|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์กล่าวว่า "อยากจะบอกกับทุกคนว่า อาตมาไปมาหลายแห่ง หลายวัด เวลาเจอพิธีกรหรือโฆษกเขาบอกว่า "ห้องน้ำห้องส้วมของวัดอยู่ทางทิศตะวันออกครับ" อาตมามองซ้ายมองขวา ฟ้าก็มืดตื๋อ แล้วทิศตะวันออกอยู่ทางไหนวะ ? เราไม่ได้อยู่ที่นี่ จะได้รู้ว่าทิศตะวันออกอยู่ด้านไหน เขาพูดในลักษณะที่รู้อยู่แล้วว่าอยู่ทางไหน แต่ขณะเดียวกันเราไม่รู้เพราะไม่เคยมา
ฉะนั้น..เวลาที่เราจะบอกกล่าวอะไรใคร ให้นึกอยู่เสมอว่าเขาไม่รู้ ถ้าเราไปคิดว่าเรารู้แล้วบอกทางแบบคนรู้นี่เขางง อาตมาบอกทางคนไปวัดท่าขนุนว่า วิ่งถึงกาญจนบุรี เสร็จแล้วก็ออกไปทางไทรโยค-ทองผาภูมิ วิ่งยาวไปจนเจอไฟแดง เลี้ยวขวาไปจะเจอวัดท่าขนุน แค่นี้ไปถูกทุกคนแหละ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าระยะทางที่บอกคือ ๑๔๐ กิโลเมตร เขาวิ่งไปจนท้อใจต้องโทรมา อาตมาต้องถามว่า เจอไฟแดงหรือยัง ? ถ้ายังก็วิ่งไปเรื่อย ๆ ทั้งอำเภอทองผาภูมิมีไฟแดงอยู่อันเดียว เรื่องพวกนี้บางทีเราก็คิดไม่ถึง เวลาสื่อสารออกไป คนที่ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ หรือไม่ได้อยู่สถานที่นั้นจะไม่เข้าใจ "
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2012 เมื่อ 18:03 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ท่านใดที่ไม่ได้พระปิดตาไม่ต้องเสียใจนะจ๊ะ ยังเหลืออีกสองรุ่น เดี๋ยวไปชิงกันใหม่ที่วัด เดี๋ยววัดแตกอีก แทนที่จะไปปฏิบัติธรรม ก็ไปแย่งพระกัน..!
ไม่ใช่ว่าอาตมาเจตนาทำน้อยนะโยม ถ้าโยมไม่ได้ไปนั่งเขียนตะกรุดเองจะไม่รู้หรอก พระองค์หนึ่งฝังตะกรุดไป ๓ ดอก ๔ สี ๔,๐๐๐ องค์ องค์ละ ๓ ดอก รวมเป็นตะกรุด ๑๒,๐๐๐ ดอก..! เขียนกันจนมือหงิกมือง่อย แต่ขอโทษเถอะ...ผู้ใหญ่ฉลาดสู้เด็กไม่ได้ เด็กดูตะกรุดบอกแม่ทันที "หนึ่ง ๓ ตัว" ออกจริง ๆ เสียด้วย..! เด็กเห็นตะกรุดสามดอก บอกว่าหนึ่ง ๓ ตัว แต่แม่ไม่ฟัง แม่ไปไล่ซื้อเลขอะไรก็ไม่รู้ พอเลขออก ๑ สามตัว แม่ก็เลยตีอกชกหัวตัวเอง ฉะนั้น..สัญชาตญานเด็กยังมีของเดิมอยู่มาก เพราะสภาพจิตสะอาด ทำให้เด็ก ๆ สัมผัสอะไรได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ น่าเสียดายว่าถ้าเด็กรุ่นหลังได้รับการฝึก ส่วนใหญ่จะออกไปทางอภิญญา แต่ว่าน้อยคนที่จะได้รับการฝึก เพราะว่าอันดับแรก...ไม่รู้จะพาไปวัดไหน อันดับที่สอง...พ่อแม่ก็ไม่เคยเข้าวัด ก็เลยทำให้เด็ก ๆ เสียโอกาสไปมากต่อมากด้วยกัน วันก่อนพออาตมาแจกวุฒิบัตรการปฏิบัติธรรมให้พวกเราเสร็จ ก็วิ่งไปงานวันเกิดหลวงพ่อมณฑลต่อ ออกมาวันรุ่งขึ้นก็ต้องรับเด็กนักเรียนเข้าอบรมอีก ก็แปลว่าไม่ได้พัก สำหรับเด็ก ๆ พออาตมาบอกว่า "เอ้า...พวกเรานั่งสมาธิสัก ๓ นาที เดี๋ยวหลวงตาจะเปิดหนังให้ดู" เด็ก ๆ นั่งกันเงียบฉี่ สรุปว่าเด็ก ๆ เขาทำสมาธิเป็นทุกคน เพียงแต่ว่าไม่มีคนคอยหลอกล่อเขา "หมดไปแล้วครึ่งนาที ใจเย็น ๆ หลับตา..นับลมหายใจตัวเองไป ใครทำได้เรียนเก่งเหมือนหลวงตาแน่นอนเลยลูก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 08:54 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
วันก่อนไปงานวันเกิดหลวงพ่อมณฑล เอาพระพุทธรูปองค์หนึ่งกับปัจจัยไปถวายท่าน ท่านบอกว่า"คุณไปไหนก็ถวายแต่พระพุทธรูป มิน่าล่ะ...ถึงสร้างพระพุทธรูปได้เยอะแยะไปหมด" ท่านเห็นอาตมาสร้างพระพุทธรูปชำระหนี้สงฆ์ไว้ที่หน้าวัดเรียงเป็นแถว
