุไฟดับตาม ธาตุน้ำก็ละลายธาตุดิน
จนตกอยู่ในสภาพอนิจจังและอนัตตาไปในที่สุด จึงจัดว่าเป็นของร้อน
ตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสสอนไว้ดังนี้

"จงพิจารณากำหนดรู้อายตนะภายในและภายนอกอยู่อย่างนี้ให้เนือง ๆ
จิตจักได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในอายตนะนั้นเป็นของร้อน
เพราะมีความไม่เที่ยงอยู่เยี่ยงนี้เป็นปกติ พิจารณาอายตนะ ๑๒ ให้ครบวงจร

แล้วจงทำความเบื่อหน่ายในอายตนะภายในและภายนอกนั้น
จนในที่สุดจิตจะคลายจากความกำหนัดลงได้ ในเมื่อเห็นสภาพตามความเป็นจริงว่า
อายตนะภายใน คือ ร่างกายของเราเอง อายตนะภายนอก คือ ร่างกายของคนอื่น
ล้วนเป็นของร้อน เพราะไม่เที่ยง ยึดเอามาเป็นสาระแก่นสารไม่ได้"


"เมื่อไม่เที่ยงก็เป็นสมมุติ จิตยึดติดในสิ่งที่ไม่เที่ยง จึงเป็นจิตที่ติดสมมุติ
ต่อเมื่อจิตพิจารณาจนหลุดพ้นธรรมสมมุติเหล่านี้ไปแล้ว
จิตนั้นก็จะอยู่ในความเที่ยง ไม่รุ่มร้อนไปกับอายตนะ ๑๒ อีกต่อไป
จิตดวงนี้จึงจะเรียกว่า เข้าถึงธรรมวิมุติอย่างแท้จริง"




จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 16-11-2009, 17:50
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


สังขารุเบกขาญาณตัวจริงนั้นเป็นอย่างไร

ร่างกายไม่ดี ฝืนไม่ได้ก็จงอย่าฝืน การกำหนดรู้เวทนาเป็นของดี การวางเฉยไม่บ่นในเวทนานั้นก็เป็นของดี แต่จักให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป
ก็จงดูอารมณ์ว่า มีความวิตกกังวลกับร่างกายมากน้อยเพียงใด ดูผิวเผินเสมือนหนึ่งไม่มีจิตเกาะเวทนานั้น ๆ
แต่ควรจักมองให้ลึก ๆ เข้าไปถึงอารมณ์ที่ไม่โปร่งของจิต ก็จักเห็นอาการของจิตที่ยังเกาะเวทนานั้นอยู่ ไม่มากก็น้อย
คือ ลักษณะของอารมณ์จิตยังอึดอัดมีการเหมือนอดทนต่อเวทนานั้น
จิตยังมีอาการหนักอึดอัดก็คือ จิตไม่วางอาการเวทนาของร่างกาย


หากเป็นสังขารุเบกขาญาณตัวจริง เวทนาจักสูงสักเพียงใด อารมณ์ของจิตจักไม่หนักใจในอาการนั้น
จิตโปร่งไม่ยึดเกาะอาการเวทนาใด ๆ ทั้งสิ้น เหมือนดั่งในวาระที่ท่านฤๅษีจักละขันธ์ ๕ มาครั้งนั้น
อารมณ์จิตของท่านฤๅษีโปร่งเบา มิได้ขัดเคืองกับทุกขเวทนาของขันธ์ ๕ เลย
นั่นแหละเป็นของจริงแห่งอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ คือ

จิตยอมรับและปล่อยวางร่างกายไปตามสภาพของความเป็นจริง
ยอมรับกฎของกรรม หรือธรรมดาของร่างกายอย่างจริงใจ



อาการหนักของจิต จักต้องดูและรู้ด้วยตาปัญญา คือ อย่าให้กิเลสมันมาบังความจริง
ว่าจิตหามีความหนักไม่ ทั้ง ๆ ที่ยังมีอารมณ์หนักอยู่ เหมือนคนเดินตัวเปล่าก็โปร่งเบา
ซึ่งต่างกับคนเดินแบกสัมภาระย่อมหนัก ฉันใดก็ฉันนั้น หากจิตไม่เกาะเวทนาจริง ๆ
ก็จักมีสภาพตามนี้ สอบจิตดูอารมณ์ไว้ให้ดี ๆ


การจักปลดความหนักของจิตลงได้ ต้องอาศัยพิจารณากฎไตรลักษณญาณ
เห็นเกิด เสื่อม ดับของขันธ์ ๕ ซึ่งยึดถือมาเป็นสารสาระไม่ได้
และยึดสมถะภาวนา ๓ กอง มาเป็นกำลัง คือมรณานัสสติ อสุภะ และกายคตานัสสติ
ทำลายความยึดมั่นถือมั่นลงไปในความเกาะติดว่า ขันธ์ ๕ นี้เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเราและควบคุมอุปสมานัสสติเอาไว้
ขออยู่กับสภาพไม่เที่ยงของขันธ์ ๕ อันมีความเที่ยงของมันอยู่อย่างนั้นเป็นครั้งสุดท้าย

ขันธ์ ๕ นี้ตายลงเมื่อไหร่ ตั้งใจไปพระนิพพานเมื่อนั้น


กรรมฐานเหล่านี้ พวกเจ้าต้องทำควบคู่กันไปตลอดเวลา
จักทำให้บารมี คือ กำลังใจตัดกิเลสทรงตัวยิ่ง ๆ ขึ้นไป รักษากำลังใจจุดนี้ไว้ให้ดี ๆ
จงจำปฏิปทาของท่านฤๅษีเอาไว้ ท่านทำเพื่อความไม่ประมาทโดยตรง

รักษากำลังใจให้ดี คือ ไม่คิดให้จิตต้องเศร้าหมอง ไม่ว่าในกรณีใด ๆ
ท่านทำมาโดยตลอดจนกระทั่งจิตทรงตัวอยู่ในความดี มีจิตผ่องใสหมดจดจากความประมาทได้ในที่สุด



จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 24-11-2009, 15:52
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Smile

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


ทางสายกลางนั้นเป็นอย่างไร

พักผ่อนร่างกายเสียบ้าง หากตรากตรำเกินไปร่างกายเพลีย จิตก็จักทรงสติให้สมบูรณ์ได้ยาก
อย่าลืมพวกเจ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ จึงจักทรงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้อย่างทรงตัว


