#1
|
||||
|
||||
วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐
อบรมที่เกาะพระฤๅษี วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ในเมื่อเราตัดสินใจบวชเข้ามาแล้ว ก็ต้องทุ่มเทให้กับการบวช เพราะว่าการบวชนั้น ถ้าหากว่าใช้สำนวนของหลวงพ่อฤๅษีก็คือ “ลงทุนซื้อนรก”..! คราวนี้การที่เราจะบวชอยู่ให้ได้อย่างมีความสุข ก็ต้องเป็นคนมีปัญญา รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่ใช่ว่าตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติอย่างเดียว ถ้าทำอย่างนั้นเราที่ยังไม่คล่องตัวจริง ๆ แล้วจะเครียดมาก เพราะเราคลายอารมณ์ไม่เป็น ต้องรู้จักเปลี่ยนอิริยาบถ ไปหาอย่างอื่นทำบ้าง เดินท่องมนต์บ้าง อ่านหนังสือบ้าง พอถึงเวลาจิตคลายออกมาแล้ว เราค่อยไปภาวนาใหม่ ถ้าหากว่าทำตัวเป็นคนไม่มีปัญญา รู้ว่าสู้แล้วแพ้ แล้วเรายังสู้ ถือว่าหาความฉลาดไม่ได้ เพราะว่าการรบกับกิเลส สำคัญที่สุดก็คือ รักษากำลังใจของเราอย่าให้เศร้าหมอง ฉะนั้น..เราต้องสู้แค่ชนะ กับเสมอตัว รู้ว่าจะแพ้ก็เลิก..ไม่สู้ด้วย การจะมีปัญญาหรือไม่มี ขึ้นอยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา* ถ้าหากว่าศีลทรงตัว สมาธิก็ตั้งมั่นได้ง่าย เมื่อสมาธิทรงตัวจิตเราจะนิ่ง ปัญญาก็จะเกิด เรื่องของปัญญานั้นมีทั้ง ๑. สหชาติกปัญญา ** ปัญญาที่เกิดมาพร้อมตัว เรียกว่าสั่งสมมาตั้งแต่อดีต เมื่อเกิดมา ปัญญาส่วนนี้ก็จะตามเรามาด้วย ๒. ปาริหาริกปัญญา เป็นปัญญาที่เรามาแสวงหาเอาในปัจจุบัน อย่างเช่นว่า การศึกษาเล่าเรียน การได้ประสบการณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ๓. เนปักกปัญญา เป็นปัญญาที่รู้จักหาวิธีเอาตัวรอดจากวัฏสงสาร จะเรียกว่าปัญญาของพระอริยเจ้าก็ได้ ดังนั้น..เรื่องของปัญญาเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด จะว่าไปแล้วในบารมี ๑๐ ***นั้น ปัญญาบารมีต้องมาก่อน แม้กระทั่งในมรรค ๘ **** ท่านก็ขึ้นด้วย สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ การมีความเห็นชอบ การมีความดำริชอบ นั่นก็คือตัวปัญญา พอมาถึงสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ อันนี้ถึงจะเป็นศีล สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อันนี้ถึงจะเป็นสมาธิ หมายเหตุ: * ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๒๓๑ : องฺติกฺ ๒๐/๕๒๑/๒๙๔ ** สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาสภมหาเถระ) : คัมภีร์วิสุทธิมรรค : นิทานกถา : อธิบายปัญหาพยากรณ์ : หน้าที่ ๕ ***ขุ.พุทฺธ. ๓๓/๑/๔๑๔ : ขุ.จริยา. ๓๓/๓๖/๕๙๖ ****ที.ม. ๑๐/๒๙๙/๓๔๘ : ม.มู. ๑๒/๑๔๙/๑๒๓ : ม.อุ. ๑๔/๗๐๔/๔๕๓ : อภิ.วิ. ๓๕/๕๖๙/๓๐๗
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2010 เมื่อ 03:17 |
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
เราจะเห็นว่า ปัญญาต้องนำหน้ามาก่อนเสมอ พระพุทธเจ้าในแต่ละชาติที่พระองค์ท่านเสวยพระชาตินั้น เรื่องของปัญญาไม่เป็นสองรองใคร โดยเฉพาะพระชาติที่ต้องสร้างปัญญาบารมีแล้ว บางทีเราอาจจะเห็นว่า ท่านฉลาดเกินมนุษย์มนาก็มี
อย่างในกุสานาฬิชาดก***** น่าจะใช่นะ...ไม่ทราบว่าผมจะจำชื่อถูกหรือเปล่า ? พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นเทวดาที่มีศักดานุภาพน้อย เป็นรุกขเทวดาแต่อานุภาพน้อยมาก ต้นไม้ใหญ่ที่จะใช้วิมานเกาะอย่างคนอื่นก็ไม่มี ต้องไปอาศัยกอหญ้าคาอยู่ กุสะ แปลว่า หญ้าคา แม้ว่าศักดานุภาพน้อย บุญน้อย เพราะการสั่งสมมายังไม่มาก แต่เรื่องของคนฉลาด มีปัญญาเสียอย่าง เรื่องมีอยู่ว่า พระเจ้าแผ่นดินท่านจะสร้างพระตำหนัก ก็ให้บรรดาข้าราชบริพารไปสำรวจหาต้นไม้ เอาต้นที่ใหญ่ ตรง แล้วก็สมบูรณ์ เพื่อที่จะมาทำเสาเอก ปรากฏว่าไปเจอเอาต้นที่อยู่ใกล้ ๆ กอหญ้าคาพอดี เห็นว่าใหญ่ ตรง สมบูรณ์อย่างที่ต้องการ เขาก็ทำพิธีพลีกรรม พลีกรรมก็คือการบวงสรวงบอกกล่าว พอทำพิธีพลีกรรมแล้ว พรุ่งนี้ถึงจะมาตัด รุกขเทวดาทั้งหลายก็เดือดร้อนกันยกใหญ่ ไหนจะลูกไหนจะเมีย กระจองอแงกันไปหมด คุณต้องสังเกตให้ดีตรงนี้ว่า เทวดาระดับต่ำ ๆ นี้ ก็ยังดำรงชีวิตคล้าย ๆ มนุษย์ มีครอบครัว มีลูก แล้วก็มีความทุกข์ความเดือดร้อนเหมือนกัน อย่างเช่นอยู่ ๆ จะโดนรื้อบ้านแบบนี้ เขาจะเอาต้นไม้ไปปลูกพระตำหนัก จะไม่ยอมก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาบอกกล่าวถูกต้องแล้ว โดยอำนาจของผู้ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน หลวงพ่อโต วัดระฆัง ท่านใช้คำว่า “เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน” ท่านเป็นเจ้าของทั้งฟ้าทั้งแผ่นดิน เพราะฉะนั้น..ทุกสิ่งทุกอย่างบนผืนแผ่นดินนี้เป็นของท่านหมด แม้กระทั่งต้นไม้ที่เทวดาอาศัยก็เป็นของท่าน โดยเฉพาะผู้ที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนใหญ่แล้วเป็นพระโพธิสัตว์มาสร้างบารมี บารมีท่านสูงกว่า ในเมื่อท่านต้องการ เทวดาที่บารมีต่ำกว่า ก็ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ ต่อต้านไม่ได้ อย่างสมัยที่สร้างทางรถไฟผ่านดงพญาเย็น สมัยก่อนเรียกว่าดงพญาไฟ ตรงแก่งคอยเขาเรียกผาเสด็จ มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ไม่มีใครตัดได้ ถ้าหากว่าใช้เลื่อยใช้ขวานนี่ คนใช้ก็จะบาดเจ็บด้วยเลื่อยด้วยขวานของตัวเอง หรือไม่จะดื้อเอาจริง ๆ ระมัดระวังเต็มที่ บางทีก็ลงไปชักดิ้นเอาเฉย ๆ จะใช้รถใหญ่อย่างพวกแทรกเตอร์ ไปฉุดไปลาก ไปดันไปขุดก็ไม่ได้ เพราะเข้าไปใกล้ก็เครื่องดับ ท่านแม่กองสร้างทางรถไฟ จำไม่ได้ว่าเป็นท่านใด ก็ถวายหนังสือกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ หมายเหตุ : ***** อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก : ขุททกนิกาย : เอกนิบาต : เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๒ : กุสานาฬิวรรค เรื่องที่ ๑