ตอนนี้ถือว่าหลวงพ่อมณฑลเป็นเกจิอาจารย์อันดับหนึ่งของทองผาภูมิ เพราะว่าผู้คนให้ความศรัทธามาก ท่านเองเคยเป็นทหารมาก่อน เป็นทหารม้าแล้วเข้ามาบวชเหมือนกัน อาตมาเคยสอบข้ามเหล่าจากทหารราบไปเป็นทหารม้าอยู่ระยะหนึ่ง ตอนช่วงนั้น ๔๐ กองพัน ต้องการ ๑ ตำแหน่ง อาตมาก็ยังอุตส่าห์สอบได้อีก เขาให้เปลี่ยนเหล่าได้ ๑ คน อาตมาไปอยู่เหล่าทหารม้าได้เจ็ดวัน เซ็งโลก...ขอย้ายกลับ เพราะไปอยู่ตรงนั้นแล้วอยากจะ "เล็ก" บ้าง ไปให้คนอื่นจิกหัวใช้บ้าง ปรากฏว่าอยู่ได้ ๒ - ๓ วัน เขาตั้งให้เป็นหัวหน้าตอนอีกแล้ว ทหารเขาจะดูภาวะผู้นำ ใครกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ ปฏิบัติอยู่ในกรอบของระเบียบวินัย เขามักจะให้เป็นผู้นำ แต่อาตมาเป็นจนเบื่อแล้ว อยากจะไปเริ่มต้นเป็นเด็ก ๆ บ้าง พอเขาจะให้เป็นผู้นำต่อ อาตมาจึงไม่เอา ลาออกกลับไปเป็นทหารราบตามเดิม พอกลับไปถึง เพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อ เจริญ เคนแสนโคตร ดีใจจนร้องไห้ คงกลับบ้านไปแก้บนเลยแหละ เพราะว่าเขาต้องเลื่อนคนได้ที่สองขึ้นไปแทน เจริญเขาสอบได้ที่สอง และอยากย้ายไปเป็นทหารม้ามาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 08:56 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ท่านพระมหาธรรมทส ขนฺติพโล ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยพระอารามหลวง การแต่งตั้งนั้นมีทั้งที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัด รองจังหวัด เจ้าอาวาสพระอารามหลวง ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง
มีคนตั้งเยอะตั้งแยะ แต่หนังสือพิมพ์ถ่ายรูปพระมหาธรรมทสเท่อยู่คนเดียว ไปลงรูปคนที่เด็กที่สุด แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แข่งบุญแข่งวาสนานั้นแข่งกันไม่ได้ บุญของท่านทำมาอย่างไรก็ต้องรับกันตรงจุดนั้นไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 08:57 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ช่วงที่อาตมาปฏิบัติธรรมอยู่ ท่านเจ้าคุณพระศรีคัมภีรญาน รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยฝ่ายวิชาการ ท่านมาวิเคราะห์สถานการณ์พุทธศาสนา มีอยู่จุดหนึ่งที่ท่านพูดไว้น่าสนใจก็คือว่า ปัจจุบันนี้มีญาติโยมเปิดบ้านเป็นสถานปฏิบัติธรรมกันเยอะ และเขาจับกลุ่มกันได้หนาแน่นมาก ผมอยากให้พระไปพิจารณาตัวเองว่า เรื่องที่ควรจะเป็นหน้าที่ของพระ ทำไมกลายเป็นงานของฆราวาส แล้วพระเราจะเหลืออะไรไว้ทำ ?
โยมเขาเปิดบ้านเป็นที่ปฏิบัติธรรมกัน และโยมก็นำปฏิบัติ มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง บางทีมีการแตกสาขาไปต่างจังหวัด อย่างคุณแม่สิริ กรินชัย คุณแม่สิริไม่ได้ไปเอง แค่ติดป้ายว่าสถานปฏิบัติธรรมสาขาคุณแม่ดร.สิริ กรินชัย เปิดโครงการปฏิบัติธรรม ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน คนไปกันเต็มเลย นั่นแค่ใช้ชื่อเฉย ๆ ท่านเจ้าคุณพระศรีคัมภีรญานถึงได้บอกว่า ให้พระเรากลับไปพิจารณาตนเองว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป แล้วพระจะทำอะไร ? เรื่องที่ควรจะเป็นหน้าที่ของพระ กลายเป็นหน้าที่ของฆราวาสไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-05-2012 เมื่อ 09:25 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
แต่ว่าความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้งสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ถ้าหากว่าเราแยกแยะดูจะเห็นว่า พุทธบริษัททั้งสี่นั้น จะมีอนาคาริกะ คือผู้ที่ไม่ครองเรือน ได้แก่ ภิกษุ และภิกษุณี กับอาคาริกะ คือผู้ครองเรือน ได้แก่ อุบาสกและอุบาสิกา
ผู้ครองเรือนอย่างอุบาสก อุบาสิกา โอกาสที่จะปฏิบัติธรรมเต็มที่ก็ไม่ได้ เพราะว่าติดการทำมาหากิน จึงเป็นหน้าที่ของอนาคาริกะ ผู้ไม่ครองเรือนอย่างภิกษุหรือภิกษุณี ที่จะต้องเร่งขวนขวายปฏิบัติให้เต็มที่ เข้าถึงธรรมให้ได้ โดยได้รับการสนับสนุนในเรื่องปัจจัยสี่จากอุบาสกและอุบาสิกา เมื่อเข้าถึงธรรมแล้วก็ย้อนกลับมา นำเอาสิ่งที่ตนปฏิบัติด้วยตัวเองแล้ว นำมาบอกกล่าวสั่งสอนแก่อุบาสกและอุบาสิกา เพื่อให้เข้าถึงธรรมให้ได้ง่ายที่สุด ก็คือง่ายกว่าที่อุบาสกและอุบาสิกาจะไปปฏิบัติด้วยตนเอง เนื่องจากว่าบุคคลที่ปฏิบัติด้วยตนเองแล้วได้ผล ถึงเวลาบอกทางก็จะบอกง่าย เมื่อเป็นดังนั้นเรื่องของพุทธบริษัททั้งสี่จึงเป็นเรื่องของการเกื้อกูลกัน ถ้าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ ก็แปลว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นไปด้วยดี