พระอรหันต์ แม้แต่ตถาคตเองยังต้องหาเวลาให้ร่างกายได้พักผ่อน ด้วยอยู่สุขวิหารหรือนิโรธสมาบัติ
พวกเจ้าต้องศึกษาตัวนี้เอาไว้ด้วย การเบียดเบียนร่างกายมากเกินไป ก็เป็นอัตตกิลมถานุโยคไม่พึงทำ


สาเหตุมาจากเจ้าพักผ่อนไม่เพียงพอ การทำงานจักเป็นทางธรรมหรือทางโลกก็ตาม
ต้องดูกำลังของร่างกายไว้ด้วย เพราะพวกเจ้ายังมีร่างกาย
ร่างกายเป็นของโลก โลกมีเวลา เจ้าก็ควรมีเวลาให้ร่างกายด้วย หาตัวพอดีเหมาะสมของร่างกายในแต่ละสถานการณ์ให้พบ
คือหาธรรมปัจจุบัน อันเป็นมัชฌิมาของร่างกายและของจิตในขณะนั้นให้พบ
และทำให้ได้ตามนั้น ก็จัดได้ว่าเดินสายกลางได้อย่างถูกต้องแท้จริง



จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 25-11-2009, 14:09
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


ทุกคนในโลกไม่มีทุกข์นั้นไม่มี

จงมองทุกคนในโลก จักเห็นว่าไม่มีทุกข์นั้นไม่มี
ทุกข์ของการมีร่างกาย ทุกข์ของการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
ทุกข์ด้วยอารมณ์ของจิตที่เบียดเบียนตนเอง การมีชีวิตทรงอยู่ในโลกจึงเต็มไปด้วยความทุกข์


เมื่อเจ้าเห็นเป็นประการนี้ ก็จงดูชาวโลกุตรชน
จักเห็นความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ในจิตที่สงบของทุกท่านในที่นี้

อย่าว่าแต่เพียงตถาคตหรือพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ หรือพระอรหันต์สาวกเลย แม้พรหม เทวดา นางฟ้า
ผู้ล่วงเข้าสู่โลกุตรชน ก็ทำการตัดกิเลสให้จิตได้สุขสงบตามลำดับแห่งบารมีธรรมของตนเองนั้น ๆ


เพราะฉะนั้น พวกเจ้าก็เช่นกัน วันทั้งวัน คืนทั้งคืน จงหมั่นตัดกิเลสตามกำลังของตน
เพื่อทำให้จิตสุขสงบขึ้นมาตามลำดับเถิด
หากกรรมใดทำแล้ว จิตเศร้าหมองปราศจากความสุขสงบ จงหมั่นหนี เลี่ยงการกระทำนั้น
ทุกอย่างต้องใช้ปัญญาอันเป็นสัมมาทิฏฐิเข้าพิจารณาและใคร่ครวญ
อย่าคิดอย่าทำอะไรที่ขาดสติและนำมาซึ่งการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเป็นอันขาด


อยากมานิพพาน จงทำกิจเพื่อพระนิพพานให้เข้มแข็งจริงจังด้วย
ทำกันที่จิตนี่แหละ เป็นประการสำคัญ เพราะการมาพระนิพพานเขาใช้จิตมา มิใช่ใช้ร่างกายมา
ร่างกายเป็นสมบัติของโลก ในที่สุดก็ต้องคืนสู่โลกไป


อย่าห่วงร่างกายให้มาก เพียงแต่ทำให้มันตามหน้าที่ที่มีร่างกายตามความจำเป็นเท่านั้น
เห็นทุกข์ เห็นโทษของการมีร่างกายให้ชัดเจน
เพื่อความเป็นประโยชน์อันจักนำมาซึ่งการตัดร่างกายทิ้งไปได้ในที่สุด
เมื่อถึงวาระของการดับแห่งร่างกายนั้นได้เกิดขึ้น


การทรงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณต้องใช้ปัญญารอบรู้ตามความเป็นจริง
รู้ปกติธรรมของร่างกาย ทำทุกอย่างตามปกติธรรมนั้น

ร่างกายมีโรคะเบียดเบียนตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา
จิตของพวกเจ้าต้องไม่เบียดเบียนตนเองตามอาการของร่างกายนั้น ๆ
หิวก็รู้ว่าหิว หาให้กินตามหน้าที่ ร้อนหรือหนาวก็รู้อยู่ ป่วยก็รู้อยู่ หาหยูกหายารักษา
แต่รู้ด้วยความไม่กังวล เห็นปกติธรรมของร่างกายว่ามันเป็นอย่างนี้เอง
รักษาอารมณ์ใจเข้าไว้ ให้ยอมรับกฎของธรรมดา จิตก็จักไม่ดิ้นรน
ฝึกสภาวะของร่างกาย จิตก็จักสุขสงบได้ไม่ยากเย็น


จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 26-11-2009, 15:08
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนหลวงปู่บุดดา


คนหลงขันธ์ ๕ อยากให้ขันธ์ ๕ อยู่นาน ๆ

คนหลงขันธ์ ๕ ก็อยากให้ขันธ์ ๕ ทรงอยู่นาน ๆ แต่คนใดหมดความหลงในขันธ์ ๕ แล้ว
ก็หมดความอยากที่จะให้ขันธ์ ๕ อยู่นาน ๆ ยอมรับสภาพตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เห็นปกติธรรมที่เกิดดับของขันธ์ ๕ นั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครจะฝืนกฎของกรรมได้


เอ็งจงดูความทุกข์ของขันธ์ ๕ เข้าไว้ มันหาความปกติสุขไม่ได้เลย
ไม่ว่าขันธ์ ๕ ของใครหรือขันธ์ ๕ ของเรา

อย่าคิดแสวงหาความสุขของร่างกายเลย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน พยายามแสวงหาความสุขทางใจเข้าไว้
ขันธ์ ๕ มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เอาพระธรรมเข้ามาทำให้จิตเป็นสุขสงบเยือกเย็นดีกว่า
จิตจักพ้นทุกข์เพราะเข้าถึงธรรมนี้แหละ


อย่าห่วงขันธ์ ๕ ของใคร และอย่าห่วงใจของใครให้มากไปกว่าห่วงใจของเรา
ดูอารมณ์ใจเอาไว้ให้ดี ๆ ว่ามันเบียดเบียนขันธ์ ๕ ตัวเองและผู้อื่นหรือเปล่า
ดูเอาไว้ว่าอารมณ์ใจไปเบียดเบียนจิตตนเองและบุคคลผู้อื่นหรือเปล่า