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-08-2010 เมื่อ 01:45 |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เมื่อทรงทราบดังนั้น พระองค์ก็มอบตราแผ่นดินไปให้ บอกว่านี่เป็นเครื่องหมายของพระเจ้าแผ่นดิน เป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดิน ต้องการที่จะสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ สร้างความสุขให้กับราษฎร ขอให้เทวดาที่รักษาต้นไม้นี้อย่าได้ขัดพระราชประสงค์ ถือว่าเป็นคำสั่งเลย เจ้าหน้าที่เขาก็เอาตราแผ่นดินไปตอกกับต้นไม้ไว้ แล้วก็สามารถที่จะโค่นได้โดยไม่มีปัญหา
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เรื่องของการตีตราต้นไม้ก่อนจะโค่น ก็กลายเป็นเรื่องที่ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติของกรมป่าไม้มาจนถึงทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ซึ่งจะถือไม้ค้อนตีตราเพื่อที่จะทำการโค่นต้นไม้ อย่างน้อยต้องซี ๕ ขึ้นไป ไม่อย่างนั้นคุณไม่มีสิทธิ์ถือ ถือว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าแผ่นดินเลย ดังนั้น..ในชาดกเมื่อพระเจ้าแผ่นดินต้องการ เทวดาทั้งหลายก็เดือดร้อน ร้องไห้คร่ำครวญกันกระจองอแง เทวดากอหญ้าคาได้ยินก็ถามว่า เกิดอะไรขึ้นหรือ ? ท่านทั้งหลายมีศักดานุภาพเห็นปานนี้ ทำไมถึงต้องเดือดร้อนคร่ำครวญอยู่ ? รุกขเทวดาทั้งหลายที่มีอานุภาพมากกว่าก็เล่าให้ฟัง รุกขเทวดากอหญ้าคาซึ่งเป็นพระชาติของพระพุทธเจ้าก็บอกว่า เอาเถอะ..เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เราจะแก้ไขให้ รับรองว่าไม่ต้องย้ายที่อยู่ วิมานของท่านจะไม่โดนโค่น ไม่โดนพัง เทวดาทั้งหลายก็แปลกใจว่าจะทำได้อย่างไร ? ท่านมีอานุภาพนิดเดียวเท่านั้น ตัวเราเองมีอานุภาพมากกว่าตั้งเยอะตั้งแยะยังทำไม่ได้ กุสาเทวดาก็บอกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะทำให้ดู พอรุ่งเช้า พวกบรรดาเจ้าหน้าที่ก็แบกมีดพร้ากระท้าขวานไป เพื่อที่จะไปโค่นต้นไม้ต้นนี้ เทวดากอหญ้าคาก็แปลงร่างเป็นกิ้งก่า ขวางทางอยู่ใกล้ ๆ พอเห็นขบวนคนมาใกล้ ก็วิ่งปรู๊ดเข้าไปที่ต้นไม้ หายเข้าไปตรงโคนต้นไม้ ไปโผล่ที่คาคบ ผงกศีรษะอยู่ข้างบน บรรดาเจ้าหน้าที่ก็สะดุ้ง คิดว่าเมื่อวานเราลืมสำรวจดู ตั้งใจจะเอาไม้ไปสร้างตำหนักให้พระเจ้าแผ่นดิน เห็นว่าต้นตรงและใหญ่อย่างเดียว ไม่ได้สังเกตว่ามีโพรงอยู่ข้างใน กิ้งก่าตัวนี้วิ่งจากโคนทะลุขึ้นไปถึงข้างบนได้ แสดงว่าเป็นโพรงตลอดต้นเลย ใช้งานไม่ได้แน่ จึงพากันหอบเครื่องไม้เครื่องมือกลับไป กราบทูลพระเจ้าแผ่นดินว่า ต้นไม้ต้นนั้นมีโพรงอยู่ข้างใน ใช้ไม่ได้ ต้องไปหาต้นอื่นแทน บรรดารุกขเทวดาทั้งหลายก็รอดไปได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-08-2010 เมื่อ 01:47 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เราจะสังเกตว่า การใช้ปัญญา มีทั้งปัญญาทางโลกและปัญญาทางธรรม การแก้ไขปัญหาของเทวดากอหญ้าคานี่เป็นปัญญาทางโลก คือ แก้ไขความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที
ส่วนปัญญาในทางธรรมนั้นเป็นปัญญาที่รู้ว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่ให้กิเลสมากินใจของเราได้ อาจจะเป็นการเข้าสมาธิอยู่ ถ้าเราไม่คลายออกมา กิเลสก็กินใจเราไม่ได้ อาจจะเป็นการพิจารณา รู้แจ้งเห็นจริงแล้วจิตยอมรับ ปล่อยได้วางได้ กิเลสก็ไม่กำเริบมากินใจเราอีก นี่คือสิ่งที่อยากจะฝากเอาไว้ว่า การที่เราบวชหรือว่าเราเป็นนักปฏิบัติ ปัญญานั้นสำคัญมาก ถือว่าสำคัญที่สุด เพราะว่าเรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ นี่เป็นคำตอบแค่ขั้นต้นและขั้นกลางเท่านั้น คำตอบของนักปฏิบัติขั้นสุดท้าย จะอยู่ที่ปัญญาทั้งหมด เมื่อพวกเราภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว เมื่อคลายกำลังใจออกมา ให้รู้จักพิจารณาให้เห็น ว่าร่างกายของเรามีสภาพความเป็นจริงอย่างไร เขาเรียกว่าไตรลักษณ์****** เพราะมีลักษณะ ๓ อย่างที่เหมือนกันหมด คือ ๑. มีลักษณะของความไม่เที่ยง ไม่ว่าจะตัวเราตัวเขา คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ ต้นไม้ เรือนโรงอะไรก็ตาม ล้วนแต่เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด ๒. มีลักษณะของความเป็นทุกข์ คือ อยู่ก็ต้องทน สิ่งใดที่ต้องทนสิ่งนั้นเป็นทุกข์ อย่างตึกรามบ้านช่อง เราจะเห็นว่าอยู่ยงคงทน แล้วทุกข์ได้อย่างไร ? ชีวิตจิตใจก็ไม่มี นั่นเป็นทุกข์โดยสภาพที่เรียกว่าสภาวะทุกข์ คือ ก้าวเข้าไปสู่ความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ค่อย ๆ สลายไปเรื่อย เก่าไปเรื่อย ท้ายสุดก็พัง อยู่ไม่ได้ ๓. มีสภาพเป็นอนัตตา ไม่สามารถจะยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนได้ ต้องพังต้องตายแน่นอน ไม่มีอะไรเหลืออย่างแน่นอน เมื่อเราเห็นดังนี้แล้ว ให้ดึงเข้ามาข้างใน น้อมนำเข้ามาข้างใน พิจารณาตลอดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปลายเท้าจรดศีรษะแล้วว่า ไม่มีอะไรในร่างกายเราเที่ยง ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ทุกข์ และไม่มีอะไรที่เป็นที่ยึดถือมั่นหมายได้ ล้วนแต่ตายหมด พังหมด ตัวเราเมื่อเป็นอย่างนี้ ตัวคนอื่นก็ต้องเป็นอย่างนี้ เพศตรงข้ามจะให้สวยให้หล่อขนาดไหนก็ตาม ก็มีสภาพอย่างเดียวกับเรา ในเมื่อมีสภาพอย่างนี้ ถ้าเรามีความปรารถนาอีก ไม่ว่าจะตัวเราหรือตัวคนอื่น เราก็ต้องเกิดมาทุกข์อีก ทุกวันนี้เราทุกข์พอแล้วหรือยัง ? เรากำลังดิ้นรนแสวงหาหนทางที่จะพ้นทุกข์อยู่ วาระสุดท้ายของชีวิตไม่ทราบว่าจะมาถึงเมื่อไร ถ้ามัวแต่ประมาทนิ่งนอนใจอยู่ เราตายเสียก่อน ก็จะพ้นทุกข์ไม่ได้ หมายเหตุ : ****** สํ.สฬ. ๑๘/๑/๑ : ขุ.ธ. ๒๕/๓๐/๕๑