มีความเจริญรุ่งเรือง คราวนี้ตามที่ท่านเจ้าคุณพระศรีคัมภีรญานท่านบอกว่า ฆราวาสเขาเปิดบ้าน เขาเป็นเจ้าสำนัก เขามีลูกศิษย์เยอะแยะไปหมด แล้วต่อไปพระจะทำอะไร ? คงต้องหุงข้าวเลี้ยงโยมสินะ จะได้ทำหน้าที่สลับกัน ในจุดนี้จะว่าไปแล้วก็คือว่า ความเข้มแข็งของอุบาสกอุบาสิกามีมากขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 10:15 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาใหญ่ ๒ แห่งของประเทศไทย คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เปิดโอกาสให้ญาติโยมเข้าศึกษาสาขาวิชาต่าง ๆ องค์ผู้ให้กำเนิดมหาวิทยาลัย ก็คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงระบุไว้เป็นพระราชพินัยกรรมว่า ให้สอนพระไตรปิฎกและวิชาการศึกษาชั้นสูง
เมื่อเปิดมหาวิทยาลัยมาโดยมีพระราชประสงค์ดังนั้น ก็ยังมีการมาตีความกันอีกว่า วิชาการชั้นสูงคืออะไร ? หลายคนก็บอกว่าเปิดหลักสูตรปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกไปเลย ก็ใช่นะ..แต่ก็ไม่น่าจะใช่มหาวิทยาลัยของพระ ดังนั้น..มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก็เลยตีความว่า วิชาการชั้นสูงก็คือ วิปัสสนากรรมฐาน จึงมีการบังคับนักศึกษาให้ต้องปฏิบัติธรรมทุกปี เมื่อเป็นดังนี้มหาวิทยาลัยของพระจึงมีจุดต่างกับของญาติโยมอยู่ ก็คือ มีการบังคับการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าคุณจะเป็นหรือไม่เป็นเราก็จะสอนจนเป็นให้ได้ เพียงแต่ว่าเป็นแล้วจะเข้าถึงได้แค่ไหนเท่านั้น มีญาติโยมบางคนที่จบการศึกษาปริญญาโทแล้วมาเปิดใจว่า วิชาการที่เขาเรียนไปก็อย่างนั้นแหละ ที่อื่นก็มีเหมือน ๆ กัน ไปเรียนจากที่ไหนก็ได้ แต่สิ่งที่เขาได้ และได้ใช้ไปตลอดชีวิตก็คือวิปัสสนาภาวนา ทางประเทศฮังการีเที่ยวมาสืบหามหาวิทยาลัยในประเทศไทย เพื่อที่จะเข้าร่วมเป็นสถาบันการศึกษาสมทบในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เขากางรายชื่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ แล้วไล่สอบถามทีละมหาวิทยาลัย พอไปถึงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถามว่าหลักสูตรที่จะต้องศึกษามีอะไรบ้าง ? ท่านเจ้าคุณอธิการรูปปัจจุบัน (พระธรรมโกศาจารย์) ก็ร่ายยาวไปเลยว่า หลักสูตรปริญญาโทมีอย่างนี้ ปริญญาเอกมีอย่างนี้ ถึงเวลาต้องสะสมวันปฏิบัติธรรมเท่านี้ จึงจะให้จบ ปรากฏว่าอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮังการีบอกว่าใช่..ที่เขาต้องการคือแบบนี้ ต้องการให้ผู้เรียนได้ศึกษาภายในด้วย ไม่ใช่ศึกษาแต่ภายนอกอย่างเดียว ในเมื่อเป็นดังนี้ เราจะเห็นชัดว่าแม้กระทั่งต่างประเทศก็เน้นเกี่ยวกับเรื่องวิปัสสนาภาวนากันแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2012 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
แต่ถ้าเราดูสภาพสังคมของเรา เข้าแถวซื้อไอแพดสามยาวเป็นกิโลเมตรเลย ปัจจุบันนี้มหาวิทยาลัยของต่างประเทศ อย่างเช่น อังกฤษ มีหลักสูตรการศึกษาวิปัสสนาภาวนา เป็นวิชาที่ไม่ต้องสอบ แต่ต้องมีเวลาเรียนครบตามที่เขาระบุไว้ ระหว่างที่เรียนห้ามแต่งตัว ห้ามใช้เครื่องประดับ ห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารต่าง ๆ
เหลือเชื่อว่ามีเด็กลงทะเบียนเรียนมากกว่าที่คิด มีอยู่สองรายที่พอรู้ว่าห้ามใช้ไอแพดไอโฟน ก็ถอนชื่อออกจากทะเบียน เขาบอกว่าเป็นเรื่องที่คาดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น แต่ว่านักเรียนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเรียน กลับเห็นคุณค่าของการปฏิบัติตัวให้สันโดษ อยู่ในการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือสื่อสาร ผู้หญิงผู้ชายห้ามสัมผัสถูกต้องเนื้อตัวกัน ห้ามกอดกัน ห้ามมองตากันนาน ๆ สงสัยกลัวจะท้องแบบปลากัดกระมัง ? อ่านกติกาเขาแล้วก็ขำ ๆ ดีเหมือนกัน แต่ว่าบ้านเราที่เป็นต้นกำเนิดของวิปัสสนาภาวนาแท้ ๆ เป็นประเทศที่ปัจจุบันน่าจะมีความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาติดอันดับต้น ๆ ของโลก กลับไปไล่ตามไขว่คว้าเทคโนโลยีต่าง ๆ ส่วนฝรั่งต่างชาติทิ้งเทคโนโลยีแล้วกลับเข้าหาการอยู่การกินอย่างธรรมชาติ เราต้องคิดดูให้ดีว่า ถ้าเราเชื่อว่าฝรั่งเก่งกว่า มีเทคโนโลยีสูงกว่า มีความเจริญมากกว่า มีความฉลาดกว่า แล้วกลับมาดำเนินชีวิตแบบพออยู่พอกิน ขณะที่คนไทยเราตะเกียกตะกายไขว่คว้าสิ่งที่ฝรั่งโยนทิ้งแล้ว อย่างนั้นพวกเราทำถูกหรือเปล่า ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2013 เมื่อ 03:23 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
มีฝรั่งคนหนึ่งชื่อมาร์ติน (Martin Wheeler) เขามาอยู่เมืองไทยซื้อที่ไว้ ๖ ไร่ ทำนาทำสวนของเขาไปเรื่อย วัน ๆ ก็หาบน้ำรดต้นไม้ ตากแดดตัวแดง ใคร ๆ ก็เรียกเขาว่าฝรั่งกระจอกบ้าง ฝรั่งขี้นกบ้าง เขาไม่ร่ำไม่รวยเหมือนฝรั่งที่คนอื่นเห็น แต่หารู้ไม่ว่าเขาบอกว่าเขารวยมาก เขาอยู่ประเทศอังกฤษไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เงินเดือนของเขาแทบจะเป็นค่าเช่าบ้านหมด แต่พอมาอยู่เมืองไทยเงินเดือนของเขาซื้อที่ได้ ๖ ไร่ ปลูกกระต๊อบได้อีก ๑ หลัง ปลูกผักปลูกหญ้าปลูกของกินเต็มไปหมด เขาบอกนี่ผมรวยมากเลย ผมบอกเพื่อนที่อังกฤษว่าผมมีที่ ๖ ไร่ เพื่อนตกใจตาโตกันทุกคน
ใครได้ยินข่าวนี้บ้างไหม ? มีข่าวเล็ก ๆ ข่าวหนึ่งออกมาว่า ที่ดินประเทศไทยประมาณ ๑๐๐ ล้านไร่อยู่ในเงื้อมมือต่างชาติหมดแล้ว เขามากว้านซื้อไปหมดแล้ว โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ คุณมาร์ตินเขาปลูกต้นไม้ เขาบอกว่าเขาไม่หวังหรอกว่าจะได้ใช้ในรุ่นตัวเอง แต่ว่าลูกหลานเขาต้องได้ใช้แน่นอน เมืองไทยแดดดี น้ำดี ปลูกอะไรลงไปก็ขึ้น ไม่เหมือนอังกฤษ เวลาหิมะลงจะกลบทุกอย่างหมดเกลี้ยงเลย ถ้าต้นไม้เล็ก ๆ ก็อาจถึงขนาดแห้งกรอบตาย ต้นไม้ใหญ่ก็จะชะงักงันไม่โตไปครึ่งค่อนปี กว่าจะได้แดดค่อยโตไปอีกหน่อย หิมะก็ตกอีกแล้ว แต่เขาปลูกต้นไม้เมืองไทย ๒ - ๓ ปี ต้นไม้สูงขึ้นไป ๔ - ๕ เมตร ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เราควรที่จะคิดพิจารณาตนเองกันใหม่ว่าบ้านเราจริง ๆ แสนที่จะดี แต่เรามองเห็นความดีตรงนี้ของบ้านเราไหม ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 12:34 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียงออกมา มีระบบนวเกษตรพึ่งพาตนเองได้ แบ่งพื้นที่ออกเป็น ๑๐ ส่วน ๑ ส่วนใช้ทำที่อยู่อาศัยและสวนครัว ๓ ส่วนเป็นแหล่งน้ำ ๓ ส่วนเป็นนาข้าว อีก ๓ ส่วนปลูกไม้ผลโตเร็ว และไม้ใช้สอยอื่น ๆ แหล่งน้ำยังสามารถที่จะใช้เลี้ยงปลาได้ แม้กระทั่งชายขอบบ่อก็สามารถที่จะปลูกต้นไม้ได้ อย่างเช่น กล้วย มะพร้าว
ต้นไม้ที่ปลูกก็เป็นต้นไม้ระยะสั้นอย่างพวกพืชผัก ระยะกลางอย่างเช่นพวกกล้วย มะละกอ ระยะยาวอย่างไม้ผลต่าง ๆ ถึงเวลาเกิดดอกออกผลจะได้มีของเอาไว้กินไว้ใช้เอง ถ้าเหลือก็ขายออกตลาด จะได้มีเงินเข้าทุกวัน ถ้าทำอย่างนั้นได้ พระองค์ท่านยืนยันว่า ต่อให้เศรษฐกิจล่มสลายอย่างไรเราก็ไม่เดือดร้อน เพราะเราพึ่งพาตนเองได้ ดังนั้น..ถ้าหากใครมีที่มีทางอยู่ต่างจังหวัด บอกพ่อบอกแม่ว่าฝืนใจเก็บหน่อย ถึงเวลาปลูกต้นไม้ทิ้ง ๆ เอาไว้ ทำเป็นลืมเสีย ๓-๕ ปี เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว พวกเราที่อยู่กรุงเทพฯ ลองคิดดูว่าไฟดับเราก็แย่แล้ว เอาแค่บ้านวิริยบารมีนี้ก็พอ ไฟดับอย่างเดียวอยู่ไม่ได้เลย ต้องลงไปนั่งที่หน้าบ้าน ไฟดับขึ้นมาไม่พอ หิวขึ้นมาจะทำอย่างไร? ถ้าสมมติว่าไม่มีร้านอาหาร แทะรั้วบ้านกินก็ไม่ได้อีก เราจะเห็นชัด ๆ ว่าที่เราไปวิ่งตามความเจริญของต่างประเทศนั้นผิด พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราท่านทำถูกมาโดยตลอด เพิ่งมาผิดในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมนั่นแหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 04-05-2012 เมื่อ 13:14 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ช่วงนั้นอาตมายังไม่เข้าชั้นประถมปีที่ ๑ เขาเน้นการส่งออกข้าว ข้าวโพด ดีบุก ยางพารา ในเมื่อเน้นการส่งออกก็ต้องผลิตเป็นจำนวนมาก การที่จะผลิตให้ได้จำนวนมาก ๆ ก็ต้องตัดไม้ทำลายป่ามาก โดยเฉพาะไม้สัก จะขุดดีบุกให้ได้มาก ๆ ก็ต้องถล่มพื้นดินจนเละเทะ จะปลูกข้าว ปลูกข้าวโพดมาก ๆ ก็ต้องเปิดป่าเพิ่ม