การเบียดเบียนนั้นต้องไม่มีทางกาย วาจา และใจ
ไม่เบียดเบียนทั้งธรรมภายในและภายนอก จึงจัดว่าเป็นสุขอย่างแท้จริง


จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 30-11-2009, 15:28
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


คนฉลาดไม่ฝืนอารมณ์แต่คอยแก้ไขอารมณ์

การที่จักไม่ติดใจในธรรมของโลกทั้ง ๓ นี้
(ทรงหมายถึงสัพเพสังขารา อนิจจา และสัพเพ ธัมมา อนัตตาติ)
เจ้าก็จักต้องทำความเบื่อหน่ายในธรรมอันไม่เที่ยงเหล่านี้เสีย
หมั่นชำระจิตเมื่อธรรมทั้งปวงเหล่านี้ผ่านเข้ามาสู่อายตนะสัมผัส

โดยการกำหนดรู้ ปล่อยวางอย่างรู้เท่าทันในความเป็นจริงแห่งธรรมนั้น ๆ

เห็นทุกข์อันเกิดจากการสนใจในธรรมนั้น ๆ
พิจารณาจนถึงที่สุดแห่งธรรมที่เข้ามากระทบอายตนะสัมผัสในแต่ละครั้ง


คนฉลาดย่อมจักไม่ฝืนอารมณ์ เขาจักแก้ไขอารมณ์ที่เข้ามากระทบแต่ละครั้ง
ตามจริต ๖ ที่ตถาคตและพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงกำหนดแนวทางเอาไว้ให้แก้ไข


คนขลาดย่อมวิ่งหนีอารมณ์ คนเขลาตกเป็นทาสของอารมณ์ แต่คนฉลาดปักหลักสู้กับอารมณ์ตลอด ๒๔ ชั่วโมง
รู้ศึกษาอารมณ์ตลอดเวลา สู้รบกับอารมณ์ตลอดเวลา สัประยุทธ์ชิงชัยอยู่ภายในเสร็จสรรพ ด้วยกองกำลังของตนเอง
คือโจทย์จิตตนเองเอาไว้
ให้คอยระวังข้าศึก คือกิเลสที่เข้ามารบกวนอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ไม่โทษธรรมที่เข้ามากระทบทางอายตนะสัมผัส
คนเหล่านี้โทษจิตของตนเองที่หวั่นไหวไปตามธรรมนั้น ๆ


โทษจิตแล้วหมั่นแก้ไขอารมณ์ที่ชอบปรุงแต่งให้เกิดอุปาทานอกุศลกรรมนั้น ๆ ด้วยความเพียรไม่ย่อท้อ
คนเหล่านี้เห็นทุกข์อันเกิดจากจิตเสวยอารมณ์ กิเลส ตัณหาอย่างชัดเจน

รักรู้ โลภรู้ โกรธรู้ หลงรู้ ก็คอยตามแก้ไขอารมณ์นั้น ๆ อยู่ร่ำไป

จักแพ้หรือจักชนะอารมณ์ในคราวใดก็รู้
มีจิตกำหนดรู้อยู่เสมอ
คำว่าไม่รู้ จึงจัดว่าเป็นผู้ประมาท จักไม่มีในจิตของคนเหล่านี้เขาเผลอกันน้อยเต็มที
นี่เป็นหนทางของการนำไปสู่ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นำไปสู่ความไม่ประมาทในธรรมทั้งปวงอย่างแท้จริง
ขอให้พวกเจ้าหมั่นปฏิบัติตามนี้เอาไว้ให้ดี ๆ


คำว่าผู้รู้ คือ ผู้แจ้งโลก รู้วาระจิตของตนไม่ติดอยู่ในธรรมอันไม่เที่ยงของโลกนั้น ๆ

จิตตื่นแล้วจากความข้องติด หลับไหลอยู่ในธรรมของโลกทั้งปวง โลกที่จองจำจิตเราได้มากที่สุด คือ ขันธโลก
จักหลงเกิดอยู่ในมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลกก็เป็นผู้หลับไหลมองไม่เห็นสภาวธรรมนั้น ๆ
ต่อเมื่อใช้ความเพียรโจทย์จิตตน จนเป็นผู้รู้ ผู้ตื่นในขันธโลกไปตลอดจนพรหมโลก เทวโลกแล้ว
ตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการที่รัดรึงจิตลงได้แล้ว ก็ย่อมเป็นผู้เบิกบานอย่างแท้จริง
จิตบุคคลเหล่านี้ก็ถึงธรรมวิมุติ หลุดจากความเศร้าหมองด้วยประการทั้งปวง


อย่าฟังคำตรัสของตถาคตแต่เพียงไพเราะรื่นหู
ขอให้พวกเจ้านำไปคิดพิจารณาใคร่ครวญและปฏิบัติตามด้วย
จักเป็นผลให้พ้นทุกข์ได้



จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 03-12-2009, 16:48
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


อาการเสื่อมไปของอิริยาบถก็เป็นทุกข์

กาลเวลาที่ล่วงไป อย่าลืม..ความตายยิ่งใกล้เข้ามา เวลานี้พวกเจ้าโจทย์จิตเรื่องอารมณ์เข้าไว้ให้เต็มที่
กำหนดรู้สภาวธรรมที่เข้ามากระทบจิตให้ชัดเจนแจ่มใส
จักได้ไม่หลง ไม่ไหลไปในสภาวะของธรรมนั้น ๆ
หาความจริงของต้นเหตุแห่งทุกข์ในธรรมนั้น ๆ ให้พบ
แล้วพิจารณาละสังโยชน์อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ในธรรมนั้น ๆ



เจ้าจักเห็นได้ว่า ทุกข์อันเกิดจากโรคะของร่างกาย ที่เข้ามาเบียดเบียนอารมณ์จิตนี้นั้นมีอยู่
ตราบใดที่ยังมีร่างกายอันเต็มไปด้วยรังของโรคนี้ เวทนาอันเกิดจากความเบียดเบียนก็ไม่เที่ยง
บัดเดี๋ยวเกิด บัดเดี๋ยวดับ ร่างกายนี้ไม่ได้สร้างความสุขที่แท้จริงให้กับจิตเลย