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-08-2010 เมื่อ 10:25 |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ถ้าต้องเกิดมาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ มาเกิดในร่างกายที่มีความทุกข์อย่างนี้ นับเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ เพราะว่าทุกอย่างจะรุมเร้าเข้ามา ถ้าหากว่าตัวคนเดียวอย่างเก่งก็เจ็บป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย
แต่ถ้าหากว่า ๒ คน ตอนนี้เราไม่ป่วยแต่เขาป่วย เราก็เหมือนกับป่วยไปด้วย เราไม่หิวเขาหิว ก็เหมือนกับเราหิวด้วย ถ้าหากว่า ๓ คนขึ้นไปยิ่งแล้วใหญ่ ตัวเราตัวเขาไม่เป็นไร แต่ไอ้ตัวเล็กนี่อย่างไรก็ไม่ได้ เราจะหิวแค่ไหนเขาก็ห้ามหิว ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด ต้องรับผิดชอบเขาให้ดีที่สุด นี่เป็นการสร้างความทุกข์ทับถมตัวเองอยู่ตลอดเวลา แล้วเราก็จมลึก ดิ้นไม่หลุด เหมือนกับตกอยู่ในหล่มโคลนดูด ตอนนี้เรามาอยู่ในสภาพนี้ ถือว่าเราก้าวพ้นหล่มขึ้นมาแล้ว ถึงแม้ว่าจะห่างออกไปไกลไม่ได้ ยังอยู่ใกล้ก็ตาม ขอให้พยายามตะเกียกตะกาย ไปให้พ้นโดยเร็วที่สุด แม้ว่าบางคนยังไม่พ้นหล่ม แต่เราก็ชูคอขึ้นมาเหนือโคลนแล้ว ยังสามารถหายใจได้ ยังสามารถหาช่องทางดิ้นรนเพื่อที่จะให้พ้นได้ แต่ถ้าในชีวิตฆราวาสนี่ เหมือนกับเราจมอยู่ในบ่อโคลนดูดทั้งตัว ไม่สามารถที่จะดิ้นหลุดออกมาได้ ไม่ว่าจะวิถีทางใด ๆ มีแต่จะซ้ำเติมให้หนักขึ้น ในเมื่อเราเห็นแล้วว่า ช่องทางอยู่ตรงนี้ ก็ควรจะใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า ชีวิตการครองเรือนของฆราวาสทั่ว ๆ ไป มีแต่ความทุกข์อย่างแสนสาหัส มีแต่ซ้ำเติมให้หนักขึ้นไปเรื่อย และท้ายสุด อาจจะจ่อมจมลงในอบายภูมิไม่อาจจะฟื้นตัวได้ ในเมื่อเรามาอยู่ในจุดนี้แล้ว จงพยายามก้าวไปข้างหน้าให้มากที่สุด ใช้ปัญญาที่เราจะพึงมี ประคับประคองสภาพจิตของเรา ให้ผ่องใสที่สุดเท่าที่จะผ่องใสได้ เมื่อถึงวาระที่เราละร่างกายนี้ไป เราจะได้ไปให้ไกลที่สุด หลุดพ้นไปได้เลยยิ่งดี นี่คือสิ่งที่อยากจะฝากเอาไว้ว่า เรื่องของปัญญาบารมีสำคัญที่สุด ปัญญาจะเกิดก็ต่อเมื่อศีลกับสมาธิทรงตัว ขอให้ทุกคนพยายามทำให้เต็มที่เท่าที่ท่านจะทำได้ -----------------------------
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2010 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|