#1
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๕
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันศุกร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ อาตมาเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้วันรู้คืน เลยไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่สักที ปกติคนอื่นอายุ ๖๓ - ๖๔ ปี ก็เริ่มกระย่องกระแย่งแล้ว เป็นคนลืมวันลืมคืน ก็เลยนึกว่าตัวเองยังหนุ่มอยู่ จึงทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่ใช่การ "เมาวัย" เมาวัยคือรู้สึกว่าตัวเองหนุ่มสาวแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ยินดีกับการที่จะเป็นหนุ่มเป็นสาวแบบนี้ มองไม่เห็นความแก่ที่มาเยือนอยู่ทุกชั่วลมหายใจ อย่างนั้นเขาเรียกว่า เมาวัย ถ้าหากว่า "เมาชีวิต" ก็ดำเนินชีวิตสำมะเลเทเมา กินเหล้าเมายา เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เรื่องดี ๆ อย่างการงานก็ไม่ค่อยจะทำ อันนี้เมาชีวิต ไม่คิดว่าตัวเองจะตาย เพราะฉะนั้น...ต้องเลิกเมาได้แล้ว ถ้าหากว่ายังเมาอยู่ จะเอาตัวไม่รอด ส่วนอาตมานี่ "เมางาน" ตอนนี้เฉพาะตำแหน่งที่เป็นทางการก็ ๓๐ กว่าตำแหน่งเข้าไปแล้ว ประชุมอย่างเดียวก็ไม่เหลือเวลาอะไรแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นเขาคิดได้อย่างไร ว่าเราจะทำงานไหว ? ถึงได้เอาตำแหน่งมาให้เยอะขนาดนี้ ตำแหน่งล่าสุดคือพระวิปัสสนาจารย์ ของกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย ได้รับแต่งตั้งโดยไม่ต้องผ่านการอบรม โคตรเท่เลย..! พวกที่อบรมกัน ๓ เดือนนี่หน้ามืดเลย บ่นกันกระอุบกระอิบว่า "ทำไมหลวงพ่อเล็กไม่เห็นต้องอบรมเลย ?" จะไปอบรมอีท่าไหนวะ ? ให้อาตมาไปเป็นอาจารย์พวกคุณเองยังไหวเลย..! ในเมื่อตำแหน่งมา หน้าที่การงานก็มาด้วย คราวนี้การที่เราจะทำหน้าที่การงานให้เต็มที่ ก็ต้องอาศัยหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ก็คืออิทธิบาท ๔ ฉันทะ จะต้องมีความพอใจ และมีความยินดี ที่จะทำหน้าที่การงานนั้น ๆ วิริยะ ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา ไปอย่างเต็มที่ จิตตะ กำลังใจจดจ่ออยู่กับงาน ไม่เคลื่อนไม่คลายไปไหน ทำไม่เสร็จไม่เลิก แต่นิสัยนี้ไม่ค่อยดี เมื่อไม่เสร็จไม่เลิก บางทีดึกดื่นเที่ยงคืนก็ทำไปเรื่อย จนขาดการพักผ่อน แล้วก็วิมังสา ไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ทำไปถึงไหนแล้ว ? ยังเหลืออีกมากน้อยเท่าไรกว่าจะประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ ? บางท่านก็แต่งเป็นโคลงเป็นกลอนเอาไว้ว่า พอใจ พอใจ ใฝ่ความรู้ เพียรอยู่ เพียรอยู่ ไม่ท้อถอย จดจ่อ จดจ่อ เฝ้ารอคอย ทวนบ่อย ทวนบ่อย กันหลงลืม อิทธิบาท แปลว่าพื้นฐานของความสำเร็จ อิทธิ แปลว่าความสำเร็จก็ได้ แปลว่าฤทธิ์ก็ได้ แบบเดียวกับคำว่า กฤต กฤต..เป็นภาษาสันสกฤต อิทธิ..เป็นภาษาบาลี ผู้หญิงชื่อ กฤติยา แปลว่าผู้หญิงผู้ประสบความสำเร็จ ณัฐกฤต..นักปราชญ์ผู้ประสบความสำเร็จ ธนกฤต..สำเร็จด้วยเงิน..อันนี้ดีแต่ซื้อเขา..! บ้านเราแปลกตรงที่พื้นฐานจริง ๆ มาจากบาลี แต่ใช้สันสกฤตเสียเยอะมากเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2022 เมื่อ 06:01 |
สมาชิก 52 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
มิติเป็นลูกสาวที่หลวงพ่อภูมิใจมาก เก็บมาจากดอย เป็นชาวมูเซอ ส่งเรียนจบปริญญาโทแล้ว บอกให้ต่อเอก มิติบอกว่าขอพักก่อน เป็นธรรมดาของคนแก่ ถ้าหากว่าเห็นลูก เห็นหลาน เห็นญาติ เห็นโยมที่ตนเองสนับสนุน มีความเจริญก้าวหน้าก็ดีใจ ตรงนี้ถึงได้บอกว่าพ่อแม่เป็นพรหมของบุตร เพราะว่ามีแต่ยินดีด้วย ไม่มีอิจฉาริษยา รัก เมตตา สงสาร อยากช่วยเหลือ ยินดีเมื่อเห็นเขาได้ดี
แต่ถ้าเข็นไม่ไหวก็ต้องอุเบกขา อุเบกขานี่เขาเอาไว้กันพวกเราบ้านะ..! รู้ไหม ? พวกเราหลายคนนิสัยไม่ดี ไม่มีอุเบกขา ช่วยคนอื่นไม่ได้ แล้วเครียดแทน จะไปเครียดทำไม ? เป็นตัวเราซะที่ไหน ? แต่ละคนมีอะไร ? กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโณ มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย..ไม่มีเรา เขาก็อยู่ได้ เพราะฉะนั้น..รู้จักปล่อยวางบ้าง ไม่ใช่ว่าเข็นเท่าไรก็เข็นไม่ไป แล้วเราก็ไปนั่งร้องไห้ร้องห่มแทน บางคนก็เครียด บางคนก็ซึมเศร้า จะเศร้าไปทำอะไร..? ไหวไม่ไหวก็เรื่องของเขาสิ..เราเต็มที่แล้วนี่ ถ้าหากว่าพร้อมด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ เข็นเขาทุกวิถีทางแล้ว เข็นไม่ไหวก็อุเบกขาบ้าง เพียงแต่ว่าให้เป็นอุเบกขาในเมตตา อุเบกขาในกรุณา ก็คือปล่อยวางแล้ว แต่ถ้ามีโอกาสก็พร้อมที่จะช่วยอีก ถ้าหากว่าทำทุกวิถีทางแล้วไม่รอดจริง ๆ ก็อุเบกขาในอุเบกขา ปล่อยวางกองไว้ตรงนั้นแหละ บ๊ายบาย..ถ้าหากว่าไม่ไปนิพพานเสียก่อน ก็เจอกันข้างหน้าโน้น กี่ชาติไม่รู้นะ..วันหนึ่งก็ต้องเจอกันจนได้ เป็นเรื่องธรรมดาของโลก ถ้าวางกำลังใจไม่ถูก ก็แค่เปลี่ยนใหม่ เมื่อรู้ว่าวิธีไหนถูกก็ทำใหม่ อย่าไปถือทิฐิแบบพระเจ้าปายาสิ พระกุมารกัสสปะเถระเทศน์โปรด พระเจ้าปายาสิบอกว่า "อย่างไรโยมก็เปลี่ยนไม่ได้หรอก" ถามว่า "ทำไม ?" พระเจ้าปายาสิตอบว่า "ทุกคนเขารู้ว่าโยมเป็นอย่างนี้" โอโห..