ในเมื่อร่างกายเบียดเบียนอารมณ์ของจิตอยู่เยี่ยงนี้ พวกเจ้าก็จงทำความเบื่อหน่ายในการอยากมีร่างกายเยี่ยงนี้ลงเสีย
ด้วยการพิจารณาทุกข์อันเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าทุกข์อันเป็นนิพัทธทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์
เช่น อาการหิว กระหาย ร้อน หนาว ปวดปัสสาวะและอุจจาระเป็นต้น
และทุกข์อันเกิดจากการเสวยอารมณ์แห่งอายตนะ ๑๒ นอกกับใน กระทบกันให้รู้อยู่ตลอดเวลา


อาการเสื่อมไปของอิริยาบถ ก็เป็นทุกข์ที่พึงกำหนดรู้
ให้เห็นว่า นี่ก็เป็นโรคะนิทธังอย่างหนึ่งของร่างกายเช่นกัน
ตลอดอาการ ๓๒ ของร่างกายเป็นโรคทั้งสิ้น พิจารณาไป อย่าให้จิตออกนอกทาง ดูอารมณ์เอาไว้ให้ดี ๆ


จงยอมรับกฎธรรมดา ทำความเบื่อหน่ายร่างกายที่เต็มไปด้วยโรคนี้เสีย
และเห็นความไม่เที่ยง ซึ่งมีแต่การเกิด เสื่อม ดับ ของธรรมแห่งการมีร่างกายนี้
เห็นธรรมใด ๆ ในโลกที่เข้ามากระทบอารมณ์ตามสภาพความเป็นจริง

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง ตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ทั้งสิ้น
ยึดถือเข้ามาในอารมณ์เมื่อไหร่ ก็ทุกข์บังเกิดขึ้นเมื่อนั้น



จงหมั่นกำหนดรู้ และวางอารมณ์ให้หลุดพ้นจากการเกาะติดในธรรมแห่งโลกนั้น ๆ
ตั้งจิตไว้มั่นคง จับจุดหมายปลายทางแห่งความต้องการที่จักพ้นทุกข์เข้าไว้ ทำกำลังใจให้เต็ม

ใช้ความเพียรรักษาอารมณ์ของจิต ที่จักทำเพื่อพระนิพพานเข้าไว้


การละสังโยชน์เป็นของไม่ยาก หากทำกำลังใจในบารมี ๑๐ ให้เต็มอยู่เสมอ
พร้อมที่จักทำจริงอยู่เสมอ ก้าวเข้าไปใกล้พระนิพพานแล้ว รักษาอารมณ์อย่าให้บังเกิดความท้อแท้เป็นอันขาด
อย่าหมดกำลังใจ การหมดกำลังใจคืออารมณ์หลง จัดเป็นนิวรณ์คือถีนมิทธะ จำเอาไว้ให้ดี
อารมณ์ใดเป็นนิวรณ์ ให้พยายามระงับตัดทิ้งไปเสียจากจิต


พวกเจ้าจักต้องรู้อารมณ์เข้าไว้ทุก ๆ ขณะจิต ต้องหมั่นใช้สติตามกำหนดรู้เข้าไว้
อย่าให้คลาดสายตาของจิต การทรงอานาปานัสสติกรรมฐาน แม้เพียงปฐมฌานก็จักทำให้มีสติมั่นคงได้
ทุกอย่างต้องมีขั้นตอน ต้องทำตามขั้นตอนนั้น จิตจึงจักทรงตัวอยู่ได้ในการกำหนดรู้อารมณ์นั้น ๆ


การมีศีล สมาธิ ปัญญา จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักปฏิบัติ เพื่อละอารมณ์แห่งทุกข์นั้น ๆ
พวกเจ้าจงหมั่นตรวจตรา อย่าให้ข้อวัตรปฏิบัติเหล่านี้ขาดตกบกพร่องไปจากจิตของตนเป็นอันขาด
จึงจักสามารถเป็นกำลังตัดสังโยชน์ให้หมดจดลงได้


จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2009 เมื่อ 03:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 16-12-2009, 16:38
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


กสิณไฟไม่ใช่ของร้อน


คำว่าไฟย่อมเป็นของร้อน แต่กสิณไม่ร้อนด้วย
ผู้บวชเข้ามาเป็นพระในพระพุทธศาสนา มีศีลเป็นบันไดรองรับขั้นต้น จิตจึงมีความเย็นด้วยศีล
เมื่อปฏิบัติพระกรรมฐาน การทำสมาธิจิตเพ่งกสิณได้ก็เป็นอารมณ์จิตเย็น


บุคคลผู้มีโทสะจริต ใจร้อน สมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ยาก การเจริญกสิณกองใด ๆ ก็ไม่เป็นผล
เจ้าจักเห็นได้ว่า บุคคลผู้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็จักมีความเยือกเย็นของจิตเพิ่มขึ้นด้วยการทำสมาธิ
มีศีล ปัญญาก็เพิ่มพูนให้จิตสบายขึ้นได้ตามลำดับ ต่างกับบุคคลผู้ทรงฌานโลกีย์ ศีลยังไม่มั่นคง
ใช้กำลังสมาธิจิตไปในทางผิด ๆ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ดูเยี่ยงท่านเทวทัตในพุทธกาลนี้
แม้ได้อภิญญาแสดงฤทธิ์ได้ก็ยังเสื่อม เพราะอภิญญาโลกีย์


พระกรรมฐานจักอยู่กับผู้มีอารมณ์จิตเย็นเท่านั้น ตถาคตจึงยืนยันว่า พระกรรมฐานทุกบทเป็นของเย็น
ในบุคคลที่มากด้วยโมหะ โทสะ ราคะ พระกรรมฐานก็จักอยู่ด้วยไม่ได้นาน



จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 21-12-2009, 16:15
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


อย่าทะนงตนว่าเป็นผู้รู้เป็นอันขาด เพราะธรรมทั้งหลายที่พวกเจ้ารู้ได้เวลานี้
เป็นการสงเคราะห์ของพระ ยังไม่ใช่ความรู้ธรรมที่แท้จริง
อันซึ่งต้องเกิดจากจิตที่พิจารณาธรรมด้วยปัญญายอมรับนับถือในธรรมทั้งปวง
และจักต้องละกามฉันทะและปฏิฆะได้แล้ว นั่นแหละจึงจักเป็นของจริง