ตอนเด็ก ๆ รอบบ้านอาตมาเป็นป่าใหญ่ ใหญ่ขนาดขนาดเสือมารอดักตะครุบคน เดินจากไร่กลับบ้านมา อยู่ ๆ แม่ก็กระทุ้งหลังให้เดินเร็ว ๆ หน่อย อาตมาก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เดินจ้ำ ๆ แม่ก็เดินชิดมาเลย พอถึงบ้านปิดประตูโครม แม่บอกว่าเสือดำอยู่บนจอมปลวก จะไปกลัวแล้ววิ่งก็ไม่ได้ เพราะเสือจะโดดใส่เลย ผู้ใหญ่เขาต้องคอยจ้องตาเสือเอาไว้ เสือก็ไม่กล้าตาม เพราะเห็นว่าคนมองอยู่ อีกอย่างคือมีอยู่ ๒ คน ถ้าคนเดียวนี่บางทีเสืออาจจะเสี่ยงตะครุบไปแล้ว เวลาหน้าหนาวจะหนาวมาก หนาวจนตัวแตกเป็นตารางเลย เพราะป่าเยอะมาก ถึงเวลาต้องก่อกองไฟกลางบ้าน เอาผ้าห่มมาห่ม ล้อมรอบกองไฟกัน นั่งหลับสัปหงกทีเสียงผมไหม้ดังเปรี๊ยะ..เหม็นตลบ..! พอเจอช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมเน้นการส่งออกไม่นาน ป่ารอบบ้านหมดเกลี้ยงเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 14:36 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พออาตมาเข้าชั้นป.๕ ป่ารอบบ้านเริ่มหมดแล้ว แต่ว่ายังมีส่วนที่เรียกว่าป่าละเมาะอยู่ ป่าละเมาะจะเป็นลักษณะของป่าไผ่สลับกับไม้พุ่ม ยังพอที่จะยิงอีเห็น ล่าเสือปลา ดักกระต่ายได้อยู่ แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน เขาเพิ่มการส่งออกอีกอย่างหนึ่งก็คืออ้อย หลายคนจึงปลูกอ้อยกันเพื่อที่จะส่งโรงงานผลิตน้ำตาล
บ่อน้ำภาษาอีสานเรียงว่า"ส่าง" บางคนเรียกว่า"บ่อสร้าง" ก็คือภาษาอีสานผสมกับภาษาไทยกันนั่นแหละ ความหมายคือบ่อน้ำทั้งคู่ ที่บ้านอาตมามีบ่อน้ำ แต่ชาวบ้านเขาเรียก "บ่อโพง" น่าจะมาจากคำว่า "โพรง" เพราะขุดเป็นหลุมลึกลงไป เวลาใช้ถังตักน้ำขึ้นมา เขาเรียกว่า "โพงน้ำ" ขุดลึกลงไปในดินประมาณ ๔ วากว่า ๆ น้ำจืดสนิท อาศัยดื่มกินได้ตลอดทั้งปีไม่เคยแห้ง แต่พอรอบข้างปลูกอ้อยกันหมด น้ำในบ่อกินไม่ได้ จากน้ำใสจืดกลายเป็นเค็ม ๆ เฝื่อน ๆ เพราะว่าน้ำปุ๋ยอ้อยซึมลงไปถึงระดับน้ำใต้ดิน บ้านอาตมามีอาชีพทำไร่ทำสวนเป็นหลัก มีสวนมะพร้าว สวนมะม่วง ถึงเวลาก็ปลูกพริก ปลูกมะเขือ ปลูกกล้วย แล้วแต่ว่าช่วงนั้นของอย่างไหนราคาดี ส่วนหนึ่งที่เน้นคือปลูกผักขายส่งตลาด ไม่น่าเชื่อว่าสมัยอาตมาเด็ก ๆ มีอยู่ปีหนึ่ง ผักชีราคากิโลกรัมละ ๒๐ บาท..! แพงขนาดนั้นเพราะว่าหาซื้อไม่ได้ ปีต่อมาเหลือกิโลกรัมละ ๑ สลึง..! เพราะคนแย่งกันปลูกทั้งประเทศ แต่พอรอบข้างปลูกอ้อยกันหมด ที่บ้านก็อยู่ไม่ได้ เพราะแมลงทั้งหมดในรัศมี ๒๐ – ๓๐ กิโลเมตร มาลงที่ไร่เดียว เพราะของอื่นแมลงกินไม่ได้ ที่อื่นเป็นต้นอ้อย แมลงจึงแทะไม่เข้า เราปลูกผักปลูกผลไม้ แมลงลุยกัดกินกระจายเลย ท้ายสุดที่บ้านก็ต้องปลูกอ้อยตามเขาไป เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ในเมื่อส่วนกลางเป็นไปอย่างนั้น เราก็ต้องเป็นไปตามเขา แต่ลองมานึกดูว่า ถ้าเกิดทุพภิกขภัยคือเกิดความอดอยาก หาของกินได้ยาก แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2012 เมื่อ 14:36 |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
สมัยอาตมาเด็ก ๆ เจอทุพภิกขภัยอยู่สองครั้ง ครั้งแรกแค่สงสัยว่า เวลาหุงข้าวทำไมแม่ต้องเอามันเทศหั่นใส่ลงไปด้วย อร่อยดีหรอก เพราะเวลาหุงข้าวใส่มันเทศแล้วรสชาติหวาน ๆ ไม่รู้หรอกว่าข้าวจะหมด แม่ต้องเอามันเทศหั่นใส่ลงไปด้วย เพื่อให้มีข้าวมากพอกิน หลังจากนั้นก็ไม่มีข้าวกิน ต้องเอาข้าวโพดที่เขาทำพันธุ์มานึ่งกิน เจ้าประคุณเอ๋ย...เคี้ยวดินเปล่า ๆ เสียยังดีกว่า เพราะว่าแข็งสุด ๆ ไม่ใช่ข้าวโพดซูเปอร์สวีทแบบสมัยนี้หรอก เป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เขาเรียกว่าข้าวโพดเลี้ยงม้า ตากแห้งแล้วเขาเก็บไว้ทำพันธุ์ แต่พอไม่มีกินต้องเอามานึ่งกิน ฝักหนึ่งกว่าจะแทะหมดฟันแทบบิ่น แต่ก็ต้องกินเพราะไม่มีอะไรจะกิน