น่าตายมากเลย..! ก็คือต่อให้เป็นทางถูกก็ไปไม่ได้หรอก เพราะมาทางผิดตลอดแล้วนี่..! คนฉลาดอย่างนี้ก็มีนะ อย่างไรก็ไม่ยอมเปลี่ยนทาง พระกุมารกัสสปะบอกทางถูกให้เท่าไร พระเจ้าปายาสิก็ "สาธุ..พระคุณเจ้าอุปมาอุปไมยได้ดีเหลือเกิน แต่โยมคงทำไม่ได้หรอก เพราะใคร ๆ ก็รู้แล้วว่าโยมเป็นอย่างนี้" แล้วจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อใคร ๆ ก็รู้ว่าลุงตู่เป็นอย่างนี้ แต่ลุงตู่ไม่รู้ตัวเลย..เอ๊ย หยุด...! ไม่พูดต่อ..เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรานะ..! สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่น่ากลัวเท่ากับภัยธรรมชาติ ปี ๒๕๖๕ เป็นปีเสือ เสือดุมาก ค่อย ๆ ดูแล้วกันว่าพลาดแล้วเสือจะกินใครไปบ้าง ? สงสารแต่ต่างประเทศ ประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่มีการทำความดี ถึงเวลาแล้วไม่สามารถที่จะผ่อนหนักเป็นเบาได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2022 เมื่อ 06:02 |
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
แปลกใจว่าคำว่า อี นี่หยาบคายตรงไหน ? สมัยอาตมาก็มีอีเก้ง อีแอ่น อีเก้งสมัยนี้เหลือแต่เก้งคำเดียว อีแอ่น กลายเป็นนางแอ่น เพราะบรรดาผู้ดีเขารู้สึกว่าระคายหู เขาก็เลยเปลี่ยนเป็นนางเก้ง เปลี่ยนเป็นนางแอ่น
ปรากฏว่านางเก้งไปไม่รอด ฟังแล้วทุเรศกว่าเดิม ก็เลยเหลือแต่คำว่าเก้งเฉย ๆ ส่วนคำว่านางแอ่นพอไปได้ นกอีแอ่นก็เลยกลายเป็นนกนางแอ่น ถ้าหากว่าทันรุ่นอาตมา ก็ต้องได้ยินเพลง "นกอีแอ่นเกาะบนยอดสะเดา นกอีเปล้าเกาะบนยอดมะรุม" สมัยนี้นกอีเปล้ากลายเป็นนกเขาเปล้าไปแล้ว ทำไมต่างจังหวัดเขายังเรียก "อีพ่อ อีแม่" กันอยู่เลย แล้วทำไมไม่เปลี่ยน..? คือคนเราไม่ได้ดูความนิยมสิ่งที่เขาใช้มาแต่โบร่ำโบราณ ก็แบบเดียวกับหลวงพ่อคูณ คำหนึ่งก็กู สองคำก็มึง แต่ไม่เห็นหลวงพ่อคูณพูดหยาบเลย ฟังดูก็รู้ว่าเป็นผู้ใหญ่ที่พูดด้วยความเมตตา เพราะฉะนั้น..อยู่ที่กิริยาอาการของเราที่แสดง ประกอบไปเป็นภาษากายด้วย คำพูดเป็นภาษาเสียง กิริยาประกอบเป็นภาษากาย แต่ว่าก็ยังสามารถปรุงแต่งหลอกกันได้ ก็เหลืออันสุดท้ายคือภาษาใจ ตอนนี้คนเราอย่างเก่งก็ได้ภาษากาย กับภาษาเสียง ภาษาใจไม่ค่อยได้กัน แต่หมายังได้อยู่ หมานี่ภาษากายเขาชัดเจนมาก ถ้ากระดิกหางมาก็มาดีนะ แต่ถ้าประเภททำขนพองแยกเขี้ยวก็ไปห่าง ๆ เลย..! โดยเฉพาะตอนที่หมายื่นหน้ามาดมแก้มเรา แล้วคิดว่าหมาหอมแก้ม อุ๊ย..น่ารัก ! ความจริงหมาถามว่ามีอะไรกินไหมเจ้านาย ? หมาดมมุมปาก ไม่ได้ดมแก้ม นั่นภาษาหมา เดี๋ยวเปิดคอร์สสอนภาษาหมาดีกว่า พวกเราจะได้คุยกับหมารู้เรื่อง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2022 เมื่อ 06:02 |
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ เรื่องของจักรวาล พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนมากว่า มีจักรวาลขนาดเล็ก จักรวาลขนาดกลาง จักรวาลขนาดใหญ่ ขนาดเล็กมีหนึ่งพันโลกธาตุ ขนาดกลางมีหนึ่งหมื่นโลกธาตุ ขนาดใหญ่มีหนึ่งแสนโลกธาตุ ในศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียนจบมาตั้งแต่ยังเป็นเจ้าชาย มีวิชาดาราศาสตร์อยู่ด้วย มีวิชาพิชัยสงคราม มีโหราศาสตร์ มีดาราศาสตร์ มีการปกครอง มีการรบ ที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือมีวิชายิงธนู วิชายิงธนูนับเป็นวิชาหนึ่งต่างหากออกไปเลย แสดงว่าศาสตร์ของการยิงธนู เอาระดับไหนดี ? ระดับมู่หยงฉุยไหม..? ที่ใช้พลังจิตล็อคเป้า แล้วยิงธนูไล่ตามไป อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรให้ไปอ่านในเรื่องจอมคนแผ่นดินเดือด แต่มือธนูที่เก่งที่สุดน่าจะเป็นโทรณาจารย์ในมหาภารตยุทธ เด็กทำผลไม้ตกลงก้นบ่อ ลงไปเอาไม่ได้เพราะลึก โทรณาจารย์ชะโงกไปดู หยิบธนูออกมา ยิงลูกแรกติดผลไม้ ลูกที่สองติดลูกแรก ลูกที่สามติดลูกที่สอง ทำแบบนี้จนลูกธนูยาวขึ้นมาถึงปากบ่อ แล้วก็ดึงผลไม้ขึ้นมา อะไรจะเก่งขนาดนั้น..! แต่โทรณาจารย์ก็ตายในการรบที่ทุ่งกุรุเกษตร เขาถึงได้บอกว่าเก่งแค่ไหนก็ตาม ถ้าเจอกำลังคนเป็นหมื่น ๆ บี้เข้าไปก็ตายจนได้ น่าจะยิงธนูจนแขนล้า..! มหาภารตยุทธเป็นส่วนหนึ่งในคัมภีร์ภควัทคีตา คัมภีร์ภควัทคีตาเกิดจากฤๅษีวยาส เขียนตามคำบอกของท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ซึ่งคนอื่นก็คงจะเขียนไม่ทัน เพราะว่ากำลังสมาธิไม่พอ ฤๅษีต้องเข้าสมาบัติสูงสุด แล้วเขียนตามคำบอก เหตุที่ต้องทำอย่างนั้นก็เพราะว่าเวลาของพรหมกับเราต่างกันกัน เวลาของพรหมบอกเล่าแค่ไม่นาน แต่ของเราผ่านไปเป็นหลายปี ถ้าไม่ได้บรรดาท่านทั้งหลายที่ทำสมาธิสมาบัติถึงในระดับรักษาร่างกายตัวเองได้โดยไม่ต้องกินไม่ต้องนอน ก็ตายกันหมดพอดี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:46 |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
มหาภารตยุทธเป็นเรื่องที่แทรกอยู่ในภควัทคีตา เล่าถึงตอนพระกฤษณะอวตารลงไปช่วยรบกับทุรโยธน์ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็พี่น้องกันนั่นแหละ ตามธรรมเนียมกษัตริย์โบราณมีเมียมาก ถึงเวลาพี่ ๆ น้อง ๆ ก็แย่งราชสมบัติกัน เขาถึงได้ใช้คำว่า ภารตะ หรือ ภราดา ที่แปลว่าพี่น้อง มหาภารตยุทธคือการรบใหญ่ระหว่างพี่น้อง
