#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๔
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เมื่อช่วงเช้าได้ทำการตอบปัญหาธรรม แล้วก็มีบางคำถามที่น่าสนใจ อย่างเช่นว่า มีโยมผู้หญิงท่านหนึ่งสอบถามว่า จะกินอาหารอะไรถึงจะช่วยลดกามราคะลงได้ เพราะว่ารบกวนในเวลาปฏิบัติมากเหลือเกิน
ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องพวกนี้ยังมีคนเข้าใจผิดกันอยู่มากมาย ว่าอาหารนั้นเป็นส่วนที่กระตุ้นให้กามราคะกำเริบ แต่อาตมาเองขอยืนยันว่า ในส่วนที่ทำให้กามราคะกำเริบนั้นไม่ใช่อาหาร แต่เป็นการนึกคิดปรุงแต่ง ที่ใช้คำว่า จิตสังขาร คือการปรุงแต่งของใจ ซึ่งตรงจุดนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเองก็อยากรู้ว่าในเรื่องของราคะนั้นเกี่ยวข้องกับอาหารหรือเปล่า ? ก็อุตส่าห์ผ่อนอาหารบ้าง ฉันแต่อาหารเจที่เป็นผักอย่างเดียวบ้าง แต่ไม่ได้บอกใคร ถ้าไปที่ไหนเขาไม่มีอาหารเจให้ ก็เลือกเอาแต่พวกผักมาฉัน ท่านบอกว่าบางวันไม่มีอาหารอะไรที่พอฉันได้ ก็เอาหัวหอมจิ้มน้ำปลาฉันกับข้าว ผ่านไป ๓ ปี กามราคะยังงอกงามเหมือนเดิม ส่วนตัวของอาตมาเองมาทดสอบเอาตอนแก่นี่เอง คือช่วงเดือนที่แล้วสังขารร่างกายทรุดโทรมเสื่อมหนักจากอาการป่วย ก็มีญาติโยมนำเอายาบำรุงที่เรียกว่า พระกระโดดกำแพง มาให้ฉันต่อเนื่องกัน ๕ วัน สรุปว่าไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยังคงหมดเรี่ยวหมดแรงเหมือนเดิม..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-04-2021 เมื่อ 09:50 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ก็แปลว่าในส่วนของอาหารนั้นมีส่วนน้อยมาก ส่วนใหญ่เกิดจากสภาพจิตที่นึกคิดปรุงแต่งมากกว่า ถ้าหากว่าเราสามารถหยุดความคิดได้ ไม่ว่าจะเป็น ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็สงบ หมดสภาพไปเอง เพราะว่าขาดการปรุงแต่ง อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับเราลวกก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ก็ไม่มีใครอยากกิน แต่คราวนี้การที่เราไปปรุง ใส่หมูสับ ใส่กุ้งแห้ง ใส่ลูกชิ้น ใส่ตั้งฉาย ใส่ต้นหอม ใส่ผักชี ใส่น้ำส้ม ใส่น้ำปลา ใส่แม้กระทั่งถั่วลิสงคั่ว ยิ่งปรุงมากก็ยิ่งอร่อยมาก จึงทำให้อยากกินมากขึ้น
ลักษณะสภาพใจของเราก็แบบเดียวกัน ก็แปลว่าท่านผู้ถามนั้นไม่สามารถจะหยุดความคิดทั้งหมดให้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออกได้ ถ้าเราดึงเอาความคิดทั้งหมดมาอยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้าให้ความรู้สึกแนบชิดกับลมหายใจ...ไหลตามเข้าไปจนสุด...หายใจออกให้เอาความรู้สึกทั้งหมดแนบชิดติดกับลมหายใจ ไหลออกมาจนสุด ถ้ากำลังใจของเราอยู่แค่นี้ รัก โลภ โกรธ หลง อะไรก็กินเราไม่ได้ เพียงแต่ว่าบางท่านพยายามแล้วพยายามอีก กำลังของกิเลสก็ยังเหนือกว่า ถ้าลักษณะอย่างนั้นต้องหางานอื่นทำ เพื่อที่จะให้เผลอลืมไปเลย อย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้วิธีวิ่งอยู่ในป่าช้า วิ่งจนกระทั่งโดนกำนันเถา กำนันตำบลบางนมโค ไปฟ้องหลวงปู่ปานว่า "พระของท่านไม่สำรวม วิ่งกันโครม ๆ ไม่ได้อยู่ในสมณวิสัยที่สมควร" หลวงปู่ปานท่านก็ถามกลับไปว่า "กำนันไปเห็นพระของฉันไปวิ่งกันที่ไหน ?" กำนันเถาก็ตอบว่าวิ่งกันอยู่ในป่าช้า หลวงปู่ปานก็เลยถามไปอีกประโยคว่า "เขาอุตส่าห์หลบไปวิ่งในป่าช้า แล้วกำนันเสือกตามไปดูทำไม !!?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2021 เมื่อ 10:26 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ลักษณะอย่างนั้นก็เช่นเดียวกัน ก็คือหางานให้จิตทำ เพื่อที่จะได้เบี่ยงเบนออกจาก รัก โลภ โกรธ หลง ที่จิตกำลังปรุงแต่งครุ่นคิดอยู่ โดยเฉพาะหลวงพ่อกับเพื่อนทั้ง ๓ องค์นั้น ท่านใช้วิธีวิ่งพร้อมกับภาวนา โดยมีการขีดเส้นเอาไว้ กำหนดว่าถ้าวิ่งถึงตรงนี้จะต้องทรงฌานนี้ได้ วิ่งถึงตรงนั้นต้องทรงฌานนั้นได้ นอกจากจะเป็นการซักซ้อมความคล่องตัวในการเข้าออกฌานสมาบัติแล้ว ยังเป็นการเบี่ยงเบนความคิดไม่ให้ปรุงแต่งไปในด้านของ รัก โลก โกรธ หลง ให้จิตมีงานทำอยู่เฉพาะหน้าอีกด้วย
เมื่อวิ่งจนเหนื่อยแล้ว สภาพจิตพอเหนื่อย ความกลัวตายจะเกิดขึ้นโดยที่เราก็ไม่รู้ตัว ความกลัวตายในที่นี้ก็ทำให้สภาพจิตจะรีบกลับเข้ามานิ่งอยู่ในร่าง เพราะกลัวว่าตายแล้วจะหลุดพ้นจากร่างกายนี้ไป เมื่อสภาพจิตยอมกลับมานิ่งอยู่ในร่างเมื่อไร ก็ฉวยโอกาสนี้เร่งการภาวนา จับลมหายใจเข้าออกให้มั่นคง จนกระทั่งสามารถทรงอารมณ์ให้แนบแน่นเป็นอัปปนาสมาธิได้ รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหลายก็จะโดนกดดับชั่วคราวไปเอง ดังที่ได้กล่าวมา ญาติโยมทั้งหลายคงพอที่จะรู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไร ถ้าอารมณ์ใจไปปรุงแต่งอยู่กับ รัก โลภ โกรธ หลง ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันเสาร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-04-2021 เมื่อ 10:26 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|