ที่บ้านยังติดไร่ ติดโคก ติดป่าละเมาะ ยังพอไปหากลอยมากินได้ แต่ถ้าทำกลอยกินไม่เป็นก็เมา ต้องหั่นกลอยเป็นชิ้นบาง ๆ ใส่ตะกร้าแช่น้ำไว้ ถึงเวลาก็ไปย่ำ ๆ เพื่อให้น้ำเมาออก พูดง่าย ๆ ก็คือแช่น้ำไว้ประมาณ ๒ วัน ย่ำอยู่ทุกวัน จนกระทั่งน้ำเมาหมดไปกับสายน้ำนั่นแหละ แล้วถึงเอามานึ่งกินได้ คนกินกลอยไปนาน ๆ จะเกิดอาการพุงโรก้นปอด ท้องจะโตแต่แขนขาลีบ ๆ ครั้งที่ ๒ ที่เกิดทุพภิกภัยก็มาแบบเดิม พอถึงเวลาแม่ต้องใส่มันเทศบ้าง ฟักทองบ้าง ปนกับข้าวให้ลูกกิน พูดง่าย ๆ ว่าให้มีของอิ่มท้องเข้าไว้ เมื่อข้าวขาวหมดก็ต้องกินข้าวกล้อง ข้าวกล้องสมัยก่อนนี่สุดยอดเลย กลืนไม่ค่อยจะลง เพราะว่าส่วนใหญ่เกิดจากการตำจึงเป็นข้าวกล้อง ถ้าหากว่าใช้เครื่องสีจะเป็นข้าวขาว พอตำข้าวก็ไม่สะอาดนัก พวกแกลบบางทีก็ยังติดอยู่ เป็นข้าวซีกหนึ่ง อีกซึกหนึ่งยังเป็นแกลบอยู่ หุงสุกขนาดไหนก็ตาม เคี้ยวไปแล้วก็กลืนไม่ค่อยจะลงหรอกเพราะว่าแกลบติดคอ ก็ต้องทนกินไปอยู่หลายเดือน กว่าที่ข้าวฤดูใหม่จะออกมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 08-05-2012 เมื่อ 10:35 |
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
อีกครั้งหนึ่ง หลังจากอาตมาเรียนจบ มศ. ๓ เข้ากรุงเทพฯ มาทำงานแล้ว คิดว่าพวกเราจำนวนมากก็ได้เจอสถานการณ์นั้น ยังจำข้าวโอชาได้ไหม ? ข้าวเจ้าผสมข้าวเหนียว ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ต้องมีบัตรปันส่วนถึงจะซื้อได้ ในกรุงเทพฯ นี่แหละ มีใครยังนึกถึงรสชาติของข้าวโอชาได้บ้าง ? จะว่าไปก็กินอิ่มดีนะ เพราะว่าใส่ข้าวเหนียวลงไป ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องเอาทะเบียนบ้านไปซื้อ ถ้าหากว่าซื้อได้เรียบร้อยแล้ว อาทิตย์หน้าค่อยมาซื้อใหม่นะจ๊ะ ไม่ใช่อาทิตย์นี้หรือว่าพรุ่งนี้ไปซื้อ ที่เขาต้องบังคับอย่างนั้นเพราะว่าข้าวไม่พอกิน ขนาดในกรุงเทพฯ ยังอดเลย
ที่อาตมาพูดมาถึงตรงนี้ก็เพราะว่า ถ้าเกิดทุพภิกขภัยขึ้น แล้วเราจะหาอะไรกิน ? ปัจจุบันนิยมปลูกอะไรบ้าง ? ข้าว มันสำปะหลัง สองอย่างนี้พอกินได้ ข้าวโพดก็ยังพอไหว ส่วนยางพาราใครจะกินบ้าง ? ปาล์มน้ำมันลองดูซิว่าจะแทะเข้าไหม ? เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการเกษตรเชิงเดี่ยว ปลูกแต่พืชชนิดเดียว เห็นอยู่ชัด ๆ ว่า ถ้าพลาดเมื่อไรก็เยินเมื่อนั้น ถ้าราคาตกก็ตกทั้งประเทศ แต่ถ้าหากทำเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริของในหลวง อยากราคาตกก็ตกไป มะพร้าวราคาตกเราก็ขายมะนาว มะนาวราคาตก..ไม่เป็นไรขายกล้วยก็ได้ ตามที่ในหลวงทรงดำริไว้นั้น เกษตรทฤษฎีใหม่อย่าทำเกิน ๓๐ ไร่ ถ้าทำเกิน ๓๐ ไร่ แรงงานจะไม่พอ เราลองมานึกดูว่า ๓๐ ไร่ ถ้าเราทำนา ๑๐ ไร่ ไร่นาสวนผสม ๑๐ ไร่ แหล่งน้ำ ๕ ไร่ เป็นสวนครัวเสีย ๔ ไร่ ปลูกบ้านอีก ๑ ไร่ เราดูแลไหวหรือไม่ ? ไม่ไหวหรอก ฉะนั้น..ทำเกษตรทฤษฎีใหม่มากที่สุดในสายตาอาตมา ครอบครัวหนึ่งอย่าให้เกิน ๑๐ ไร่ ปลูกข้าวสัก ๕ ไร่ ให้ได้ข้าวเปลือกสัก ๒๐๐ ถัง ข้าวเปลือก ๒๐๐ ถัง สีเป็นข้าวสารก็น่าจะเหลือสัก ๑๐๐ ถังเศษ ๆ พอกินไป ๑ ปี เพราะว่าคนหนึ่งกินข้าวต่อมื้อหนึ่ง เป็นข้าวสารประมาณสองขีด ไม่เกินสองขีดครึ่งเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2013 เมื่อ 03:28 |
สมาชิก 137 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ฉะนั้น..ใครมีที่มีทางอยู่เริ่มต้นได้แล้วจ้ะ อย่าช้า..ถ้าหากว่าช้า สถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงเร็ว เราจะตั้งหลักไม่ทัน มีที่มีทางก็ Back to the nature กลับคืนสู่ธรรมชาติได้แล้ว ใครที่อยู่กรุงเทพฯ แล้วตั้งใจจะยึดเป็นเรือนตาย ก็ควรหาทางขยับขยายไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นอาจจะได้ตายจริง ๆ..!