มหาภารตยุทธแทรกปรัชญาในการดำเนินชีวิตเอาไว้ แต่ว่าปรัชญาพวกนี้ถ้าหากว่าเราเข้าไม่ถึงจริง เอาไปใช้ผิดจะอันตรายมาก ออกไปในแนวฆ่าเพื่อระงับการฆ่า ฆ่าพี่น้องตัวเองเพื่อสร้างความสุขให้แก่ชาวโลก ถ้าหากว่าคนชั่วอยู่จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนจำนวนมาก แต่เรื่องนี้ยังไม่หนักเท่า กามนิต-วาสิฏฐี ที่วาชศรพสอนตอนกามนิตไปอยู่ในหมู่โจรว่า เรื่องการฆ่าก็ไม่มีอะไร แค่อาวุธมีคมแหวกผ่านอณูของร่างกายไปเท่านั้น เราไม่ได้ทำอะไรเลย เอิ่ม..ฟังดูดีมากเลย..! ที่ตายก็เป็นเรื่องของเขา อาวุธแค่แหวกผ่านไป แล้วเขาดันตายเอง จะไปโทษใครได้..? แนวคิดหรือปรัชญาประเภทนี้ถ้าหากว่าใช้ผิดแย่แน่ แต่ถ้าหากว่าใช้ถูกแล้วมีประโยชน์มาก เพราะเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรายังไม่พอ ร่างกายของคนอื่นก็ไม่ใช่ของคนอื่นเขาอีกด้วย แต่อย่างพวกวาชศรพหรือว่าบรรดาเทพทั้งหลายอย่างพระกฤษณะที่มาให้สติอรชุนก็เหมือนกัน อยู่ในลักษณะของการที่กำลังใจต่ำก็ตีความต่ำ ประมาณว่าฆ่าคนชั่วแล้วไม่บาปอะไรทำนองนั้น แต่อย่าลืมว่าทุกคน แม้แต่มดปลวก ก็รักชีวิตตัวเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จะบอกว่าฆ่าคนชั่วไม่บาป..ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่จะบาปมาก บาปน้อยเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนที่สุดว่า ปาโณ สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ปาณะสัญญิตา เรารู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ วะธะกะจิตตัง มีใจคิดจะฆ่า ปะโยโค พยายามในการฆ่า มะระณัง สัตว์นั้นตายลง ครบ ๕ ข้อนี้ผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ เรารู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ เราตั้งใจฆ่า เราลงมือฆ่า เราฆ่าสำเร็จ ถ้าอย่างนี้ก็ถือว่าผิด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากว่าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป อย่างเช่นว่าเดินไปแล้วเหยียบลูกเขียดตายคาเท้าเลย เราไม่รู้ว่าลูกเขียดอยู่ตรงนั้น สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่เราก็ไม่รู้ เจตนาฆ่าเราก็ไม่มี ความพยายามฆ่าก็ไม่มี ก็เหลืออยู่แค่ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ก็คือฆ่าแล้วเขาตาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:49 |
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสมานั้นเป็นเรื่องที่พระองค์ท่านรู้แจ้งเห็นจริง ถ้าเป็นพวกเราก็อาจจะมีการตัดสินใจผิดบ้างถูกบ้าง แล้วแต่กิเลสมากหรือน้อย แต่ของพระองค์ท่านรู้แน่ รู้รอบ รู้จริง เพราะว่ามีสมันตจักษุ คำว่า สมันตะ..คือรอบด้าน สมันตจักษุ..ก็คือดวงตาที่เห็นได้โดยรอบ ทั้งภายนอก ทั้งภายใน ทั้งโลกนี้ ทั้งโลกอื่น มีสัพพัญญุตญาณ..เครื่องมือในการรู้ทุกสิ่ง
มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวที่มี ท่านอื่น ๆ แม้จะเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ทั่วไปก็ไม่มี มีได้แค่ทิพจักขุญาณ พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่จำเป็นต้องสอนใครก็เลยไม่มีสัพพัญญุตญาณ พระอรหันต์ก็เหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ที่จะรู้รอบ รู้แจ้ง รู้จริงอย่างพระพุทธเจ้า จึงมีแค่พระองค์เดียว มีคนเคยตั้งคำถามว่า พระพุทธเจ้าเกิดมาสร้างคุณประโยชน์แก่โลกอย่างมหาศาล แล้วทำไมไม่เกิดมาหลาย ๆ พระองค์พร้อมกัน ? โคตรจะโลภมากเลย..! ทำอย่างกับพระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละองค์นั้นง่ายอย่างกับไปซื้อผักในตลาด ในความคิดของเขาก็คงประเภทว่ายากไม่เกินกว่าไปซื้อคะน้ามาผัดปลาเค็ม..! สร้างบารมีมาต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป และเป็นช่วงปรมัตถบารมีด้วย หาได้ง่าย ๆ หรือ..? และอีกอย่างหนึ่ง ความมหัศจรรย์คือมีพระองค์เดียวนั่นแหละ มีสองพระองค์ขึ้นไปเมื่อไร ความอัศจรรย์ก็ลดลง แล้วที่แน่ ๆ ก็คือ เดี๋ยวพวกลูกศิษย์กิเลสท่วมหัวก็จะบอกว่าพระพุทธเจ้าของกูเก่งกว่า แบบนั้นก็ได้ตีกันตาย..! เพราะฉะนั้น..เพื่อความรอบคอบด้วยประการทั้งปวง พระองค์ท่านก็เลยมาเกิดทีละองค์เดียว มาตามวาระ มาตามเวรตามกรรมของพวกเรา ที่ว่ามาตามเวรตามกรรมของพวกเราก็คือ อย่างน้อยต้องเคยสร้างบารมีร่วมกันกับพระองค์ท่านมา ถึงได้เกิดมาทันยุคของท่าน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:52 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
อย่างของพวกเรานี่ถือว่าไม่เสียทีที่เกิดมา ในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า เมื่อพระองค์ท่านปรินิพพานแล้ว ให้พระธรรมวินัยนี้เป็นศาสดาแทนพระองค์ท่าน ไม่ได้ให้ตัวคนนะ..ให้คำสอน ถามว่าทำไม ? พระองค์ท่านบอกว่า "ตราบใดที่คำสอนนี้ยังครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ ตราบนั้นสมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็ยังมีอยู่" คำว่าสมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และก็พระอรหันต์