พวกเจ้าจักต้องปรามจิตเอาไว้เสมอ อย่าเผลอกล่าวธรรมเป็นเชิงอวดอ้าง อวดวิเศษทั้ง ๆ ที่ยังปฏิบัติมิได้ผล
ต่อไปนี้ พวกเจ้าไม่ว่าจักคิด จักพูด จักทำอะไร จงให้ศีลสมาธิ ปัญญาควบคุมอยู่ในเวลานั้น อย่าให้บกพร่องแม้แตเรื่องเดียว


ศีล สมาธิ ปัญญา จักละเอียดขึ้นได้ก็อยู่ที่เอามาใคร่ครวญอยู่เสมอ
การพิจารณาในขณะที่จักกระทำกรรมอยู่นั้น เป็นการทำให้ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้นในจิตพร้อม ๆ กันทั้ง ๓ สิกขาบท
พวกเจ้าจึงจักมีความก้าวหน้าในอริยมรรค อริยผลยิ่งขึ้น


การใคร่ครวญสมาธิ คือ จิตมีโอกาสพักอยู่ในสมถะภาวนา
แต่ในบางขณะ บุคคลที่มีอารมณ์เผลอ มักจักปล่อยอารมณ์ของจิตให้เคว้งคว้างขาดสติ
อย่างกับคนใจลอยเดินข้ามถนน จนถูกรถชนตายเป็นต้น
จักว่ามีอารมณ์คิดก็ไม่ใช่ จักว่ามีอารมณ์พักก็ไม่เชิง จิตมันเหม่อลอยจนเพลินไป

เพราะฉะนั้น ในบุคคลที่เป็นนักปฏิบัติ จักต้องรู้ว่า เวลานี้จิตต้องการพัก ก็จักใคร่ครวญ
คือตรวจสอบดูว่าอารมณ์ของจิตนั้นจับอยู่ในสมถะภาวนาหรือไม่
หรือว่าเผลอเรอ ปล่อยสมาธิที่กำหนดรู้สมถะภาวนานั้นไปจากจิต




คนฉลาดเขาจักต้องรู้และทำการศึกษาใคร่ครวญ ศีล สมาธิ ปัญญาให้อยู่ในจิตเสมอ ๆ เยี่ยงนี้แหละเจ้า เข้าใจไหม

อย่าทิ้งความเพียรในการกำหนดรู้ศีล สมาธิ ปัญญาในจิตนี้ ทำบ่อย ๆ ใจเย็น ๆ ทำไปเรื่อย ๆ
ในที่สุดจิตจักชิน ศีล สมาธิ ปัญญาก็จักอยู่ในจิตได้ตลอดเวลา



ในเมื่อเข้าใจแล้ว ก็จงหมั่นนำไปปฏิบัติด้วย แต่อย่าสร้างอารมณ์หนักใจให้เกิด
พยายามรักษาอารมณ์จิตให้เบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความพร้อมที่จักปฏิบัติเข้าไว้ให้ทุกเมื่อ
ด้วยอารมณ์มัชฌิมาปฏิปทา มรรคผลก็จักเกิดขึ้นได้โดยง่าย


หากความหนักใจในอารมณ์เกิดขึ้น ก็จงกำหนดรู้ว่า อารมณ์นี้ไม่ถูกต้องเสียแล้ว
เพราะเป็นอารมณ์ของความทุกข์ จักต้องหมั่นหาทางแก้ไขอารมณ์นั้นทิ้งไป


การเจริญพระกรรมฐาน มุ่งหวังให้จิตเป็นสุข สงบ เยือกเย็น
ไม่ว่าจักเป็นทางด้านสมถะหรือวิปัสสนา ต้องหมั่นดูผลที่ได้เยี่ยงนี้อยู่ตลอดเวลา
เป็นการตรวจสอบอารมณ์ของจิต อย่าให้เดินมรรคได้ผลผิด ๆ
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 22-12-2009, 15:22
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

ธัมมวิจัยจากคำสอนสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ หลวงพ่อ(๑)


กรรมทั้ง ๓
คือกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมทำให้เกิดอารมณ์ ๓
คือ โมหะ โทสะ ราคะ ทุกองค์เน้นเรื่องศีล สมาธิ ปัญญาทั้งสิ้น

ในการปฏิบัติให้พร้อมอยู่ที่จิตเสมอ
เพราะจิตเป็นหัวหน้า จิตเป็นใหญ่ ทุกสิ่งสำเร็จได้ที่จิตทั้งสิ้น



ให้ยอมรับกฏของกรรม(ด้วยปัญญา)
ยอมรับกฏธรรมดาของโลก คือ สัจธรรม ๕
(เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวัง)
หากไม่ยอมรับ จิตจะเกิดอารมณ์ ๒ ขึ้น
คือไม่พอใจ (ปฏิฆะ) กับพอใจ (ราคะหรือโลภะ) เป็นกิเลส เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน
แล้วสร้างอกุศลกรรมต่อไป คือ ต่อกรรม สร้างกรรมทั้ง ๓ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กรรมจึงไม่มีทางลดลงจากจิต มีผลทำให้จิตต้องมาเกิดเพื่อรับผลของกรรมที่ตนเองทำไว้
จึงมีการเกิดแล้วตาย ๆ ๆ อยู่อย่างนั้น เพราะไม่เข้าใจธรรมในข้อนี้


การเกิดจะหยุดลงได้ก็ต้องยอมรับกฏของกรรม
ซึ่งเป็นอริยสัจขั้นสูงในพระพุทธศาสนา

และมีแต่เฉพาะพุทธศาสนาเท่านั้น
ศาสนาอื่นไม่มีคำสอนหรืออุบายที่ทำจิตให้พ้นจากกรรมทั้ง ๓ ได้อย่างถาวร
คือเอาจิตพ้นภัยไปอยู่แดนพระนิพพาน
เพราะรู้จริงว่าร่างกายไม่มีทางพ้น พ้นได้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้น


จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 24-12-2009, 13:32
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

ธัมมวิจัยจากคำสอนสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ หลวงพ่อ(๒)


พระโสดาบัน พระสกิทาคามียังมีอารมณ์ ๒ อยู่ แต่อยู่ในขอบเขตของอธิศีลและกรรมบท ๑๐
จึงไม่สามารถทรงอารมณ์สังขารุเบกขาญาณให้อยู่กับจิตได้ตลอดเวลา
เหมือนกับพระอนาคามีผลและพระอรหัตผล จิตเจริญระดับไหนก็รู้ธรรมได้ในระดับนั้น