บางทีอาตมาเองยังหนักใจว่า เด็กรุ่นหลังของเรา ถ้าออกพ้นจากเครื่องอำนวยความสะดวกไปนี่ไม่รอดแน่..ตายหมด อาตมาพาไปเดินป่า ชี้ว่าอย่างนั้นกินได้ อย่างนี้ก็กินได้ แต่เด็กไม่รู้จักพืชผลสักคน เมื่อวานนี้ไปกิจนิมนต์ที่ฉะเชิงเทรา เพื่อนรุ่นเดียวกันนะ ไม่รู้จักหมากหลอด พวกเรารู้จักหมากหลอดไหม ? ลูกรี ๆ โตกว่าหัวแม่มือหน่อย หน้าตาก็คล้าย ๆ หัวแม่มือของเรานี่แหละ เพื่อนอาตมาดันไปแกะเปลือก ฉันเสร็จแล้วก็ตีหน้าประหลาด อาตมาก็ขำ บอกว่า "เฮ้ย..เขาเคี้ยวทั้งเปลือก" เขายังคิดว่าอาตมาอำอีก ถึงเวลาพอเคี้ยวเข้าไป "เออ..กินทั้งเปลือกไม่เปรี้ยวนี่หว่า แล้วทำไมเมื่อกี้นี้เปรี้ยววะ ?" ใครจะไปรู้ว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันจะโง่ได้ขนาดนั้น เด็กบ้านนอกด้วยกันก็น่าจะรู้จัก หมากหลอด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:41 |
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
โยมในที่นี้มีกี่คนที่รู้จักว่าต้นไข่เต่าหน้าตาเป็นอย่างไร ? ไม่รู้จักเลยใช่ไหม ? ถ้าเข้าป่าเจอดงไข่เต่าอาตมาก็สบายอยู่คนเดียว หลอกให้คนอื่นไปไกล ๆ แล้วตัวเองนอนกินคนเดียวเลย ต้นไข่เต่าเป็นไม้สูงจากพื้นประมาณศอกเดียว ใบสีเขียวเข้ม ๆ โตสักประมาณ ๓ นิ้วมือ มีลูกรี ๆ สีเหลืองอ่อน ๆ อยู่ข้างใต้ ถ้าลูกสีเหลืองนี่สุกแล้ว เก็บกินไปเถอะ ทั้งหอมทั้งหวานเลย
ลูกไข่เต่า ถ้าให้เด็กรุ่นใหม่เข้าป่าคาดว่าอดตายแน่ ต่อให้ของกินอยู่ข้างหน้า บางทีก็ไม่รู้ว่ากินอย่างไร อาตมาเคยหลอกลุงสุบินมาแล้ว ตอนนั้นประมาณปี ๒๕๒๓ อาตมาข้ามไปที่ฝั่งพม่า ตรงท่าขี้เหล็ก สมัยนั้นเขาเปิดด่านตลอดเวลา ไม่มีการจำกัดกลางวันกลางคืน ตี ๕ กว่า ๆ อาบน้ำเสร็จสรรพเรียบร้อย ชวนเพื่อนรุ่นพี่ชื่อพี่กัลยาเดินข้ามฝั่งไป เดินไปเดินมาเจอข้าวเดือย ที่เราเรียกว่าลูกเดือยนั่นแหละ เขาก็ตัดมาเป็นช่อ ๆ นึ่งใส่เกลือ พวกเราก็ซื้อมานั่งแทะกัน ลุงสุบินเดินมาเห็น "ไอ้สองคนนี้ทำไมหน้าเหมือนคนไทยแท้วะ ?" "แล้วลุงเห็นผมเป็นพม่าหรือ ?" "อ้าว..คนไทยจริง ๆ นี่หว่า ทำอะไรกันอยู่ ?" "กินลูกเดือยครับลุง" "มันกินอย่างไรล่ะ ?" "ขบแล้วเอาข้างในทิ้ง แล้วก็เคี้ยวไอ้แข็ง ๆ ครับ มันกรอบดี" หลอกกระทั่งลุง บาปกรรมแย่เลย หลอกให้แกกินเปลือก เราจะได้กินเนื้อคนเดียว..! อาตมานี่คบยากนะ มีคนให้ฉายาว่า "แสบแต่ซื่อ" ไม่ใช่ซื่อแต่แสบนะ เป็นคนตรงไปตรงมา แต่เผลอเมื่อไรหลอกชาวบ้านเขา ไม่ได้หลอกให้เขาเดือดร้อนอะไรมากมายหรอก หลอกเอาสนุก ลุงสุบินลองแทะกินอยู่ ๒ – ๓ เม็ด แกก็บ่นว่าไม่อร่อยเลย แกเลยไปหาของอย่างอื่นกิน จะได้ไม่ต้องมาแย่งของเรา ถ้าหากว่ารู้จักของกินในป่าก็พอเอาตัวรอดได้ หัวไร่ชายนามีแต่ของกินทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเราจะรู้จักหรือไม่ ? อาตมาเคยพาคณะหนึ่งไปบึงลับแล ๒๗ คน ถึงเวลาจะให้เขาช่วย ก็ถามว่า "ใครหุงข้าวเป็นบ้าง ?" มียกมือตั้งหลายคน น่าชื่นใจมาก แล้วเขาก็ถามอย่างชัดเจนเลยว่า "เสียบปลั๊กตรงไหน ?" โอ้..อยู่กลางป่านี่นะ เอ็งจะเสียบปลั๊ก ? ท้ายสุดพระก็ต้องไปหุงข้าวให้เขากิน..! อยู่ที่บึงลับแลแล้วเสียบปลั๊ก คงต้องต้องลากสายเข้าไปสิบกว่ากิโลเมตรกว่าจะถึง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:43 |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
แผ่นพับประชาสัมพันธ์วัดท่าขนุน แจกวันนี้วันเดียวนะจ๊ะ สาเหตุที่ทำเพราะเวลามีฝรั่งมาที่วัด นอกจากตัวเจ้าอาวาสแล้ว พระที่วัดไม่ค่อยกล้าคุยกับฝรั่ง ในเมื่อไม่ค่อยกล้าคุยกับฝรั่งก็เลยต้องทำเป็นแผ่นพับ พอถึงเวลาแล้วจะได้ส่งให้ฝรั่งอ่านเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:44 |
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
การรื่นเริงในธรรม ขณะเดียวกันให้ระมัดระวังจิตใจของเราด้วย อย่าให้ฟูมาก ถ้าหากว่าฟูมาก ถึงเวลาฟุบก็ฟุบแรง ต้องคอยระมัดระวังกำลังใจของเรา กระทบสิ่งที่ดีอย่าให้ฟู กระทบสิ่งที่ไม่ดีอย่าให้ฟุบ พยายามทรงกำลังใจเป็นกลาง ๆ ให้ได้ ถ้าทรงกำลังใจเป็นกลาง ๆ ได้ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย โอกาสที่เราหลุดพ้นก็จะมีมาก แต่ถ้าเรายินดียินร้ายกับอะไรง่าย โอกาสที่จะหลุดพ้นก็ยาก
เพราะทันทีที่ไปยินดีหรือยินร้ายก็ตาม จะตกเป็นทาสกิเลสทันที ยินดีเป็นโลภะกับราคะ ยินร้ายเป็นโทสะกับโมหะ กินเราทั้ง ๒ ฝั่งเลย ต้องผ่ากลางไปอย่างเดียวถึงจะรอด เพราะฉะนั้น..มัชฌิมาปฏิปทาต้องกลางทุกอย่าง ในขณะเดียวกันคำว่า "กลาง" ในหลักการปฏิบัตินั้น ไม่มี ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับกำลังใจ ขึ้นอยู่กับบารมีที่เราสั่งสมมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-05-2012 เมื่อ 20:08 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