ในเมื่อเราเกิดทันในยุคที่พระธรรมวินัยที่ยังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ก็สำคัญที่ตรงความพากเพียรของเรา ว่าตั้งใจทำจริงกันแค่ไหน ? ไม่ใช่ถึงเวลาก็ โน่น..โฆษกประกาศปาว ๆ ไปครึ่งค่อนวันกว่าจะค่อย ๆ ย่องมา เราต้องตะกายมาเองเลย ไปนั่งรอคนอื่น ถ้าลักษณะอย่างนั้น วัดได้ชัดเจนว่าบารมีของเรามากพอ เปรียบเทียบง่าย ๆ ถ้าสมมุติว่าอาสนะคือที่นั่งในการปฏิบัติธรรมตรงนี้มีไม่พอ คนที่มาก่อนคือคนที่ได้นั่ง คนที่มาทีหลังมัวแต่ช้าอยู่ไม่มีทางได้รับประทาน เพราะว่าไม่ได้เอาของมาวางจองไว้ได้นี่ เอาน้ำขวดหนึ่งวางไว้ เอายาดมแท่งหนึ่งวางไว้ เปล่า..เรื่องการบรรลุมรรคผล ใครเขาเอายาดมไปวางจองได้ล่ะ ? ก็ต้องอยู่ที่เราทำ สิ่งที่เราแสดงออกจะเห็นชัด ๆ ว่าสมควรแก่ธรรมหรือไม่ ? คำว่า สมควรแก่ธรรม ในที่นี้ก็คือ สมควรที่จะเป็นผู้ปฏิบัติแล้วบรรลุธรรมได้หรือไม่ ? ไม่ใช่ทำอะไรก็ช้าตลอด ประมาณว่ามีเวลาเยอะ คนมีเวลาเยอะแปลว่าเกิดได้อีกนาน เกิดกี่ชาติก็ทุกข์เท่านั้นชาติ เชิญลำบากไปเถิด ทุกวันนี้อาตมาเองจะประสาทกินตาย ร่างกายอาละวาดอยู่ทุกวัน ตั้งแต่ไปฉีดไฟเซอร์เข็มสามมานี่ ป่วยทุกวัน ไข้ขึ้นทุกวัน เข้า "หมอพร้อม" ไปเมื่อไร เขาบอกอย่างเดียวว่าให้ติดต่อโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ถ้าบอกได้แค่นี้ก็ไม่ต้องบอกหรอก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:54 |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ดังนั้น...พวกเราต้องเข้าใจว่าชีวิตเป็นของน้อย คำว่าเป็นของน้อยนี่ต้องดูใน อารกสูตร (อรกานุสาสนีสูตร) สัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย พระสุตตันตปิฎก ศาสดาชื่ออรกะ สอนลูกศิษย์ว่า
ชีวิตเหมือนต่อมน้ำ ต่อมน้ำก็คือฟองอากาศ..ผุดขึ้นมาแล้วก็แตกโป๊ะไป เหมือนรอยไม้ที่ขีดลงในน้ำ..เกิดขึ้นวูบเดียวก็หายไปแล้ว เหมือนลำธารที่ไหลลงจากภูเขา น้ำไหลจากที่สูง..พรวดเดียวก็ผ่านหน้าเราไปแล้ว เหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ..เอาเนื้อไปเผาไฟ ก็หมดไปในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนก้อนเขฬะที่ปลายลิ้น..เหมือนกับน้ำลายจะโดนถ่มทิ้งเมื่อไรก็ไม่รู้ เหมือนโคที่เขานำไปฆ่า..ตายแน่ ๆ ไม่รอดหรอก นั่นศาสดานอกศาสนานะ สอนลูกศิษย์ได้ชัดเจนขนาดนั้น ดังนั้น...เมื่อชีวิตเป็นของน้อย เราต้องพากเพียรพยายามสร้างความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าไม่ถึงที่สุดก็คือยังเข้าพระนิพพานไม่ได้ ก็ให้ทางที่เหลือสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นแล้วชาตินี้ลำบาก ชาติหน้าลำบาก ชาติโน้นลำบาก ก็ลำบากกันไม่รู้จบ อันดับแรกเลยให้ตั้งเป้าไว้ว่าเราต้องไปให้ได้ในชาตินี้ แต่คราวนี้ตั้งเป้าไว้แล้วต้องตั้งหน้าตั้งตาทำให้ถึง ไม่ใช่ "ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง" วัดตัวเองดูว่าใน ๒๔ ชั่วโมง เราภาวนารักษาใจได้กี่ชั่วโมง มีใครทำได้สัก ๕ ชั่วโมงไหม ? หรือ ๕ นาทีถึงพอลุ้น ? สมมุติว่าเราทำได้ ๕ ชั่วโมง แล้วอีก ๑๙ ชั่วโมงล่ะ ? การปฏิบัติธรรมเหมือนกับว่ายทวนน้ำ เราว่ายทวนน้ำไป ๕ ชั่วโมง อีก ๑๙ ชั่วโมงไหลตามน้ำไป ขาดทุนไปกี่ชั่วโมง ? ขาดทุนไป ๑๔ ชั่วโมง เดี๋ยวรุ่งขึ้นว่ายมาอีก ๕ ชั่วโมง ปล่อยลอยตามน้ำไปอีก ๑๙ ชั่วโมง สองวันขาดทุนไป ๒๘ ชั่วโมง รวมดูก็ขาดเกินหนึ่งวันไปแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:56 |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามีข้อบกพร่องตรงที่ว่า ปฏิบัติธรรมได้แล้วไม่รู้จักรักษาอารมณ์ไว้ ลุกเมื่อไรก็ทิ้งหมดเลย ทำอย่างไรที่จะให้เราประคับประคองรักษาอารมณ์การปฏิบัติให้อยู่กับเราให้นานที่สุด ตั้งสติประคับประคองเอาไว้ ใหม่ ๆ ก็ได้สัก ๒ นาที ๓ นาทีก็หลุดไปแล้ว หันไปคุยกับเพื่อนทีเดียวหล่นหายเกลี้ยงไปแล้ว..! แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำจริง ๆ เดี๋ยวก็ได้นานขึ้น ได้เป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาที ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง
จิตใจของเรายิ่งสะอาดปราศจากกิเลสมากเท่าไร ความสุขจะมีมากเท่านั้น เหตุที่เราปล่อยแบบถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ด้วยสาเหตุหลายประการ ประการที่หนึ่ง ก็คือยังไม่เห็นคุณค่าในการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง ในเมื่อยังไม่เห็นว่ามีประโยชน์อย่างไรจริง ๆ จึงถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ประการที่สอง ก็คือไม่นึกว่าตัวเองจะต้องตาย ถ้าคิดอยู่เสมอว่าเราจะตายในวันนี้ เราจะไม่ประมาท เพราะว่าเวลาไม่มีแล้ว ต้องเร่งทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ประการที่สาม เป็นความโง่เฉพาะตัว พลาดกี่ครั้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน ลุกขึ้นมาอารมณ์หลุดหาย เออ..หายก็หายละวะ ถ้าลักษณะอย่างนี้ ทำแล้วจะก้าวหน้ายาก เพราะฉะนั้น...อะไรที่เป็นจุดอ่อนของเราต้องพยายามกำจัดให้หมด ถึงเวลาทำแล้วจะได้ก้าวหน้า เห็นหน้าเห็นหลังเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ไม่ใช่กี่ปี กี่ปี ก็เหมือนเดิม บางทีก็แย่กว่าเดิมอีก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 03:57 |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕ ถ้าเจองานแบบอาตมาทุกวันคิดว่าพวกเราจะรับไหวไหม ? ถ้าสมาธิทรงตัวก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว เราจะสังเกตว่าบางงานเราทุ่มเทสรรพกำลังทั้งหมดลงไปกับงาน พอเลิกงานก็หงายผลึ่งไปเลย บางคนอยากนอนไปสักสามวันสามคืน แบบนั้นส่ออาการว่ากำลังสมาธิไม่พอใช้งาน แต่ถ้ากำลังสมาธิพอใช้งาน กี่งานก็มาเถอะ..