หลวงพ่อฤๅษีท่านแสดงธรรมจุดนี้ในขณะที่ขันธ์ ๕ ยังทรงอยู่
คือ ตอนท่านป่วยหนักครั้งใด อารมณ์จิตของท่านยิ่งสงบเย็นและเป็นสุขมากเท่านั้น
หรือเป็นสุขมากกว่าธรรมดา เพราะท่านมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์
จิตท่านแยกจากกายได้ตลอดเวลา เวทนาทางกายจึงทำอะไรจิตท่านไม่ได้


ท่านมีมรณาและอุปสมาอยู่กับจิตท่านทุกขณะจิต
และจิตของพระอรหันต์ท่านไม่เคยพลาดจากพระนิพพาน
ท่านเคารพในกฏของกรรม จึงไม่หนีกรรมที่ท่านทำไว้ในอดีต

ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทในความตาย จึงมีมรณาและอุปสมานุสติอยู่ทุกขณะจิต
มีอารมณ์สังขารุเบกขาญาณหรืออารมณ์ช่างมันอยู่อารมณ์เดียวทรงตัว


เพราะมีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาสมบูรณ์ จึงวางสักกายทิฏฐิได้ถาวร
(สักกายทิฏฐิ พระท่านแปลว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย)

ท่านจึงไม่มีอารมณ์เกาะกายหรือขันธ์ ๕ อันประกอบด้วยธาตุ ๔
มีอาการ ๓๒ สกปรก ไม่เที่ยง เต็มไปด้วยความทุกข์ เหมือนต้องติดคุกไปตลอดชีวิต
เหมือนต้องเลี้ยงลูกอ่อนตลอดชีวิต จึงเอาจิตทิ้งกายไปแดนที่ไม่มีการเกิดการตายอีกต่อไปอย่างผู้ฉลาด


จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2009 เมื่อ 20:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 04-01-2010, 14:55
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

ธัมมวิจัยจากคำสอนสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ หลวงพ่อ(๓)


พระอรหันต์ที่จบกิจแล้ว แต่ร่างกายยังทรงอยู่
จิตท่านเป็นสุขก็จริง แต่กายท่านยังต้องรับกรรมที่ท่านทำไว้ในอดีต

(ตามกฎของกรรมที่เที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย)

ท่านเคารพในกฎของกรรม ท่านจึงไม่หนี
ยอมรับความจริงหรือยอมรับกฎของกรรมด้วยความเคารพ
แต่กฎของกรรมก็เล่นงานจิตของท่านไม่ได้
เล่นงานได้แค่ร่างกายที่จิตท่านมาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้น



ดังนั้น เมื่อกายป่วยหนักครั้งใด จิตท่านจึงเป็นสุขมากเท่านั้น
เพราะกำลังจะพ้นจากคุกหรือขันธ์ ๕ อย่างถาวร


หลวงพ่อฤๅษี ท่านเมตตาสงเคราะห์ให้ได้เห็นอารมณ์จิตของท่านในขณะนั้นว่า...
...มันเป็นสุข...โปร่งเบาสบายมากอย่างไร
จิตไม่มีความกังวล หรือเกี่ยวข้องกับสมมติต่าง ๆ ในโลกซึ่งไม่เที่ยงแม้แต่น้อย



จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 04-01-2010, 15:19
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

หลวงพ่อฤๅษีเมตตามาสงเคราะห์สอนเพิ่มเติม (๑)


สบายกว่าปกติ เพราะเห็นหลักชัย พ้นจากเครื่องจองจำจิตอยู่รอมร่อ
อารมณ์มันจึงมีความเฉยในร่างกายที่มันกำลังจะพัง ยิ่งกว่ายามปกติที่เฉยอยู่อีกหลายเท่า



เมื่อเข้าใจ ก็จงรู้เอาไว้ถึงความจำเป็นที่จะต้องศึกษากฎของกรรม
เพื่อตัดกรรมให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง
คือ ความเป็นพระอนาคามีและพระอรหันต์

นี่แหละที่พระพุทธเจ้าท่าน หลวงปู่ หลวงพ่ออีกหลาย ๆ องค์
เพียรมาสอนกฎของกรรมซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายรูปแบบ
ไม่ว่ากฎของกรรมที่เกิดจากอารมณ์โกรธ อารมณ์รัก หรืออารมณ์หลง
อันซึ่งทำให้มีการเสพกามในรูปแบบต่าง ๆ ก็ดีหรือทำให้มีการอาฆาตพยาบาทก็ดี
ก็เพื่อให้พวกเอ็งเห็นโทษของกฎของกรรมที่ส่งผลให้เกิดกรรมนั้น ๆ ต่อเนื่องกันมา


ศึกษาจุดนี้เอาไว้ให้ดี ๆ อย่างร่างกายของพ่อหรือของหลวงปู่ชาซึ่งโดนกระทำ
ก็เนื่องมาจากกรรมปาณาติบาต อันมีแรงโทสะ อาฆาตพยาบาทเป็นแรงจูงใจให้เขาทำกรรมขึ้นมา
แต่ในลูกของพระพุทธเจ้า ศึกษาธรรมหรือกรรมมาดีแล้ว
ก็ย่อมจะมีความเข้าใจในกฎของกรรมมาตามลำดับ
และยอมรับนับถือกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ
กรรมใด ๆ ถ้าเราไม่เคยทำเอาไว้ก่อน กรรมนั้นจะส่งผลมาให้เราต้องรับนั้น..ไม่มี


ลูกขององค์สมเด็จพระชินสีห์หากเข้าถึงอริยมรรค อริยผลเบื้องสูง
จะมีความเคารพในกฎของกรรมอย่างแรงกล้า
จึงจะมีอภัยทานให้แก่ทุกท่านที่มาทวงหนี้กรรมของเขาคืน

ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ หรือถูกคนหรือสัตว์ทำร้าย
ลูกพระพุทธเจ้าเต็มใจใช้คืนเขาไป
เพื่อให้หมดกรรมตามกล่าวมาแล้ว"



จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 05-01-2010, 16:09
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

หลวงพ่อฤๅษีเมตตามาสงเคราะห์สอนเพิ่มเติม (๒)


