#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงวันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพนำผู้บวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๘/๒๕๖๗ ภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบตั้งแต่ตอนตีสาม
ความจริงแล้วการภาวนาพระคาถาเงินล้านนั้นจะเริ่มประมาณ ๘ โมงเช้าทุกครั้ง แต่วันนี้ที่ต้องเริ่มตั้งแต่ตี ๓ ก็เพราะว่าทางแม่กองธรรมสนามหลวง กำหนดให้เป็นวันเปิดการสอบธรรมสนามหลวงชั้นโทและชั้นเอก ประจำปี ๒๕๖๗ ซึ่งถ้าหากว่าไปรอในตอน ๘ โมงเช้า กว่าที่จะภาวนาเสร็จก็ประมาณ ๑๐ โมงเช้า ถ้าเป็นเช่นนั้นกระผม/อาตมภาพจะไม่สามารถเดินทางไปทันเวลาของการถวายภัตตาหารเพลแก่ผู้เข้าสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องขออนุญาตในการปรับตารางให้การภาวนาในช่วงเช้ามืดนั้น เป็นการภาวนาพระคาถาเงินล้านไปเลย เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วค่อยออกบิณฑบาตตามปกติ วันนี้มีโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าไทย นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระ ทุกวันอาทิตย์" ซึ่งมีการแสดงของเด็กนักเรียนจากโรงเรียนบ้านกุยแหย่ด้วย ซึ่งโรงเรียนต่าง ๆ ในเขตอำเภอทองผาภูมิทั้ง ๓๐ กว่าโรงเรียน จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา เปิดการแสดงให้กับทางชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุนตลอดทั้งปี ซึ่งจะมีประมาณเดือนละ ๑ ครั้ง ถ้านับเป็นวันเสาร์กับวันอาทิตย์ก็เท่ากับมีเดือนละ ๒ ครั้ง สำหรับวันนี้นอกจากผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ยังมีนักท่องเที่ยวอีกจำนวนมากที่รอใส่บาตรยามเช้ากันอยู่ เนื่องเพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ทะเลหมอกของอำเภอทองผาภูมินั้นสวยที่สุด เพราะว่าเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ความชื้นยังมีสูงมาก เมื่อกระทบความเย็นก็กลายเป็นทะเลหมอก ถ้าช่วงสายหน่อย บางทีก็ฟุ้งจนมืดมัวไปทั้งเมือง อย่างที่ภาษาเหนือเรียกว่า "หมอกมุงเมือง" นั่นเอง ครั้นกลับวัดมา ฉันเช้าเสร็จแล้ว กระผม/อาตมภาพไปจัดการล้างหน้าแปรงฟัน แต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ เปลี่ยนจากห่มคลุมบิณฑบาต มาเป็นห่มดอง พาดสังฆาฏิรัดอกเรียบร้อย เก็บข้าวของบางส่วนขึ้นรถยนต์เตรียมเดินทาง แล้วไปลงศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย เพื่อสนทนาธรรมกับญาติโยม ซึ่งก็เป็นที่เหลือเชื่อว่า ตัวกระผม/อาตมภาพเองนั้น ใช้เวลาทำงานต่าง ๆ ไปเยอะมาก แต่ก็ยังมาถึงก่อนทั้งญาติโยมและพระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุน จึงได้บอกกล่าวต่อโยมทั้งหลายว่า นี่คือผลของการปฏิบัติธรรม..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2024 เมื่อ 03:10 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ก็คือบุคคลที่ปฏิบัติไปจนกระทั่งมีเป้าหมายชัดเจนแล้วไซร้ ก็จะตัดสิ่งรุงรังรอบข้างออกไปจนหมด ทำอะไรก็จะทำเร็วกว่าคนอื่นเขา และเป็นความเร็วที่ไม่ผิดพลาดด้วย เพราะว่าไม่ขาดสติ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่นักปฏิบัติธรรมทุกท่านควรที่จะตระหนักเอาไว้ ไม่ใช่ว่ายิ่งทำอะไรก็เชื่องช้าอืดอาดอยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นถือว่ายังไม่สามารถใช้ผลของการปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริงได้