บริหารจัดการกันไป ท่านนายอำเภอทองผาภูมิ (นายนภเดช เกลียวศิริกุล) เพิ่งจะอายุ ๓๙ ปีเอง ผมหงอกจะหมดหัวแล้ว..เครียดกับงาน เพราะฉะนั้น...เรื่องทุจริตคิดมิชอบอะไรทั้งปวง ท่านนายอำเภอบอกว่า "ไม่ต้องมาคุยกับผมเลย อายุราชการของผมยังเหลืออีกตั้ง ๒๑ ปี ต่อให้ไม่มีอะไรเลย ตำแหน่งปลัดกระทรวงก็ต้องได้แน่นอน" ลองคิดดูว่าเขามีนายอำเภอต่ำ นายอำเภอสูงใช่ไหม ? ตอนนี้อายุ ๓๙ เป็นนายอำเภอสูง ก้าวต่อไปก็เป็นปลัดจังหวัดหรือผู้ว่าฯ เลย อีกก้าวหนึ่งก็เข้ากระทรวงแล้ว ไม่เป็นผู้ตรวจก็เป็นปลัดกระทรวง ท่านเป็นปลัดกระทรวงเมื่อไร ประเทศชาติคงเจริญอีกมาก เรื่องทุจริตนี่ท่านไม่เอาด้วยเลย มาถึงประชุมหน่วยราชการในสังกัดทั้งหมด ประกาศชัดเลยว่า "เรื่องทุจริตไม่ต้องคุยกับผม ผมไม่เอาอายุราชการของผมที่เหลือตั้งขนาดนั้นมาเสี่ยงกับพวกคุณหรอก ผมเตรียมการเอาไว้ว่า อันดับแรกก็คือ..ไม่ได้รับความร่วมมือ อันดับที่สอง..โดนประท้วง อันดับที่สาม..โดนยิงกบาล..!" ท่านเตรียมรับสถานการณ์ไว้ทุกรูปแบบแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-01-2022 เมื่อ 17:41 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ทองผาภูมิของเราจะว่าไม่มีเรื่องทุจริตก็ไม่ใช่ เรื่องทุจริตสมัยก่อนเขามีคำว่า "ม้า ไม้ มอญ" ม้า..ก็คือขายยาบ้า ไม้..ก็คือทำไม้เถื่อน มอญ..ก็คือวิ่งต่างด้าว ขนต่างด้าวเข้าประเทศได้คนหนึ่ง ๔-๕ พันบาท รถคันหนึ่งยัดมาเกือบ ๒๐ คน ยุคนี้นี่ยาบ้าทะลักเข้ามา เพราะว่าเข้าทางด้านแม่สายไม่ได้ เข้าทางแม่สอดไม่ได้ เลยมาเข้าทางด่านเจดีย์สามองค์ เคยจับได้ที ๒-๓ แสนเม็ดเหมือนกัน
แม้กระทั่งแรก ๆ ที่อาตมภาพสร้างวัดหลาย ๆ วัดพร้อมกัน เขายังว่า "พระอาจารย์เล็กขายยาบ้า ไม่อย่างนั้นจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างวัดเยอะแยะขนาดนั้น" ก็ดีนะ..ขายยาบ้าแล้วยังมาสร้างวัดอีก..! เขาสอบสวนทั้งทางลับทางแจ้ง เสร็จสรรพเรียบร้อย ประกาศเลยว่า หลวงพ่อวัดท่าขนุนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งปวง แต่มีลูกศิษย์วัดคนหนึ่งไปเกี่ยวข้องกับพวกนี้อยู่ ท้ายที่สุดก็ต้องสึกไป เพราะอาตมาบอกกับเขาไปชัด ๆ ว่าตำรวจกำลังหมายตาคุณอยู่ ถ้าจะอยู่ต่อไปก็เลิกความประพฤตินี้เสีย ไปคบหาสมาคมกับพวกค้ายาไม่ใช่เรื่องดี ถ้าหากว่าไม่อยู่ต่อก็สึกหาลาเพศไป..เขาก็สึก เรื่องของวัด ถ้าหากว่าเจ้าอาวาสเข้มงวดหน่อย ทุจริตต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยจะมี ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยจะละอายชั่วกลัวบาปกัน อย่างเพื่อนฝูงบางราย อาตมาเห็นแล้วก็ถอนใจ เขาเปลี่ยนโทรศัพท์รุ่นใหม่ทุกครั้งที่ออก โทรศัพท์เครื่องนี้อาตมายืมน้องเล็กมาใช้ เพราะว่าระยะหลังนี้งานมาในไลน์มาก ถึงเวลาก็ต้องส่งคืน เพราะว่าโทรศัพท์ของตัวเองราคา ๖๙๐ บาท เคยโดนเจ้าคุณศรีวิสุทธิวงศ์แซวว่า "เรามาเซลฟี่กันเถอะอาจารย์" แล้วจะไปเซลฟี่อะไรวะ ? โทรศัพท์กูราคา ๖๙๐ บาท..! เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ ความเจริญต้องมา โลกต้องเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องปกติ แต่ทำอย่างไรที่เราจะให้เขาหนุนเสริมในเรื่องความดีของเรา ไม่ใช่ให้เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต คนเราถ้าจะอวดกัน ให้อวดกันที่คุณความดี ไม่ใช่อวดกันที่ฐานะ เรื่องของฐานะไม่ยั่งยืนหรอก ขนาดอนาถปิณฑิกเศรษฐี รวยขนาดนั้นยังกลายป็นคนจนไปพักใหญ่ ถ้าไม่ใช่บุญเก่ามาหนุนเสริม ก็คงจนยาวไปเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2022 เมื่อ 17:35 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๕ ไปนอนที่ไหนกันหมด ? มาได้แล้วจ้า..! เรื่องอื่นเราอาจจะมีข้ออ้างให้ขี้เกียจได้ แต่เรื่องการปฏิบัติธรรมห้ามมีข้ออ้างอย่างเด็ดขาด เพราะว่าทันทีที่กิเลสเคยอ้างได้ครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปก็จะเอาแบบนั้นอีก ดังนั้นมีแต่ต้องขยัน และขยันยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าหากว่าเราปล่อยให้ขี้เกียจได้ครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปกิเลสก็จะอ้างว่า คราวที่แล้วยังได้เลย แล้วหลังจากนั้นอาการก็จะหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ คือจะโดนชวนให้ห่างความดีไปเรื่อย การที่เราห่างจากความดีเมื่อไร หนทางที่เราจะก้าวสู่พระนิพพานก็ห่างไกลออกไปเท่านั้น ฉะนั้นในเรื่องของการจะไปพระนิพพาน ต้องเด็ดขาด จริงจัง อย่าทำเป็นเล่น คนที่ตั้งใจจะไปพระนิพพานต้องเห็นว่าเวลาเรามีน้อย ไม่เหลือพอไว้ให้เล่น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างถ้าหากว่าเราทำจริงจัง ผลที่เกิดขึ้นถึงจะมีได้ เมื่อกลางวันออกไปสวดมนต์ฉันเพลข้างนอก มีโยมท่านหนึ่งปฏิบัติธรรมมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ถามว่า "บางทีนั่งเพลิน ๆ แล้วมีเสียงอะไรดังขึ้น ทำไมตกใจ..หัวใจเต้นแรงมาก ?" ก็บอกไปว่า "คุณขาดสติ ในเมื่อขาดสติ ไม่ได้ควบคุมกำลังใจให้อยู่กับตัว ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้น กำลังใจต้องวิ่งกลับมาเพื่อรับรู้เรื่องราวนั้น ๆ ถ้าวิ่งกลับมาเร็วเกินไป เขาเรียกว่าตกใจ" แล้วเขายังอุตส่าห์ถามต่ออีกว่า "ไม่ดีใช่ไหมคะ ?" ถ้าดีก็คงไม่ตกใจหรอก..! นั่นแหละคือคนที่ปฏิบัติธรรมมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ยังรักษากำลังใจตัวเองไม่ได้เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย คิมหันต์ : 15-01-2022 เมื่อ 11:34 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