เรานั่งกรรมฐาน ๓๐ นาที จิตก็เริ่มรู้สึกว่าหนัก ไปไม่ไหวแล้ว เราก็เลิกได้ ผ่อนอารมณ์แล้วคอยประคับประคองเอาไว้ ในขณะเดียวกันบางคนเขาสร้างบารมีมาเข้มข้น นั่ง ๓ วัน ๓ คืนก็สบายมาก เพราะฉะนั้นมัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน
แต่ถ้าร่างกายบอกไม่ไหวแล้วให้ลองฝืนดูนิดหนึ่ง ถ้าฝืนแล้วไปได้ แปลว่าเมื่อครู่นี้กิเลสหลอกให้เราขี้เกียจ ถ้าฝืนแล้วฝืนอีกไปไม่ได้จริง ๆ แล้วค่อยเลิก ให้รู้ว่ากำลังของเรามีแค่นี้ แต่ถ้าเราทำบ่อย ๆ เราก็จะมีเยอะเหมือนเขา เราทำครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวพรุ่งนี้อีกครึ่งชั่วโมง มะรืนนี้อีกครึ่งชั่วโมง ไล่ไปเรื่อย หรือไม่ก็เช้าครึ่งชั่วโมง กลางวันครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง รวม ๆ เข้าก็ได้เป็นวันเหมือนเขา ปฏิปทาในการปฏิบัติของคนไม่เท่ากัน พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็น ๔ อย่าง ก็คือ ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยาก ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่บรรลุง่าย อย่างสายหลวงปู่มั่น เดินจงกรมจนทางลึกถึงแข้งเลย แต่ว่าบรรลุกันเยอะ สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฏิบัติง่าย สบาย ๆ แต่บรรลุยาก เพราะว่าส่วนใหญ่มัวแต่ไปหลงกับความสบาย สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติสบาย บรรลุง่าย สบายแค่ชาติปัจจุบันนะ เพราะว่าอดีตลำบากมาตั้งเท่าไรก็ไม่รู้ แบบเดียวกับพระพาหิยะทารุจีริยะ ท่านฟังเทศน์สั้น ๆ แค่“ตาเห็นรูปอย่าไปสนใจ หูได้ยินเสียงอย่าไปสนใจ” สั้น ๆ เท่านั้น ท่านบรรลุมรรคผลเลย ใคร ๆ ก็ว่าท่านบรรลุง่ายสบายเหลือเกิน ที่ไหนได้ชาติก่อนท่านอดตาย เพราะว่าขึ้นไปปฏิบัติบนหน้าผา กะว่าถ้าหากบรรลุไม่ได้ก็ให้ตายไปเลย เพื่อนของท่านบรรลุแล้วเหาะไปบิณฑบาตมาเลี้ยง ท่านก็ไม่เอา เพราะถือสัจจะไว้แล้วว่า ถ้าหากว่าไม่บรรลุจะไม่ยอมกินอะไร ท้ายสุดก็เลยอดตาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นขนาดนั้นแหละ กำลังใจข้ามชาติข้ามภพมา กลายเป็นอุปนิสัย เป็นปัจจัยนำส่ง ทำให้ชาติปัจจุบันท่านบรรลุเร็วมาก ฟังแค่หัวข้อธรรมสั้น ๆ ก็บรรลุเลย เราจะไปว่าท่านปฏิบัติง่าย บรรลุง่ายก็ไม่ใช่ เราเห็นง่ายชาตินี้ แต่ก่อนนั้นยากถึงขนาดอดตายมาแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:47 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
ในเรื่องมัชฌิมาปฏิปทา หลวงพี่หนูท่านให้ขยายความอีกนิดหนึ่ง จริง ๆ แล้วมัชฌิมาปฏิปทาก็อยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา เพียงแต่ว่าศีล สมาธิ ปัญญาที่เราทำนั้น ความพอเหมาะพอดีของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน อย่างเรื่องของการรักษาศีล บางคนรู้สึกเหมือนแบกข้าวสารทั้งกระสอบ รู้สึกหนักเหลือเกิน ต้องระมัดระวังเหลือเกิน ตัวลีบกลัวศีลจะขาด
แต่ทำไมบางคนรู้สึกสบาย ๆ รู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจมาก เหมือนไม่ต้องใช้ความพยายามเลย เพราะว่าการสั่งสมมาไม่เท่ากัน บารมีไม่เท่ากัน ท่านที่สั่งสมมามากกว่า ความพอดีของท่านในชาตินี้กลายเป็นของง่าย เป็นของสบายของท่าน แต่เป็นของยากลำบากของเรา ขณะเดียวกันเรื่องของสมาธิที่ได้ว่ามาแล้ว เรานั่ง ๓๐ นาทีก็แย่แล้ว แต่เพื่อนนั่งกันที ๓ - ๔ วันสบาย ๆ เรื่องของปัญญาก็เหมือนกัน บางคนแค่มองไปก็เห็นแทงตลอดเลย นั่นเด็กนะ นี่กลางคน นั่นคนแก่ เห็นความไม่เที่ยงเป็นปกติแล้ว เขานั่งอยู่ก็เมื่อยก็ปวดเหมือนกับเรา เห็นเป็นทุกข์อีกแล้ว ท้ายสุดทุกคนก็ตายหมด ไม่มีใครดำรงทรงขันธ์อยู่ได้ก็เป็นอนัตตาหมด เรามองให้ตายก็มองไม่เห็น มองไม่เห็นไม่พอ ยังไปหลงไปยึดอีก ไอ้นี่ตัวกู ของกู คนนั้นก็สวย เดี๋ยวจีบมาเป็นแฟนกู เผลอไปมีลูกเข้าก็ลูกกูอีก เพิ่มขึ้นไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของความพอดีมีไม่เท่ากัน คนที่สั่งสมมาน้อย ต้องใช้ความพยายามมากขึ้น คนที่สั่งสมมามากก็ประคับประคองตัวเองให้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ อย่าไปประมาทแล้วปล่อย ไม่อย่างนั้นแล้วจะหนักเหมือนคนอื่นเขา ถ้าหากว่าเราพลาดแล้วจะถอยหลัง เรื่องของการปฏิบัติธรรมเหมือนกับว่ายทวนน้ำ ถ้าไม่จ้วงเอาไว้ตลอดเวลา เราก็จะไหลตามน้ำไป เราจำเป็นต้องใช้ความอดทน มานะพยายาม พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสประโยคแรกของโอวาทปาฏิโมกข์ว่าขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา เอาความอดทนอดกลั้นขึ้นมาก่อนเลย ต้องทนถึงจะประสบความสำเร็จ ถ้าหากว่าขาดความอดทน ถึงเวลาลำบากหน่อยก็ท้อ อย่างนั้นไม่มีหวังประสบความสำเร็จแน่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-05-2012 เมื่อ 13:49 |
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|