โดยเฉพาะพระภิกษุและญาติโยมส่วนหนึ่งที่มาฝากชีวิตไว้กับเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน อย่างเช่นตั้งเป้าเอาไว้ว่า "เราทำผิดศีลแบบนี้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าต้องอาบัติปาราชิก หรือว่าอาบัติสังฆาทิเสสหรือเปล่า ? ขอให้หลวงพ่อช่วยตักเตือนบอกกล่าวด้วย" ถ้าเอ็งพูดออกจากปากก็จบไปแล้ว แต่เอ็งดันอธิษฐานในใจ แล้วเรื่องอะไรที่ครูบาอาจารย์จะไปเดือดร้อนกับการกระทำที่เอ็งรู้อยู่แก่ใจด้วย..?! อีกพวกหนึ่งก็ญาติโยมทั้งหลายที่ได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณของเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ก็อธิษฐานมาว่า "ถ้าหลวงพ่อวัดท่าขนุนเก่งจริง ถ้าพระอาจารย์เก่งจริง กระผมหรือว่าดิฉัน หรือว่าหนู คิดอะไรอยู่ในใจต้องพูดออกมาได้ สิ่งหนึ่งประการใดที่ทำอยู่จะดีจะร้าย จะติดขัดอย่างไร ก็ขอให้หลวงพ่อช่วยทักออกมาด้วย" ลักษณะแบบนี้ กระผม/อาตมภาพ "เมินใส่" มาเสียเยอะแล้ว บางทีก็ไล่เตลิดเปิดเปิงกลับบ้านไปเลย ประมาณว่า ใจกูมีความชั่วเท่าไรก็ตามดูไม่ทันอยู่แล้ว ยังต้องเสียเวลาไปตามดูใจคนอื่นอีก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นหลายท่านที่คิดจะฝากชีวิตเอาไว้กับเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ก็ต้องผิดหวังไปเป็นอย่างมาก พูดง่าย ๆ ว่าท่านไม่เล่นด้วยไม่พอ ยังอาจจะไล่เราไปเล่นไกล ๆ ที่อื่นอีกต่างหาก..! เมื่อถึงเวลาทำการสมาทานพระกรรมฐาน และมอบหมายให้พระวิปัสสนาจารย์นำการปฏิบัติในบัลลังก์สุดท้ายของการปฏิบัติธรรมงวดนี้ กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปยังวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) ซึ่งเป็นสนามในการสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอก สนามที่ ๑ ของคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ไปถึงก็ปรากฏว่าพระภิกษุสามเณรผู้เข้าสอบนักธรรมชั้นโทชั้นเอกเดินกันเต็มวัดอยู่แล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2024 เมื่อ 03:13 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เมื่อรอจนได้เวลาก็ฉันเพล โดยที่กระผม/อาตมภาพนั่ง "ดวลเดี่ยว" กับพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งท่านบอกว่า "อาจารย์เล็กสั่งสอนลูกศิษย์ได้ดีมาก ๆ ผมลงไปที่แพท่าน้ำ เห็นลูกศิษย์ท่านจับกลุ่มติวหนังสือกันอยู่ เอาจริงเอาจังมาก เมื่อเข้าไปพูดเล่นว่า "ต้องจริงจังขนาดนั้นเลยหรือ ?" ลูกศิษย์ท่านยังบอกว่า "ในเมื่ออาจารย์ส่งมาสอบแล้ว ถ้าหากว่าพลาดไปก็ขายหน้าครูบาอาจารย์ จึงต้องเอาจริงเสียหน่อยครับ"
กระผม/อาตมภาพก็เรียนถวายหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดไปว่า "ทางพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรเจติยาจารย์ (ชัยวัฒน์ ปญฺญาสิริ ป.ธ. ๙) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร หรือที่ผู้คุ้นเคยเรียกกันว่าหลวงพ่อเจ้าคุณชัยวัฒน์นั้น ท่านก็ได้กล่าวกับผมมาหลายวาระแล้วว่า "อาจารย์เล็ก ไปคัดสรรลูกศิษย์แบบนี้มาจากไหน ? ทำงานเป็นทุกอย่าง การเรียนก็เก่ง เทศน์ก็ได้ นำปฏิบัติธรรมก็ดี ส่งไปปฏิบัติธรรมก็ไม่เคยหนี สู้ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย เพื่อนฝูงจากวัดอื่น ๆ หนีกลับวัดกันจะหมดอยู่แล้ว ก็ยังอยู่สู้จนกระทั่งจบโครงการ ?" กระผม/อาตมภาพเรียนถวายท่านไปว่า "กระผมไม่ได้คัดสรรท่านเลยครับ ท่านทั้งหลายเหล่านี้มาขอบวชด้วยตนเอง ผ่านการขานนาคตามระเบียบของวัดด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลา ท่านทั้งหลายเมื่อตั้งใจมาเอาดีแล้ว อย่างนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่กระผมสั่งสอน หรือว่าทำเป็นตัวอย่างไป ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็เอาด้วยตนเอง