หลายคนก็คงได้ยินอาตมภาพเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้ต่อให้เผลอ ๆ มีคนมายิงปืนข้างหูก็ไม่สะดุ้ง เพราะว่าหลังจากที่รักษากำลังใจเป็น กำลังใจก็อยู่กับตัวเอง เกิดอะไรขึ้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องวิ่งกลับมา ก็เลยไม่มีอาการตกใจ บางทีกำลังพูดกำลังคุยอยู่ เกิดอะไรตึงตังโครมครามขึ้นมา คนอื่นตกใจหมด ส่วนอาตมภาพก็ยังคงว่าไปเรื่อยเปื่อย คนก็น่าจะเห็นว่าต่างจากคนอื่นเขามาก
เรื่องพวกนี้อยู่ที่ความเพียรพยายาม ความเพียร..เขาเรียกว่าวิริยบารมี ความจริงจังสม่ำเสมอ ตรงนี้..เขาเรียกว่าสัจจบารมี อยู่ที่ความอดทนอดกลั้น ไม่สำเร็จไม่เลิก ส่วนนี้..เขาเรียกว่าขันติบารมี พวกเรารู้จักบารมีทุกตัว เแต่ไม่มีสักทีนะสิ...! ชื่อก็บอกแล้วว่า "บารมี" แล้วทำไมมาถึงเราแล้วกลายเป็น "ไม่มี" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ยังขาดการปฏิบัติอย่างจริงจัง คนเราจะเกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยาก เกิดเป็นมนุษย์แล้วจะมีชีวิตอยู่รอดมาถึงปัจจุบันก็แสนยาก มีชีวิตรอดมาจนเติบโตรู้ความได้ จะได้พบพระธรรมก็แสนยาก พบพระธรรมแล้วจะน้อมนำมาปฏิบัติก็แสนยาก ....กี่แสนแล้ว ? แสนยาก แสนยาก ล่อไปก็หลายแสนแล้ว ดังนั้น...การที่เราได้พบพระธรรม และมีโอกาสเข้ามาปฏิบัติธรรม จึงเป็นเรื่องของการสร้างบารมีไว้ดีมาแต่ปางก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2022 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
หลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล ที่ชาวสุพรรณเรียก หลวงพ่อเล็ก วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร หรือคนที่เป็นเพื่อนเป็นฝูงกันก็เรียกหลวงพ่อสะอิ้ง เจ้าคุณสะอิ้ง ท่านบอกว่า เรื่องของการสร้างบารมีเป็นเรื่องของคนมีบุญเท่านั้น ถ้าบุญไม่พอ ไม่มีโอกาสมานั่งสร้างบารมีหรอก เพราะว่าเราก็คงไหลตามกระแสกิเลสไปไหนก็ไม่รู้ ?
หรือถ้าหากว่ามีผู้ควบคุมอย่างอาตมาก็ว่าไปอย่าง อาตมานี่ต้องบอกว่าดวงซวย โดนคุมประพฤติ ทำอะไรนอกทุ่งนอกท่าไม่ได้เลย ตั้งแต่เด็กมาแล้ว พยายามจะชั่วทุกอย่าง แต่ชั่วไม่สำเร็จ ว่าจะกินเหล้าก็กินไม่ได้ แค่ได้กลิ่นก็เมาแล้ว รุ่นพี่เขาบอกว่า "เฮ้ย..เบียร์ก็ได้ กินไปโหลหนึ่งยังไม่เมาเลย..!" ปรากฏว่าแค่ได้กลิ่นก็หงายท้องตึง..! เพราะว่าสมัยเด็ก ๆ ที่บ้านเวลาถักอวนถักแห จะไปถากเปลือกไม้มาต้ม เพื่อที่จะย้อมอวนย้อมแหให้คงทน เปลือกไม้ต้มพวกนั้นถ้าทิ้งไว้สัก ๗-๘ วัน ก็เน่าฟองฟอด กลิ่นเหม็นบูดคลุ้งไปทั้งบ้าน กลิ่นเบียร์นั่นกลิ่นเดียวกันเลย จึงสงสัยว่า "แล้วกินของเน่า ๆ แบบนี้กันลงไปได้อย่างไร..?" ใครที่กินได้นี่เก่งมากเลยนะ ขโมยบุหรี่พ่อไปแอบสูบ ได้ไปครึ่งตัวเมาน้ำลายยืด บ้วนไม่ขาดเลย น้ำลายเหนียวไปทั้งปาก ...(หัวเราะ)... เข็ดไปจนวันตาย..! ขโมยหมากแม่ไปหัดกิน เคี้ยวไปได้ไม่นาน เขาบอกว่า "หมากยัน" นี่ไม่ได้แค่ยันหรอก โดนถีบหงายท้องเลย..! หน้าร้อนเห่อ...ปากบวม เหงื่อแตกพลั่ก ...(หัวเราะ)... ทำอะไรไม่ได้เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2022 เมื่อ 02:41 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ตอนไปเป็นทหาร เจ้านายเขาพาไปเที่ยวซ่อง เพราะว่าทหารอยู่ชายแดนนาน ๆ ถ้าไม่มีแบบนี้ให้ เดี๋ยวได้คลั่งตายกัน แต่ถ้าหากไปตามเวลาปกติ ซ่องนั้นเจ๊งแน่ นักท่องเที่ยวอื่นเห็นทหารไปเป็นคันรถ ก็คงเผ่นกันหมด ก็เลยต้องไปนอกเวลา ประมาณบ่ายโมง บ่ายสองโมง ไปถึงบรรดาผู้คุม ที่เรียกกันอย่างไพเราะ ๆ ว่า "แมงดา" ก็ไปไล่ทุบประตูเรียกผู้หญิงออกมาทีละคน ๆ
อาตมาเห็นแล้วก็เหวอเลย เราลองนึกถึงผู้หญิงที่แต่งหน้าจัด ๆ อยู่ใต้แสงใต้สี แล้วเวลาปกติดูได้หรือ ? ตอนบ่ายโมง บ่ายสองโมง ก็เพิ่งจะนอนกันเท่านั้นเอง นุ่งกระโจมอกหัวเป็นกระเซิงออกมา หน้าตาก็ไม่ได้แต่ง ศพชัด ๆ เลย...! เฮ้อ..เห็นแล้วก็ได้แต่นั่งเฉา สรุปว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง..! มารู้ทีหลังว่าโดนคุมประพฤติ หลังจากที่ฝึกทิพจักขุญาณ ได้มโนมยิทธิอะไรแล้ว ก็ไปดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย ไปต่อว่าผู้คุมประพฤติ เขาเรียกท่านว่าท่านย่า บอกท่านว่า "ผลบุญที่ผมทำมานั้น ชาตินี้ให้ผมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังไม่สมกับบุญที่ทำมาเลย แล้วท่านย่าให้ผมแค่นี้..?" ท่านบอกว่า "ไอ้หน้าอย่างมึง ถ้ารวยก็เลว..!" โห..พูดเพราะมากเลย แล้วท่านก็บอกว่า "ลองนึกดูสิลูก ในชีวิตนี้ ถ้าอยากได้อะไรจริง ๆ แล้วไม่ได้ มีไหม ?" กระผม/อาตมภาพพยายามนึกทวนไป..ไม่มี อะไรถ้าต้องการจริง ๆ ไม่ช้าก็เร็วจะได้ ก็เลยบอก "ไม่มีครับย่า ถ้าผมอยากได้จริง ๆ จะช้าจะเร็วก็ต้องได้" ท่านเลยบอกว่า "เออ แล้วยังไม่พอใช่ไหม..? กำลังใจของพวกเอ็งนั้นล้นเกิน ถ้าไปแล้ว มักจะไปข้างเดียว ถ้าเป๋ออกนอกทางเมื่อไรก็ไปกระฉูด ดึงไม่กลับหรอก เพราะฉะนั้น...