อุเบกขาในพรหมวิหาร ๔ เข้มข้นมาก เป็นสังขารุเบกขาญาณ
การยอมรับกฎของกรรม โดยความเข้าใจความเป็นจริงในกฎของกรรมนั้น ๆ
เป็นสาเหตุให้ปล่อยวาง ละอารมณ์โมหะ โทสะ ราคะได้ในที่สุด


ขอให้พวกเอ็งตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดของการหมดกรรมได้
คือ หมดไปเสียจากการมีร่างกาย หมดไปเสียจากการเกิด จะด้วยอารมณ์โลภ โกรธ หลงก็ตาม

พ่อจะดีใจมากและรอการมาพระนิพพานของพวกเอ็งทุกคน
การปฏิบัติธรรมเป็นสมบัติของพวกเอ็ง ที่จะนำติดตัวมาพบพ่อได้

แต่ไม่ใช่เร่งความตายให้ใกล้เข้ามา
จำไว้ ร่างกายยังมีชีวิตอยู่ จงทำหน้าที่ตอบสนองคุณพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนพระธรรม
จนพ่อนำมาสอนพวกเอ็งให้พ้นทุกข์ได้อย่างเต็มความสามารถ ทำด้วยกำลังใจที่เบิกบาน


อนาคต อะไรที่รออยู่ข้างหน้านั้น ไม่เที่ยง
แต่ความตายของร่างกายของพวกเอ็งนั้นเที่ยงแน่ กฎของกรรมมันก็เที่ยง
เพราะฉะนั้น พวกเอ็งจงอย่าประมาท รีบทำความเพียรเพื่อให้จิตเที่ยง เพื่อมาพระนิพพานดีกว่า
ทำความเพียรอย่างผู้มีสติ คือ ไม่ใช้ความเพียรด้วยอารมณ์โมหะ โทสะ ราคะ
จำไว้ ถ้าทำแล้ว โมหะ โทสะ ราคะเพิ่ม อันนี้ไม่ใช่ความเพียรที่ถูกทาง
ต้องให้ทำแล้ว โมหะ โทสะ ราคะลดลง อันนั้นแหละเป็นความเพียรที่ถูกทาง



จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #38  
เก่า 07-01-2010, 16:07
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Default

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม


โรคใจอ่อนกับบารมี ๑๐ เป็นธรรมขั้นสูง (๑)

อย่าประมาทเกินไปสำหรับอารมณ์จิตที่คิดสร้างความดี
อย่าพึงคิดพอใจว่าทำอยู่นี้ดีพอแล้ว ก็จักประมาทไม่ทำความดีสืบต่อไปในเบื้องหน้า

ธรรมปฏิบัติที่ทำอยู่ จักต้องรู้อารมณ์จิตของตนเองอยู่เสมอ
ถ้าหากมีความคิดว่าดีพอแล้ว จิตก็จักเกิดความประมาทอย่างแท้จริง


อย่ามองหาความดี จงมองหาแต่ความเลว ไม่จำเป็นต้องหาความดี
เพราะถ้าหากมองจนจิตหาความเลวไม่ได้แล้ว จิตก็จักมีความดีขึ้นมาเอง
ดีในที่นี้หมายถึง จิตหมดกิเลส หลุดจากโมหะ โทสะ ราคะเข้าครอบงำจิต มิใช่ดีอย่างจิตชาวโลกียวิสัย
ซึ่งอิงอยู่ในกามคุณ ๕ ได้รูปสวย เสียง รสดี เป็นต้น อย่างนี้ดีในกามราคะก็ใช้ไม่ได้

เวลานี้หมั่นมองอารมณ์ของจิตอยู่เสมอ
ประหารความชั่วหรือบาปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จักมีกำลังทำได้


ค่อย ๆ ทำไปด้วยความเพียร ด้วยจิตเข้มแข็งไม่ท้อถอยเสียอย่างเดียว
ประหารได้บ้าง ประหารไม่ได้บ้าง ก็ให้รู้ตามวาระที่สัประยุทธ์นั้น ๆ

กล่าวคือมีสติ รู้แพ้ รู้ชนะในอารมณ์ชั่วขณะจิตนั้น ๆ
วาระนี้ แพ้ไป วาระหน้า ที่เคลื่อนเข้ามาเป็นขณะจิตปัจจุบันก็สู้ใหม่ ดูความเคลื่อนไปของอารมณ์
ดูความแพ้หรือชนะของจิตที่มีต่ออารมณ์
หากเข้มแข็งด้วยอานาปานัสสติ จิตก็ย่อมมีกำลังเพียบพร้อมด้วยสติ สัมปชัญญะ
รู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบอารมณ์ของจิตในขณะนั้น ๆ


การมีสมาธิ ปัญญาก็มั่นคง สามารถต่อสู้กับกิเลสได้โดยไม่ยากเย็น
สำคัญจักต้องกำหนดรู้ว่าอารมณ์ใด ๆ เกิด และเกิดขึ้นได้อย่างไร
ให้กำหนดรู้ในอารมณ์และต้นเหตุที่เกิดนั้น ๆ ก็จักระงับหรือตัดอารมณ์และต้นเหตุนั้น ๆ ลงได้

และพยายามไม่ไปแก้เหตุที่เกิดภายนอก
ให้แก้ที่เหตุอันเกิดอยู่ภายใน
คือ อารมณ์จิตของตนเองเป็นสำคัญ การปฏิบัติธรรมจึงจักได้ผล


จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 07-01-2010 เมื่อ 17:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #39  
เก่า 11-01-2010, 16:44
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม



โรคใจอ่อนกับบารมี ๑๐ เป็นธรรมขั้นสูง (๒)

การเกิดความสลดใจหรือหดหู่ในชะตากรรมของบุคคลอื่น
เป็นอารมณ์จิตที่ขาดตัวอุเบกขาญาณ

เจ้าต้องกวดขันพรหมวิหาร ๔ ทั้งหมดให้ครบ
อย่าให้บกพร่องอยู่อย่างนี้ร่ำไป จิตจักไม่เป็นสุข
กฎของกรรมใครทำใครได้อย่างแน่นอน
เจ้าหวังพระนิพพานก็จงหมั่นพยายามอย่าทำจิตให้เป็นทุกข์
จงรักษาความผ่องใสเข้าไว้ด้วยปัญญาเห็นธรรมเถิด


เรียกว่าเป็นโรคใจอ่อน หรือไม่มีกำลังใจที่จักรู้เท่าทันความเป็นจริงในกฎของกรรม
จึงไปเที่ยวรับกรรมของบุคคลอื่นมาไว้ในอารมณ์ของจิตตน
สร้างความขาดทุนให้เกิดอย่างนี้ เจ้าช่างเป็นคนไม่ฉลาดเลยนะ