จึงทำให้มีความสามารถแบบนี้" ในเมื่อกล่าวเช่นนั้นก็แปลว่า บรรดาพระเถระไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม มองเห็นความสามารถของพระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุนชัดเจนเช่นนี้อยู่แล้ว จากนั้นกระผม/อาตมภาพก็ยังเรียนถวายหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดว่า "แต่ชาวบ้านรอบวัดแทบจะไม่มีใครบวชกับวัดท่าขนุนเลยนะครับ ทุกคนเคารพหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนเป็นที่สุด ถึงเวลาจะบวชลูกบวชหลานก็แห่กันมากราบขอขมาหลวงปู่ก่อน แล้วก็แห่ออกจากวัดไปบวชที่อื่น..!" เมื่อถามเหตุผลแล้ว เขาตอบมาว่า "บวชวัดท่าขนุนแล้วกลัวลูกหลานจะลำบาก เพราะว่าต้องตื่นตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง ต้องสวดมนต์ทำวัตรวันละ ๓ รอบ ต้องเจริญพระกรรมฐาน ต้องออกบิณฑบาตทุกวัน ต้องทำความสะอาดวัดเช้าเย็น ถ้าลูกหลานบวชอยู่ที่วัดท่าขนุนแล้วจะลำบาก ก็เลยเอาไปบวชที่วัดอื่น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2024 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
กระผม/อาตมภาพเรียนถวายเสร็จ หลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านก็หัวเราะ บอกว่า "แสดงว่าพวกนี้ลืมไปแล้วว่าหลวงปู่สายท่านเคร่งครัดกับลูกหลานขนาดไหน สมัยนั้นถ้าหากว่าขาดสวดมนต์ทำวัตรครั้งแรก ท่านจะตักเตือน ขาดครั้งที่ ๒ ท่านจะคาดโทษ ถ้าขาดครั้งที่ ๓ ท่านให้หาเสื้อผ้ามาแล้วสึกให้เลย..! บอกว่าเป็นพระเป็นเณรแล้ว ถ้าหากว่าขี้เกียจทำกิจของสงฆ์ ไม่สวดมนต์ทำวัตร บิณฑบาต เจริญกรรมฐานก็อย่าอยู่ให้รกพระพุทธศาสนาเลย ท่านจัดการจับสึกไปเสียนับไม่ถ้วนแล้ว ขนาดหนีไปอยู่ต่างจังหวัด ท่านยังตามไปสึก เพราะถือว่าท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ต้องรับผิดชอบลูกศิษย์ของตนเอง"
แล้วก็กล่าวไปถึงเรื่องของ "ท่านปีนเสา" ที่ยังดื้อแพ่งไม่ยอมสึก ทั้ง ๆ ที่กลายเป็นพระเร่ร่อนไร้สังกัด ผิดกฎหมายคณะสงฆ์ไทย แล้วก็โยงไปจนกระทั่งเรื่องเจ้าอาวาสวัดถ้ำเสือ (ท่าม่วง) ซึ่งขอเก็บค่าจอดรถคันละ ๒๐ บาทแล้วโดน "ทัวร์ลง" หลายต่อหลายท่านก็ด่าหยาบคายจนกระทั่งฟังไม่ได้ โดยที่กระผม/อาตมภาพสรุปว่า เจ้าอาวาสท่านทำผิดไปหน่อย ก็คือเก็บอารมณ์ต่อหน้าผู้สื่อข่าวไม่ได้ ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพก็จะติดป้ายตัวเบ้อเร่อเอาไว้ตรงปากทางเข้าที่จอดรถว่า "ค่าจอดคันละ ๒๐ บาท" คนที่เข้ามาเขารู้ว่าต้องเสียเงิน ถ้าไม่อยากเสียเงินเขาก็ไม่เข้ามา แล้วเราก็ไปยื่นบิลเก็บเงิน หรือให้เด็กวัดไปยื่นบิลเก็บเงินก็จบแล้ว เมื่อกล่าวกันมาถึงตรงนี้ ก็เลยกลายเป็นการนินทาเพื่อนพระสังฆาธิการไปเสียนี่..! ครั้นอยู่จนกระทั่งพิธีเปิดการสอบและตรวจเยี่ยมสนามสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็กลับมานอนหมดสภาพอยู่ที่วัดท่ามะขาม เพิ่งจะเหยียบเข้าสู่ที่พัก ฝนก็กระหน่ำลงมายกใหญ่ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ชายชราอายุ ๖๕ ย่าง ๖๖ ปี มา ๕ เดือนแล้ว ร่างกายจะไหวหรือว่าไม่ไหว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องรีบบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเอาไว้ก่อน หลังจากนี้ก็จะได้ฉันยา และเข้าสู่รายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรม กว่าที่จะจบการปฏิบัติธรรมช่วงค่ำของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ก็ต้องถึง ๓ ทุ่มแล้วเท่านั้น..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-11-2024 เมื่อ 03:19 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|