เอาไปแค่นี้แหละ..!" ตะเกียกตะกายแทบตาย ตอนที่ไม่อยากได้แล้ว..แหม..ไหลมาเทมา แต่ตอนที่อยากได้..ไม่ให้ นี่แปลว่าอะไร..? แล้วยังโดนด่าซ้ำอีกด้วย..! ฉะนั้น...ถ้าหากว่าพวกเราไม่มีคนคอยคุมประพฤติแบบอาตมาละก็ ไปแล้วกลับยากนะ เหมือนอย่างกับพายเรือ แทนที่จะหันเข้าหาฝั่ง ดันหันหัวออกทะเล ก็ไปเรื่อยเปื่อยหาฝั่งไม่เจอเท่านั้นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-01-2022 เมื่อ 18:58 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ดังนั้นในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ เหมือนกับการกินข้าว ต่อให้ไม่ครบ ๓ มื้อ อย่างน้อยวันหนึ่งต้องมีมื้อหนึ่งลงไป ไม่อย่างนั้นแล้วเราเองก็หิว แต่คราวนี้เราหิวแล้วเราไม่รู้ตัว บางคนนอนเป็นวันเป็นคืนตื่นขึ้นมา โอ๊ย..เพลีย อยากจะคลาน..ไม่หายเหนื่อย เพราะว่าพักแต่ร่างกาย ใจไม่ได้พัก ร่างกายของเราต้องเคลื่อนไหวถึงจะแข็งแรง แต่จิตใจต้องนิ่งสงบถึงจะแข็งแรง เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกัน
พวกเราอุตส่าห์มาถึงตรงนี้ ถอยหลังก็ไม่ทันแล้ว ให้ตั้งหน้าตั้งตาขึ้นหน้าไปเถอะ เอานิสัยอาตมาไปใช้ก็ได้ "ขึ้นหน้าก็ตาย ถอยหลังก็ตาย อย่างนั้นขึ้นหน้าอย่างเดียวเลย ขึ้นหน้าไปตายคนเขายังชมว่ากล้า ถอยหลังมาตายเขาจะหาว่าขี้ขลาด" วัดกันให้รู้ ๆ ไปเลยว่า กิเลสกับเราใครจะแน่กว่ากัน ? ครั้งนี้แพ้ไม่เป็นไร..สู้ใหม่ ครั้งหน้าแพ้อีกไม่เป็นไร..สู้อีก ตื๊อให้กิเลสระอาใจไปเลย เพราะว่ากิเลสเป็นแชมป์เปี้ยนโลก ยึดครองโลกมานานจนนับไม่ได้ เราสู้กับแชมป์โลกนี่ ถ้าหากว่าแพ้..ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าชนะ..เราเก่ง ต้องรู้จักให้กำลังใจตัวเองบ้าง การที่เราจะชนะได้ต้องจริงจัง สม่ำเสมอ หมั่นทบทวนอยู่บ่อย ๆ ทำอะไร ? ทำไปถึงไหน ? เหลืออีกใกล้ไกลเท่าไรจะถึงเป้าหมายนั้น ? ตอนนี้สิ่งที่เราทำยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย คิมหันต์ : 15-01-2022 เมื่อ 11:59 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
อาตมาสงสารเพื่อนพระหลายราย แรก ๆ ก็ตั้งใจทำเพื่อพระพุทธศาสนา ไป ๆ มา ๆ กลายเป็นทำเพื่อตัวเอง กุฏิที่พักอะไรก็ต้องหรูหราสุด ๆ รถยนต์ก็ต้องรุ่นใหม่ป้ายแดงอยู่เรื่อย แม้กระทั่งข้าวของเครื่องใช้ยังอุตส่าห์ไปซื้อแบรนด์เนม นาฬิกาไม่ได้ใช้อะไรมากมายหรอก ถึงเวลาก็ใส่กระเป๋าอังสะไว้ ถ้าดูเวลาก็ต้องล้วงขึ้นมา แล้วยังไปซื้อเครื่องเป็นหมื่นเป็นแสนหรือ ? มิกกี้เมาส์ ๒๕๐ บาท ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่เขาจะเอาอย่างนั้น
เรื่องพวกนี้โทษเขาไม่ได้ เพราะว่าขึ้นอยู่กับกำลังใจ เนื่องจากกิเลสสั่ง อาตมานึกถึงเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง สมัยเป็นฆราวาสไปเที่ยวด้วยกัน วันนั้นเขาเดินผึ่งเลย มองตั้งแต่หัวถึงตีนก็ไม่มีอะไรแปลกนี่หว่า ? ถามว่า "เกิดอะไรขึ้นวะ ?" เขาบอกว่า "อ๋อ..เปลี่ยนกางเกงในใหม่" รู้สึกยืดมากเลยได้ใส่ของใหม่..! ทั้ง ๆ ที่คนอื่นไม่เห็นของเขาหรอก นั่นแหละ..กิเลสมันสั่ง..! เข้าใจหรือยังว่ากิเลสหลอกเราได้ขนาดไหน แล้วเราก็โดนหลอกอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่คิดที่จะสู้เอาชนะสักที ก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว เราก็เหมือนกับไก่ที่เขาขังไว้ในกรง เตรียมเอาไปขายตอนตรุษจีน แทนที่จะรีบ ๆ แหกกรงหนี..เปล่า นอนสบายใจเฉิบ..! เขาล้วงขึ้นมาจากกรงเชือดเมื่อไรถึงจะซาบซึ้ง แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ยิ่งพระเณรยิ่งสำคัญ เขาบอกว่าภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นจริงหรือเปล่า ? ถ้าเห็นจริงต้องรีบปฏิบัติเพื่อหนีไปให้พ้น..! แต่ในส่วนนี้จะไปหวังให้พระของเราเป็นพระอริยเจ้าเลยก็ยาก ก็ได้แต่ตั้งความหวังต่ำ ๆ เอาไว้ ไม่เอามากมาย เอาแค่ว่าบวชมาแล้วให้ญาติโยมไหว้ได้เต็มมือก็พอ การที่จะไหว้ได้เต็มมือ อย่างน้อย ๆ ก็จะต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ศีลต้องเต็มที่ สมาธิไม่ต้องมากก็ได้ ปัญญาก็แค่รู้รอบในกองสังขาร..อ้าว..นั่นก็ทั้งหมดแล้ว ...(หัวเราะ)... ปัญญาแค่ให้รู้ว่าตัวเองต้องตาย ตายแล้วก็กอบโกยอะไรไปไม่ได้หรอก เขาไม่ได้ใส่โลงไปให้ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรที่พอจะทำประโยชน์ให้กับโลกได้ก็ทำไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-01-2022 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ญาติโยมใส่บาตรข้าวปลาอาหารมาท่วมวัดท่วมวา ไม่ได้ทิ้งนะ เอาไปแบ่งปันให้ท่านทั้งหลายที่เดือดร้อนจากเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ มาเป็นปี ๆ แล้ว ของเรากินเหลือ ก็เก็บที่ยังไม่ได้กินก็ให้เขาไป ส่วนเศษที่เหลือก็เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไป พยายามใช้ทุกอย่างให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด แม้กระทั่งขยะที่ญาติโยมทั้งหลายทิ้ง ถึงเวลาแม่ชีเขาก็เก็บขาย ได้ไม่น้อยนะ พอจ่ายค่าน้ำค่าไฟเลย ซึ่งก็แปลว่าพวกเรานี่ก่อขยะกันน่าดู
เราลองนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านตรัสว่า "ถ้าตราบใดที่ประชาชนยังทุกข์ยากลำบากอยู่ ตราบนั้นประเทศชาติเจริญไม่ได้" จะให้ประเทศชาติเจริญได้ ต้องทำให้ประชาชนทั่วไป จะใช้คำพูดเท่ ๆ ก็คือ "ระดับรากหญ้า" ทำให้ประชาชนระดับรากหญ้า พออยู่พอกิน ไม่มีความทุกข์ยากลำบากมากนัก แล้วพระองค์ท่านก็ทำต่อเนื่องกันมา ๗๐ ปี ไม่ใช่อายุ ๗๐ ปีนะ พระองค์ท่านทำต่อเนื่องกันมาเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนตลอด ๗๐ ปี แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ไม่ทิ้ง ยังคงติดตามสั่งงานสั่งการอยู่เสมอ กำลังใจของเราไม่ต้องมาก จะไปเอาอะไรมากมายถึง ๗๐ ปี เอาแค่ ๗ ปีก็พอ ตั้งเป้าไปเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่าการปฏิบัติธรรม ถ้าทำดีทำถูก อย่างเร็ว ๗ วัน อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างช้า ๗ ปี เราก็ตีว่าเราเป็นอย่างช้าก็แล้วกัน หลายคนปฏิบัติมาหลายสิบปี เอาดีไม่ได้ อย่างที่เขาบอกว่า "ดีชั่วรู้หมด แต่อดไม่ได้" ดังนั้น...เราต้องสำนึกได้แล้วว่าที่อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ นับว่ามีกุศลมหาศาล เพราะเรามีโอกาสแก้ตัว ขณะที่คนส่วนมากที่ตายไปแล้วไม่มี แต่ถ้าเราตายแล้วตายฟรีแบบพวกเขา ก็ถือว่าเสียชาติเกิด เพราะฉะนั้นเอาหลักนักปราชญ์ที่เขาว่าไว้ "ถ้าอยู่ก็ให้เขาเกรงใจ ถ้าไปก็ให้เขาคิดถึง" ก็คือทำอะไรก็ต้องเต็มที่ทุกอย่าง บอกว่า "เกิดมาทั้งทีฝากดีเอาไว้" อย่างของอาตมาตอนนี้ไม่มีอะไรให้ห่วง สารพัดอย่างทำไปเยอะจนบอกไม่ถูกแล้ว มองไปที่พระพุทธรูปทองคำ ถ้าถามว่าใครสร้าง ? คนที่เหลือก็บอกว่า "หลวงพ่อเล็กสร้าง" ตายไปอีกร้อยชาติ คนก็ยังบอกว่า "หลวงพ่อเล็กสร้าง" จะเป็นคนอื่นไปไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย คิมหันต์ : 15-01-2022 เมื่อ 12:04 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
นี่คือแค่ส่วนที่เป็นทางโลก ๆ เท่านั้น แล้วทำอย่างไรในเรื่องของทางธรรม ? ในสมัยพุทธกาล ถ้าเราไปดูในพระไตรปิฎก มีในเอตทัคคะปาลิ บาลีที่กล่าวถึงบุคคลผู้ยอดเยี่ยมทางใดทางหนึ่ง ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้รับการยกย่องปรากฏชัด มายุคเราสมัยเราจะมีโอกาสอย่างนั้นบ้างไหม ?
ถ้าเราได้ฟังประวัติหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ก็จะเคยชินกับชื่อของญาติโยมหลายคน อย่างเช่นนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร นายแจ่ม เปาเล้ง นายเฉลิม คงทอง พอมาถึงยุคของหลวงพ่อวัดท่าซุงก็มี ด็อกเตอร์เดือน - คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค มีคุณสุวรรณ - คุณจันทนา วีระผล มีคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ มีพลอากาศโทหม่อมราชวงศ์เสริม ศุขสวัสดิ์ กับแม่อ๋อย คือโยมเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ มาถึงรุ่นอาตมานี่ จะมีใครให้เอ่ยถึงเป็นบุคคลในตำนานบ้างไหม ? เราต้องเข้าใจว่า ถ้าหากเราศึกษาประวัติเอตทัคคะบุคคล จะเห็นว่าในอดีต พอเห็นใครทำความดีแล้วได้รับการยกย่อง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็เอาอย่างบ้าง ทำบุญใหญ่แล้วอธิษฐานขอให้ได้เกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนกับท่านนั้นท่านนี้บ้าง พวกเราหลายคนก็เคยปรารถนามา นึกไม่ออกเอง..ใช่ไหม ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องเต็มที่ เต็มกำลังกาย เต็มกำลังใจ เต็มกำลังสติปัญญา ถ้าทุ่มเทเต็มที่แล้วไม่สำเร็จ แล้วค่อยยอมรับว่าเรามันห่วยเอง..! แต่ถ้ายังไม่ได้ใช้ความพยายามเลย ไปงอมืองอเท้าแล้ว ก็น่าเกลียดเกินไป..! จึงได้แต่เตือนพวกเราทุกคนว่า เวลาในการปฏิบัติธรรมมีน้อย ชีวิตเราอยู่รอดมานาทีหนึ่ง ก็ได้กำไรนาทีหนึ่ง วินาทีหนึ่ง ก็ได้กำไรวินาทีหนึ่ง ต้องอาศัยเวลาที่เหลือนี้ สร้างคุณงามความดีให้มากที่สุด ส่งตัวเราเองไปให้ไกลที่สุด ต่อให้ไม่ถึงพระนิพพานชาตินี้ ก็ต้องให้เหลือระยะทางสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฝากไว้เป็นข้อคิด ถ้าใครเอาไปทำตามก็ขออนุโมทนาด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2022 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
ขอเตือนไว้นิดหนึ่ง หลายท่านรู้สึกว่าตัวเองลางสังหรณ์ดี จะมีอะไรเกิดขึ้นเราก็มักจะรู้ แต่ไม่ค่อยเชื่อ แล้วพอถึงเวลาเกิดขึ้น บางทีก็เดือดร้อน เจ็บตัวบ้าง เสียทรัพย์สินบ้าง อะไรบ้าง แล้วก็มานึกว่า "เอ๊ะ...เรารู้แล้วนี่ แล้วทำไมเราถึงไม่ป้องกันตรงนี้ ?"
ที่สำคัญคือเรารู้ได้อย่างไร ? เรารู้เพราะคำอธิษฐานตรงที่ว่า "เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น ได้โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด" เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่ายิ่งเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ ถ้าขับรถไป แล้วรู้สึกว่าไปข้างหน้าอีกหน่อยต้องชนแน่นอน ก็ลงข้างทางจอดนอนสัก ๑๐ นาทีไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนทีหลัง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-01-2022 เมื่อ 19:02 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|