ความโง่ทำร้ายจิตของตนเอง คนทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ไม่ครบก็มักจักเป็นเช่นนี้ทุกราย
เมื่อรู้ตัวก็จงแก้ไขจุดบกพร่องให้มาก ๆ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แก้ไขได้ด้วยตนเอง


บารมี ๑๐ อีกจุดหนึ่ง ห้ามทิ้งเป็นอันขาด ตรวจตราเข้าไว้
ทานบารมีเต็ม ก็ตัดความโลภได้
ศีลบารมีเต็ม ก็ตัดความโกรธได้
เนกขัมมะบารมีเต็ม ก็ตัดกามารมณ์ได้
ปัญญาบารมีเต็ม ก็ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้
วิริยะบารมีเต็ม ความเกียจคร้านย่อหย่อนในธรรมปฏิบัติก็ไม่มี
ขันติบารมีเต็ม ก็อดทนต่อความชั่วที่เข้ามากระทบอารมณ์ได้
สัจจะบารมีเต็ม ก็ตัดความโลเลไม่เอาจริงในผลการปฏิบัติได้
อธิษฐานบารมีเต็ม ก็มีกำลัง คือมีสติกำหนดรู้ในการกระทำ ไม่ว่าทางด้านกาย
วาจา ใจ ว่าเราจักทำเพื่อพระนิพพานอยู่เสมอ ไม่คลอนแคลน
เมตตาบารมีเต็ม ก็ตัดอารมณ์ที่เข้ามาเป็นไฟเผาผลาญจิต รัก สงสารของตนเองเต็มที่แล้ว
ทางโลกไม่มีใครที่รักบ้านตนแล้วจุดไฟเผาบ้านตนเองได้

ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราเมตตาจิตตนเองได้แล้ว
ก็จักไม่จุดไฟโมหะ โทสะ ราคะให้เผาใจตนเองอีก


อุเบกขาบารมีเต็ม ก็จักตัดความทุกข์อันเกิดแก่กายและจิตของตนเองและผู้อื่นลงได้
สำหรับทางร่างกายก็จักเป็นสังขารุเบกขาญาณ วางเฉยในทุกข์ของร่างกายลงได้
สำหรับทางจิตก็จักพ้นทุกข์ คือ ปลอดจากบ่วงกิเลส ตัณหาลงได้อย่างสิ้นเชิง


พวกเจ้าต้องเทียบเคียงอย่างนี้เข้าไว้ให้ดี ๆ
บารมี ๑๐ เป็นธรรมขั้นสูงที่ตัดสังโยชน์ ๑๐ ลงได้เด็ดขาด
ถ้าหากบุคคลผู้นั้นจักมีกำลังใจเต็มแล้วทุกประการ


จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-01-2010 เมื่อ 18:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #40  
เก่า 12-01-2010, 16:22
ป้านุช's Avatar
ป้านุช ป้านุช is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
สถานที่: Bangkok Thailand
ข้อความ: 866
ได้ให้อนุโมทนา: 21,453
ได้รับอนุโมทนา 109,765 ครั้ง ใน 2,785 โพสต์
ป้านุช is on a distinguished road
Lightbulb

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

สันตติของอารมณ์ ในขณะจิตหนึ่ง ๆ นั้นเป็นอย่างไร (๑)


ขณะเจริญพระกรรมฐาน หากพิจารณาไป จิตเครียดขึ้นมา
ก็จงวางอารมณ์พิจารณา เปลี่ยนมาเป็นกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก
กำหนดภาพพระเป็นกสิณนิมิตแทนการเห็นอทิสมานกายอยู่เบื้องหน้าพระบนพระนิพพาน

จงทำจิตให้เป็นสุขผ่องใส เพราะอยู่ต่อหน้าพระจอมไตรองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้
กำหนดรู้ไว้ แม้ร่างกายจักตายไปในขณะนั้น จิตก็ย่อมเข้าสู่พระนิพพานแน่นอน

อย่าลืม เวลาใดที่กำหนดภาพพระนิพพานอยู่
เวลานั้นจิตไม่ห่วงร่างกาย ลืมความคิดถึงร่างกายในชั่วขณะนั้น ๆ

ขอให้สังเกตอารมณ์ของจิต
จักเกาะติดหรือคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้แค่อย่างเดียวในขณะจิตนั้น ๆ

แต่เนื่องจากขณะจิตหนึ่งนั้นเร็วมาก
แค่พุทไม่ทันโธ บุคคลผู้มีความประมาทก็ตั้งสติกำหนดรู้ขณะจิตหนึ่งนั้นไม่ทัน

การปล่อยอารมณ์ฟุ้งซ่านถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ จึงรู้สึกว่ามันปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องเป็นราว
จนดูเป็นที่ผันผวนของอารมณ์ยิ่งนัก นี่ก็เป็นสันตติ
เพราะแยกขณะจิตหนึ่ง ๆ นั้นไม่ออก

เรื่องราวทั้งหมดจึงประดังประเดเข้ามาเสมือนกระแสน้ำเชี่ยวที่ไหลติด ๆ กันมา
สติไม่ทันกำหนดรู้ ก็แยกเหตุที่เกิดขึ้นกับอารมณ์ในขณะนั้นไม่ถูก
ยิ่งใจร้อน ก็ยิ่งไหวหวั่นไปกับเหตุที่เกิดขึ้นมาก
แต่ถ้าหากใจเย็น มีสติสัมปชัญญะ กำหนดรู้อารมณ์ที่เข้ามากระทบจิตในขณะจิตหนึ่ง ๆ

การกำหนดรู้ก็จักดึงเหตุที่เข้ามากระทบจิตให้ช้าลง
จนสามารถรู้ได้ว่าในขณะจิตหนึ่ง ๆ นั้นจิตกำลังเสวยอารมณ์อะไร


จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
__________________
เสียงธรรมจากพระองค์ที่ ๑๐
ธรรมพระพุทธเจ้า คือธรรมชาติ ธรรมชาติที่ทุกคนก็มีอยู่ในตัวเอง
เพราะฉะนั้นเธอก็มีธรรมะ ฉันก็มีธรรมะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกันคือความตาย

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 13-01-2010 เมื่อ 16:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ป้านุช ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:22



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว